การเลือกตั้งบาไฮ
ระบบบริหารบาไฮเริ่มต้นจากการเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นซึ่งเป็นหน่วยบริหารพื้นฐาน ในท้องถิ่นที่มีบาไฮอายุ 21 ปีขึ้นไป 9 คน หรือมากกว่านั้น จะมีการก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่น การเลือกตั้งบาไฮไม่มีการเสนอชื่อ ไม่มีการสมัครรับเลือกตั้ง ไม่มีการหาเสียง ไม่มีการชักจูงให้ผู้อื่นเลือกใคร ไม่มีการอภิปรายหรือปรึกษากันว่าจะเลือกใครดี และผู้ที่เลือกจะไม่บอกใครว่าตนลงคะแนนให้ใคร แม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม หลักการเช่นนี้ทำให้การเลือกตั้งบาไฮอยู่ในบรรยากาศแห่งธรรมะที่แท้จริง หลักการเลือกตั้งบาไฮเป็นสิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ออกแบบไว้เป็นพิเศษอย่างไม่เคยมีมาก่อนในระบอบการปกครองของมนุษยชาติ และผู้ที่ศรัทธาในพระบาฮาอุลลาห์เท่านั้นที่นำหลักการเลือกตั้งบาไฮไปใช้ได้ สังคมภายนอกชุมชนบาไฮถึงแม้จะรู้หลักการเลือกตั้งบาไฮก็จะนำไปใช้ไม่ได้ผล เพราะไร้ซึ่งอานุภาพธรรมของพระบาฮาอุลลาห์
?ในวันเลือกตั้ง มิตรสหายต้องเข้าร่วมการเลือกตั้งอย่างจริงใจด้วยความสามัคคีและมิตรภาพ ตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้า ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ แสวงหาการนำทางจากพระองค์ และวิงวอนของความช่วยเหลือและพรจากพระองค์?
?ผู้เลือกตั้งมีหน้าที่ลงคะแนนให้เฉพาะผู้ที่ตนรู้สึกได้จากการสวดมนต์อธิษฐาน…ในเวลาการเลือกตั้ง มิตรสหายควรอยู่ในอารมณ์ของการอธิษฐาน ตรึกตรองอย่างเที่ยงธรรมและปราศจากกิเลส?
?ต้องพิจารณาที่ความสามารถที่แท้จริงและความสำเร็จในปัจจุบัน โดยไม่คำนึงถึงฐานะในสังคม ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ถ้ามีคุณสมบัติดีที่สุด ควรได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบสูงนี้ คือสมาชิกธรรมสภา?
?ดังนั้นเป็นหน้าที่ที่จะพิจารณาโดยปราศจากกิเลสหรืออคติแม้เพียงน้อยที่สุด และไม่คำนึงถึงสถานภาพทางวัตถุ แล้วเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้สมบูรณ์ที่สุดคือ มีความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อสงสัย มีความอุทิศอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่ฝึกฝนมาดี มีความสามารถอันเป็นที่ยอมรับ และมีประสบการณ์?
?คุณสมบัติที่ท่านระบุไว้ใช้กับทุกคนที่เราเลือกขึ้นมาไม่ว่าเป็นการเลือกตั้งใดของบาไฮ แต่คุณสมบัติเหล่านี้เป็นเพียงเกณฑ์และมิได้หมายความว่า ผู้ที่ขาดคุณสมบัติเหล่านี้จะถูกเลือกไม่ได้ เราต้องหมายสิ่งที่สูงที่สุดเท่าที่เป็นไปได้?
?บาไฮมีสิทธิจะลงคะแนนให้ตนเองในระหว่างการเลือกตั้งหากมโนธรรมของเขารู้สึกเช่นนั้น นี้มิได้หมายความว่าเขาทะเยอทะยานหรือเห็นแก่ตัว เพราะมโนธรรมของเขาอาจเชื่อว่าเขามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นสมาชิกในสถาบันบริหารบาไฮและอาจเป็นจริงตามที่เขาคิด อย่างไรก็ตามข้อสำคัญคือ เขาควรเชื่อด้วยความจริงใจและทำตามมโนธรรมของเขา ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกภาพในธรรมสภาหรือคณะกรรมการคือรูปแบบของการรับใช้ และใม่ควรถือว่าเป็นเครื่องหมายของความวิเศษเหนือผู้อื่น หรือเป็นวิถีทางสำหรับยกย่องตนเอง?
?เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่ารูปแบบใดของการเลือกตั้งคือบุคคลที่คู่ควรไม่ได้รับเลือกเพราะว่าเขาไม่เป็นที่รู้จักกว้างขวางนี้เป็นจริงในระบบที่ใช้การเสนอชื่อและหาเสียง และในระบบบาไฮด้วย อย่างไรก็ตามนี้ไม่ใช่ประเด็น ตามทรรศนะของบาไฮการได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภา มิใช่สิ่งที่ประชาชนมีสิทธิจะได้รับ มิใช่เกียรติที่พวกเขาจะใฝ่ฝันหา แต่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่พวกเขาอาจจะได้รับใช้ จุดประสงค์คือ ผู้ที่ถูกเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภาควรเป็นผู้ที่คู่ควรต่อการรับใช้นี้ที่สุด นี้ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่คู่ควรทุกคนจะถูกเลือก
เป็นที่คาดว่าในอนาคต…จะมีบาไฮมากมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะรับใช้ธรรมสภา แต่เพียงไม่กี่คนจะได้รับเลือกในแต่ละครั้ง เป็นที่คาดหวังเช่นกันว่า โดยการฝึกฝนและประสบการณ์ในวิธีการและบรรยากาศของการเลือกตั้งบาไฮ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะสำนึกในความรับผิดชอบมากขึ้น และจะลงคะแนนให้เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่ท่านศาสนภิบาลระบุไว้ ดังนั้นพวกเขาจะถือว่าเป็นหน้าที่อันต่อเนื่องที่จะทำความคุ้นเคยกับอุปนิสัยและความสามารถของผู้ที่แข็งขันในชุมชน เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง พวกเขาจะมีความคิดอยู่บ้างเกี่ยวกับบุคคลที่ตนจะเลือก?
?การลงคะแนนของแต่ละคนควรเก็บเป็นความลับ ไม่อนุญาตให้พาดพิงถึงชื่อใคร มิตรสหายต้องหลีกเลี่ยงวิธีที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจของนักการเมือง พวกเขาต้องตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้าโดยสมบูรณ์ และเข้าร่วมการเลือกตั้งโดยเจตนาและหัวใจที่บริสุทธิ์และใจเป็นอิสระ?
?ขอให้พวกเขาเฝ้าระวังเป็นที่สุด เพื่อว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งอย่างเป็นอิสระ โดยลงคะแนนเป็นความลับห้ามและยับยั้งอุบาย การหลอกลวง การสมรู้ร่วมคิดและการบังคับทุกรูปแบบ?
?ความเจริญก้าวหน้าของชุมชนบาไฮขึ้นอยู่กับการเลือกตั้ง ผู้ที่บริสุทธิ์ ซื่อสัตย์และแข็งขัน การหาเสียงเป็นที่รังเกียจ… การเลือกตั้งบาไฮบริสุทธิ์ปราศจากการหาเสียง และวางอุบายที่คนไม่ซื่นชอบใช้กัน?
?ตามที่ท่านทราบดี วิธีการเลือกตั้งบาไฮต่างจากวิธีการเลือกตั้งในระบบการเมืองโดยสิ้นเชิง ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้ชี้ให้เห็นว่า หากเราเอาวิธีของนักการเมืองมาใช้ในการเลือกตั้งบาไฮ ความเข้าใจผิดและความขัดแย้งจะเกิดขึ้น ความโกลาหลและอลวนจะตามมา ความชั่วร้ายจะดาษดื่น และชุมชนบาไฮจะถูกตัดขาดจากอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า…
เมื่อใครเห็นบาไฮบางคนที่ยังไม่ค่อยเข้าใจศาสนาทำการหาเสียงอย่างเปิดเผยหรือลับๆ เขาจะต้องไม่เอาอย่าง แต่ควรปฏิบัติตามขั้นตอนการบริหารเพื่อขจัดแนวโน้มดังกล่าว และชำระชุมชนบาไฮให้พ้นจากอิทธิพลชั่วร้ายดังกล่าว?
?สิ่งที่มิตรสหายควรทำคือ การทำความคุ้นเคยซึ่งกันและกัน แลกเปลี่ยนทรรศนะ คลุกคลีกันและอภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขและคุณสมบัติที่ควรได้รับเลือก โดยไม่พาดพิงถึงบุคคลใดแม้จะโดยทางอ้อม เราควรละเว้นการชักจูงความคิดของผู้อื่น?
?มิตรสหายทุกคนควรเลิกเสนอชื่อที่ขัดแย้งกับหลักการของระบบบริหารบาไฮ เพราะมิฉะนั้นแล้ว อิสรภาพในการเลือกสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นจะเสียหายอย่างร้ายแรง และเปิดทางให้มีการเน้นมาที่บุคลิกของบุคคล ไม่เพียงเท่านั้น การเสนอชื่อยังนำไปสู่การแบ่งเป็นพรรคในที่สุด ซึ่งขัดกับบรรยากาศของศาสนา
นอกจากอันตรายที่ร้ายแรงเหล่านี้แล้ว การเสนอชื่อยังมีข้อเสียคือ บั่นทอนบาไฮมิให้ริเริ่มและพัฒนาตนเอง ที่จริงแล้วจุดประสงค์ที่สำคัญอันหนึ่งของวิธีการเลือกตั้งบาไฮคือ การพัฒนาบาไฮทุกคนให้มีสำนึกรับผิดชอบ โดยการเน้นความจำเป็นของอิสรภาพของทุกคนในการเลือกตั้ง สมาชิกในชุมชนจะถือเป็นหน้าที่ที่จะกระตือรือร้นและรับรู้ความเป็นไปของชุมชน เพื่อที่จะลงคะแนนให้กับผู้ที่เหมาะสมในเวลาเลือกตั้ง จำเป็นที่เขาจะต้องติดต่อกับเพื่อนบาไฮอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ รับทราบกิจกรรมทั้งหมดในท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการสอน การบริหาร หรืออื่นๆ เข้าร่วมอย่างสุดหัวใจในกิจกรรมของคณะกรรมการและธรรมสภาทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้บาไฮสามารถพัฒนาสำนึกต่อสังคมอย่างแท้จริง และมีสำนึกรับผิดชอบต่อเรื่องต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ของศาสนา ดังนั้น ชีวิตชุมชนของบาไฮกำหนดหน้าที่ให้สมาชิกผู้ซื่อสัตย์ทุกคนเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้งที่หลักแหลม รับผิดชอบและรับรู้ความเป็นไปและยังให้โอกาสทุกคนพัฒนาตนเองขึ้นมาให้ได้ตามนี้ เนื่องด้วยการเสนอชื่อยับยั้งการพัฒนาคุณสมบัติดังกล่าว และยังนำไปสู่ความทุจริตและการแบ่งพรรคพวก จึงต้องล้มเลิกไปโดยสิ้นเชิงในการเลือกตั้งบาไฮ?
?ความแตกต่างมูลฐานระหว่างระบบที่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งกับระบบบาไฮคือ ในระบบแรกนั้น บุคคลบางคนหรือผู้ที่ถูกเสนอชื่อพวกเขา เป็นผู้ตัดสินใจว่า ตัวพวกเขาเองควรอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ แล้วจึงเสนอตัวเองให้คนอื่นลงคะแนนให้ ในระบบบาไฮการตัดสินนี้อยู่ที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หากใครคนหนึ่งพยายามโอ้อวดตัวเองต่อสายตาคนอื่น ด้วยจุดประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นลงคะแนนให้ตน บรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะถือว่าเป็นความทะนงและจะรู้สึกไม่ชอบ พวกเขาเรียนรู้ที่จะแยกผู้ที่มีชื่อเสียงเพราะการรับใช้ศาสนา กับผู้ที่อวดตัวเพื่อที่จะดึงดูดคะแนนเสียง?
?ข้าพเจ้ารู้สึกว่าต้องยืนยันความสำคัญและความจำเป็นยิ่งของสิทธิการลงคะแนนเสียง ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ศักดิ์สิทธิ์ที่บาไฮผู้ใหญ่ไม่ควรเสียไป…อย่างไรก็ตามสิทธิพิเศษนี้มิได้เป็นข้อผูกพันว่าบาไฮต้องลงคะแนนเสียง ถ้าเขารู้สึกว่าในสภาพแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่ เขาไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้อย่างรอบคอบโดยไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี เรื่องนี้ควรขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะตัดสินใจตามมโนธรรมและวิจารณญาณของตนเอง?
การเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่น
ทำการเลือกตั้งโดยตรงจากบาไฮที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไปในชุมชนนั้นๆ (ดู ธรรมสภาท้องถิ่นภาคปฏิบัติ บทที่ 3) แต่การเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติต้องทำสองขั้นตอน ตามที่พระอับดุลบาฮาระบุไว้ ขั้นแรกคือบาไฮแต่ละท้องถิ่นเลือกตั้งผู้แทนซึ่งผู้แทนที่ได้รับเลือกตั้งนี้จะเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นหรือไม่ก็ได้ การเลือกตั้งนี้เรียกว่า การเลือกตั้งหน่วย และขั้นที่สองคือ ผู้แทนที่ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งหน่วย จะไปร่วมประชุมแห่งชาติเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติ
การเลือกตั้งหน่วย
- ธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาของการเลือกตั้งหน่วย (มักอยู่ระหว่าง 2–3 เดือนก่อนเทศกาลเรซวาน) แบ่งเขตหน่วยเลือกตั้ง และกำหนดจำนวนผู้แทนของแต่ละหน่วยตามสัดส่วนของจำนวนบาไฮผู้ใหญ่ในหน่วยนั้นๆ ถ้าเป็นไปได้ควรแบ่งหน่วยให้ย่อยที่สุดเพื่อให้มีผู้แทนเพียงหนึ่งคนในหนึ่งหน่วย แต่จะไม่แบ่งพื้นที่ของธรรมสภาท้องถิ่นหนึ่งๆ ออกเป็นหน่วยย่อยถึงแม้จะมีผู้แทนมากกว่าหนึ่งคนในหน่วยนั้น
- บาไฮที่ขึ้นอยู่กับหน่วยไหนควรไปร่วมการประชุมหน่วยด้วยตนเอง เพื่อลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนและร่วมปรึกษาหารือ เพื่อให้ผู้แทนนำไปเสนอต่อที่ประชุมแห่งชาติ สำหรับผู้ที่ไม่สามารถไปร่วมประชุมหน่วยควรส่งบัตรลงคะแนนไป เมื่อทราบผลการเลือกตั้งว่าใครเป็นผู้แทน ควรรีบส่งรายงานไปยังธรรมสภาแห่งชาติทันที
- การเดินทางของผู้แทนไปร่วมประชุมแห่งชาติมีความสำคัญมากหากผู้แทนไม่มีค่าเดินทาง บาไฮในแต่ละหน่วยควรช่วยกันบริจาคค่าเดินทาง ซึ่งอาจมีการบริจาคที่การเลือกตั้งหน่วยหรืออาจขอค่าเดินทางจากธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติมีสิทธิพิจารณาจะให้หรือไม่ให้ หรืออาจให้บางส่วน ทางที่ดีที่สุดคือ ค่าเดินทางของผู้แทนควรมาจากผู้แทนเองหรือบาไฮในท้องถิ่นช่วยกัน
เมื่อกลับมาจากการประชุมแห่งชาติ ผู้แทนควรเล่าประสบการณ์จากที่ประชุมแห่งชาติให้บาไฮในท้องถิ่นของตนรับทราบ อาจเล่าอย่างไม่เป็นทางการ หรือจัดวันชุมนุมเป็นพิเศษเฉพาะเพื่อการนี้
การประชุมแห่งชาติ
- การประชุมแห่งชาติจะอยู่ในช่วงเทศกาลเรซวาน (21 เมษายน ? 2 พฤษภาคม) ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติมักจะเลือกวันสุดสัปดาห์ยกเว้นปีที่มีการประชุมนานาชาติเพื่อเลือกตั้งสภายุติธรรมสากลที่ไฮฟ่า ประเทศอิสราเอล ซึ่งอยู่ในช่วงเทศกาลวันเรซวาน ฉะนั้นการประชุมแห่งชาติในปีนั้นจะอยู่หลังเทศกาลเรซวาน เพื่อรอให้สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติที่ไปร่วมประชุมนานาชาติกลับมาเล่าประสบการณ์ให้ชุมชนรับทราบ การเริ่มการประชุมแห่งชาติและเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติต้องทำให้เสร็จก่อนตะวันตกดินของวันที่ 2 พฤษภาคม แต่การประชุมสามารถดำเนินต่อไปได้หลังจากนั้น
- ผู้แทนที่มาร่วมประชุมแห่งชาติมีหน้าที่หลัก 2 ประการคือ ลงคะแนนเลือกตั้งและเสนอข้อคิดเห็น บทบาทของการประชุมแห่งชาติเป็นการแนะนำ เสนอข้อคิดเห็น และปรึกษาหารือ โดยไม่มีการตัดสินใจ ธรรมสภาแห่งชาติชุดใหม่จะนำคำเสนอแนะเหล่านั้นไปพิจารณาและตัดสินใจโดยไม่ชักช้า
- ผู้ที่มีสิทธิแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมแห่งชาติคือ ผู้แทนสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติชุดเก่าและชุดใหม่ แต่เฉพาะผู้แทนเท่านั้นที่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติ ผู้ที่ไม่ใช่ผู้แทนสามารถแสดงความเห็นได้เมื่อได้รับอนุญาตจากผู้แทน
- ในกรณีที่ผลการเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติออกมาว่า มีผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันในที่ท้ายๆ เช่น นาย ก. กับ นาย ข. ได้คะแนนมากเป็นที่เก้าเท่ากัน ผู้แทนในที่ประชุมแห่งชาติต้องลงคะแนนอีกรอบหนึ่ง โดยลงคะแนนให้เฉพาะนาย ก. หรือ นาย ข. เท่านั้น ทั้งคู่ไม่สามารถสละสิทธิ์จากการเป็นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติเพื่อให้อีกคนหนึ่งเป็น เพราะทั้งคู่ยังอยู่ระหว่างคะแนนเสมอกันและยังไม่ได้เป็นสมาชิกธรรมสภา
- เมื่อเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติได้ครบ 9 คนแล้ว หากมีสมาชิกคนใดขอลาออกเช่นผู้นั้นเป็นอนุกร ผู้ที่ขอลาออกต้องแจ้งความจำนงต่อธรรมสภาแห่งชาติ และเมื่อธรรมสภาแห่งชาติยอมรับการลาออกนั้น ก็จะทำการเลือกตั้งคนใหม่มาแทนที่ การเลือกตั้งคนใหม่นี้ต้องให้ผู้แทนทุกคนมีโอกาสได้รับทราบและลงคะแนนเสียง และจะทำการเลือกในที่ประชุมแห่งชาติได้เลยก็ต่อเมื่อผู้แทนทุกคนอยู่ในที่ประชุม ต่างจาการลงคะแนนเสียงรอบสองเพื่อตัดสินระหว่างคนหลายคนที่ได้คะแนนที่เก้าเท่ากันซึ่งทำได้เลยในที่ประชุมแห่งชาติโดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีผู้แทนอยู่ครบทุกคน
ธรรมสภาท้องถิ่น
การสถาปนาธรรมสภาท้องถิ่น
?พระผู้เป็นนายได้บัญญัติไว้ว่า ในทุกเมืองต้องสถาปนาสภายุติธรรม ซึ่งภายในสภานี้มีที่ปรึกษาเก้าคนมาร่วมชุมนุมกันและถ้ามีจำนวนมากกว่าเก้าไม่เป็นไร พวกเขาต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากพระผู้ทรงปรานี และต้องพิจารณาตนเองว่าเป็นผู้อภิบาลที่แต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลก?
?เป็นเรื่องสำคัญยิ่งตามที่บ่งบอกไว้ชัดเจนในคัมภีร์คีตาบีอัคดัสที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ ในทุกท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่อายุ 21 ปีขึ้นไปประกาศตนเป็นบาไฮจำนวน 9 คนขึ้นไป จะต้องมีการก่อตั้งธรรมสภาทันที ทุกเรื่องในระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับศาสนาต้องนำมาให้ธรรมสภาโดยตรงทันทีเพื่อปรึกษาและตัดสินใจ?
?ได้รับการระบุว่าเป็นธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนเป็นชื่อที่ถาวรและตรงกว่าคือ สภายุติธรรม เป็นชื่อตามที่ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮประทานไว้ให้ จะต้องก่อตั้งในทุกเมืองและหมู่บ้านที่มีบาไฮผู้ใหญ่ 9 คนขึ้นไป และทำการเลือกตั้งโดยตรงทุกปีในวันแรกของเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยบาไฮผู้ใหญ่ทุกคนทั้งชายและหญิง?
สถานภาพของธรรมสภาและสมาชิกธรรมสภา
?มีความแตกต่างที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ควรระลึกไว้เสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ระหว่างธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบันและสมาชิกที่ประกอบกันเป็นธรรมสภา สมาชิกธรรมสภามิใช่เป็นผู้ที่ล้ำเลิศหรือได้รับการพิจารณาว่าสูงส่งกว่าบาไฮคนอื่นๆ เพราะว่าพวกเขามีข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์เหมือนกับบาไฮคนอื่นในชุมชน และฉะนั้นจึงต้องมีการเลือกตั้งทุกปี การมีการเลือกตั้งชี้บ่งว่า สมาชิกธรรมสภาแม้ว่าจะประกอบกันเป็นสถาบันที่สมบูรณ์เลิศจากสวรรค์ แต่ตัวพวกเขาเองนั้นไม่สมบูรณ์ แต่นี่มิได้หมายความวิจารณญาณของพวกเขาบกพร่อง เพราะตามที่พระอับดุลบาฮาทรงย้ำไว้ ธรรมสภาบาไฮอยู่ภายใต้การนำทางและการคุ้มครองของพระผู้เป็นเจ้า การเลือกตั้งทุกปีเปิดโอกาสให้ชุมชนแก้ไขข้อบกพร่องที่ทำให้ธรรมสภาติดขัด ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของสมาชิกธรรมสภา ดังนี้ วิธีที่ปลอดภัยจึงวางไว้เพื่อให้คุณภาพของสมาชิกภาพในธรรมสภาบาไฮปรับปรุงอยู่ตลอด แต่ตามที่กล่าวไว้แล้ว สถาบันธรรมสภาไม่ควรนำมาประเมินด้วยคุณวุฒิของสมาชิกแต่ละคนที่ประกอบกันเป็นธรรมสภา?
?ท่านดีใจมากที่รู้ว่า สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติเปลี่ยนหน้าไปในปีนี้ ซึ่งท่านมิได้เจาะจงสมาชิกคนใด เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี และทำให้การอภิปรายของธรรมสภาเปิดไปสู่แง่มุมใหม่ๆ?
?วันที่ยิ่งใหญ่จะมาถึง คือวันที่มิตรสหายที่เข้าและออกจากธรรมสภาจะเข้าใจความจริงที่ว่า ความสำคัญมิใช่อยู่ที่บุคคลใดในธรรมสภา แต่ที่สำคัญคือธรรมสภาคือสถาบัน?
บาไฮแต่ละคนแม้จะมีคุณวุฒิและคุณธรรมสูงส่งเพียงไรก็ยังมีข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์ที่ทำให้แต่ละคนมีข้อบกพร่องต่างกันไปมากบ้างน้อยบ้าง แต่ด้วยพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษยชาติในยุคนี้ เราจึงมีธรรมสภาท้องถิ่นตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ เป็นสถาบันที่ทำให้บาไฮที่ไม่สมบูรณ์สามารถรวมตัวกันเป็นความสมบูรณ์เลิศได้ อาจเปรียบบาไฮแต่ละคนเหมือนโมเลกุลของเหล็ก และธรรมสภาท้องถิ่นคือแม่เหล็ก แต่ละโมเลกุลของเหล็กไม่มีพลังอันใด แต่เมื่อโมเลกุลของเหล็กมารวมตัวกันเป็นแบบแผนที่กำหนดไว้ จึงเกิดพลังแม่เหล็ก เช่นกันเมื่อสมาชิก 9 คนประกอบกันขึ้นเป็นธรรมสภาและดำเนินกิจการด้วยความรักและสามัคคีเพื่อรับใช้ตามแบบแผนที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้ ธรรมสภานั้นจะมีพลังอำนาจ และเป็นสถาบันของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์สำหรับโลกยุคใหม่โดยแท้จริง ความสำคัญมิได้อยู่ที่สมาชิกคนใดในธรรมสภา แต่อยู่ที่สถาบันธรรมสภา โมเลกุลใดของเหล็กก็ตาม เมื่อรวมตัวกันตามแบบแผนก็เกิดพลังแม่เหล็ก บาไฮคนใดก็ตามเมื่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภาก็ทำให้ธรรมสภานั้นมีพลังอำนาจได้ ดังนั้นสมาชิกธรรมสภาที่เปลี่ยนหน้าไปในแต่ละปีจึงมิใช่เรื่องแปลก แต่ไม่ควรเข้าใจว่า บาไฮควรลงคะแนนเลือกตั้งเพียงเพื่อขอให้ได้เปลี่ยนหน้าสมาชิกธรรมสภา การเปลี่ยนหน้าสมาชิกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เกณฑ์การเลือกผู้ที่จะเป็นสมาชิกธรรมสภาต้องยึดถือตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ระบุไว้ข้างล่างนี้
บาไฮที่ไม่ว่าจะด้อยความรู้ ด้อยประสบการณ์ หรือต่ำต้อยเพียงไหน เมื่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภา ไม่ควรท้อใจแต่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความมั่นใจ
?หากเราพินิจดูคุณสมบัติที่สูงส่งของสมาชิกธรรมสภาบาไฮเราจะรู้สึกไม่คู่ควรและท้อใจ แต่ด้วยความอุ่นใจที่ว่า ถ้าเราลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่อย่างประเสริฐแล้วข้อบกพร่องทุกอย่างในชีวิตของเราจะได้รับการชดเชยโดยพลังที่เหนือกว่าของพระกรุณาและอานุภาพของพระองค์ ดังนั้นเป็นหน้าที่ที่จะพิจารณาโดยปราศจากกิเลสหรืออคติ แม้เพียงน้อยที่สุด และไม่คำนึงถึงสถานภาพทางวัตถุแล้วเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้สมบูรณ์สุดคือ มีความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อสงสัย มีความอุทิศอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่ฝึกฝนมาดี มีความสามรถอันเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์?
แม้ว่าสภายุติธรรมสากลเท่านั้นที่ได้รับการประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด แต่ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่นก็ได้รับการประกันว่า พระบาฮาอุลลาห์คอยนำทางพวกเขาอยู่ และหากเกิดความผิดพลาด ความผิดครั้งนั้นจะถูกแก้ให้เป็นถูกหากสมาชิกธรรมสภายังสามัคคีปรองดองกัน บาไฮควรตระหนักว่า การเลือกตั้งธรรมสภาขึ้นมานั้นมิได้หมายความว่าธรรมสภานั้นจะมีพลังอำนาจโดยอัตโนมัติ ธรรมสภาจะมีอานุภาพสวรรค์แค่ไหนขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของสมาชิกธรรมสภา หากสมาชิกธรรมสภาขัดแย้งกันไม่สามัคคีกัน ธรรมสภานั้นจะกลายเป็นความว่างเปล่า
?พระบาฮาอุลลาห์ทรงสัญญาไว้ว่า ในทุกธรรมสภาที่มีความสามัคคีปรองดอง พระวิญญาณที่รุ่งโรจน์ของพระองค์จะไม่เพียงอยู่กับธรรมสภาเท่านั้น แต่จะกระตุ้น ค้ำจุนและนำทางมิตรสหายทุกคนในการปรึกษาหารือ?
?หากพวกเขาเห็นพ้องกันในเรื่องหนึ่งถึงแม้ว่าจะผิดก็ยังดีกว่าขัดแย้งกันและอยู่ฝ่ายถูก เพราะความขัดแย้งนี้จะทำลายรากฐานสวรรค์ แม้ว่าคนหนึ่งในกลุ่มจะถูกแต่ถ้าพวกเขาขัดแย้งกัน จะเป็นเหตุของความผิดอีกพันอย่าง แต่ถ้าพวกเขาเห็นพ้องกันและทั้งสองฝ่ายผิดด้วยกัน ความจริงจะเปิดเผยออกมาและสิ่งที่ผิดจะถูกแก้ให้เป็นถูก เพราะยังสามัคคีกันอยู่?
บาไฮที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกธรรมสภาต้องตระหนักว่าเขาได้รับเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้าให้รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ บาไฮควรยินดีและจะปฏิเสธโดยขอลาออกจากธรรมสภามิได้ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ เช่น ป่วยเรื้อรัง หรือย้ายถิ่นฐานออกน้องพื้นที่ การเป็นสมาชิกธรรมสภา บาไฮจะได้พัฒนาตนเองและพัฒนาระบบบริหารบาไฮไปพร้อมกันเพื่อเป็นแบบแผนสังคมใหม่สำหรับโลกอนาคต
?เกี่ยวกับปัญหาที่ว่า บาไฮบางคนไม่ยอมรับการถูกเลือกตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งบริหาร ท่านศาสนภิบาลคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์ การต่อต้านหรือความสับสน มิใช่เหตุผลเพียงพอสำหรับการไม่ยอมรับหรือลาออก เฉพาะในรายที่เสื่อมสมรรถภาพทางจิตใจหรือร่างกายเท่านั้นซึ่งมีน้อยรายมาก จึงจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอ ความลำบากและการทดสอบในการยมรับตำแหน่งบริหาร ไม่ควรชักนำให้บาไฮแยกตัวออกจากงานของศาสนาแต่ควรทำให้เขาพยายามมากยิ่งขึ้น และมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นมากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ชุมชนบาไฮเผชิญอยู่ เฉพาะในรายที่ไม่ฟังคำเตือน คำวิงวอนและคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากธรรมสภาอย่างจงใจโดยไม่มีเหตุผลสมควร จึงจะมีการตัดเขาออกจากรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง?
?สมาชิกธรรมสภาที่ขาดประชุมมาเป็นเวลานาน ธรรมสภาควรนำมาพิจารณาแต่ละกรณี และหากเห็นได้ว่า บุคคลนั้นไม่ต้องการมาร่วมประชุมหรือมาประชุมไม่ได้อย่างไม่มีกำหนดเวลา เพราะว่าป่วยหรือปัญหาการเดินทาง เมื่อนั้นจึงมีการประกาศตำแหน่งที่ว่างลงได้อย่างสมเหตุสมผล และทำการเลือกตั้งสมาชิกใหม่?
?ความขัดแย้งส่วนตัวในหมู่สมาชิกธรรมสภา ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอสำหรับการลาออกหรือไม่มาประชุม?
?ความขัดแย้งกันในธรรมสภาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลาออกหรือไม่มาประชุมธรรมสภา?
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกธรรมสภา
?สมาชิกของธรรมสภาเหล่านี้ต้องไม่คำนึงถึงว่า ตนชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่คิดถึงประโยชน์และค่านิยมของตน และตรึกตรองมาตรการต่างๆ ที่จะนำความผาสุกและความสุขมาสู่ชุมชนบาไฮ และส่งเสริมความผาสุกของส่วนรวม?
?เป็นที่ชัดเจนว่านอกเสียจากว่า สมาชิกธรรมสภาจะสามารถเข้าร่วมประชุมอย่างสม่ำเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้แทนของชุมชน การเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นรวมความถึง ข้อผูกพันและความสามารถที่จะรับทราบกิจกรรมบาไฮต่างๆในท้องถิ่น และเข้าร่วมประชุมธรรมสภาอย่างสม่ำเสมอ?
สมาชิกธรรมสภาแต่ละคนมิได้มีสิทธิอะไรพิเศษไปกว่าบาไฮคนอื่นๆ ในชุมชน แต่มีบทบาทในการติดตามกิจกรรมดูแลความเป็นอยู่ของชุมชนบาไฮ เพื่อหามาตรการที่จะนำไปสู่ความผาสุกและความเจริญก้าวหน้า ธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบันต้องถือว่า สมาชิกธรรมสภาก็เป็นเหมือนบาไฮคนหนึ่งในชุมชนที่ธรรมสภาต้องปกป้องดูแล ไม่ปกป้องคนผิดอย่างในระบบโลกเก่าที่ปกป้องคนในสมาคมเดียวกัน อาชีพเดียวกัน ฯลฯ แม้ว่าจะเป็นคนผิด
?ตามทฤษฎีแล้ว เป็นไปได้ที่สมาชิกคนหนึ่งในธรรมสภาอาจไม่คู่ควรหรือไม่จริงใจ เจตคติที่ว่า การติเตียนหรือกล่าวหาสมาชิกธรรมสภาคนหนึ่ง คือการกล่าวหาทั้งธรรมสภา เป็นเจตคติที่ผิดทีเดียว ธรรมสภาต้องปกป้องศาสนา และต้องไม่กล่าวหาหรือปกป้องสมาชิกธรรมสภาคนใดอย่างตาบอด?
บาไฮตระหนักดีว่า กุญแจสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาของโลกคือ ความสามัคคีของมวลมนุษยชาติ และเป็นไปไม่ได้ที่ความแตกแยกของมนุษยชาติจะเปลี่ยนเป็นความสามัคคีได้นอกจากอาศัยพระวิญญาณที่บาฮาอุลลาห์หายใจมาบนโลกในยุคนี้ ดังนั้นงานสำคัญก่อนอื่นใดของธรรมสภาคือการสอนศาสนาเพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสอานุภาพธรรมของศาสนาบาไฮที่จะทำให้พวกเขาสามัคคีกันได้
?ในระหว่างการประชุม เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะสนทนากันในนามของคนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับกิจการและประโยชน์ของสาธารณชน ตัวอย่างเช่น การสอนศาสนาต้องมาก่อน เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงจะได้เข้ามาในปะรำแห่งความสามัคคี และประชนทั้งปวงบนโลกจะได้รับการพิจารณาเป็นประหนึ่งร่างกายเดียวกัน?
ระบบบริหารบาไฮมีวัตถุประสงค์สองประการ คือ การขยายศาสนาให้เป็นที่รู้จักยอมรับ และ การสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นในชุมชน ความรับผิดชอบของสมาชิกธรรมสภาจึงมีขอบเขตกว้างมาก ซึ่งธรรมสภาจะทำหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นตามที่ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์เติบโตมากขึ้น
?ในเรื่องแนวทาง วิธีการและการขยายการสอนศาสนาและสานต่อให้เป็นปึกแผ่น แม้ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อศาสนาแต่ก็มิได้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ควรได้รับการเอาใจใส่จากธรรมสภาเหล่านี้ การศึกษาธรรมจารึกของพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮาอย่างรอบคอบ เปิดเผยให้เห็นว่าหน้าที่อื่นๆ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันตกอยู่กับผู้แทนที่ได้รับเลือกในทุกท้องถิ่น
เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะตื่นตัว ระมัดระวัง รอบคอบ คอยสอดส่องและปกป้องศาสนาให้พ้นจากผู้คิดร้ายและการโจมตีของศัตรู
พวกเขาต้องพยายามส่งเสริมมิตรภาพและความปรองดองในหมู่มิตรสหาย ลบร่องรอยของความระแวง ความเย็นชาและหมางเมินออกไปจากหัวใจ และแทนที่ด้วยความร่วมมือกันอย่างแข็งขันสุดหัวใจ เพื่อรับใช้ศาสนา
พวกเขาต้องพยายามเต็มที่ในทุกเวลาเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ เจ็บป่วย คนพิการ เด็กกำพร้า หญิงหม้าย โดยไม่คำนึงถือสีผิว ชนชั้นหรือความเชื่อ
พวกเขาต้องส่งเสริมทุกวิถีทางที่ทำได้ เพื่อความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจของเยาวชน จัดการศึกษาของเด็ก การอบรม และสถาบันการศึกษาบาไฮเมื่อเป็นไปได้บริหารงานและหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความก้าวหน้าและพัฒนาการของกิจการเหล่านี้
พวกเขาต้องจัดให้มีการพบปะของมิตรสหายอย่างสม่ำเสมอ จัดให้มีงานฉลองบุญและวันสำคัญประจำปี รวมทั้งการชุมนุมพิเศษที่จัดเพื่อส่งเสริมความเจริญทางด้านสังคม สติปัญญาและจิตใจของเพื่อนมนุษย์
เหล่านี้คือหน้าที่ที่สำคัญของสมาชิกธรรมสภาทุกแห่ง?
ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน
1.บาไฮต้องเชื่อฟังธรรมสภา
?หลักการหนึ่งที่เป็นรากฐานของระบบบริหารของเราที่เราต้องจำไว้ว่าจะกลายเป็นแบบแผนระบบแห่งโลกของเราคือ แม้ว่าธรรมสภาจะตัดสินใจไม่ค่อยเหมาะสม คำตัดสินใจนั้นต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อรักษาความสามัคคีของชุมชน คำตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่นสามารถนำไปอุธรณ์กับธรรมสภาแห่งชาติได้…แต่อำนาจของสถาบันที่เลือกตั้งขึ้นมาต้องได้รับการค้ำจุน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้โดยไม่ผ่านความยากลำบากและการทดสอบ?
?ธรรมสภาอาจทำผิดพลาด แต่ตามที่พระอับดุลบาฮาชี้แจงไว้ หากชุมชนหรือบาไฮคนใดไม่ยึดถือคำตัดสินใจของธรรมสภา ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะเป็นการบั่นทอนสถาบันที่ควรจะเจริญขึ้นเพื่อค้ำจุนหลักธรรมและกฏของศาสนาท่านบอกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าจะแก้สิ่งที่ผิดที่ทำไปแล้วให้กลายเป็นถูก เราต้องมั่นใจในสิ่งนี้และเชื่อฟังธรรมสภา ดังนั้น ท่านขอร้องให้คุณทำงานอยู่ภายใต้ธรรมสภา ยอมรับความผิดชอบในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีสิทธิออกเสียง และพยายามเต็มที่เพื่อความปรองดองในชุมชน?
แม้ไม่ต้องคิดลึกไปถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าจะแก้ผิดให้เป็นถูกได้อย่างไร เราก็พอเข้าใจได้ไม่ยากถึงผลดีของการเชื่อฟังธรรมสภาแม้ว่าบาไฮจะไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าธรรมสภาตัดสินใจผิด หากบาไฮบางคนไม่เห็นด้วยแล้วไม่ทำตามคำตัดสินของธรรมสภา สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นข้อโต้แย้งต่อไปไม่รู้จบเพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่ถ้าหากบาไฮทุกคนปฏิบัติตามคำตัดสินของธรรมสภาแล้ว และพบว่าผิด ก็จะไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป ทุกคนจะยอมรับว่าผิด และสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้องได้ แต่พึงระลึกไว้ว่า ผู้ที่คิดถูกแต่แรกต้องไม่ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาต่อว่ากัน
ดังนั้นบาไฮต้องเชื่อฟังธรรมสภาอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์เพื่อเห็นแก่ความก้าวหน้าและความสามัคคีของชุมชน การเชื่อฟังนี้มิได้หมายความว่า บาไฮหมดอิสระในการแสดงความคิดเห็นในทางตรงข้าม บาไฮมีสิทธิที่จะติชมสมาชิกธรรมสภาและการทำงานของธรรมสภา แต่การติชมนี้ควรพูดกับธรรมสภาโดยตรงมิใข่เอามาพูดกันเองเป็นการส่วนตัว ซึ่งจะกลายเป็นการนินทาและไม่สร้างสรรค์
?สิ่งที่พระอับดุลบาฮาต้องการปกป้องมิตรสหายคือ ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทยืดเยื้อและความหัวดื้อ บาไฮสามารถถามธรรมสภาว่า ทำไมจึงตัดสินใจเช่นนั้น และขอให้ธรรมสภาพิจารณาใหม่ด้วยความสุภาพ แต่เขาต้องพอแค่นั้น และไม่ก่อกวนกิจการในท้องถิ่นโดยยืนกรานในทรรศนะของตน สิ่งนี้ใช้กับสมาชิกธรรมสภาด้วยเช่นกัน เราทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและคิดต่างกัน แต่บาไฮต้องยอมรับคำตัดสินตามเสียงส่วนใหญ่ของธรรมสภา โดยตระหนักว่า การยอมรับและความปรองดองแม้ว่าจะมีความผิดพลาดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และเมื่อเรารับใช้ศาสนาอย่างเหมาะสมด้วยวิธีบาไฮ พระผู้เป็นเจ้าจะแก้สิ่งผิดที่ทำไปแล้วให้กลายเป็นถูกในที่สุด?
?บาไฮมีสิทธิที่จะติชม แสดงทรรศนะของตนเกี่ยวกับนโยบายหรือสมาชิกธรรมสภาแต่ละคนให้ธรรมสภารับทราบทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ แต่จากนั้นแล้วบาไฮต้องยอมรับคำแนะนำหรือคำตัดสินใจของธรรมสภาอย่างจริงใจ ตามหลักการที่วางไว้สำหรับเรื่องนั้นๆ ในระบบบริหารบาไฮ?
2.บาไฮควรเข้าหาธรรมสภา
?สถาบันเหล่านี้มีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการช่วยเหลือ แนะนำ ปกป้องและนำทางบาไฮในทุกวิถีทางที่ทำได้เมื่อบาไฮขอร้อง ที่จริงแล้วสถาบันเหล่านี้สถาปนาขึ้นเพื่อรักษาระเบียบและความสามัคคีและการเชื่อฟังกฎของพระผู้เป็นเจ้า คุณควรไปหาสถาบันเหล่านี้เหมือนลูกไปหาพ่อแม่?
?บาไฮควรเรียนรู้ที่จะเข้าหาธรรมสภาให้บ่อยยิ่งขึ้น เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือและควรมาแต่เนิ่นๆ ในทางกลับกัน ธรรมสภาควรตื่นตัวและสำนึกในความรับผิดชอบต่อชุมชนมากขึ้นเกี่ยวกับทุกสถานการณ์ที่อาจทำให้เกียรติของศาสนาเสียหายในสายตาของสาธารณชน เมื่อธรรมสภาตัดสินใจแล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์และเต็มใจ?
?ท่านรู้สึกสลดใจที่มิตรสหายไม่ประพฤติตัวตามระบบบริหาร แทนที่จะนำคำกล่าวหา ปัญหาและความทุกข์มาให้ธรรมสภาท้องถิ่นหรือธรรมสภาแห่งชาติพิจารณา พวกเขากลับนำไปพูดกับบาไฮบางคนหรือสมาชิกธรรมสภาบางคนหรือไม่ยอมเข้าพบธรรมสภา ประการแรกที่บาไฮควรทำคือเข้าหาธรรมสภา นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงมีธรรมสภา ท่านคิดว่าความยุ่งยากนี้จะไม่เกิดขึ้นหากบาไฮใช้ธรรมสภาให้เป็นประโยชน์ตามที่ควร?
?เกี่ยวกับการปรึกษาหารือ ทุกคนสามารถเสนอเรื่องให้ธรรมสภาเพื่อปรึกษาหารือ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ในเรื่องที่มีผลกระทบต่อศาสนา หากธรรมสภาถือว่าจำเป็น ธรรมสภาควรเข้าไปจัดการแม้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเพราะเจตนาของธรรมสภาคือการปกป้องศาสนา ปกป้องชุมชนและบาไฮแต่ละคน?
3.ธรรมสภาและบาไฮควรปรึกษาและร่วมมือกัน
?เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะไม่ดำเนินการโดยไม่ปรึกษากับธรรมสภา และพวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของธรรมสภาด้วยหัวใจและวิญญาณและยอมจำนนต่อคำสั่งนั้น เพื่อว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นระเบียบเหมาะสมและจัดแจงอย่างดี มิฉะนั้นแล้วทุกคนจะกระทำตามวิจารณญาณตนเองโดยไม่ขึ้นกับใคร ทำตามความต้องการของตนเองและเป็นผลร้ายต่อศาสนา?
?ไม่มีงานใดที่จำเป็นและรีบด่วนไปกว่าการรับประกันความปรองดองและมิตรภาพอันสมบูรณ์ในหมู่มิตรสหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน ธรรมสภาท้องถิ่นควรทำให้บาไฮมั่นใจในสถาบัน และในทางกลับกันบาไฮควรแสดงความพร้อมที่จะยึดถือตามคำตัดสินใจและคำแนะนำของธรรมสภา ทั้งสองฝ่ายจะต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันและตระหนักว่า โดยการร่วมมือนี้เท่านั้นที่สถาบันของศาสนาจึงจะปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและถาวร แม้ว่าการเชื่อฟังธรรมสภาท้องถิ่นควรเป็นไปอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์ ธรรมสภาก็ควรอำนวยการในลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเผด็จการ พลังชีวิตของศาสนาคือการร่วมมือกัน มิใช่เผด็จการ?
?จุดหมายอันสูงส่งและแรงจูงใจที่บริสุทธิ์แม้ว่าจะน่าสรรเสริญเพียงไรย่อมไม่เพียงพอแน่นอน หากไม่ได้รับการค้ำจุนด้วยมาตรการที่ปฏิบัติได้และวิธีที่เหมาะสม ความปรารถนาอันแรงกล้า ไมตรีจิตและความพยายามอันเหลือล้น จะมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยหากเราไม่รู้จักแยกแยะและควบคุม และละเลยที่จะกำกับสิ่งเหล่านี้ให้ไปตามช่องทางที่มีประโยชน์ที่สุด อิสรภาพของบุคคลควรสมดุลกับการปรึกษาหารือและความเสียสละ การริเริ่มและความบากบั่นนั้นควรเสริมด้วยความสำนึกในความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการร่วมมือกันและอุทิศต่อความผาสุกส่วนรวม?
?รากฐานของระบบบริหารบาไฮคือหลักการของเอกภาพในความหลากหลาย ซึ่งเน้นย้ำอย่างหนักแน่นอยู่ในธรรมนิพนธ์ ข้อคิดเห็นที่แตกต่างที่ไม่สำคัญและไม่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาควรค้ำจุนไว้ แต่ความสามัคคีที่เป็นรากฐานของระบบบริหารควรรักษาและรับประกันไว้ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ความสามัคคีในทั้งจุดประสงค์และวิธีการที่จริงแล้วขาดไม่ได้สำหรับกาทำงานที่รวดเร็วและปลอดภัยของทุกธรรมสภา ไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ?
4.ธรรมสภาสนับสนุนบาไฮ มิใช่บงการ
?คุณสมบัติประการแรกของความเป็นผู้นำสำหรับแต่ละบุคคลและธรรมสภาคือ การใช้พลังงานและความสามารถที่มีอยู่ในบาไฮทั้งหลาย มิฉะนั้นสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถกว่าจะออกไปหางานอื่นทำที่เขาสามารถใช้พลังงานของตนได้ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ หวังว่า ธรรมสภาจะพยายามวางแผนกิจกรรมการสอนศาสนาที่ทำให้บาไฮทุกคนไม่ว่าง?
?ไม่ว่าผู้แทนระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติของชุมชน ไม่ว่าจะมีแผนงานที่ประณีต ยืนหยัด วิงวอน หรือมีคำแนะนำที่หลักแหลมเพียงไร แม้แต่ท่านศาสนภิบาลเอง ถึงแม้ว่าท่านจะปรารถนาความสมบูรณ์เลิศนี้ ก็ไม่สามารถตัดสินว่า บาไฮแต่ละคนมีหน้าที่อะไร หรือมอบให้เขาปฏิบัติงานนั้น บาไฮแต่ละคนเท่านั้นที่ต้องประเมินคุณสมบัติของตัวเอง ใช้มโนธรรมตรึกตรอง พิจารณาทุกแง่ด้วยจิตอธิษฐาน ต่อสู้กับแรงเฉื่อยตามธรรมชาติที่ถ่วงความพยายามของตน ในการลุกขึ้นสลัดความยึดมั่นผูกพันเกินไปกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระที่ฉุดตนไว้ สลัดความคิดทุกอย่างที่มีแนวโน้มจะกีดขวางหนทางของตน?
?เกี่ยวกับหลักการที่ว่า ศาสนาต้องไม่รวมจุดมาที่บาไฮคนใด ท่านศาสนภิบาลต้องการชี้แจงให้เห็นชัดว่า หลักการนี้มิได้หมายความว่า ครูบาไฮที่มีคุณวุฒิไม่ควรได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากธรรมสภาท้องถิ่นให้พูดต่อสาธารณชน ท่านศาสนภิบาลหมายความว่า ชื่อเสียงและความเป็นที่นิยมของบาไฮที่เป็นนักพูดไม่ควรบดบังอำนาจ หรือลดทอนอิทธิพลของธรรมสภาในทุกท้องถิ่น บาไฮผู้นั้นไม่ควรแต่เพียงขออนุญาตคำแนะนำและการช่วยเหลือจากสถาบันที่เป็นตัวแทนของศาสนาในท้องถิ่นของตนเท่านั้น แต่ควรอ้างอิงชื่อเสียงที่ได้รับมาที่ปรีชาสามารถของธรรมสภาที่รับผิดชอบพื้นที่นั้น ธรรมสภา มิใช่บุคคล ที่เป็นรากฐานของระบบบริหาร ทุกสิ่งต้องเป็นรอง รับใช้และส่งเสริมประโยชน์สูงสุดของธรรมสภาผู้อารักขาและส่งเสริมกฎของพระบาฮาอุลลาห์?
?ขอให้เราระลึกไว้ว่า หลักการของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่การบงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก ไม่มีสิ่งใดที่ไร้พลังชีวิตของบาไฮที่สามารถประสานหลักการของความปรานีและความยุติธรรม อิสรภาพและการยอมจำนน สิทธิส่วนบุคคลและการสละความปรารถนาของตน ความตื่นตัวและสุขุมรอบคอบในด้านหนึ่ง มิตรภาพ น้ำใสใจจริงและความกล้าหาญในอีกด้านหนึ่ง
หน้าที่ของผู้ที่เป็นมิตรสหายใช้มโนธรรมเลือกขึ้นมาเป็นผู้แทนนั้น สำคัญและผูกมัดไม่น้อยกว่าหน้าที่ของผู้ที่เป็นฝ่ายเลือก หน้าที่ของพวกเขามิใช่บงการแต่เป็นการปรึกษาหารือ และมิใช่ปรึกษาหารือเฉพาะพวกเขาเองเท่านั้น แต่ปรึกษาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้กับมิตรสหายที่พวกเขาเป็นตัวแทนอยู่ พวกเขาต้องไม่พิจารณาว่าตนเองเป็นอื่นใด นอกจากเครื่องมือที่ได้รับเลือกเพื่อแสดงศาสนาต่อสาธารณชนอย่างมีประสิทธิภาพและสมเกียรติ พวกเขาไม่ควรคิดว่าตนคือหัวใจสำคัญของศาสนา มีคุณค่าและความสามรารถเหนือกว่าผู้อื่น เป็นผู้ส่งเสริมคำสอนและหลักธรรมของศาสนาแต่เพียงผู้เดียว พวกเขาควรดำเนินงานด้วยความถ่อมตัวที่สุด ด้วยความอุตสาหะ ใจกว้าง สำนึกในความยุติธรรมและหน้าที่ น้ำใสใจจริง เจียมตัว อุทิศตนต่อความผาสุกและประโยชน์ของมิตรสหาย ศาสนาและมนุษยชาติ เพื่อให้บรรดาผู้ที่พวกเขารับใช้ไม่เพียงแต่มีความมั่นใจ สนับสนุนและนับถือพวกเขาอย่างจริงใจเท่านั้น แต่ยังยกย่องและรักใคร่พวกเขาอย่างแท้จริงด้วย ทุกเวลาพวกเขาต้องหลีกเลี่ยงความถือตัว ลับลมคมในและการวางมาดข่ม ปรึกษาหารือโดยปราศจากอคติและกิเลสทุกรูปแบบ พวกเขาควรเชื่อใจมิตรสหายตามขอบเขตที่เหมาะสม ให้มิตรสหายรับทราบแผนงาน ปัญหาและความวิตกและขอคำแนะนำปรึกษาจากมิตรสหาย?
แบบแผนสำหรับสังคมในอนาคต
การสร้างแบบแผนสังคมสำหรับโลกยุคใหม่โดยอาศัยระบบการเลือกตั้งและบริหารงานของธรรมสภา จำเป็นที่บาไฮแต่ละคนต้องพัฒนาคุณธรรมและความสามรถควบคู่กันไปด้วย เพราะแบบแผนสังคมที่บาไฮกำลังก่อสร้างอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมที่รับประกันว่า พลังงานและความสามารถของสมาชิกในชุมชนจะถูกปลดปล่อยไปในทางที่สร้างสรรค์
การรู้จักข่มอัตตาของตนเองโดยการเชื่อฟังธรรมสภาถึงแม้บางครั้งตนจะไม่เห็นด้วย เชื่อฟังอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์โดยไม่นินทาหรือยุยงปลุกปั่นผู้อื่น เพื่อเห็นแก่ความสามัคคีและก้าวหน้าในชุมชน เป็นการเชื่อฟังที่ไม่เสื่อมลงไปเป็นความเฉื่อยชาไม่รู้จักคิดอ่าน แต่มีความริเริ่มอย่างอิสระที่ไม่เลยเถิด ด้วยความตระหนักว่า ความริเริ่มส่วนบุคคลต้องได้รับการค้ำจุนโดยการปรึกษาหารือและร่วมมือกันอย่างกระตือรือร้น และดังนั้นความสำเร็จที่ได้มาจึงมิได้มีไว้ให้เชิดชูบาไฮคนใดให้ลำพองใจ แต่ความสำเร็จนั้นจะตกอยู่กับธรรมสภาซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับบาไฮคนไหนที่หมุนเวียนกันมารับใช้ในสถาบันนี้
สมาชิกธรรมสภาแม้จะอยู่ในบทบาทของผู้ปกครอง อยู่ในสถาบันที่บาไฮในชุมชนต้องเชื่อฟัง ก็ต้องระลึกอยู่เสมอว่าระบบบริหารบาไฮนั้น ?มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตนมิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก? อันเป็นลักษณะของผู้นำของโลกยุคใหม่ที่ตระหนักว่าความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าของสังคมขึ้นอยู่กับความริเริ่มและความพยายามของแต่ละบุคคลในสังคมเป็นสำคัญ และดังนั้นบทบาทของผู้นำคือการกระตุ้นให้กำลังใจและสนับสนุนแต่ละบุคคลในชุมชน ให้ใช้ความสามารถและพรสวรรค์ของตนให้เป็นประโยชน์ที่สุด เป็นความรับผิดชอบที่ท้าทายเป็นพิเศษสำหรับสมาชิกธรรมสภาที่จะเรียนรู้เพื่อจะนำทางและอำนวยการด้านความสุขุมรอบคอบ พร้อมกับถ่อมตัวและใจกว้างในเวลาเดียวกัน นับเป็นความเสียสละโดยแท้จริงที่สมาชิกธรรมสภาในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ก็ไม่มีอำนาจหรือสิทธิพิเศษอันใดเหนือบาไฮคนอื่นในชุมชน แต่ต้องรับภาระเพื่อความผาสุกและความก้าวหน้าของชุมชน
ตัวอย่างหนึ่งอันน่าตื้นตันใจเห็นได้จากสมาชิกสภายุติธรรมสากล เมื่อครั้งสงครามระหว่างพันธมิตรกับอิรักในเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ที่อิรักไม่ยอมถอนทหารจากคูเวตอีกทั้งยังยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล ทำให้เกิดภาวะขาดแขลนอาหารในอิสราเอล ศูนย์กลางบาไฮแห่งโลกที่เมืองไฮฟ่าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย บาไฮที่นั่นจำเป็นต้องแบ่งปันอาหารกันในภาวะสงครามนี้ และสมาชิกสภายุติธรรมสากลคือบุคคลสุดท้ายที่รับอาหาร โดยให้บาไฮคนอื่นๆ รับอาหารก่อน
ดังนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐและท้าทายอย่างยิ่งสำหรับบาไฮที่จะพัฒนาธรรมสภาท้องถิ่น ก่อสร้างระบบบริหารและแบบแผนสังคมใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยความมั่นใจว่าพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์มีอานุภาพสร้างสวรรค์ และฉะนั้นระบบแห่งโลกใหม่ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์จะบังเกิดขึ้นเป็นจริงแน่นอน
?มีวิธีการรักษาเดียวเท่านั้นสำหรับเรื่องนี้ คือการศึกษาระบบบริหาร เชื่อฟังธรรมสภา และบาไฮแต่ละคนพยายามปรับปรุงอุปนิสัยใจคอของตนให้เป็นบาไฮที่สมบูรณ์ เราไม่สามารถโน้มน้าวคนอื่นได้ดังที่เราโน้มน้าวตัวเราเอง หากเราดีกว่า หากเราแสดงความรัก ความอดทน เข้าใจความอ่อนแอของผู้อื่น หากเราพยายามไม่ติเตียนแต่ให้กำลังใจ ผู้อื่นจะทำตาม และเราจะสามารถช่วยศาสนาได้โดยตัวอย่างและคุณธรรมของเรา ทุกแห่งหนเมื่อมีการก่อตั้งระบบบริหารเป็นครั้งแรก บาไฮจะรู้สึกว่ายากที่จะปรับตัว บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแม้ว่าธรรมสภาจะเป็นฝ่ายผิด เพื่อเห็นแก่ความสามัคคี บาไฮต้องสละอุปนิสัยส่วนตัวในระดับหนึ่ง เพื่อให้ชีวิตชุมชนเติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ยากมากแต่เราต้องตระหนักว่า นี้จะนำเราไปสู่แนวทางชีวิตที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์เลิศยิ่งขึ้น เมื่อศาสนาได้รับการสถาปนาอย่างเหมาะสมตามระบบบริหาร?
?ท่านศาสนภิบาลทราบดีอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ความบกพร่องมีอยู่ในกลไกบริหารของศาสนา แต่ท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่มีสาเหตุมาจากระบบบริหาร แต่มาจากผู้บริหารศาสนา ผู้ซึ่งมีข้อจำกัดและความบกพร่องของความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขตามอุดมการณ์ทั้งหมดที่อยู่ในคำสอน อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องจำนวนมากที่มีอยู่ในกิจกรรมของบาไฮในปัจจุบันจะถูกขจัดไปทีละน้อยเมื่อชุมชนพัฒนาและมีประสบการณ์มากขึ้น และจะมีความแข็งขันและก้าวหน้ามากขึ้น และเพื่อบรรลุจุดประสงค์อันประเสริฐนี้ที่มิตรสหายควรสามัคคีพยายามอย่างกระตือรือร้น?
?มิตรสหายทั้งหลายต้องไม่เข้าใจผิดว่า ระบบบริหารบาไฮเป็นสิ่งที่สิ้นสุดในตัวเอง ระบบบริหารเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับปลดปล่อยพลังของศาสนา ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้าเปิดเผยให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง ออกแบบไว้ให้เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติและหนทางเดียวที่จะทำได้คือการปฏิรูปชีวิตชุมชนของมนุษย์และฟื้นฟูชีวิตของแต่ละบุคคล ระบบบริหารบาไฮเป็นเพียงเริ่มต้นของการจัดแบบแผนใหม่ของชีวิตสังคมและกฎของการดำเนินชีวิตชุมชนในอนาคต ตราบจนถึงบัดนี้บาไฮเพียงกำลังเริ่มต้นเข้าใจและปฏิบัติตามให้เหมาะสม ดังนั้นต้องมีความอดทนถ้าบางครั้งการทำงานดูเหมือนเข้มงวดและประหม่าเล็กน้อย เป็นเพราะว่าเรากำลังเรียนรู้สิ่งที่ยากมากแต่น่าพิศวงยิ่งคือการอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นชุมชนบาไฮตามคำสอนอันรุ่งโรจน์?
?เป็นความจริงเช่นเดียวกันกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ศาสนาบาไฮต้องประสบอุปสรรคและความยุ่งยากที่คาดไม่ถึง แต่ที่ต่างกับองค์กรอื่นๆ ของมนุษย์คือ ศาสนาบาไฮดลบันดาลพลังแห่งความศรัทธาและความอุทิศที่จะชักนำเราให้พยายามอย่างจริงใจอยู่เสมอ เพื่อเผชิญกับความยุ่งยากเหล่านี้ และสมานความขัดแย้งที่อาจจะต้องเกิดขึ้น?
?ธรรมสภาเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกป้องธรรมสภาคือพระอับดุลบาฮา พระองค์ทรงโอบแขนคุ้มครองธรรมสภา มีพรใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหรือ ธรรมสภาเหล่านี้คือตะเกียงที่สว่างไสว คืออุทยานสวรรค์ที่โชยสุคนธรสแห่งความวิสุทธ์ไปทั่วทุกภูมิภาค และสาดรัศมีแห่งความรู้ไปยังทุกสรรพสิ่ง พลังชีวิตจากธรรมสภาเหล่านี้หลั่งไหลไปทุกทิศทาง ที่จริงแล้วธรรมสภาเหล่านี้คือบ่อเกิดความก้าวหน้าของมนุษย์ในทุกเวลาและทุกสภาพการณ์?
?เมื่อระบบบริหารบาไฮขยายออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นหน้าที่ของทุกคนที่สัมพันธ์กับศาสนาที่จะต้องทำความคุ้นเคยกับหลักธรรม ทำความเข้าใจความหมาย และนำบัญญัติมาปฏิบัติต่อเมื่อสมาชิกแต่ละคนของธรรมสภาท้องถิ่นศึกษาให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักธรรมมูลฐานของศาสนา และการประยุกต์ใช้หลักการปฏิบัติงานของธรรมสภาอย่างเหมาะสม สถาบันนี้จึงจะเติบโตและพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุด?
?สถาบันที่บัญญัติโดยพระผู้เป็นเจ้าคือธรรมสภาท้องถิ่นปฏิบัติการในระดับพื้นฐานของสังคมมนุษย์ และเป็นหน่วยบริหารพื้นฐานของระบบบริหารแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเกี่ยวพันกับบุคคลและครอบครัวที่ธรรมสภานั้นต้องให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาสามัคคีกันในสังคมบาไฮที่ไม่มีใครเหมือนซึ่งได้รับชีวิตและการปกป้องโดยกฎ บัญญัติและหลักธรรมของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ ธรรมสภาท้องถิ่นคุ้มครองศาสนาของพระองค์ ปฏิบัติงานประหนึ่งเป็นผู้เลี้ยงแกะที่รักใคร่ฝูงแกะบาไฮ
บาไฮได้รับการเรียกร้องให้สนับสนุนและร่วมมืออย่างสุดหัวใจกับธรรมสภาท้องถิ่น ประการแรกโดยการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกธรรมสภา และต่อมาโดยการติดตามแผนงานและโครงการต่างๆของธรรมสภาอย่างแข็งขันโดยการหันมาหาธรรมสภาในยามลำบาก โดยการสวดมนต์ให้ธรรมสภาประสบความสำเร็จ และยินดีเมื่อธรรมสภารุ่งเรืองด้วยเกียรติ สิ่งมีค่าและของขวัญอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้านี้ในแต่ละชุมชน ต้องได้รับการถนอม บำรุงเลี้ยง รัก ช่วยเหลือ เชื่อฟัง และสวดมนต์ให้?
?ประสิทธิภาพของระบบบริหารควรควบคู่ไปกับความรัก ความอุทิศและการพัฒนาจิตใจในระดับที่ไม่น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองส่วนเป็นสิ่งจำเป็น การพยายามแยกส่วนหนึ่งออกจากอีกส่วนหนึ่งเท่ากับเป็นการดับพลังของศาสนา ปัจจุบันนี้ขณะที่ศาสนายังอยู่ในวัยทารก ต้องรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อมิให้ขั้นตอนบริหารกลายเป็นอุปสรรคบั่นทอนพลังชีวิตของระบบบริหารเสียเอง ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนและกระตุ้นชีวิตของระบบบริหาร
แต่ตามที่เน้นไว้แล้ว ทั้งพลังชีวิตและรูปแบบต่างก็จำเป็นต่อการพัฒนาระบบบริหารให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและปลอดภัยการรักษาสมดุลของทั้งสองเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญเป็นพิเศษของผู้บริหารศาสนา?
?ในการประชุมของตน ธรรมสภาท้องถิ่นต้องพยายามพัฒนาความชำนาญในศิลปะของการปรึกษาหารือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เป็นการปรึกษาที่สมาชิกทุกคนต้องควบคุมตนเองอย่างสูง และวางใจในอำนาจของพระบาฮาอุลลาห์โดยสมบูรณ์ ธรรมสภาท้องถิ่นควรประชุมอย่างสม่ำเสมอและรับประกันว่า สมาชิกทุกคนได้รับทราบกิจกรรมทั้งหลายของธรรมสภาอยู่เนืองนิตย์ เลขาธิการได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหรัญญิกเก็บและใช้จ่ายเงินทุนของศาสนาเป็นที่น่าพอใจ ทำบัญชีอย่างถูกต้องเหมาะสม และออกใบเสร็จให้แก่การบริจาคทุกครั้ง ธรรมสภาหลายแห่งพบว่า กิจกรรมบางอย่าง เช่น การสอนศาสนา การฉลองบุญ การจัดงานวันสำคัญประจำปี การแก้ปัญหาส่วนบุคคล และหน้าที่อื่นๆสามารถจัดการไปได้ดีโดยคณะกรรมการที่ธรรมสภาแต่งตั้งขึ้น?
ธรรมสภาท้องถิ่น
(ภาคปฏิบัติ)
- จัดการเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นทุกปี ในวันที่ 21 เมษายน
1.1 ทำการเลือกตั้งระหว่างหลังพระอาทิตย์ตกดินวันที่ 20 เมษายน ถึง พระอาทิตย์ตกดินวันที่ 21 เมษายน สำหรับท้องถิ่นที่ไม่เคยมีธรรมสภามาก่อน การจัดตั้งธรรมสภาครั้งแรกสามารถทำได้เลยเมื่อมีบาไฮผู้ใหญ่ครบ 9 คน โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 21 เมษายน
1.2 ควรอบรมบาไฮในชุมชนให้ทราบความสำคัญและวิธีการของการเลือกตั้งบาไฮ การอบรมสม่ำเสมอตลอดปีดีกว่าอบรมไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง
1.3 แจ้งให้บาไฮชุมชนทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ ของการเลือกตั้ง ผู้ที่ไม่สามารถร่วมประชุมเลือกตั้งได้สามารถลงคะแนนโดยทางจดหมายได้ แต่บาไฮต้องเข้าใจว่าการลงคะแนนทางจดหมายมีไว้สำหรับบาไฮที่มาไม่ได้จริงๆ บาไฮควรพยายามทุกอย่างเพื่อมาร่วมประชุมเลือกตั้งด้วยตนเอง
1.4 การลงคะแนนต้องเป็นความลับ โดยเขียนชื่อบาไฮ 9 คน ที่เราต้องการเลือกลงในบัตรเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่เขียนหนังสือไม่ได้สามารถให้คนอื่นช่วยเขียนให้ แต่ควรเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น เยาวชนที่อายุไม่ถึง 21 ปี
1.5 บัตรเลือกตั้งที่ถือเป็นโมฆะหรือบัตรเสียคือ บัตรที่ลงชื่อมากหรือน้อยกว่า 9 คน หรือลงชื่อคนๆเดียวซ้ำกันสองชื่อ บัตรเลือกตั้งที่ไม่ถือเป็นโมฆะทั้งบัตรแต่โมฆะเป็นบางชื่อคือ บัตรที่เขียนอ่านไม่ออกบางชื่อหรือเลือกคนที่ไม่มีสิทธิ์ เช่น บาไฮที่อายุน้อยกว่า 21 ปี หรือบาไฮที่อยู่นอกท้องถิ่น ชื่ออื่นที่เหลือยังใช้ได้
1.6 ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 9 คนแรกจะเป็นสมาชิกธรรมสภา หากผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดคนที่ 9 มีสองคน ให้ลงคะแนนอีกรอบหนึ่งเพื่อเลือกระหว่างสองคนนี้เท่านั้น การลงคะแนนรอบที่สองนี้สามารถทำได้เลยในที่ประชุมเลือกตั้ง ต่างจากการเลือกตั้งคนใหม่มาแทนที่ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภาแล้วลาออกซึ่งในกรณีนี้ต้องให้โอกาสทุกคนได้รับทราบและลงคะแนน และอาจไม่สามารถทำการเลือกตั้งให้เสร็จในที่ประชุมได้นอกเสียจากว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนอยู่ในที่ประชุม หากจำเป็นต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปควรทำให้เร็วที่สุดถ้าเป็นไปได้ควรทำวันที่ 22 เมษายน
1.7 ถ้ามีบาไฮผู้ใหญ่อายุ 21 ปีขึ้นไปในท้องถิ่นจำนวน 9 คนพอดี ไม่จำเป็นต้องลงคะแนนเสียง บาไฮทั้ง 9 คนสามารถประกาศสถานภาพเป็นธรรมสภาท้องถิ่นได้เลย โดยส่งรายชื่อทั้ง 9 คนไปให้ธรรมสภาแห่งชาติ
1.8 เมื่อรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว ควรรายงานไปให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบโดยเร็วที่สุด
2) เรียกประชุมธรรมสภา
2.1 เมื่อรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว สมาชิกธรรมสภาที่ได้รับคะแนนสูงสุดควรเป็นผู้เรียกประชุมธรรมสภาโดยเร็วที่สุดเพื่อทำการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ธรรมสภา คือ ประธาน รองประธาน เลขาธิการ เหรัญญิก
2.2 การเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ควรมีสมาชิกธรรมสภามาครบ 9 คน ถ้าไม่ครบ 9 คนอาจเลือกเจ้าหน้าที่ชั่วคราวไปก่อนธรรมสภาควรกำหนดวัน เวลา ของการประชุมที่อำนวยความสะดวกให้สมาชิกทั้ง 9 คนมาร่วมประชุมได้เพื่อเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ เมื่อทั้ง 9 คน ได้รับทราบวันเวลาของการประชุมแล้ว แต่บางคนก็ยังมาประชุมไม่ได้ ธรรมสภาสามารถเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ถาวรได้เลย แล้วแจ้งรายชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบ
2.3 ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมสภาต้องได้คะแนนอย่างน้อย 5 เสียง การเลือกตั้งเจ้าหน้าที่อาจเรียงตามความสำคัญคือ เลือกประธานก่อน ต่อมาเลือกเลขาธิการ เหรัญญิก และรองประธาน
2.4 การประชุมธรรมสภาต้องมีสมาชิกมาร่วมประชุมเกินครึ่งคืออย่างน้อย 5 คน จึงจะถือเป็นองค์ประชุม ถ้าไม่ถึง 5 คน สมาชิกธรรมสภาสามารถปรึกษาหารือกันได้โดยไม่มีการตัดสินใจ
2.5 การประชุมธรรมสภาจะถือเป็นทางการก็ต่อเมื่อ มีการเรียกประชุมอย่างเหมาะสม กล่าวคือสมาชิกทั้ง 9 คน ต้องได้รับการแจ้งวันและเวลาของการประชุมล่วงหน้าพอสมควร ส่วนจะมาประชุมได้หรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง มิใช่ว่าเชิญกันมาให้ครบ 5 คนแล้วประชุมเลยโดยอีก 4 คนไม่ทราบ
3) บทบาทของเจ้าหน้าที่ธรรมสภา
ประธาน (ผู้ดำเนินการประชุม)
- เปิดและปิดการประชุมให้ตรงตามกำหนดเวลา
- เตรียมหัวข้อการประชุมโดยปรึกษากับเลขาธิการ
- ดำเนินการประชุมให้คล่องตัว ให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นโดยไม่ให้พูดน้อยไปหรือมากไปเกินความจำเป็น ควบคุมไม่ให้พูดออกนอกเรื่อง ควบคุมการปรึกษาหารือแต่ละเรื่องให้อยู่ในเวลาที่พอเหมาะตามความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเรื่องเล็กแต่พูดกันยืดยาว แต่เรื่องใหญ่พูดกันเดี๋ยวเดียวไม่ถี่ถ้วน
- บันทึกการตัดสินใจ ใครได้รับมอบหมายให้ทำอะไร เมื่อไรที่งานควรจะเริ่มและเสร็จเมื่อไร เพื่อติดตามงาน โดยประสานงานกับเลขาธิการ
- ก่อนบันทึการตัดสินใจ ควรให้แน่ใจว่าทุกคนในที่ประชุมเข้าใจการตัดสินใจนั้นถูกต้องและตรงกัน
- ควรเข้าใจแผนงานอย่างดีและรู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญก่อนหลัง
- ควรรู้สถานะการเงินของธรรมสภา
รองประธาน (รองผู้ดำเนินการประชุม)
- ดำเนินการประชุมเมื่อประธานไม่อยู่ หากทั้งประธานและรองประธานไม่อยู่ ธรรมสภาควรตัดสินว่าจะให้ใครเป็นผู้ดำเนินการประชุม
- ศึกษาหน้าที่ของประธาน เพื่อจะทำหน้าที่แทนได้ในคราวจำเป็น
เลขาธิการ
- เตรียมหัวข้อการประชุม และเตรียมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่จะประชุมให้สมาชิกรับทราบก่อนเข้าประชุม เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสไตร่ตรองมาก่อน
- แจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าว่าจะมีการประชุมเมื่อไหร่ ที่ไหน
- ทำบันทึกการประชุมเพื่อแจกจ่ายให้สมาชิกและส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ
- ตอบจดหมายตามมติของที่ประชุม
- ติดตามการดำเนินงานต่างๆ ว่าสอดคล้องกับแผนงานของธรรมสภาหรือไม่
- เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างธรรมสภาและบาไฮในชุมชน
- เก็บสถิติของจำนวนบาไฮในชุมชน
- รายงานกิจกรรมในรอบปีให้บาไฮทราบในวันที่ 21 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นชุดใหม่
- พึงระลึกว่า เลขาธิการคือหัวจักรสำคัญของการดำเนินงานของธรรมสภา เป็นตัวแทนของธรรมสภาที่ติดต่อกับทั้งชุมชนบาไฮและโลกภายนอก
เหรัญญิก
- รับบริจาคจากบาไฮพร้อมทั้งออกใบเสร็จ กระตุ้นบาไฮในชุมชนให้เห็นความสำคัญของการบริจาค และอำนวยความสะดวกต่อการบริจาค
- ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายของธรรมสภา
- รายงานสถานะการเงินให้ธรรมสภาทราบ รายงานให้เพื่อนบาไฮทราบในงานฉลองบุญ 19 วัน และในวันที่ 21 เมษายน และรายงานให้ธรรมสภาแห่งชาติ (อาจรวมอยู่กับบันทึกการประชุม)
- ใช้จ่ายเงินตามมติของธรรมสภา
- เตรียมงบประมาณเพื่อเสนอให้ธรรมสภาพิจารณา
- ดูแลทรัพย์สินของธรรมสภาและชุมชน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องพิมพ์ดีด
สมาชิกอื่น
- ศึกษาข้อมูลที่ได้รับจากเลขาธิการก่อนเข้าประชุม เพื่อให้การประชุมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีความพร้อมที่จะรับภาระแทนเจ้าหน้าที่ของธรรมสภา เช่น เสนอหัวข้อการประชุมต่อเลขาธิการ ช่วยร่างจดหมายแทนเลขาธิการ ติดตามการดำเนินงานบางอย่าง เมื่อธรรมสภาเติบโตขึ้น มีภารกิจและความรับผิดชอบขยายออกมากขึ้น สมาชิกทุกคนต้องสามารถเข้าช่วยงานของเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาได้
- สมาชิกทุกคนสามารถช่วยจัดบรรยากาศของการประชุมให้สดชื่น เช่น จัดโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งสบาย พูดคุยกันได้สะดวกระหว่างปรึกษาหารืออาจสลับที่นั่งกันบ้างหรือผลัดกันเริ่มเป็นผู้แสดงความเห็นก่อนในแต่ละเรื่อง ฯลฯ เพื่อให้การประชุมมีชีวิตชีวา
(พึงระลึกไว้ว่าระบบบริหารบาไฮ เจ้าหน้าที่ธรรมสภาคือผู้ที่ได้รับมอบบทบาทความรับผิดชอบ มิใช่ได้สิทธิ์หรืออำนาจเหนือสมาชิกธรรมสภาคนอื่น เช่นประธานคือผู้ที่ได้รับบทบาทในการดำเนินการประชุม มิใช่ว่าประธานมีสิทธิหรืออำนาจเหนือคนอื่น หรือหากเวลามีการออกเสียงในที่ประชุม ประธานก็เป็นเพียงหนึ่งในเก้าเสียงของธรรมสภา)
4) หัวข้อการประชุม
ตัวอย่างหัวข้อการประชุม
- อธิษฐานเปิดการประชุม
- อ่านบันทึกการประชุมครั้งที่แล้วเพื่อรับรองหรือแก้ไข
- ปรึกษาเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนงานที่ได้รับจากธรรมสภาแห่งชาติ หรือแผนงานของตัวเอง ทบทวนงานที่ทำไป วางแผนงานต่อไป เช่น การสอนศาสนา กิจกรรมเยาวชน ?ชั้นเรียนเด็ก
- จดหมายต่างๆ ที่มาถึงธรรมสภา ควรนำมาพิจารณาให้ตรงกับหัวข้อเรื่องที่จะปรึกษา
- เหรัญญิกรายงานการเงิน
- เรื่องด่วนต้องนำมาพิจารณาก่อน
- นัดประชุมครั้งต่อไป
- อธิษฐานปิดการประชุม
หมายเหตุ การเตรียมหัวข้อประชุม ควรแบ่งเวลาสำหรับเรื่องต่างๆ ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ธรรมสภามีเวลาเพียงพอสำหรับปรึกษาเพื่อริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือไม่ มีเวลาระดมความคิดเพียงพอหรือไม่ มีเวลาเพียงพอที่จะวางแผนการสอนศาสนาหรือไม่ ฯลฯ เพื่อความก้าวหน้าของธรรมสภาเองและชุมชน ไม่ใช่ได้แต่เพียงทำงานประจำให้เสร็จไป
5) บันทึกการประชุม
– ระบุชื่อของธรรมสภา วันที่ของการประชุมให้ชัดเจน
– ระบุชื่อของผู้ที่เข้าร่วมประชุม ผู้ที่ขาดประชุม พร้อมทั้งเหตุผลที่ขาดประชุม
– บันทึกคำแก้ไขของบันทึกการประชุมครั้งที่แล้ว หากมี
– เมื่อบันทึกคำตัดสินใจของธรรมสภา ควรลงข้อมูลที่เป็นเบื้องหลังและการปรึกษาหารือที่นำมาสู่การตัดสินใจนั้น เพื่อว่าธรรมสภาแห่งชาติอ่านแล้วจะเข้าใจได้ว่า ทำไมธรรมสภาท้องถิ่นตัดสินใจเช่นนั้น ข้อมูลที่ลงบันทึกควรรวบรัดแต่เพียงพอที่จะเข้าใจได้ ไม่ต้องลงรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ออกความเห็นอะไร แต่ต้องระบุชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายงานหรือความรับผิดชอบนั้นๆ
6) การพิจารณาวางแผนงานและเป้าหมาย
แผนงานควรระบุระยะเวลา และถ้าเป็นไปได้ระบุเป็นตัวเลข เช่น แผนงาน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 1 ปี มีการจัดการสนทนาธรรมกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น
6.1 การสอนศาสนา
- มีบาไฮเพิ่มเท่าไหร่ ถ้าจะให้ดีตามที่พระอับดุลบาฮาบอกไว้ แต่ละท้องถิ่นควรมีบาไฮเพิ่มเป็นสองเท่าในหนึ่งปี คือบาไฮแต่ละคนสอนให้มีบาไฮเพิ่มหนึ่งคนในหนึ่งปี
- มีการจัดสนทนาธรรมกี่ครั้ง
- จะขยายการสอนศาสนาออกไปนอกท้องถิ่นได้หรือไม่
6.2 การประกาศศาสนา
- สามารถใช้สื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ได้หรือไม่
- จัดการประชุมอภิปรายเกี่ยวกับศาสนาได้หรือไม่
- กระจายหนังสือบาไฮได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ห้องสมุดสถาบันการศึกษา
6.3 การพัฒนาชุมชนบาไฮ
- ทำอย่างไรจะช่วยให้เพื่อนบาไฮมาร่วมงานฉลองบุญและวันศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น มากขึ้นเท่าไร
- จัดการพบปะกันได้สม่ำเสมอแค่ไหน เช่น ชั้นเรียนธรรมะ สวดมนต์ตอนเช้า
- สนับสนุนกิจกรรมเยาวชนได้อย่างไร
- จัดชั้นเรียนเด็กให้สม่ำเสมอได้อย่างไร
- ก่อตั้งศูนย์บาไฮได้ไหม กองทุนมีพอไหม
- มีการบริจาคให้กองทุนบาไฮแค่ไหน ควรตั้งเป้าหมายสำหรับการบริจาคเท่าไหร่
- ออกข่าวสารประจำท้องถิ่นได้หรือไม่
7) บทบาทความเป็นผู้นำของธรรมสภา
????7.1 มองไปในอนาคต
สมาชิกธรรมสภาต้องพยายามทำความเข้าใจงานที่ตนทำอยู่ และมองไปข้างหน้าว่าสถาบันของตนและชุมชนบาไฮจะพัฒนาไปเป็นอย่างไร แล้ววางแผนงาน เป้าหมาย การทำงานให้เป็นไปในทิศทางนั้น และนำมาสัมพันธ์กับสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ชุมชนสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้เพื่อจะก้าวไปสู่เป้าหมายที่วาดไว้สำหรับอนาคต ซึ่งธรรมสภาควรจะ
- ประเมินโอกาส ความสามารถและปัจจัยในชุมชน
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ควรเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่มิใช่เป็นไปไม่ได้
- ถ้าเป็นไปได้ แนะวิธีและแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมาย
- กำหนดวันเริ่มต้นและระยะเวลาของโครงการเพื่อไม่ให้รีรอ
- หาวิธีที่จะวัดความก้าวหน้าของโครงการ
????7.2 บันดาลใจ
ลักษณะความเป็นผู้นำที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งคือ การบันดาลใจ ให้ความหวังกำลังใจ เพื่อให้บาไฮตื่นตัวรับใช้ แสดงความหวังให้ชุมชน เข้าใจว่าธรรมสภาวาดภาพอนาคตไว้อย่างไร กิจกรรมแต่ละอย่างจะส่งผลอย่างไรในวันข้างหน้า การดลใจอาจใช้วิธีเล่าประสบการณ์และเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จที่ได้มาด้วยความยากลำบากความเสียสละของบาไฮบางคน
????7.3 แสดงเป็นตัวอย่าง
ที่จริงแล้วการแสดงเป็นตัวอย่างคือหนทางหนึ่งที่ช่วยดลใจ ความเป็นผู้นำของธรรมสภาใช่ว่า สมาชิกธรรมสภาคอยแต่สั่งให้คนอื่นทำโดยที่ตัวเองอยู่เฉยๆ สมาชิกธรรมสภาควรตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อรับรู้ข้อมูล ความเป็นไปความรู้สึกนึกคิดของบาไฮในชุมชน ซึ่งต้องอาศัยการเข้าร่วมในกิจกรรมของงานต่างๆ การเข้าร่วมนี้จะเป็นกำลังใจให้บาไฮในชุมชนมั่นใจว่าพวกเขามิได้ทำงานอยู่โดดเดี่ยวแต่มีธรรมสภาคอยสนับสนุนอยู่และหันมาพึ่งพาได้เมื่อเผชิญปัญหา
????7.4 การริเริ่ม
การทำนุบำรุงบรรยากาศแห่งความรักและความสามัคคีในชุมชนบาไฮ ประกอบด้วยการแสดงเป็นตัวอย่างและการบันดาลใจของสมาชิกธรรมสภา จะช่วยให้บาไฮในชุมชนเกิดความริเริ่มและส่งผลให้ชุมชนก้าวหน้า หากงานของธรรมสภาและงานของชุมชนไม่มีการริเริ่ม มีแต่ทำงานประจำไปวันๆ สมาชิกธรรมสภาควรตรึกตรองดูว่า มีปัจจัยอะไรที่เป็นอุปสรรค เช่น บาไฮในชุมชนกับธรรมสภาห่างเหินกันเกินไปหรือไม่ มิตรภาพในชุมชนอ่อนลงไม่แน่นแฟ้น ฯลฯ
?
??7.5 เข้าหาได้
บาไฮในชุมชนควรรู้สึกว่า ธรรมสภาพร้อมที่จะให้เวลาพวกเขา ให้โอกาสพวกเขาเข้าหาได้เสมอ ประหนึ่งพ่อแม่พร้อมจะให้เวลากับลูกเสมอเมื่อลูกต้องการคำแนะนำหรือระบายความรู้สึก สมาชิกธรรมสภาต้องระวังมิให้บาไฮในชุมชนรู้สึกว่าพวกตนทำตัวห่างเหินหรือถือตัว ในทางกลับกัน บาไฮไม่ควรใช้สิทธินี้เกินขอบเขตโดยนำเรื่องสารพัดสารพันมาสุมให้ธรรมสภา บางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ บาไฮควรพยายามแก้ไขด้วยตัวเองก่อน เช่น โดยการสวดมนต์และศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาที่อยู่ในธรรมนิพนธ์บาไฮ หรืออาจปรึกษากับผู้ที่เหมาะสมเป็นการส่วนตัว
????7.6 ความน่าเชื่อถือ
สิ่งที่ช่วยให้ธรรมสภาน่าเชื่อถือก็คือ ความประพฤติของสมาชิกธรรมสภาเอง ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภากับชุมชนควรเป็นไปในลักษณะเปิดเผยไม่มีลับลมคมใน ?การสื่อสารกับชุมชนอย่างชัดเจนไม่คลุมเครือ การส่งข่าวให้ชุมชนได้รับทราบทันเวลาไม่ล่าช้า การร้องขอหรือมอบหมายงานอย่างเหมาะสม ฯลฯ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธรรมสภา ธรรมสภาต้องคำนึงว่าบาไฮในชุมชนมีหน้าที่เชื่อฟังธรรมสภา ฉะนั้นธรรมสภาไม่ควรใช้สิ่งนี้โดยไม่ระวัง เช่น มอบหมายงานที่ไม่สมเหตุผลให้ชุมชนทำ นอกจากนี้การปฏิบัติตาม 5 ข้อข้างต้นจะช่วยทำให้ธรรมสภาเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
4
การปรึกษาหารือบาไฮ
ลักษณะสำคัญของการปรึกษาหารือบาไฮ คือ
- คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้น 7 ประการ
?คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้ปรึกษาหารือกันคือเจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ถวิลหาสุคนธรสสวรรค์ ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ อดทนต่อความยากลำบาก และรับใช้ ณ ธรณีประตูอันประเสริฐของพระองค์?
- เงื่อนไข 2 ประการ
?เงื่อนไขแรกคือความรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกธรรมสภา พวกเขาต้องปลอดจากความหมางเมินโดยสิ้นเชิง และต้องแสดงออกซึ่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าเพราะพวกเขาคือคลื่นในทะเลเดียวกัน คือหยดน้ำในชโลธรเดียวกัน คือดวงดาราในนภาเดียวกัน คือรัศมีของดวงอาทิตย์เดียวกัน คือพฤษาในสวนเดียวกัน คือดอกไม้ในอุทยานเดียวกัน หากไร้ซึ่งความเห็นพ้องต้องกัน ไร้ความสามัคคีที่แท้จริง การชุมนุมนั้นจะสลายตัวและธรรมสภาจะกลายเป็นความว่างเปล่า เงื่อนไขที่สองคือ เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาต้องตั้งจิตสู่เบื้องบน และขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์?
- เกณฑ์การดำเนินการประชุม 5 ประการ
?จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศ มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ และความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน?
คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้น 7 ประการ
- เจตนาอันบริสุทธิ์
ผู้ร่วมปรึกษาหารือจำเป็นต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ มิใช่ค้นหาว่าอะไรจะเป็นประโยชน์แก่ตน ซึ่งมาจากเจตนาที่เห็นแก่ตัวหรือเจตนาอื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ มิฉะนั้นจะทำให้การปรึกษานั้นติดขัดและไม่สามารถพบความจริงหรือการตัดสินใจที่ดีได้ บางครั้งเจตนาที่แอบแฝงอยู่มิใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป เช่น ผู้ที่เข้าร่วมปรึกษาคนหนึ่งต้องการเลิกประชุมเวลาสามทุ่มเพราะอยากไปดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ ตนจึงรีบเร่งการประชุมให้เสร็จเร็วๆ บางคนอาจเตรียมไปเที่ยววันอาทิตย์เวลาธรรมสภาจะตัดสินใจให้มีกิจกรรมบางอย่างในวันอาทิตย์ตนจึงพยายามคัดค้านในระหว่างการปรึกษาหารือ เจตนาที่แอบแฝงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สามารถรบกวนการปรึกษาหารือได้ หากเกิดเช่นนี้จริง ผู้ร่วมปรึกษาหารือควรบอกเจตนาที่แอบแฝงเหล่านี้ให้ผู้อื่นทราบเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ไม่ถึงกับจำเป็นต้องบอกทุกครั้งหากการปรึกษาหารือยังดำเนินไปได้ด้วยดี
- จิตใจอันผ่องใส
จิตใจที่ผ่องใสจะทำให้ผู้ร่วมปรึกษาหารือไม่มองอะไรแง่ลบจนเกินไปจนคิดอะไรไม่ออก ไม่อิจฉาแต่ยินดีต่อความสำเร็จของกันและกัน ห่วงใยความสุขและอ่อนไหวต่อความรู้สึกของกันและกัน ในการปรึกษาหารือบางครั้ง สมาชิกบางคนอาจไม่เข้าใจในบางเรื่อง หากคนอื่นๆไม่สนใจแล้วรีบตัดสินใจให้เรื่องนั้นผ่านไป จะทำให้คนนั้นรู้สึกไม่มีค่า ไม่อยากร่วมปรึกษาอีกต่อไป ไม่มีใครสามารถแสดงความคิดเห็นได้ดีหากเขารู้สึกว่าตนไม่เป็นที่ยอมรับ
?นภาแห่งเมธาสวรรค์ได้รับการส่องสว่างด้วยประทีปแห่งการปรึกษาหารือและความเห็นอกเห็นใจ?
จิตใจที่ผ่องใสจะช่วยให้เรามองปัญหาด้วยทิวทัศน์ที่สดใสกว่า ตัวอย่างเช่น บางครั้งบาไฮมัวแต่เน้นที่กฎข้อห้ามต่างๆ บาไฮใหม่ในชุมชนหนึ่งอาจมีอุปนิสัยชอบดื่มสุรามาตั้งแต่ก่อนเป็นบาไฮจนแก้ยาก จึงมีการปรึกษาหารือกันอย่างเหน็ดเหนื่อยว่าจะทำยังไงกับบาไฮที่ชอบดื่มสุรา และมักจะเป็นการปรึกษาหารือที่หาทางออกไม่ได้ แต่เมื่อมีการมองปัญหาด้วยทิวทัศน์ที่สดใสกว่า คือเน้นไปที่การสวดมนต์ การอบรมเด็ก ชีวิตครอบครัว เมื่อทุ่มเทมาที่กิจกรรมเหล่านี้จนได้ผลแล้ว ปัญหาการดื่มสุราจะคลี่คลายตามมาได้
- ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ร่วมปรึกษาหารือต้องตัดความผูกพัน ไม่ยึดมั่น เพื่อว่าตนจะคิดอ่านได้อย่างเที่ยงธรรมตรึกตรองความคิดที่ผู้อื่นเสนอมาได้อย่างยุติธรรม ตรึกตรองโดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้แสดงความคิดเห็นนั้น นี้เป็นเรื่องที่เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ เพราะโดยธรรมดาแล้ว เรามีแนวโน้มจะยอมรับความคิดของผู้มีประสบการณ์ได้ง่ายๆ และมองข้ามความคิดเห็นของผู้อ่อนประสบการณ์โดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ การคิดอ่านของเราควรเป็นอิสระจากความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใคร เพราะจะมีผลให้เราคิดอย่างลำเอียง
?บ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ต่ำต้อยด้อยความรู้และด้อยประสบการณ์ แต่ด้วยแรงดลใจที่มาจากความอุทิศอย่างแรงกล้าและไม่เห็นแก่ตัว ได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นกุญแจสำคัญในการอภิปรายของธรรมสภา?
เมื่อเสนอความคิดออกไป ความคิดนั้นจะกลายเป็นของกลุ่มผู้เสนอความคิดนั้นต้องตัดความผูกพันไม่ยึดมั่นว่าความคิดนั้นยังเป็นของตนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจะมีอิสระที่จะเห็นด้วยหรือปฏิเสธโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครเสียใจ และผู้เสนอความคิดก็จะไม่ขุ่นใจหากถูกปฏิเสธ ในทางกลับกัน หากความคิดนั้นเป็นที่ยอมรับ ความคิดนั้นก็เป็นของส่วนรวม มิใช่เป็นของผู้ที่เสนอความคิดเท่านั้น
- ถวิลหาสุคนธรสสวรรค์
นั่นคือจิตใจของผู้ร่วมปรึกษาหารือต้องฝักใฝ่ในสิ่งที่ดีงามไม่ใช่เรื่องต่ำช้า การปรึกษาหารือบาไฮมุ่งส่งเสริมความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจของบุคคลและสังคม ไม่มีการปรึกษาหารือเพื่อทำร้ายใคร ไม่วางอุบายหลอกลวงหรือเอาเปรียบใคร
- ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์
ความทะนงว่าความคิดของตนดีกว่าใครเป็นภัยต่อการปรึกษาหารือ เราเห็นตัวอย่างมากมายที่คนแต่ละนิกายทะนงในความเชื่อศาสนาของตน มั่นใจว่าความเชื่อของตนถูก ความมั่นใจมิได้รับประกันว่าสิ่งนั้นจะถูกจริง การปรึกษาหารือบาไฮต้องไม่มีการยกตนข่มผู้อื่น ซึ่งอาจซ่อนเร้นอยู่ในรูปแบบของการไม่ยอมบอกข้อมูลที่สำคัญให้คนอื่นทราบ จะบอกก็ต่อเมื่อเป็นโอกาสที่จะเกทับผู้อื่น ดังนั้นการปรึกษาหารืออาจเริ่มต้นโดยผู้ที่รู้ข้อมูลมากสุดเป็นผู้พูดก่อน ความถ่อมตนไม่ควรเป็นที่สับสนกับความอ่อนแอ
- อดทนต่อความยากลำบาก
สมาชิกธรรมสภามาจากการเลือกตั้งบาไฮ ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่าใครจะได้รับเลือก และผู้ที่ได้รับเลือกจะมีพื้นฐานต่างกันมากน้อยแค่ไหน ในการปรึกษาหารือบางครั้ง สมาชิกธรรมสภาจึงเป็นบททดสอบซึ่งกันและกัน คนหนึ่งอาจคิดอะไรได้เร็ว อีกคนอาจคิดช้า คนคิดเร็วอาจรู้สึกรำคาญคนคิดช้า คนคิดช้าอาจรู้สึกระแวงว่าคนคิดเร็วจะรีบผ่านเรื่องไปเพราะกลัวถูกแย้ง คนหนึ่งอาจคิดอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ในคณะที่อีกคนหนึ่งอาจคิดอะไรง่ายๆ แบบตรงไปตรงมา คนที่คิดละเอียดอาจมองคนที่คิดอะไรแบบง่ายๆ ว่าไม่รอบคอบ คนที่คิดง่ายๆ อาจมองว่าคนที่คิดละเอียดว่าจุกจิกเกินความจำเป็น คนหนึ่งกระตือรือร้นอยากให้งานลุล่วงไปโดยเร็ว ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจรู้สึกว่าไม่เห็นมีเรื่องอะไรรีบด่วนเลย คนหนึ่งอาจตั้งใจสูงและต้องการพูดลึกลงไปในปัญหา ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจไม่รู้สึกจริงจังและใจลอย คนหนึ่งอาจหัวดื้อไม่ยอมเปลี่ยนความคิด ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจถูกชักจูงความคิดได้ง่าย เห็นด้วยกับทุกอย่าง คนหนึ่งอาจมองปัญหาในแง่ร้าย ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจมองอะไรในแง่ดี แม้จะไม่มีหนทางแก้ปัญหาแต่ถือว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยให้ดีเอง คนมองในแง่ดีอาจถือว่าคนมองในแง่ร้ายนั้นอาจไม่สร้างสรรค์ ส่วนคนที่มองในแง่ร้ายอาจคิดว่าคนที่มองในแง่ดีเป็นคนที่เพ้อฝันหลอกตัวเอง คนที่มีประสบการณ์มากอาจเสนอความคิดเห็นที่ตรงกับหลักธรรมคำสอน แต่อีกคนหนึ่งอ่อนประสบการณ์จึงอาจไม่เข้าใจและไม่พร้อมที่จะยอมรับความคิดเห็นนั้น บุคคลที่กล่าวมานี้สามารถเป็นบททดสอบซึ่งกันและกัน และบาไฮที่ร่วมปรึกษาหารือกันต้องพัฒนาความอดทนเป็นคุณสมบัติหนึ่ง ?อย่างไรก็ตามระบบบริหารบาไฮออกแบบไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งมวลและคนทุกประเภทเหล่านี้แหล่ะคือองค์ประกอบที่ถูกหล่อหลอมเข้ามาอยู่ในระบบจากพระผู้เป็นเจ้านี้
- การรับใช้ ณ ธรณีประตูอันประเสริฐของพระองค์
เจตคติของการรับใช้จะช่วยให้ผู้ร่วมปรึกษากันเป็นอิสระจากความทะเยอทะยาน ความทะนง ความอิจฉา และคุณสมบัติที่ไม่ดีอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณสมบัติอีก 6 ข้อที่กล่าวมาข้างตน
เงื่อนไข 2 ประการ
- ความรักใคร่ปรองดอง
ความรักใคร่ปรองดองโดยสมบูรณ์เป็นบรรยากาศที่เกื้อกูลการหลั่งไหลและประสานความคิด ทำให้ความคิดเห็นพัฒนาขึ้นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจเปรียบความคิดเห็นของแต่ละคนเป็นเมล็ด เมื่อเมล็ดนั้นได้รับการเพาะปลูกในดินที่ดี อากาศที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ความชื้นพอเหมาะ เมล็ดนั้นจะเติบโตเป็นพืชที่งดงาม ในทางตรงข้ามหากอยู่ในบรรยากาศของความหมางเมิน เย็นชา เมล็ดนั้นจะไม่โต และผู้ที่ร่วมปรึกษาหารือจะเหนื่อยใจไปกับการอภิปรายที่ไม่ออกผล ความรักใคร่ปรองดองนี้มิใช่มีแต่ในห้องประชุมเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สมาชิกธรรมสภาต้องทำนุบำรุงระหว่างกันนอกห้องประชุมด้วย เช่นการช่วยเหลือให้กำลังใจกันในยามที่ใครคนหนึ่งมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาในครอบครัว
- ตั้งจิตสู่เบื้องบนและขอความช่วยเหลือ
ดังที่กล่าวไว้แล้ว บาไฮแต่ละคนที่มาร่วมประชุมกันมีความคิดอ่านและพื้นฐานที่ต่างกัน นอกจากนี้แต่ละคนก็เข้ามาในห้องประชุมด้วยความรู้สึกที่ต่างกันตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนก่อนมาประชุม ดังนั้นการตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้าก่อนการปรึกษาหารือ โดยการสวดมนต์อธิษฐานจะเป็นการปรับความรู้สึกนึกคิดแต่ละคนให้ประสานกลมกลืนกันเพื่อรับแรงดลใจจากเบื้องบน เปรียบเหมือนการปรับเสียงสายกีตาร์ให้เข้ากัน
เกณฑ์การดำเนินการประชุม 5 ประการ
- ความอุทิศ
บาไฮที่มาร่วมปรึกษากันต้องอุทิศความรักต่อพระบาฮาอุลลาห์ การปรึกษานั้นต้องอุทิศต่อสิ่งที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าของชุมชนและศาสนา มิใช่ประชุมพอเป็นพิธี หาทางออกง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรให้หนักสมอง
- มารยาท
มารยาทในการพูดและการฟังจะช่วยให้การปรึกษาหารือมีประสิทธิภาพ ไม่ควรพูดขัดจังหวะกัน ไม่เสียดสีหรือประชดประชันกัน ไม่ทำท่ากระสับกระส่ายเวลาคนอื่นพูด มารยาทในการนั่งห้องประชุมและการแต่งตัวก็มีผลต่อบรรยากาศของการประชุม บาไฮควรรักษามารยาทเสมือนว่าพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในห้องประชุมนั้นด้วย
- เกียรติ
ผู้ร่วมปรึกษาต้องให้เกียรติและนับถือกันและกัน ไม่ดูแคลนความคิดเห็นผู้อื่น แต่ต้องฟังอย่างตั้งใจ และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น เมื่อใครคนหนึ่งรู้สึกว่า ความคิดเห็นของตนกำลังได้รับฟังจากคนอื่นด้วยความตั้งใจ ผู้นั้นจะยอมรับได้ง่ายกว่าเมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วย มิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่แล้วแก่ใจ และคิดว่าผู้อื่นไม่ฟังเขาให้ดี ไม่เข้าใจที่เขาพูด ผู้ร่วมปรึกษาต้องนับถือตัวเองด้วย กล่าวคือ ต้องคิดว่าตนเป็นคนที่มีค่าคนหนึ่งในกลุ่ม และพร้อมจะแสดงความเห็นต่างๆ ไม่คิดว่าตนเองไร้ค่าแล้วเงียบไม่ออกความคิดเห็น
- ความรอบคอบ
ความรอบคอบจะบ่งบอกถึงมาตรฐานของกลุ่มที่ปรึกษาหารือกัน ผู้พูดควรพูดให้ตรงประเด็น และผู้ฟังควรระลึกถึงวัตถุประสงค์ของการปรึกษานั้นอยู่เสมอ ??แล้วนำข้อมูลที่ได้รับฟังมาสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์นั้น ๆ ไม่หักเหไปหารายละเอียดปลีกย่อยที่พ่วงมากับคำพูด การฟังไม่ควรเพียงแต่เก็บข้อมูลเท่านั้นแต่ควรพยายามเข้าถึงความรู้สึกของผู้พูดด้วย การมองข้ามความรู้สึกของผู้พูดอาจมีผลเสีย เช่น บาไฮคนหนึ่งมีความปรารถนาอยากปรับปรุงงานฉลองบุญ เขาจึงมีข้อเสนอในที่ประชุมธรรมสภาแต่บังเอิญข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสม คนอื่นๆจึงปฏิเสธอย่างไม่ใยดีโดยลืมมองที่เจตนาของผู้เสนอความคิดนั้น การมองข้ามความรู้สึกเช่นนี้อาจบั่นทอนกำลังใจซึ่งกันและกัน ความรอบคอบยังอยู่ที่การให้ความสำคัญต่อเรื่องต่างๆให้เหมาะสม ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญแต่ใช้เวลาปรึกษากันเดี๋ยวเดียว ส่วนเรื่องเล็กๆ กลับพูดกันยืดยาว ไม่ควรขุดคุ้ยจับผิดเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกมาถูกตั้ง 90% แล้ว มีผิดอยู่เพียง 10% แต่อีกคนหนึ่งเพ่งเล็งมาที่ 10% นี้ และทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ต้องอภิปรายยืดเยื้อเสียเวลาโดยใช่เหตุ
?การอภิปรายและปรึกษาหารือของผู้แทนที่ได้รับเลือกจากชุมชน ควรมีความอดทนและยับยั้งชั่งใจเสมอ และไม่ควรอภิปรายขุดคุ้ยอย่างไร้เหตุผลไม่ว่าในสภาพแวดล้อมใด?
ความรอบคอบมิใช่อยู่ที่ปรึกษาหารือกันในที่ประชุมเท่านั้นแต่รวมถึงการเตรียมตัวก่อนประชุมด้วย เช่น เตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อนำเสนอปรึกษาหารือ กลุ่มที่ร่วมปรึกษากันควรแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจเรื่องนั้นๆ หรือสถานการณ์นั้นๆ ?เพียงพอที่จะใช้วิจารณญาณได้อย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่ามีเพียงไม่กี่คนเข้าใจแล้วตัดสินใจไป โดยที่คนอื่นที่เหลือจำต้องคล้อยตามเพราะตนไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องนั้นๆ
- ความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน
บาไฮไม่ควรแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่กดดันผู้อื่น เช่นใช้เสียงแข็ง หรือทำหน้าตาขึงขังวางมาดว่าตนรู้เรื่องนั้นดีอยู่คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์แย้งข้อสรุปของตน ซึ่งจะทำให้คนอื่นอึดอัดใจที่จะพูด และในทางตรงข้ามไม่ควรแสดงความเห็นอย่างปวกเปียกไม่มีน้ำหนัก บาไฮควรอธิบายความคิดเห็นและเหตุผลของตนให้หนักแน่น เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจทรรศนะและจุดยืนของตนโดยไม่บีบคั้นผู้ใด บางครั้งเราอาจรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องหนึ่งแต่อธิบายไม่ออก หากเราพูดความรู้สึกนี้ออกมาก็มีประโยชน์
ความเห็นควรเป็นเอกฉันท์
?ที่จริงแล้วพระอับดุลบาฮาตั้งความปรารถนาไว้เสมอว่ามิตรสหายที่อยู่ในสภาทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ควรอภิปรายกันอย่างถี่ถ้วนด้วยน้ำใสใจจริง เจตนาที่สุจริต จิตใจที่แน่วแน่แล้วเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง?
คุณสมบัติของผู้ร่วมประชุมกันที่กล่าวมาข้างต้นคืออุดมคติของการปรึกษาหารือบาไฮ ซึ่งธรรมสภาไหนมีคุณสมบัติเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็จะปรึกษาหารือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว หากสมาชิกปรึกษากันด้วยความรักใคร่ปรองดองโดยสมบูรณ์ ตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้า เข้าใจสถานการณ์นั้นๆ และอภิปรายเหตุผลกันอย่างถี่ถ้วน สมาชิกทุกคนควรลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ ถ้าไม่เช่นนั้นแสดงว่า ยังมีจุดบกพร่องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาสำหรับธรรมสภาที่กำลังเรียนรู้และฝึกฝนความชำนาญในการปรึกษาหารือในระยะที่ระบบบริหารบาไฮยังอยู่ในวัยทารกนี้ แต่ในอนาคตธรรมสภาต่างๆจะพัฒนาไปถึงวันที่การปรึกษาหารือจะสมบูรณ์พอที่จะเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามบาไฮไม่ต้องลงความเห็นฝืนความรู้สึกของตนเองเพียงเพื่อต้องการให้เป็นเอกฉันท์ และในกรณีที่ไม่เป็นเอกฉันท์ต้องยึดถือตามเสียงส่วนใหญ่
?เจตนาที่กล่าวมานี้คือการเน้นว่า จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือการไต่สวนความจริง ผู้ที่แสดงความคิดเห็นไม่ควรกล่าวว่านี่คือสิ่งที่ถูก แต่ควรเสนอความเห็นนั้นเพื่อนำไปสู่ความเป็นเอกฉันท์ เพราะแสงสว่างแห่งความจริงจะปรากฏชัดเมื่อสองความคิดเห็นต้องตรงกัน ประกายจะเกิดขึ้นเมื่อหินเหล็กไฟและเหล็กมาด้วยกัน มนุษย์ควรชั่งความคิดเห็นของตนด้วยความสงบเยือกเย็น ก่อนที่จะแสดงทรรศนะของตน เขาควรพิจารณาทรรศนะที่คนอื่นเสนอมาอย่างรอบคอบ ถ้าเขาพบว่าความคิดที่เสนอมาก่อนถูกต้องและมีค่ากว่า เขาควรยอมรับทันทีและต้องไม่ยึดอยู่กับความคิดของตน ด้วยวิธียอดเยี่ยมนี้ เขาพยายามไปสู่ความสามัคคีและความจริง การต่อต้านและความแตกแยกเป็นเรื่องน่าเศร้า ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะขอความคิดเห็นจากผู้ที่ฉลาดหลักแหลม มิฉะนั้นแล้ว ความขัดแย้งจะเป็นปากเสียงกันเพราะทรรศนะแตกต่างกันที่เสนอมาจะทำให้สภาจำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหานั้น ความเห็นที่เป็นเสียงส่วนใหญ่หรือเอกฉันท์อาจไม่ถูก ประชาชนหนึ่งพันคนอาจยึดถือทรรศนะหนึ่ง แต่ก็ผิด ขณะที่ผู้ที่หลักแหลมคนเดียวอาจถูก ดังนั้นการปรึกษาหารือที่แท้คือการประชุมทางธรรมด้วยเจตคติและบรรยากาศแห่งความรัก สมาชิกที่ปรึกษากันต้องรักกันและกันด้วยดวงจิตแห่งมิตรภาพเพื่อว่าผลดีจะบังเกิดตามมา ความรักและมิตรภาพคือรากฐาน?
?เกี่ยวกับบุคคลบางคนมาร่วมประชุมตามคำเชิญของธรรมสภา ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ถือว่าสิ่งนี้เป็นการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบริหารงานที่ดี สมาชิกธรรมสภามิได้รับการคาดหวังให้รู้ทุกสิ่งหรือในทุกเรื่อง ดังนั้นพวกเขาสามารถเชิญผู้ชำนาญในปัญหานั้นมาร่วมประชุมและแสดงทรรศนะแต่บุคคลนั้นไม่มีสิทธิออกเสียง?
?ก่อนที่เสียงส่วนใหญ่ของธรรมสภาจะตัดสินใจ ไม่เป็นเพียงสิทธิเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนที่จะแสดงทรรศนะอย่างอิสระและเปิดเผย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นที่พอใจหรือแหนงใจสมาชิกคนอื่น ในแง่ของหลักการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยที่เป็นหลักการบริหารที่สำคัญนี้ ท่าศาสนภิบาลขอแนะนำคุณให้เลิกวิธีการขอให้สมาชิกคนอื่นเสนอความคิดเห็นและคำแนะนำของคุณ การแสดงทรรศนะของคุณต่อธรรมสภาทางอ้อมนี้ ไม่เพียงแต่เพราะความรู้สึกลับลมคมในที่ขัดกับหลักธรรมของศาสนาเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความยุ่งยากมากมายสมาชิกธรรมสภาต้องมีความมั่นใจ แต่ต้องเชื่อฟังการพิจารณาและแนวทางของเสียงส่วนใหญ่อย่างจริงใจและไม่มีเงื่อนไข?
?บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจบุคลิกนิสัย และเอาชนะความปรารถนาที่มีอยู่ในมนุษย์เป็นธรรมดา นั่นคือการหาพวกเข้าข้างเพื่อต่อสู้กัน บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะใช้หลักการปรึกษาหารืออย่างแท้จริง?
?บาไฮไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องออกเสียงในธรรมสภาขัดกับมโนธรรมของตนเอง เป็นการดีกว่าถ้าเขายอมจำนนต่อเสียงส่วนใหญ่และทำให้เป็นเอกฉันท์ แต่เขามิได้ถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องทำคือ ยึดถือตามคำตัดสินของเสียงส่วนใหญ่เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เขาต้องไม่บั่นทอนธรรมสภาโดยเที่ยวพูดว่า เขาไม่เห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ กล่าวคือ เขาต้องถือศาสนามาก่อน มิใช่ความคิดเห็นของตน สมาชิกธรรมสภาสามารถขอให้ธรรมสภาพิจารณาเรื่องนั้นอีกครั้ง แต่เขาไม่มีสิทธิจะบังคับหรือก่อความแตกแยกเพราะว่าธรรมสภาไม่เปลี่ยนคำตัดสินใจ เสียงเอกฉันท์เป็นที่พึงประสงค์ แต่แน่นอนไม่สามารถนำมาบังคับสมาชิกธรรมสภาโดยวิธีตุกติกที่ใช้กันอยู่ในวงสมาคมอื่น?
?เมื่อตัดสินใจให้ออกเสียงต่อข้อเสนอหนึ่ง ต้องรู้ให้แน่ว่าสมาชิกกี่คนเห็นด้วย ถ้าหากเป็นเสียงส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้าร่วมประชุมข้อเสนอนั้นเป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ข้อเสนอนั้นก็พับไป ดังนี้ปัญหาการงดออกเสียงไม่มีสำหรับบาไฮ สมาชิกที่ไม่ออกเสียงเห็นด้วยเท่ากับออกเสียงคัดค้าน แม้ว่าขณะนั้นเขาอาจรู้สึกว่าไม่สามารถตัดสินใจได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น?
?เมื่อมีการเสนอให้ออกเสียงตัดสินเรื่องหนึ่ง สมาชิกธรรมสภาอาจรู้สึกว่ามีข้อมูลหรือทรรศนะบางอย่างที่ควรแสวงหาเพิ่มเติมก่อนที่เขาจะออกเสียงได้อย่างรอบคอบ เขาควรบอกความรู้สึกนี้ต่อธรรมสภา และขึ้นอยู่กับธรรมสภาที่จะตัดสินใจว่า จำเป็นต้องปรึกษาหารือต่อไปอีกหรือไม่ก่อนออกเสียง?
สำคัญอยู่ที่ปรึกษาตามเงื่อนไขบาไฮ ถูกผิดเป็นเรื่องรอง
ที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่บาไฮควรระลึกไว้เสมอคือ ขบวนการปรึกษาหารือที่นำไปสู่การตัดสินใจนั้น สำคัญกว่าการตัดสินใจพระอับดุลบาฮาบอกไว้ว่า หากบาไฮพยายามบรรลุคุณสมบัติและเงื่อนไขของการปรึกษาหารือบาไฮ พวกเขาจะได้รับพรและอำนาจจากเบื้องบน
?หากพวกเขาพยายามบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประสาทพรให้แก่พวกเขา และธรรมสภานั้นจะกลายเป็นศูนย์กลางของพระพรจากสวรรค์ กองทัพของอำนาจสวรรค์จะลงมาช่วยเหลือ และพวกเขาจะได้รับพลังใหม่แต่ละวันที่หลั่งไหลมาจากพระวิญญาณ?
จะเห็นได้ว่าพระองค์มิได้บอกว่า การตัดสินใจที่ถูกหรือผิด การตัดสินใจที่ดีมากหรือดีน้อย จะเป็นตัวดึงดูดพระพรให้ธรรมสภาเจริญก้าวหน้า แต่ความพยายามที่จะปรึกษาหารือตามอุดมคติบาไฮต่างหากที่จะทำให้ธรรมสภาเจริญ เมื่อปรึกษากันได้ตามหลักธรรมบาไฮแล้ว การตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมจะเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาเอง ?ดังนั้นบาไฮไม่ควรเน้นความสำคัญที่ความถูกผิดมากเกินไปจนถึงขนาดทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือการแสวงหาหนทางการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจว่าใครผิดหรือถูก ซึ่งอาจทำให้เจ็บปวดกว่าเดิม ที่สำคัญคือต้องรักษาความสามัคคีปรองดองไว้อย่าให้การทะเลาะวิวาทคืบคลานเข้ามา
?สมาชิกธรรมสภาต้องปรึกษาหากันในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีความร้าวฉานและความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน สิ่งนี้บรรลุได้เมื่อสมาชิกทุกคนอิสระเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นและเหตุผลหากใครโดนโต้แย้ง เขาต้องไม่รู้สึกเจ็บใจเพราะหนทางที่ถูกต้องจะไม่เปิดเผยจนกว่าจะมีการปรึกษากันอย่างเต็มที่ ประกายไฟแห่งสัจจะบังเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะกันของความคิดที่ต่างกัน ภายหลังจากอภิปรายกันแล้ว หากมีการตัดสินใจโดยเสียงเป็นเอกฉันท์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายังมีความแตกต่างของความคิดเห็นอยู่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่?
?สมาชิกธรรมสภาผู้มีเกียรติควรพยายามอย่าให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น และหากความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้วไม่ควรปล่อยให้ไปถึงขีดที่ทะเลาะกัน เกลียดชังและเป็นปรปักษ์กันซึ่งจะนำไปสู่การคุกคาม เมื่อเจ้าสังเกตเห็นว่า ความเป็นปรปักษ์และการคุกคามกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าควรเลื่อนการอภิปรายเรื่องนั้นออกไปทันทีจนกว่าการต่อล้อต่อเถียงและขึ้นเสียงจะสงบลง และเวลาที่เหมาะมาถึง?
เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิ เป็นศาสนภิบาลใหม่ๆ และมีหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสถาบันของระบบบริหารบาไฮให้เติบโตโดยไม่ชักช้าคือในปี ค.ศ. 1922 ท่านได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงบาไฮในอเมริกา ซึ่งในนั้นท่านนำธรรมนิพนธ์ของพระอับดุลบาฮามาแถลงเพื่อเป็นแนวทางการปรึกษาหารือสำหรับบาไฮและธรรมสภา เป็นธรรมนิพนธ์ที่บรรจุความหมายที่มีค่าไว้อย่างล้ำลึกดังนี้:
?คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะปรึกษาหารือกันคือเจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากประผู้เป็นเจ้า ใฝ่หาสุคนธรสสวรรค์ ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ อดทนต่อความยากลำบาก และรับใช้ ณ ธรณีอันประเสริฐของพระองค์ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้บรรลุคุณสมบัติเหล่านี้ ชัยชนะจากอาณาจักรบาฮาจะประทานมาให้แก่พวกเขา ในยุคนี้ ธรรมสภาที่ปรึกษาหารือกันนั้นสำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่ง การเชื่อฟังธรรมสภาเป็นหน้าที่ที่สำคัญ สมาชิกธรรมสภาต้องปรึกษากันในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีความบาดหมางและความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน สิ่งนี้บรรลุได้เมื่อสมาชิกทุกคนมีอิสระเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นและเหตุผลหากใครโดนโต้แย้ง เขาต้องไม่รู้สึกเจ็บใจ เพราะหนทางที่ถูกต้องจะไม่เปิดเผยจนกว่าจะมีการปรึกษากันอย่างเต็มที่ประกายไฟแห่งสัจจะจะบังเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะกันของความคิดเห็นที่ต่างกัน ภายหลังอภิปรายกันแล้วหากมีการตัดสินใจโดยเสียงเป็นเอกฉันท์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายังมีความแตกต่างของความคิดเห็นอยู่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่?
?เงื่อนไขแรกคือความรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกของธรรมสภา พวกเขาต้องปลอดจากความหมางเมินโดยสิ้นเชิงและต้องแสดงออกซึ่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาคือคลื่นในทะเลเดียวกัน คือหยดน้ำในชโลธรเดียวกัน คือดวงดาราในนภาเดียวกัน คือรัศมีของดวงอาทิตย์เดียวกัน คือพฤษาในสวนเดียวกัน คือดอกไม้ในอุทยานเดียวกัน หากไร้ซึ่งความเห็นพ้องต้องกัน ไร้ความสามัคคีที่แท้จริง การชุมนุมนั้นจะสลายตัวและธรรมสภาจะกลายเป็นความว่างเปล่า เงื่อนไขที่สองคือ เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาต้องตั้งจิตสู่เบื้องบน และขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศ มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ และความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน ในทุกเรื่องพวกเขาต้องแสวงหาความจริง มิใช่ยืนกรานในความคิดเห็นของตน เพราะความดื้อดึงขืนอยู่ในทรรศนะของตนจะนำไปสู่ความร้าวฉานและวิวาทกันในที่สุด และความจริงจะยังคงซ่อนเร้นอยู่ สมาชิกผู้มีเกียรติทั้งหลายต้องแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และห้ามมิให้ผู้ใดดูแคลนความคิดเห็นของคนอื่น ไม่เพียงเท่านั้น เขาต้องแสดงสัจจะด้วยความพอควร และหากมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่ และทุกคนจะต้องเชื่อฟังและยอมตามเสียงส่วนใหญ่ เช่นกันห้ามมิให้ผู้ใดคัดค้านหรือตำหนิการตัดสินใจที่ลงมติไปแล้วไม่ว่าในหรือนอกที่ประชุมแม้ว่าการตัดสินใจนั้นไม่ถูก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวจะขัดขวางการปฏิบัติตามการตัดสินใจ กล่าวโดยย่อ สิ่งใดก็ตามที่ดำเนินไปด้วยความปรองดองและความรักและเจตนาที่บริสุทธิ์ผลที่ได้คือแสงสว่าง และหากร่องรอบความหมางเมินแม้เพียงน้อยที่สุดเข้ามาปกคลุม ผลที่ได้คือความมืดในความมืด…หากเคารพตามนี้ธรรมสภานั้นจะเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่เช่นนั้นการชุมนุมนั้นจะนำไปสู่ความเย็นชาและความหมางเมินที่มาจากความชั่วร้าย การอภิปรายทั้งหมดต้องจำกันอยู่ที่เรื่องทางธรรมที่เกี่ยวกับการอบรมจิตใจ การสั่งสอนเด็ก การบรรเทาทุกข์คนยากไร้ การช่วยเหลือคนอ่อนแอในทุกชนชั้นในโลก ความกรุณาต่อประชาชนทั้งหมด เป็นการแพร่กระจายสุคนธรสของพระผู้เป็นเจ้า และเชิดชูพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์หากพวกเขาพยายามบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประสาทพรให้แก่พวกเขา และธรรมสภานั้นจะกลายเป็นศูนย์กลางของพระพรจากสวรรค์ กองทัพของอำนาจสวรรค์จะลงมาช่วยเหลือ และพวกเขาจะได้รับพลังใหม่แต่ละวันที่หลั่งไหลมาจากพระวิญญาณ?
เมื่อพิจารณา ?ในทุกเรื่องพวกเขาต้องแสวงหาความจริงมิใช่ยืนกรานในความคิดเห็นของตน ?และความหมางเมินที่สิงมาจากความชั่วร้าย? สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ
- ทำความเข้าใจสถานการณ์
ผู้ร่วมปรึกษาต้องแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆ เพื่อนำมาพิจารณาหาหนทางแก้ปัญหา เมื่อยังไม่ทราบข้อมูลเพียงพอหรือยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ ไม่ควรรีบด่วนตัดสินใจ จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือบาไฮคือการหาทางแก้ปัญหา การแก้ปัญหาอาจออกมาในรูปของปล่อยไว้ก่อนยังไม่ทำอะไร เพราะปัญหาทุกอย่างไม่ใช่มีทางแก้เสมอไป อาจต้องรอเวลาและโอกาส ระหว่างที่ยังไม่ตัดสินใจ ธรรมสภาสามารถศึกษาสถานการณ์ให้เข้าใจมากขึ้น แล้วจึงไปสู่ขั้นที่ 2 คือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร
- ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ทุกคนต้องแสดงความเห็นออกมาอย่างอิสระ เพื่อนำความคิดเห็นมาผสมผสาน ตกแต่งหรือหักล้างกัน เพื่อให้ออกมาเป็นการตัดสินใจ การนำความคิดของคนสองคนมาแลกเปลี่ยนกันมิใช่เป็น 1+1=2 การปะทะความคิดเห็นที่ต่างกันสามารถนำไปสู่ความคิดที่แปลกใหม่ซึ่งอาจไม่เหมือนความคิดเดิมของใครเลย อาจเปรียบกับธาตุโซเดียมและคลอไรด์ซึ่งก็ต่างเป็นพิษ แต่เมื่อทั้งสองมาผสมกันเป็นโซเดียมคลอไรด์จะกลายเป็นสารที่จำเป็นสำหรับชีวิต บาไฮที่ร่วมปรึกษากันต้องฝึกปล่อยวางจากอัตตาไม่เจ็บใจเมื่อถูกแย้ง การปรึกษาหารือบาไฮเป็นการปะทะกันของความคิดเห็น มิใช่การปะทะของผู้แสดงความคิดเห็น
- ดำเนินการตามคำตัดสินใจ
เมื่อตัดสินใจออกมาแล้วไม่ว่าเป็นเอกฉันท์หรือเสียงส่วนใหญ่ บาไฮทุกคนต้องร่วมมือกันดำเนินการตามนั้น มิใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อยู่ฝ่ายเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น ผู้ที่เป็นเสียงส่วนน้อยต้องเชื่อฟังอย่างจริงใจ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าในหรือนอกห้องประชุม และความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเป็นของกลุ่ม คือเป็นของทุกคน มิใช่เป็นของผู้ที่อยู่ฝ่ายเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น ตราบใดที่สมาชิกธรรมสภายังอยู่ในความสามัคคีปรองดอง ถึงแม้คำตัดสินใจนั้นจะผิด พระบาฮาอุลลาห์ก็จะแก้ให้เป็นถูก
การตัดสินใจในรูปแบบของการปรึกษาหารือต่างๆ
- การตัดสินใจในลักษณะของกลุ่ม เช่น การตัดสินใจของธรรมสภาหรือคณะกรรมการ
- การตัดสินใจของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้ง เช่นได้รับแต่งตั้งจากธรรมสภาให้ดำเนินการจัดโรงเรียนอบรมฤดูร้อนหรือชั้นเรียนเด็ก ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจะรับนโยบายและแนวทางจากธรรมสภาและจะมีอำนาจตัดสินใจต่างๆ เพื่อให้บรรลุผลตามนโยบายเขาสามารถปรึกษาขอความคิดเห็นจากผู้อื่น แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเขาเท่านั้น เช่นในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ท่านได้ขอคำปรึกษาจากพระหัตถ์ศาสนาและบาไฮคนอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไร สมมติธรรมสภาให้นโยบายว่าให้อบรมเรื่อง ชีวิตที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ที่ค่ายเยาวชน แต่เยาวชนส่วนใหญ่ที่มาเข้าค่ายไม่อยากอบรมเรื่องนี้แต่อยากเปลี่ยนเป็นการเรียนพูดภาษาอังกฤษ ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำเนินการตามนโยบายของธรรมสภามีสิทธิตัดสินใจโดยไม่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมิได้ขัดกับหลักการของบาไฮ เพราะถ้าหากปรึกษาหารือกันแล้วต้องยอมตามเสียงส่วนใหญ่ จะเป็นการบั่นทอนอำนาจของธรรมสภา แน่นอนผู้ที่ได้รับแต่งตั้งควรฟังความเห็นความรู้สึกจากเยาวชน แต่เขาต้องตัดสินใจไปในแนวทางที่ไม่ทำให้เสียหายต่อนโยบายของธรรมสภา เขาสามารถปรึกษากับเยาวชนว่า การอบรมเรื่องนี้เป็นอย่างไร มีข้อดีบกพร่องอย่างไร ได้ประโยชน์แค่ไหน เพื่อรายงานให้ธรรมสภาทราบ
- ไม่มีการตัดสินใจ การปรึกษาหารือบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจ เช่นในการอบรมธรรมะไม่จำเป็นต้องตัดสินใจหรือสรุปออกมาว่า พระวจนะเร้นลับข้อนั้นหมายความว่าอย่างไรเพราะเป็นเรื่องของความเข้าใจส่วนตัว หรือธรรมสภาอาจเชิญบาไฮในชุมชนมาร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการประกาศศาสนา ในกรณีนี้บาไฮแต่ละคนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยไม่มีการตัดสินใจ เพราะธรรมสภาจะนำความคิดเหล่านั้นไปพิจารณาอีกที เป็นลักษณะคล้ายกับการประชุมแห่งชาติ
ปรึกษาหารือในทุกแง่ของชีวิต
บาไฮอาจรู้จักใช้การปรึกษาหารือมาก่อนที่จะเป็นบาไฮแต่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือ การฝึกฝนความชำนาญในการปรึกษาหารือตามอุดมคติบาไฮ การปรึกษาหารือบาไฮคือรากฐานของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นวิธีการที่จะช่วยพัฒนาทุกสถาบันของระบบบริหาร เช่น ธรรมสภา งานฉลองบุญ กองทุนบาไฮ ชั้นเรียนธรรมะ และทุกกิจกรรมของทุกชีวิต เช่น ชีวิตครอบครัว การศึกษา ธุรกิจการงาน ฯลฯ การปรึกษาหารืออาจเป็นทางการในรูปของการประชุม หรือคุยกันเมื่อมีโอกาสอย่างไม่เป็นทางการ แต่ต้องระลึกว่าจะต้องมีจุดประสงค์จึงจะถือว่าเป็นการปรึกษาหารือ มิฉะนั้นการสนทนาครั้งนั้นจะเป็นเพียงการคุยกันธรรมดาไม่ใช่การปรึกษาหารือ การปรึกษาหารือบาไฮต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ที่จะหาหนทางแก้ปัญหา ไม่ใช่การเรียกร้องให้ผู้อื่นเห็นใจ ชักจูงให้ผู้อื่นเข้าข้างตน และไม่ใช้เป็นโอกาสนินทาผู้อื่น
?ในทุกสิ่งจำเป็นต้องปรึกษาหารือ เจ้าควรเน้นเรื่องนี้อย่างหนักแน่น เพื่อว่าทุกคนจะได้ใช้การปรึกษาหารือ จุดมุ่งหมายของสิ่งที่เปิดเผยจากปากกาของพระผู้ทรงความสูงส่งคือเพื่อว่ามิตรสหายจะใช้การปรึกษาหารือเต็มที่ เพราะการปรึกษาหารือคือเหตุของความมีสติและตื่นตัว และเป็นแหล่งกำเนิดคุณประโยชน์และความผาสุก?
?การปรึกษาหารือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดที่ชักนำไปสู่ความสงบและความสุขของประชาชน ตัวอย่างเช่น เมื่อบาไฮคนหนึ่งไม่แน่ใจเกี่ยวกับกิจการของเขา หรือเมื่อเขาพยายามจะดำเนินโครงการหรือการค้า มิตรสหายควรชุมนุมกันหาหนทางแก้ปัญหาสำหรับเขา และเขาควรปฏิบัติตามนั้น ทำนองเดียวกับประเด็นใหญ่ๆ เมื่อมีปัญหาหรือความยุ่งยากเกิดขึ้น ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมควรชุมนุมปรึกษากันเพื่อหาทางแก้ปัญหาพวกเขาควรวางใจในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว และยอมตามการบริบาลของพระองค์ ไม่ว่าหนทางใดจะเปิดเผยออกมาเพราะอำนาจสวรรค์จะมาช่วยเหลืออย่างไม่มีข้อสงสัย ดังนั้นการปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในบัญญัติที่แน่ชัดของพระผู้เป็นนายของมนุษยชาติ?
?มนุษย์ต้องปรึกษาหารือในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กเพื่อตนว่าจะได้ทราบว่าสิ่งใดดี การปรึกษาหารือทำให้มนุษย์เข้าใจเรื่องต่างๆ และช่วยให้เขาลงลึกเข้าไปในปัญหาที่ไม่รู้มาก่อนแสงแห่งสัจธรรมส่องมาจากใบหน้าของผู้ที่ร่วมปรึกษาหารือ…อย่างไรก็ตามสมาชิกที่ปรึกษากันควรปฏิบัติตนด้วยความรักความปรองดองและจริงใจต่อกันที่สุด หลักการปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของ นวัตกรรมสวรรค์ แม้แต่กิจการสามัญ สมาชิกในสังคมก็ควรปรึกษาหารือกัน?
?จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือเพื่อแสดงว่า ทรรศนะของหลายคนเป็นที่พึ่งประสงค์กว่าคนเดียว เสมือนกับกำลังของหลายคนเหนือกว่ากำลังของคนเดียว ดังนั้นการปรึกษาหารือเป็นที่ยอมรับต่อเบื้องหน้าของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพและบัญญัติไว้สำหรับบาไฮ เพื่อว่าพวกเขาจะปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องสามัญและเรื่องส่วนตัว รวมทั้งกิจการทั่วไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งมีโครงการที่ต้องทำให้สำเร็จหากเขาปรึกษากับพี่น้อง สิ่งที่เห็นพ้องกันจะได้รับการไต่สวนและคลี่คลาย และความจริงจะเปิดเผยออกมา ทำนองเดียวกันในระดับสูงกว่านั้น หากประชาชนในหมู่บ้านปรึกษากันเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของพวกเขา การแก้ปัญหาที่ถูกต้องจะเปิดเผยออกมา ทำนองคล้ายกัน สมาชิกของแต่ละวิชาชีพเช่นอุตสาหกรรมควรปรึกษาหารือ ผู้ที่อยู่ในวงพาณิชย์ควรปรึกษาหารือเกี่ยวกับธุรกิจ กล่าวโดยย่อการปรึกษาหารือเป็นที่ปรารถนาและยอมรับสำหรับทุกสิ่งและทุกประเด็น?
?เกี่ยวกับคำถามของท่านที่ว่า พ่อปรึกษากับลูกหรือลูกปรึกษากับพ่อในเรื่องค้าขายและพาณิชย์ การปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของกฎของพระผู้เป็นเจ้า การปรึกษาหารือดังกล่าวเป็นที่ยอมรับแน่นอน ไม่ว่าระหว่างพ่อกับลูกหรือกับคนอื่น ไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้ มนุษย์ต้องปรึกษาหารือกันในทุกสิ่ง เพราะการปรึกษาหารือจะทำให้เขาลึกลงไปในแต่ละปัญหาและช่วยให้เขาพบการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง?
?การปรึกษาหารืออย่างเหมาะสมจะช่วยให้ค้นพบวิธีการอย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นต้องรอจนกว่าจะมีการก่อตั้งธรรมสภาจึงจะเริ่มปรึกษาหารือ ทรรศนะของสองคนย่อมดีกว่าคนเดียวเสมอ?
?หลักการปรึกษาหารือซึ่งเป็นหนึ่งในกฎมูลฐานของการบริหารควรนำมาใช้กับทุกกิจกรรมบาไฮที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมของศาสนา เพราะโดยการร่วมมือและแลกเปลี่ยนความคิดและทรรศนะอย่างต่อเนื่อง ศาสนาจึงจะได้รับการปกป้องและทำนุบำรุงประโยชน์ได้ดีที่สุด?
?ธรรมสภาท้องถิ่นมิใช่สถาบันเดียวที่มิตรสหายจะขอปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้ การปรึกษาดังกล่าวสามารถทำได้กับสมาชิกในครอบครัว มิตรสหาย ผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่นในธรรมจารึกหนึ่งของพระอับดุลบาฮา พระองค์คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาหนึ่งจะปรึกษาหารือกัน?
งานฉลองบุญสิบเก้าวัน
?เจ้าได้รับบัญชาให้ต้อนรับขับสู้เดือนละครั้ง แม้ว่าจะเสิร์ฟแค่เพียงน้ำเปล่าก็ตาม เพราะพระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะเชื่อมหัวใจของพวกเจ้าเข้าด้วยกัน แม้จะต้องใช้วิธีการทางโลกและสวรรค์ร่วมกัน?
?จุดประสงค์หลักของงานฉลองบุญสิบเก้าวันคือ เพื่อให้บาไฮแต่ละคนสามารถเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะส่งผ่านไปยังธรรมสภาแห่งชาติ ดังนั้นธรรมสภาท้องถิ่นคือสื่อกลางที่เหมาะสมที่ชุมชนบาไฮแต่ละท้องถิ่นจะได้ติดต่อกับคณะผู้แทนระดับชาติ?
งานฉลองบุญแบ่งเป็น 3 ภาค
?เป็นที่รู้กันว่างานฉลองบุญมี 3 ภาคที่ต่างกันแต่สัมพันธ์กัน คือภาคธรรมะ ภาคบริหาร และภาคสังสรรค์ ภาคแรกเป็นการสวดบทอธิษฐานและอ่านธรรมะ ภาคที่สองเป็นการประชุมซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะรายงานกิจกรรม แผนงาม และปัญหาของตนให้ชุมชนทราบ แบ่งปันข่าวและข่าวสารจากศูนย์กลางแห่งโลกและธรรมสภาแห่งชาติ รับความคิดเห็นและคำแนะนำจากมิตรสหายโดยการปรึกษาหารือ ภาคที่สามเป็นการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม และเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่ทำนุบำรุงมิตรภาพตามแต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งต้องไม่ละเมิดหลักธรรมของศาสนาและระเบียบของงานฉลองบุญ?
- ภาคธรรมะ
?ในภาคธรรมะของงานฉลองบุญ การอ่านกระธรรมควรจำกัดอยู่ที่ธรรมนิพนธ์ของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์และอาจจะอ่านของพระอับดุลบาฮาบ้าง ไม่ควรอ่านธรรมนิพนธ์ของท่านศาสนภิบาล ในภาคบริหารของงานฉลองบุญ อาจนำธรรมนิพนธ์ของท่านศาสนภิบาลมาอ่านได้ ซึ่งแน่นอนไม่มีข้อคัดค้านที่จะอ่านธรรมนิพนธ์ของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮาในภาคนี้ด้วย?
?ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คิดว่าในงานฉลองบุญบาไฮ มิตรสหายควรเน้นทั้งภาคธรรมะและภาคบริหาร เพราะทั้งสองมีความสำคัญเท่ากันต่อความสำเร็จของงานฉลองบุญบาไฮทุกงาน ดังนั้นการรักษาสมดุลของทั้งสองภาคจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของบาไฮทุกคนหรือทุกกลุ่ม จนกว่าบาไฮจะเรียนรู้การผสมผสานทั้งสองภาค จะไม่มีหวังที่จะได้รับประโยชน์ที่แท้จริงและถาวรจากการฉลองทางศาสนาดังกล่าว แน่นอนส่วนหนึ่งของงานฉลองบุญต้องอุทิศให้กับการอ่านพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ เพราะมิตรสหายจะได้รับแรงดลใจและจินตภาพที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของศาสนาให้สำเร็จ?
- ภาคบริหาร
?มิใช่เป็นเพียงสิทธิ แต่เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของสมาชิกที่ซื่อสัตย์และหลักแหลมทุกคนในชุมชน ที่จะเสนอคำแนะนำหรือคำวิจารณ์อย่างเต็มที่และเปิดเผยต่อธรรมสภา แต่ต้องเป็นการเสนอด้วยความเคารพนับถือ ตามที่มโนธรรมของเขาคิดว่า จะเป็นการช่วยปรับปรุงและแก้ไขสภาพการณ์หรือแนวโน้มบางอย่างที่มีอยู่ในชุมชน และเป็นหน้าที่ของธรรมสภาที่จะนำทรรศนะเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำจากบาไฮคนใดโอกาสเหมาะที่สุดทำหรับจุดประสงค์นี้คืองานฉลองบุญสิบเก้าวันซึ่งนอกจากภาคสังสรรค์และภาคธรรมะแล้ว ยังสนองความต้องการของระบบบริหารด้วย ที่สำคัญคือการวิจารณ์และปรึกษาหารืออย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับกิจการต่างๆในชุมชน
แต่ควรเน้นอีกครั้งว่า ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์และอภิปรายแบบแดกดัน ที่อาจนำไปสู่การบ่อนทำลายอำนาจของธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบัน เพราะมิฉะนั้นแล้ว ระบบของศาสนาจะตกอยู่ในอันตราย และความสับสนและความร้าวฉานจะเข้ามาปกครองชุมชนนั้น?
?บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะใช้หลักการปรึกษาหารือด้วย มีช่วงเวลาหนึ่งในงานฉลองบุญสิบเก้าวันที่สำรองไว้ให้ชุมชนได้แสดงทรรศนะและเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภา ธรรมสภาและบาไฮทั้งหลายควรรอคอยช่วงเวลาอภิปรายที่มีความสุขนี้ โดยไม่กลัวหรือพยายามระงับการอภิปราย?
?เยาวชนบาไฮอายุระหว่าง 15–21 ปีควรเข้าร่วมการอภิปรายและควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วม แต่พวกเขาจะไม่ลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำให้ธรรมสภาจนกว่าจะอายุ 21 ปี?
?หากในงานฉลองบุญ มิตรสหายเห็นด้วยกับคำแนะนำหนึ่งไม่ว่าจะโดยเอกฉันท์หรือเสียงส่วนใหญ่ สิ่งนั้นจะเป็นคำแนะนำจากงานฉลองบุญถึงธรรมสภา ในทางตรงกันข้ามหากบาไฮคนหนึ่งเสนอคำแนะนำ แต่บาไฮคนอื่นๆไม่เห็นด้วย ธรรมสภาก็อาจนำมาพิจารณาได้?
- ภาคสร้างสรรค์
ภาคนี้จะเป็นการทำความรู้จักมักคุ้นเพื่อเสริมสร้างมิตรภาพและสนุกสนานร่วมกัน อาจเป็นการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มหรือแม้แต่เพียงน้ำเปล่า อาจมีดนตรีหรือกิจกรรมต่างๆ ตามแต่ละวัฒนธรรมที่ไม่ละเมิดหลักธรรมของศาสนาหรือระเบียบของงานฉลองบุญ เช่น ไม่สังสรรค์กันอย่างเอ็ดตะโรบ้าคลั่ง
?เกี่ยวกับงานฉลองบุญ…ขอให้ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าชุมนุมและสมาคมกันอย่างมีความสุขในบรรยากาศของความรักที่ประเทืองจิตใจ ประพฤติตนด้วยมารยาทและความสำรวมอย่างยิ่ง?
เจ้าภาพจัดงานฉลองบุญ
?หากงานฉลองบุญนี้จัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสม มิตรสหายจะรู้สึกว่าจิตใจของตนกลับสดชื่นอีกครั้งทุกๆ สิบเก้าวัน และมีพลังที่มิใช่มาจากโลกนี้?
ธรรมสภาท้องถิ่นคือผู้รับผิดชอบในการจัดงานฉลองบุญ แต่ในทางปฏิบัติธรรมสภามักจะมอบหมายให้บาไฮคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าภาพ การจะจัดงานให้จิตใจของผู้มาร่วมกลับสดชื่นอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับการเตรียมงานเป็นสำคัญ เจ้าภาพควรเลือกบทอธิษฐานและธรรมนิพนธ์เตรียมไว้สำหรับภาคธรรมะ คอยดูแลความสุขสบายของเพื่อนบาไฮ เจ้าภาพอาจทำหน้าที่เป็นประธานในการปรึกษาหารือในภาคบริหารด้วย แต่ในชุมชนใหญ่ที่มีบาไฮมาร่วมงานมาก ธรรมสภาอาจมอบหมายให้อีกคนหนึ่งต่างหากเป็นประธานในการปรึกษาหารือ ซึ่งอาจเป็นประธานธรรมสภาหรือบาไฮคนหนึ่งที่เหมาะสม เพราะเจ้าภาพจะมีภาระในการเตรียมอาหารและสถานที่มากพอแล้ว ในชุมชนใหญ่ เจ้าภาพจะไม่สามารถเสิร์ฟทุกคนด้วยตัวเอง ซึ่งต้องมีการปรับวิธีใหม่โดยคำนึงถึงหัวใจของงานฉลองบุญคือ การต้อนรับขับสู้
?ลักษณะสำคัญของการเตรียมงานฉลองบุญรวมถึง การเลือกธรรมนิพนธ์ที่เหมาะสมและมอบหมายให้ผู้อ่านที่ออกเสียงได้ดี มารยาทของการนำเสนอและการต้อนรับในภาคธรรมะ การเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมในงานฉลองบุญไม่ว่าจะเป็นในร่มหรือกลางแจ้งจะมีผลโน้มน้าวประสบการณ์ ความสะอาด การประดับประดาและจัดเนื้อที่ให้พอเหมาะ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ความตรงต่อเวลาเป็นมาตรการหนึ่งของการเตรียมงานที่ดี?
?เจ้าภาพต้องมีน้ำใจต่อทุกคนโดยไม่นึกถึงตัวเอง ต้องคอยให้ความสะดวกสบายแก่ทุกคน และเสิร์ฟมิตรสหายทั้งหลายด้วยมือของตนเอง?
?ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่า งานฉลองบุญฝังรากอยู่ที่การต้อนรับขับสู้ซึ่งแสดงนัยถึง มิตรภาพ มารยาท การรับใช้ ความเอื้อเฟื้อและความรื่นเริง การต้อนรับขับสู้ซึ่งเป็นดวงจิตที่ค้ำจุนสถาบันที่สำคัญนี้ เป็นเจตคติใหม่ของการดำเนินกิจการมนุษย์ทุกระดับซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อเอกภาพของโลก?
?เด็กๆ ควรได้รับการอบรมให้เข้าใจความสำคัญของการชุมนุมต่างๆ ของสาวกของประผู้ทรงความงามอันอุดมพร และให้รู้ว่าการมีส่วนร่วมในการชุมนุมเหล่านี้เป็นเกียรติและพระพร ไม่ว่ารูปแบบของการชุมนุมจะเป็นแบบใด เป็นที่ตระหนักว่างานบาไฮบางงานใช้เวลานาน และเป็นการยากสำหรับเด็กเล็กๆ ที่จะนิ่งเงียบอยู่ได้นาน ในกรณีดังกล่าวพ่อหรือแม่อาจจะต้องปลีกตัวจากงานบางตอนเพื่อไปดูแลลูก ธรรมสภาอาจช่วยเหลือพ่อแม่โดยการจัดงานสำหรับเด็กในอีกห้องหนึ่งต่างหากตามที่เด็กจะรับได้ ระหว่างที่งานชุมนุมกำลังดำเนินอยู่ การที่เด็กสามารถเข้าร่วมงานฉลองของผู้ใหญ่ได้ตลอดงาน เป็นเครื่องหมายหนึ่งของการเข้าสู่สุฒิภาวะ ซึ่งจะทำได้โดยอาศัยความประพฤติที่ดี?
การปฏิบัติตัวของผู้ร่วมงานฉลองบุญ
นอกจากการเตรียมงานที่ดีแล้ว ความสำเร็จของงานฉลองบุญยังขึ้นอยู่กับผู้มาร่วมด้วย
?เมื่อเจ้าไปงานฉลองบุญ ก่อนจะเข้าไป จงปล่อยวางจากทุกสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในหัวใจ ให้ความคิดและจิตใจของเจ้าเป็นอิสระจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับหัวใจของเจ้า เพื่อว่าทุกคนจะทำให้งานนี้เป็นการชุมนุมแห่งความรัก เป็นเหตุแห่งความเรืองรอง เป็นการชุมนุมที่ดึงดูดหัวใจ ห้อมล้อมด้วยประทีปของหมู่เทวัญ เพื่อว่าเจ้าจะชุมนุมอยู่ด้วยกันด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง?
?พวกเจ้าแต่ละคนต้องคิดถึงว่า จะทำให้ผู้อื่นในที่ชุมนุมมีความสุขและยินดีได้อย่างไร และแต่ละคนต้องถือว่าทุกคนที่นั่นดีกว่าและสำคัญกว่าตน รู้ว่าพวกเขามีฐานะสูง และเจ้าเองมีฐานะต่ำต้อยหากเจ้าดำเนินชีวิตและปฏิบัติตามคำสั่งนี้ จงรู้ไว้เป็นที่แน่นอนว่า งานฉลองบุญนั้นเป็นอาหารทิพย์ มื้อนั้นอาหารค่ำของพระผู้เป็นนาย เราคือคนรับใช้ของการชุมนุมนั้น?
?กล่าวโดยย่อ เราหวังว่างานฉลองบุญจะกลายเป็นบ่อเกิดของความเป็นปึกแผ่นทางจิตใจระหว่างมิตรสหาย เชื่อมมิตรสหายเข้าไว้ในพันธะแห่งเอกภาพ และเมื่อนั้นเราจะสามัคคีกันอย่างที่ความรักและปัญญาจะแพร่กระจายจากศูนย์นี้ไปยังทุกแห่งหนงานนี้เป็นงานฉลองแห่งสวรรค์ เป็นอาหารค่ำของผู้เป็นนาย ดึงดูดอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าเหมือนเป็นแม่เหล็ก เป็นบ่อเกิดของความเรืองรองของหัวใจ?
เราหวังว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันจะเป็นสถาบันที่จัดตั้งอย่างมั่นคง เพื่อว่าความบริสุทธิ์ที่เป็นรากฐานของการประชุมนี้จะขจัดอคติและความขัดแย้งออกไป และทำให้หัวใจเป็นคลังแห่งความรักหากแม้ว่ามีความรู้สึกไม่รักกัน แม้เพียงน้อยทีสุดระหว่างบางคนความรู้สึกนั้นต้องหายไปโดยสิ้นเชิง และเจตนาต้องบริสุทธิ์และปลอดโปร่ง?
งานฉลองบุญจำกัดเฉพาะบาไฮ
งานฉลองบุญเป็นงานสำหรับบาไฮเท่านั้นและเป็นหัวใจของชุมชน บาไฮทุกคนควรพยายามทุกอย่างที่จะมาร่วมงานนี้ นอกเสียจากเจ็บป่วยหรือเดินทางออกไปนอกท้องถิ่นการมาร่วมงานฉลองบุญยังเป็นตัวชี้บ่งถึงวุฒิภาวะของบาไฮผู้นั้นที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อกิจการของชุมชน เพราะในงานนี้บาไฮจะได้ร่วมปรึกษาหารือ ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาหรือเสนอต่อไปยังธรรมสภาแห่งชาติ บาไฮควรอธิบายให้ผู้ที่ไม่ใช่บาไฮเข้าใจว่า งานนี้เป็นงานภายในชุมชนและมิได้มีลับลมคมในอะไร บางโอกาสครอบครัวย่อมต้องการอยู่ด้วยกันและพูดคุยกันตามลำพังเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวโดยไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
?เราสามารถอธิบายด้วยความเป็นมิตรว่า งานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นงานภายในชุมชนบาไฮ ซึ่งมีการอภิปรายเกี่ยวกับกิจการภายในและสมาชิกในชุมชนได้พบปะกันเพื่อมิตรภาพและนมัสการ ไม่ควรทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่มีความลับอะไรในงานฉลองบุญ เพียงแต่เป็นงานที่จัดสำหรับบาไฮเท่านั้น?
?เกี่ยวกับงานฉลองบุญสิบเก้าวัน หลักการที่ใช้ทุกแห่งหนคือ ผู้ที่ไม่ใช่บาไฮจะไม่ได้รับเชิญมาร่วม แต่ถ้าถูกถาม คุณสามารถอธิบายได้ว่า ลักษณะของงานฉลองบุญเป็นเรื่องภายในและเกี่ยวกับการบริหาร ระหว่างการปรึกษาหารือ บาไฮควรมีอิสระในการแสดงทรรศนะเกี่ยวกับงานของศาสนา โดยไม่รู้สึกเขินว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น ผู้ที่มิได้ยอมรับพระบาฮาอุลลาห์กำลังฟังอยู่ด้วย และผู้นั้นอาจเข้าใจภาพพจน์ของศาสนาผิดไป อีกทั้งยังเป็นเรื่องอึดอัดใจสำหรับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮแต่อ่อนไหว เมื่อเขาพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการอภิปรายรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของชุมชนบาไฮซึ่งเขามิได้เป็นสมาชิก ผู้ที่มิใช่บาไฮที่ขอให้เราเชิญมางานฉลองบุญจะเข้าใจหากเราอธิบายเรื่องนี้ให้แก่เขา?
?หากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮบังเอิญเข้ามาที่งานฉลองบุญสิบเก้าวัน ควรทำให้เขารู้สึกว่าเราต้อนรับเขา แต่บาไฮไม่ควรเชิญผู้ที่ไม่ใช่บาไฮมาร่วมงาน?
?เกี่ยวกับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮมาร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวัน ควรหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง แต่ถ้าเขามาที่งาน ไม่ควรให้เขาออกไป เพราะจะทำให้เขาเสียใจ?
?เมื่อผู้ที่มิใช่บาไฮบังเอิญเข้ามาที่งานฉลองบุญ ไม่ควรขอให้เขากลับไป แต่ธรรมสภาควรงดภาคปรึกษาหารือของงาน และควรต้อนรับผู้ที่มิใช่บาไฮคนนั้น
ไม่มีข้อสงสัยว่าคุณทราบคำแนะนำนี้ดี ทำนองเดียวกันหากบางครั้งมีการจัดงานฉลองบุญที่บ้านของครอบครัวที่สามีหรือภรรยามิได้เป็นบาไฮ ย่อมเป็นการเสียมารยาทหากไม่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวนั้นที่มิใช่บาไฮเข้าร่วมงาน อย่างน้อยในภาคธรรมะและสังสรรค์?
?งานฉลองบุญสิบเก้าวันจะมีภาคบริหารอย่างเป็นทางการก็ต่อเมื่อมีธรรมสภาท้องถิ่นดูแลรับผิดชอบ เสนอรายงานต่อมิตรสหายและรับคำแนะนำจากพวกเขา แต่กลุ่มบาไฮต่างๆ หรือการชุมนุมตามปกติของบาไฮและแม้แต่บาไฮที่อยู่โดดเดี่ยว ควรระลึกถึงวันฉลองบุญและสวดมนต์ด้วยกัน ในกรณีของกลุ่มบาไฮอาจจัดงานฉลองบุญในลักษณะเดียวกับที่ธรรมสภาท้องถิ่นจัดโดยตระหนักว่างานนั้นไม่มีสถานภาพทางด้านบริหาร
สำหรับผู้ที่มาเยือนนั้น บาไฮจากทุกแห่งหนในโลกควรได้รับการต้อนรับสู่งานฉลองบุญและสามารถมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ อย่างไรก็ตามเฉพาะบาไฮในท้องถิ่นเท่านั้นที่สามารถลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น?
?บาไฮที่ไปเยือนชุมชนอื่นสามารถร่วมปรึกษาหารือในงานฉลองบุญได้เต็มที่ แต่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม โดยมารยาทแล้วผู้มาเยือนไม่ควรกินเวลาของการปรึกษาหารือมากเกินไป?
เวลาและสถานที่สำหรับการจัดงานฉลองบุญ
?คำถามข้อที่สามของคุณเกี่ยวกับวันที่จะจัดงานฉลองบุญในแต่ละเดือน ท่านศาสนภิบาลตอบว่า ไม่มีวันใดกำหนดไว้เป็นพิเศษแต่เป็นที่น่าพอใจและเหมาะสมที่สุดหากจัดการชุมนุมของมิตรสหายในวันแรกของทุกเดือนบาไฮ?
?โดยปกติแล้วควรจัดงานฉลองบุญในวันแรกของเดือนบาไฮถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าทำได้ยาก ตัวอย่างเช่น หากวันนั้นตรงกับงานประชุมพบปะกับประชาชนทั่วไป ก็อนุญาตให้จัดงานฉลองบุญในวันถัดไปได้?
?งานฉลองนอร์รูซควรจัดในวันที่ 21 มีนาคม ก่อนพระอาทิตย์ตกและไม่เกี่ยวข้องกับงานฉลองบุญสิบเก้าวัน งานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นงานที่มีบทบาททางด้านบริหาร ส่วนนอร์รูซเป็นวันปีใหม่ของเรา เป็นงานฉลองเพื่อการต้อนรับขับสู้และปีติยินดี?
?ไม่มีข้อคัดค้านที่จะจัดการประชุมในที่โล่งแจ้งตราบใดที่ยังรักษาเกียรติของงานนั้น?
?หากในบางสถานการณ์ มีการเสนอให้จัดงานฉลองบุญพิเศษที่บ้านของบาไฮคนหนึ่ง ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นอนุมัติ ไม่มีข้อคัดค้านได้ แต่โดยทั่วไปแล้วท่านคิดว่า เป็นการดีกว่าถ้าจัดที่ศูนย์บาไฮ?
?แต่ละเมืองมีธรรมสภาท้องถิ่นประจำเมืองนั้น มิใช่ธรรมสภาท้องถิ่นย่อยในแต่ละตำบล โดยปรกติแล้วสามารถแยกจัดงานฉลองบุญสิบเก้าวันตามแต่ละตำบลได้ หากมีบาไฮจำนวนมากในเมืองเดียวกัน?
?เราไม่คัดค้านที่ธรรมสภาของคุณจะให้สิทธิธรรมสภาท้องถิ่นจัดงานฉลองบุญในหลายสถานที่เป็นการทดลอง หากธรรมสภาท้องถิ่นต้องการเช่นนั้น โดยระลึกถึงข้อควรระวังเหล่านี้คือ:
เมื่องใหญ่ๆ มีแนวโน้มของการแยกกลุ่มกัน และดังนั้นธรรมสภาท้องถิ่นควรเฝ้าระวังเพื่อป้องกันมิให้แบบแผนคล้ายกันนี้เกิดขึ้นในการประชุมของบาไฮ เพราะมีเหตุผลมาจากสถานที่จัดงานฉลองบุญ ธรรมสภาท้องถิ่นควรเฝ้าระวังมิให้เอกภาพของชุมชนหรือการดูแลของธรรมสภาท้องถิ่นแตกกระจายไปเพราะการปฏิบัติเช่นนี้?
?ความยากลำบากในการเดินทางมางานฉลองบุญสิบเก้าวันและงานอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในบางพื้นที่ สามารถแก้ไขได้โดยให้สิทธิ์ธรรมสภาท้องถิ่นจัดงานฉลองบุญมากกว่าหนึ่งแห่ง ไม่มีความจำเป็นที่จะกำหนดเส้นแบ่งตายตัวเพื่อจุดประสงค์นี้ และบาไฮควรได้รับอนุญาตให้ไปงานฉลองบุญที่สะดวกที่สุดสำหรับเขา แต่ทุกคนควรรู้ว่า งานฉลองบุญทุกแห่งในพื้นที่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานเดียวกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภาท้องถิ่น ในบางโอกาสควรจัดงานให้บาไฮทั่วทั้งพื้นที่นั้นได้พบปะกัน และโอกาสนั้นอาจเป็นงานฉลองบุญก็ได้?
รูปแบบการชุมนุมที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ในอดีตกาล ศาสนิกชนในแต่ละศาสนาจะมีวันพิเศษสำหรับชุมนุมกันเพื่อบูชาและนมัสการ เช่นทุกวันอาทิตย์ ทุกวันศุกร์ ฯลฯ และจะมีผู้นำพิธี เช่น พระ บาทหลวง หรือโต๊ะอิหม่าม แต่สำหรับในยุคใหม่นี้ พระบาฮาอุลลาห์ได้วางรูปแบบของการชุมนุมให้ใหม่เรียกว่า งานฉลองบุญสิบเก้าวัน เป็นแบบแผนสังคมของระบบแห่งโลกยุคใหม่ โดยที่ไม่มีนักบวชเป็นผู้นำพิธีในงาน
ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์โอบอ้อมทุกหน่วยของสังคม ผนวกแนวทางด้านจิตใจ ด้านบริหารงานและด้านสังคมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อก่อสร้างอารยธรรมใหม่ และงานฉลองบุญสิบเก้าวันได้ประสานแนวทางของชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานของสังคม ซึ่งปฏิบัติการในหมู่บ้านและในเมือง เป็นสถาบันสำหรับการชุมนุมกันของบาไฮ ดังนั้นงานฉลองบุญมิใช่เป็นการชุมนุมเพียงเพื่อร่วมบูชาและนมัสการด้วยกันดังเช่นในอดีตเท่านั้น
งานฉลองบุญมีวิวัฒนาการตามพัฒนาการของศาสนา ในยุคเริ่มต้นของศาสนาในอิหร่าน ตามบัญชาของพระบาฮาอุลลาห์ บาไฮได้จัดงานชุมนุมกันที่บ้านของตนทุกสิบเก้าวันเพื่อต้อนรับในฐานะเป็นเจ้าภาพ และเป็นโอกาสที่บาไฮได้ดลใจกันและกันโดยการอ่านและอภิปรายพระธรรมคำสอน เมื่อชุมชนบาไฮเติบโตขึ้น พระอับดุลบาฮาได้อธิบายและเน้นภาคธรรมะและภาคสังสรรค์ของงานฉลองบุญ ภายหลังมีการก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่น ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้เสริมภาคบริหารเข้าไป และอบรมให้บาไฮเข้าใจว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นสถาบันหนึ่ง เป็นราวกับว่าดนตรีสามชิ้นประสานเสียงเป็นเพลงเดียวกันโดยบริบูรณ์แล้วในงานฉลองบุญสิบเก้าวันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังถือได้ว่า งานฉลองบุญเป็นสุดยอดของวิถีทางแห่งประวัติศาสตร์ เพราะองค์ประกอบพื้นฐานของชุมชนซึ่งได้แก่ การนมัสการ การฉลองรื่นเริง และการสามัคคีรวมกลุ่ม ได้มาบรรจบกันเป็นครั้งแรกนับแต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ งานฉลองบุญเป็นรากฐานของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เพราะเป็นสื่อกลางของการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดระหว่างเพื่อนบาไฮด้วยกัน และระหว่างบาไฮกับผู้แทนของพวกเขาคือสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น งานฉลองบุญยังเป็นโอกาสสำหรับส่งทอดข่าวสารจากสถาบันระดับชาติและระดับนานาชาติมายังสมาชิกในชุมชน และในทางกลับกันก็ส่งข้อเสนอแนะของบาไฮในท้องถิ่นไปยังสถาบันเหล่านี้ งานฉลองบุญจึงเป็นตัวเชื่อมชุมชนบาไฮในแต่ละท้องถิ่นเข้ากับโครงสร้างทั้งหมดของระบบบริหารบาไฮ
งานฉลองบุญเป็นสมรภูมิของประชาธิปไตยในระดับรากของสังคมโดยแท้ เพราะเป็นที่ซึ่งผู้ปกครองและราษฎร นั่นคือสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน ได้ร่วมประชุมกันอย่างใกล้ชิดด้วยความทัดเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นบาไฮที่ต่ำต้อยหรือบาไฮที่มีฐานะสูงในสังคม ทั้งผู้ปกครองและราษฎรต่างก็คำนึงถึงการเข้าร่วมฉลองบุญตามที่พระอับดุลบาฮาสอนไว้ว่า ?พวกเจ้าแต่ละคนต้องคิดถึงว่า จะทำให้ผู้อื่นในชุมชนมีความสุขและยินดีได้อย่างไร และแต่ละคนต้องถือว่าทุกคนที่นั่นดีกว่าและสำคัญกว่าตน รู้ว่าพวกเขามีฐานะสูง และเจ้ามีฐานะต่ำต้อย? ดังนี้แล้วบรรยากาศในงานฉลองบุญจะเอื้ออำนวยให้บาไฮแต่ละคนรู้สึกอบอุ่นใจและมีอิสระที่จะร่วมปรึกษาหารือและเสนอความคิดทั้งยังแน่ใจด้วยว่าความคิดของเขาจะได้รับฟังและรับพิจารณา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนใหญ่โตในสังคม การเสนอความคิดอาจเป็นไปเพื่อติชมการทำงานหรือนโยบายของผู้ปกครองนั่นคือธรรมสภาท้องถิ่น หรืออาจเสนอความคิดใหม่ จึงเห็นได้ว่างานฉลองบุญนอกจากจะเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาจิตใจร่วมกันแล้ว ยังปลูกฝังให้บาไฮแต่ละคนมีสำนึกในความรับผิดชอบต่อการปรับปรุงและพัฒนาสังคมของตนด้วย โดยการมีส่วนร่วมในภาคบริหารของงาน
ปฏิทินงานฉลองบุญสิบเก้าวัน | |||
เดือนที่ | วันที่ | ชื่อเดือนภาษาอาหรับ | ความหมาย |
1 | 21 มีนาคม | บาฮา | วิภา |
2 | 9 เมษายน | จาลาล | ความรุ่งโรจน์ |
3 | 28 เมษายน | จามาล | ความงาม |
4 | 17 พฤษภาคม | อาซามาต | ความโอฬาร |
5 | 5 มิถุนายน | นูร์ | แสงสว่าง |
6 | 24 มิถุนายน | ราหมาต | ความปรานี |
7 | 12 กรกฎาคม | คาลิมาต | วจนะ |
8 | 31 กรกฎาคม | คามาล | ความสมบูรณ์เลิศ |
9 | 20 สิงหาคม | อัสมา | พระนาม |
10 | 8 กันยายน | อิสซาต | อำนาจ |
11 | 27 กันยายน | มัสซยาต | ความประสงค์ |
12 | 16 ตุลาคม | อิลม์ | ความรู้ |
13 | 4 พฤศจิกายน | กุทราต | อานุภาพ |
14 | 23 พฤศจิกายน | โกล | พจนา |
15 | 12 ธันวาคม | มาชอเอล์ | คำถาม |
16 | 31 ธันวาคม | ซารัพ | เกียรติ |
17 | 19 มกราคม | สุลตาน | อธิปไตย |
18 | 7 กุมภาพันธ์ | มุลก์ | อาณาจักร |
19 | 2 มีนาคม | อลา | ความตระหง่าน |
การนับวันของบาไฮเริ่มภายหลังพระอาทิตย์ตกดินของวันวานและสิ้นสุดเมื่อพระ–อาทิตย์ตกดินของวันนั้น ดังนั้นสมมติว่าจะจัดงานฉลองบุญของเดือนที่ 19 ให้ตรงกับวันแรกของเดือนคือ 2 มีนาคม ต้องจัดระหว่างพระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 1 มีนาคม ถึง พระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 2 มีนาคม
ธรรมสภาแห่งชาติ
- การสถาปนาและบทบาทหน้าที่
?เกี่ยวกับการสถาปนาธรรมสภาแห่งชาติ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับทุกประเทศเมื่อสภาพการณ์เอื้ออำนวยและจำนวนมิตรสหายเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก…คือจะต้องสถาปนาธรรมสภาแห่งชาติทันทีเป็นตัวแทนของมิตรสหายทั่วประเทศ
จุดประสงค์ในขณะนี้ของธรรมสภาแห่งชาติคือเพื่อกระตุ้นรวบรวมและประสานงานกิจกรรมนานัปการของมิตรสหายและธรรมสภาท้องถิ่น โดยอาศัยการปรึกษาหารือกันเป็นส่วนตัวอยู่เสมอ ริเริ่มมาตรการและอำนวยการกิจการต่างๆ ของศาสนาในประเทศนั้นโดยการติดต่อกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ
อีกจุดประสงค์หนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เพราะในอนาคตธรรมสภาแห่งชาติจะพัฒนาขึ้นเป็นสภายุติธรรมแห่งชาติ(พาดพิงอยู่ในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาว่าเป็นสภายุติธรรมลำดับสอง) ซึ่งตามพระธรรมที่อยู่ในพินัยกรรม สภานี้จะต้องเลือกตั้งสมาชิกสภายุติธรรมนานาชาติ เป็นสภาสูงสุดที่จะนำทาง จัดระบบและประสานงานกิจการต่างๆ ของศาสนาทั่วโลก?
?ธรรมสภาแห่งชาตินี้ซึ่งระหว่างรอการสถาปนาสภายุติธรรมสากล จะต้องได้รับการเลือกตั้งใหม่ปีละครั้ง และมีความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง เพราะธรรมสภาแห่งชาติต้องปกครองธรรมสภาท้องถิ่นทั้งหมดในเขตของตน และต้องอำนวยการกิจกรรมต่างๆของมิตรสหาย เฝ้าระวังปกป้องศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ดูแลและกำกับกิจการของศาสนาโดยทั่วไป?
?เราควรเคารพธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น เพราะเป็นสถาบันที่ก่อตั้งโดยพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่าการคำนึงถึงบุคคลใดในสถาบันเหล่านี้?
?ไม่ว่าในสภาพแวดล้อมใด ธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรมีสิทธิ์วิจารณ์หรือต่อต้านนโยบายที่ธรรมสภาแห่งชาติกำหนดและรับรองไว้แล้ว ท่านหวังว่านับจากนี้ไป ปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่นในเรื่องแบบนี้ จะเป็นที่เข้าใจสำหรับบาไฮและธรรมสภาทั้งหลาย?
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติคล้ายกับสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น แต่ต่างกันที่สายงานบริหารเพราะธรรมสภาแห่งชาติต้องรับผิดชอบงานระดับชาติ ดูแลทั้งบาไฮในประเทศและธรรมสภาท้องถิ่น ประสานงานของธรรมสภาท้องถิ่นกับคณะกรรมการแห่งชาติ ธรรมสภาแห่งชาติเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองดูแลชุมชนบาไฮในประเทศ และเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างชุมชนในประเทศกับสภายุติธรรมสากล
?หนึ่งในหน้าที่สำคัญของธรรมสภาแห่งชาติคือการรับทราบสภาพการณ์ในชุมชนแต่ละท้องถิ่น พยายามชี้แนะมิตรสหายทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวมเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆของพวกเขา โดยการติดต่อเป็นส่วนตัวและโต้ตอบจดหมายอย่างสม่ำเสมอ?
?ขอให้เป็นที่ชัดเจนต่อผู้ซักถามทุกคนว่า ในบรรดาหน้าที่อันชัดเจนและศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ถูกเรียกให้ริเริ่ม กำกับและประสานงานกิจการทั้งหลายของศาสนา คือการทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อให้บรรดาผู้ที่เขาได้รับใช้มีความมั่นใจและรักใคร่ หน้าที่ของพวกเขาคือการไต่สวนและทำความคุ้นเคยกับทรรศนะ ความรู้สึกที่มีอยู่ทั่วไป ความมั่นใจส่วนตัวของบรรดาผู้ที่พวกเขามีหน้าที่ส่งเสริมความผาสุกให้ หน้าที่ของพวกเขาคือปรึกษาและดำเนินกิจการโดยปราศจากความถือตัว ความเคลือบแคลงใจ การวางอำนาจอย่างบีบคั้น กล่าวคือ ทุกคำพูดและการกระทำที่ส่อถึงความลำเอียง อัตตาและอคติ แม้สิทธิ์การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่พวกเขา พวกเขาก็มีหน้าที่เชิญการอภิปราย จัดหาข้อมูล ระบายข้อข้องใจ ต้อนรับคำแนะนำจากสมาชิกในครอบครัวบาไฮแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนสำคัญและต่ำต้อยที่สุด เปิดเผยเจตนาของตน แสดงแผนงานของตน ให้เหตุผลต่อการกระทำตน พิจารณาคำตัดสินใหม่หากจำเป็น ปลูกฝังสำนึกในการพึ่งพาและร่วมมือกัน ความเข้าใจและความมั่นใจซึ่งกันและกัน ระหว่างพวกเขากับธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮศาสนิกชน?
- ธรรมสภาแห่งชาติมีอำนาจโดยสมบูรณ์ แต่มิใช่เผด็จการ
?ท่านศาสนภิบาลต้องการให้ข้าพเจ้ายืนยันทรรศนะของท่านอีกครั้งว่า อำนาจบังคับบัญชาของธรรมสภาแห่งชาติในทุกเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานศาสนา ไม่มีใครก้าวก่ายหรือขัดขืนได้ และดังนั้นจำเป็นที่บาไฮทุกคน ผู้แทนกลุ่มต่างๆ และธรรมสภาท้องถิ่น ต้องเชื่อฟังอำนาจนี้อย่างจริงใจและไม่มีเงื่อนไข?
?การรวมอำนาจบังคับบัญชามาที่ธรรมสภาแห่งชาติ โดยที่ศูนย์อำนาจอยู่ที่ธรรมสภาท้องถิ่นต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างชัดเจนเมื่อเราตรึกตรองว่า ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในเยาว์วัยและกำลังเติบโต เมื่อเราระลึกถึงว่า ความสำคัญของคำสั่งของพระอับดุลบาฮาที่อยู่ในพินัยกรรมของพระองค์ไม่เป็นที่เข้าใจเต็มที่ และการเคลื่อนไหวทั้งหมดของศาสนายังไม่เป็นที่ชัดเจนพอต่อสายตาของโลก?
?ท่านศาสนภิบาลมีสิทธิ์จะแทรกแซงและยกเลิกคำตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติ หากท่านไม่มีสิทธิ์นี้ ท่านย่อมไร้ประสิทธิภาพในการปกป้องศาสนา เช่นเดียวกัน หากธรรมสภาแห่งชาติไม่มีสิทธิ์ยกเลิกคำตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่สามารถดูแลและชี้แนะความผาสุกระดับชาติของชุมชนบาไฮ…
เป็นหน้าที่ของธรรมสภาแห่งชาติที่จะใช้ความสุขุมรอบคอบที่สุด อดกลั้นและมีไหวพริบ เมื่อจัดการกิจการต่างๆ ของศาสนา ความขัดแย้งหลายอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างบาไฮศาสนิกชนมาจากความไม่เข้าใจศาสนาอย่างเพียงพอ ความกระตือรือร้นและความจริงใจเป็นล้นพ้น?
การบริหารส่วนกลางอาจรวมอำนาจมากเกินไปจนทำให้การบริหารส่วนท้องถิ่นกลายเป็นอัมพาต ดำเนินงานไม่คล่องตัวติดขัดหลายอย่าง ในทางกลับกันการบริหารส่วนท้องถิ่นอาจพยายามแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร ไม่ให้ใครมาควบคุม ซึ่งในขั้นรุนแรงอาจออกมาในรูปแบบของการพยายามแบ่งแยกดินแดน ความเกินไปของทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ระบบบริหารบาไฮ แม้ธรรมสภาแห่งชาติจะมีอำนาจบังคับบัญชาโดยสมบูรณ์และขัดขืนไม่ได้ และมีสิทธิ์ยกเลิกคำตัดสินของธรรมสภาท้องถิ่น แต่ธรรมสภาแห่งชาติก็มิได้ใช้อำนาจนี้พร่ำเพรื่อ และเปิดโอกาสให้ธรรมสภาท้องถิ่นได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในการดูแลชุมชนในท้องถิ่นของตน ธรรมสภาท้องถิ่นอาจตัดสินใจหรือดำเนินการบางอย่างไม่ถูกต้องตามหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมสภาท้องถิ่นที่ก่อตั้งใหม่และด้อยประสบการณ์ ธรรมสภาแห่งชาติมักจะเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่นก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงจริงๆ ส่วนเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่เข้าแทรกแซงอย่างจุกจิกหรือเข้มงดจนธรรมสภาท้องถิ่นท้อแท้ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิด ระบบบริหารบาไฮเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกซึ่งบาไฮต้องเรียนรู้โดยผ่านความถูกผิดเป็นธรรมดา เราสังเกตได้เช่นกันว่าสภายุติธรรมสากลมักจะเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่เสียหายร้ายแรงจริงๆ
ในทางกลับกัน ด้วยความเคารพในอำนาจของธรรมสภาแห่งชาติ ธรรมสภาท้องถิ่นจะรายงานการตัดสินใจและกิจกรรมของตนให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบอยู่เสมอ โดยไม่มีการปิดบังหรือลับลมคมใน เพื่อให้ธรรมสภาแห่งชาติคอยชี้แนะการดำเนินงานของตน ธรรมสภาท้องถิ่นจะไตร่ตรองอยู่เสมอว่าสิ่งต่างๆ ที่ตนจะทำนั้น ถูกต้องเหมาะสม เกินขอบเขตของตนหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจก็จะถามธรรมสภาแห่งชาติ ในลักษณะนี้เอง ?มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก? และ ?พลังชีวิตของศาสนาคือการร่วมมือกัน มิใช่เผด็จการ? คือหลักธรรมที่ขับเคลื่อนระบบบริหารบาไฮอยู่เสมอ
ระบบแห่งโลกใหม่ที่พลังพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์จะก่อให้เกิด จะเป็นระบบที่ค้ำจุนสมดุลระหว่างการรวมอำนาจส่วนกลางและการกระจายอำนาจให้ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นซึ่งให้ขอบเขตกว้างขวางสำหรับการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น
?เกี่ยวกับธรรมสภาแห่งชาติซึ่งมีความรับผิดชอบในการปกป้องบูรณภาพ ประสานงานกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นพลังชีวิตของชุมชนงานที่สำคัญในปัจจุบันคือการปรึกษาหารือกันว่าจะช่วยให้บาไฮแต่ละบุคคลและธรรมสภาท้องถิ่นต่างๆ ทำงานของพวกเขาให้สำเร็จดีที่สุดได้อย่างไร โดยการย้ำคำวิงวอน ความพร้อมที่จะปัดเป่าความเข้าใจผิดและขจัดอุปสรรคทั้งปวง โดยการดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างและเฝ้าระวังอย่างไม่เพลามือ สำนึกในความยุติธรรมอย่างสูง ถ่อมตัว อุทิศและกล้าหาญ สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติต้องสาธิตความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความก้าวหน้าของแผนงานที่พวกเขาและบาไฮในชุมชนเกี่ยวข้องอยู่?
?การบริหารงานที่เข้มงวดเกินไปอาจเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับศาสนาในเวลานี้มากกว่าการบริหารหย่อนเกินไป บาไฮส่วนใหญ่ยังอ่อนหัดในศาสนา และถ้าพวกเขาทำอะไรผิดพลาด ก็สำคัญไม่ถึงครึ่งหนึ่งของการที่พวกเขาถูกบั่นทอนกำลังใจ เพราะถูกสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าทำสิ่งนี้ไม่ทำสิ่งนั้น ธรรมสภาแห่งชาติที่ก่อตั้งใหม่ควรเป็นเสมือนพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความรัก คอยเฝ้าดูและช่วยเหลือลูกๆ มิใช่เป็นเสมือนผู้พิพากษาที่เข้มงวดที่คอยโอกาสใช้อำนาจพิพากษา?
?การตัดสินใจขึ้นอยู่กับธรรมสภาแห่งชาติว่าประเด็นนั้นๆ เป็นเรื่องระดับท้องถิ่น และควรสำรองไว้วำหรับการพิจารณาและตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่น หรือควรเป็นเรื่องของธรรมสภาแห่งชาติและควรสนใจเป็นพิเศษ ธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า เรื่องนั้นควรนำเสนอไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อปรึกษาหารือและตัดสินใจ?
?เรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อศาสนาในประเทศ เช่น การแปลและตีพิมพ์หนังสือบาไฮ มัชเชอริคุลอัสคาร์ งานสอนศาสนา และเรื่องที่คล้ายๆ กันที่ต่างจากกิจกรรมท้องถิ่น ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภาแห่งชาติโดยบริบูรณ์?
- เอกภาพในความหลากหลาย
ระบบบริหารบาไฮมิใช่แข็งทื่อ แต่เป็นระบบที่ได้รับการออกแบบไว้ให้มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และความต้องการของสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บาไฮทุกแห่งหนยึดถือหลักมูลฐานของระบบบริหารเหมือนกันอย่างเป็นเอกภาพ แต่จะมีความหลากหลายในรายละเอียดและวิธีการของการดำเนินงาน เช่นธรรมนิพนธ์บาไฮระบุไว้ว่า ธรรมสภาท้องถิ่นมีหน้าที่จัดงานฉลองบุญ ธรรมสภาท้องถิ่นทุกแห่งหนทั่วโลกจะจัดงานฉลองบุญเป็นสามภาคตามที่ธรรมนิพนธ์บาไฮกำหนดไว้ คือภาคธรรมะ ภาคบริหาร และภาคสังสรรค์ แต่รายละเอียดของแต่ละภาคนั้น ธรรมสภาแต่ละท้องถิ่น แต่ละประเทศสามารถจัดด้วยรูปแบบหลากหลายต่างๆ เช่นภาคสังสรรค์อาจมีดนตรี มีรับประทานอาหารหรือของว่าง หรือื่นๆ ตามแต่ละวัฒนธรรมและความเหมาะสม
?หลักธรรมมูลฐานที่วางไว้เกี่ยวกับระบบบริหารบาไฮ ต้องยึดถือตามนั้น แต่มีแนวโน้มที่ธรรมสภาทั้งหลายจะกำหนดวิธีการและข้อบังคับที่เป็นรายละเอียดต่อมิตรสหาย และท่านถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่องานของศาสนาและเป็นความไม่เข้าใจศาสนาเพียงพอ เท่าที่เป็นไปได้ ควรจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับกรณีต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น มิใช่กำหนดข้อบังคับเป็นผ้าห่มสำหรับปกคลุมทุกกรณีที่คล้ายกันที่อาจเกิดขึ้น เช่นนี้จะเป็นการรักษาความยืดหยุ่นของระบบบริหาร และป้องกันมิให้มีเส้นแดงมาขัดขวางงานของศาสนา ความเป็นเอกรูปของหลักธรรมมูลฐานเป็นสิ่งจำเป็น แต่มิใช่เป็นเอกรูปในรายละเอียดทุกอย่าง ในทางตรงข้าม ความหลากหลายของวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องในสถานการณ์ของแต่ละท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญ?
?ในศาสนาบาไฮ มีหลักการปฏิบัติงานของสถาบันบาไฮต่างๆ กำหนดไว้ในธรรมนิพนธ์บาไฮ และในธรรมนูญของธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น เป็นที่ชัดเจนว่าธรรมสภาแห่งชาติจะเผชิญกับสถานการณ์และปัญหาที่ต้องแก้แต่ไม่มีระบุไว้ในธรรมนิพนธ์หรือธรรมนูญ ในเรื่องดังกล่าว ธรรมสภาแห่งชาติควรกำหนดวิธีการของตนเองที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและความจำเป็นของชุมชนในประเทศ การถือตามวิธีการของธรรมสภาแห่งชาติอีกประเทศหนึ่งอาจมีประโยชน์ และไม่มีข้อคัดค้าน แต่ต้องเป็นที่เข้าใจว่า ในวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ประเด็นเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองของธรรมสภาแห่งชาติเอง
ดังนั้น ในเรื่องของหลักการควรเป็นเอกรูป แต่ในเรื่องของรายละเอียดและวิธีการ ไม่เพียงแต่อนุญาตให้มีความหลากหลายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่สนับสนุนด้วย เนื่องด้วยสภาพการณ์ทั้งหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ และอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละชุมชนในประเทศเดียวกัน ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้แนะนำมิตรสหายอยู่เป็นนิจว่า พวกเขาไม่ควรผ่อนผันในเรื่องของหลักการ แต่ควรยืดหยุ่นในรายละเอียดปลีกย่อย?
- การตัดสิทธิ์เลือกตั้งบาไฮ
?ในปัจจุบัน ธรรมสภาแห่งชาติเท่านั้นที่สามารถตัดสิทธิ์บริหารของบาไฮศาสนิกชน และไม่ควรมอบอำนาจนี้ให้ธรรมสภาท้องถิ่น?
?แม้ว่าศาสนายังเยาว์วัยและบาไฮหลายคนด้อยประสบการณ์ ดังนั้น จึงต้องใช้ความรักและความอดกลั้นแทนมาตรการที่เข้มงวด แต่ก็มิได้หมายความว่า ธรรมสภาแห่งชาติสามารถทนต่อความประพฤติอัปยศที่โจ่งแจ้ง ขัดกับคำสอนของศาสนา…คุณควรเฝ้าระวังและปกป้องชุมชนบาไฮ และเมื่อคุณเห็นบาไฮคนใดกระทำสิ่งที่เสื่อมเสียชื่อเสียงของศาสนา จงเตือนเขา และถ้าจำเป็นควรตัดสิทธิ์เลือกตั้งของเขาทันทีหากเขาปฏิเสธไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความประพฤติ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ความบริสุทธิ์ของศาสนาจะได้รับการอภิรักษ์?
แม้ว่าธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นเสมือนพ่อแม่ที่คอยดูแลและช่วยเหลือลูกด้วยความรักและความอดกลั้น ไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดเกินไป แต่ก็มิได้หมายความว่าธรรมสภาแห่งชาติจะหย่อนการควบคุมจนเกิดความเสียหายต่อศาสนา ธรรมสภาแห่งชาติจะเข้มงวดในกรณีที่มีการทำผิดกฎบาไฮอย่างร้ายแรง เช่น เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองซึ่งอาจมาในรูปของสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือหาเสียงให้นักการเมือง แต่งงานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ ทำผิดศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ธรรมสภาแห่งชาติก็ยังให้โอกาสบาไฮเสมอ เมื่อทำผิดครั้งแรก ไม่ตัดสินลงโทษทันที เพราะบาไฮหลายคนอาจยังไม่เข้าใจศาสนาเพียงพอ หรือทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าผิดกฎของศาสนา ก่อนจะตัดสิทธิ์บริหารซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดรองจากการขับไล่ออกจากศาสนา ธรรมสภาแห่งชาติจะเตือนบาไฮผู้นั้นเพื่อให้เขาเลิกพฤติกรรมดังกล่าว และถ้าหากเขายังไม่เชื่อฟัง จึงตัดสิทธิ์เลือกตั้ง
?เกณฑ์ดีที่สุดที่คุณสามารถใช้วัดระดับจิตใจของธรรมสภาคือ ความรู้สึกรับผิดชอบสมาชิกธรรมสภาที่มีต่อความผาสุกของกลุ่ม และเป็นไปได้ที่พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องตัดสิทธิ์การเลือกตั้งใครคนหนึ่ง ก็เพียงเพื่อคุ้มครองคนอื่นที่เหลือ มิใช่เพียงเพื่อจะลงโทษ?
?ผู้ที่เสียสิทธิ์เลือกตั้งยังถือว่าเป็นบาไฮ แต่มิใช่บาไฮสถานภาพดีและอยู่ภายใต้ข้อห้ามและข้อจำกัดดังต่อไปนี้
เขาไม่สามารถเข้าร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวัน หรือการประชุมอื่นๆ ที่จัดสำหรับบาไฮเท่านั้น รวมทั้งการประชุมนานาชาติและดังนั้นไม่สามารถมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของชุมชน
เขาไม่สามารถบริจาคให้กองทุนบาไฮ
เขาไม่สามารถรับข่าวสารและสิ่งตีพิมพ์ที่แจกจ่ายให้เฉพาะบาไฮเท่านั้น
เขาไม่สามารถเข้าพิธีแต่งงานบาไฮ และดังนั้นไม่สามารถแต่งงานกับบาไฮ
เขาไม่ได้ไปแสวงบุญ
แม้ว่าเขามีอิสระในการสอนศาสนาเป็นการส่วนตัว ไม่ควรใช้เขาเป็นครูหรือผู้บรรยายในรายการที่อุปถัมภ์โดยบาไฮ
เขาถูกห้ามมิให้เข้าร่วมกิจกรรมด้านบริหาร รวมทั้งสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งบาไฮ
เขาไม่สามารถดำรงตำแหน่งในสถาบันบาไฮ หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ
เขาไม่ควรได้รับหนังสือรับรอง(ที่แสดงนัยว่าเขาเป็นบาไฮที่สถานภาพดี)
…กล่าวโดยทั่วไป แม้ว่าบาไฮที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งจะไม่ถูกตัดสิทธิ์อย่างอื่นยกเว้นตามที่กล่าวข้างบนนี้ แต่ตามที่กำหนดเงื่อนไขไว้สิทธิ์ไม่ถูกปฏิเสธคือดังต่อไปนี้
เขาสามารถร่วมงานวันศักดิ์สิทธิ์เก้าวัน
เขาสามารถร่วมงานบาไฮที่เปิดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮ
เขาสามารถรับสิ่งตีพิมพ์ที่แจกจ่ายให้ผู้ที่มิใช่บาไฮด้วย
เขามีอิสระที่จะสอนศาสนา เพราะบาไฮทุกคนได้รับบัญชาจากพระบาฮาอุลลาห์ให้สอนศาสนา
การสมาคมกับบาไฮคนอื่นไม่เป็นที่ห้าม
เขาสามารถมีพิธีฝังศพบาไฮถ้าเขาหรือครอบครัวขอ และสามารถได้รับการฝังในสุสานบาไฮ
เขาไม่ควรถูกปฏิเสธในการกุศลของบาไฮด้วยเหตุผลว่าเขาสูญเสียสิทธิเลือกตั้ง
สถาบันบาไฮอาจใช้งานเขา แต่ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าควรเป็นงานประเภทไหน
เขาควรมีหนทางติดต่อกับธรรมสภา?
การเสียสิทธิเลือกตั้งบาไฮหรือสิทธิในระบบบริหาร เป็นเงื่อนไขชั่วคราว เพราะเป็นบทลงโทษในส่วนของการบริหารและผู้นั้นยังเรียกตัวเองว่าเป็นบาไฮ และถ้าหากเขาพยายามแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ได้ทำไป เขาควรได้รับการช่วยเหลือให้กลับสู่สถานภาพเดิม และสามารถขอธรรมสภาแห่งชาติให้เขามีสิทธิเหมือนเดิม การเสียสิทธิเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ต่างจากการถูกขับไล่ออกจากศาสนา ซึ่งมีผลกระทบถึงวิญญาณด้วยเช่นผู้ละเมิดพระปฏิญญา เพราะผู้นั้นไม่เพียงเสียสิทธิในระบบบริหาร แต่ยังหมดสภาพการเป็นบาไฮด้วยและไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นบาไฮ สภายุติธรรมสากลเท่านั้นที่มีสิทธิในการตัดสินใจขับไล่ใครออกจากศาสนา
- คณะกรรมการแห่งชาติ
?สมาชิกภายในธรรมสภาบาไฮหรือคณะกรรมการ เป็นข้อผูกพันที่ศักดิ์สิทธิ์ และควรเป็นที่ยอมรับอย่างยินดีและมั่นใจสำหรับบาไฮที่ซื่อสัตย์และมีสำนึกผิดชอบทุกคนในชุมชน ไม่ว่าเขาจะต่ำต้อยด้อยประสบการณ์เพียงไหน?
กิจกรรมบางอย่างมิได้อยู่ภายใต้ขอบเขตของธรรมสภาท้องถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงผู้เดียว ธรรมสภาแห่งชาติจะแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อรับผิดชอบกิจการนั้น คณะกรรมการนี้จะได้รับการแต่งตั้งใหม่ทุกปี และอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ ในท้องถิ่นที่มีชุมชนขยายตัวออกมาก ธรรมสภาท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการท้องถิ่นได้เช่นกัน
?สมาชิกและหน้าที่ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาโดยธรรมสภาแห่งชาติ ควรได้รับการพิจารณาใหม่แต่ละปีโดยธรรมสภาแห่งชาติชุดใหม่ คณะกรรมการเหล่านี้มีบทบาทในการศึกษาเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายให้ถี่ถ้วนอย่างผู้ชำนาญ ให้คำแนะนำโดยการรายงาน และช่วยดำเนินการตามคำตัดสินใจ ซึ่งสำหรับเรื่องที่สำคัญจะเป็นการตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติเพียงผู้เดียว สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติต้องเฝ้าระวังเป็นที่สุดและพยายามเต็มที่ หากพวกเขาปรารถนาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมกับงานรับผิดชอบที่สูงส่งนี้ ตามสภาพแวดล้อมที่จำกัดในปัจจุบันพวกเขาควรพยายามค้ำจุนสมดุลในลักษณะที่ ความชั่วร้ายของการรวมอำนาจมากเกินไป ซึ่งจะเป็นอุปสรรคและสับสน และในระยะยาวจะบั่นทอนคุณค่าการรับใช้ของบาไฮจะถูกปัดออกไปโดยสมบูรณ์ และอันตรายของการกระจายอำนาจจนหมดสิ้นพร้อมกับผลที่ตามมาคือ อำนาจปกครองหลุดจากมือของผู้แทนแห่งชาติ จะถูกเบี่ยงออกไปอย่างเด็ดขาด?
ประสบการณ์การรับใช้ในสถาบันบาไฮ จะช่วยให้บาไฮมีความชำนาญมากขึ้นในการรักษาสมดุลระหว่างการรวมอำนาจและการกระจายอำนาจอย่างเหมาะสม สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่าควรกำหนดนโยบาย แผนงาน แนวทางต่างๆ ให้คณะกรรมการแห่งชาติมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้งานดำเนินไปตรงตามวัตถุประสงค์ โดยไม่กำหนดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่จะทำให้คณะกรรมการแห่งชาติทำงานไม่คล่องตัว คณะกรรมการแห่งชาติจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่า ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนอยู่แค่ไหน สิ่งไหนตนสามารถตัดสินใจและปฏิบัติการได้เลย สิ่งไหนตนต้องขอปรึกษากับธรรมสภาแห่งชาติหรือให้ธรรมสภาแห่งชาติเป็นผู้ตัดสินใจ
ถึงแม้คณะกรรมการแห่งชาติแต่ละชุดมีอายุเพียงหนึ่งปี และสมาชิกของคณะกรรมการชุดใหม่อาจเปลี่ยนไป แต่สมาชิกของคณะกรรมการแห่งชาติก็ไม่ควรคิดว่าตนอยู่แค่ปีเดียว แต่ควรทำหน้าที่ในลักษณะที่เป็นสถาบันที่ต้องดำเนินงานตามเป้าหมายต่อไป แม่ว่าเป้าหมายหรือแผนงานจะกินเวลายาวกว่านั้น
?แต่ละคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ ควรปฏิบัติตามหน้าที่และวัตถุประสงค์ซึ่งมักกินเวลานานกว่าวาระที่ตนอยู่ในหน้าที่ ดังเช่น ธรรมสภาแห่งชาติสัมพันธ์ตนเองกับเป้าหมายของแผนงานเก้าปี สมาชิกของธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการควรปฏิบัติเหมือนกัน เพื่อว่าพลังที่ต่อเนื่องจะขับเคลื่อนงานสำคัญที่แต่ละธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการแห่งชาติรับผิดชอบอยู่
อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นที่วาระของคณะกรรมการจะหมดอายุตอนเรซวาน เพื่อจะให้มีการต่อเนื่อง อาจเป็นการดีที่จะเริ่มต้นปีของคณะกรรมการในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ?ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสมาชิกของคณะกรรมการไม่มากนักจะช่วยรักษาความต่อเนื่องของความคิดและการกระทำ?
- คณะกรรมการแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น
?ธรรมสภาท้องถิ่นควรได้รับการสนับสนุนให้ตระหนักว่า คณะกรรมการแห่งชาตินั้นตั้งขึ้นมามิใช่เพื่อบงการ แต่เพื่อสนองความต้องการของธรรมสภาท้องถิ่น และประสานงานของศาสนาซึ่งปัจจุบันกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว…คณะกรรมการที่อยู่ในปัญหาควรใช้ไหวพริบในการทำงานกับธรรมสภาท้องถิ่นที่รู้สึกว่าตนเริ่มจะเป็นงาน เพราะหากว่าความรู้สึกนี้ได้รับการอุ้มชูอย่างเหมาะสม ก็จะกลายเป็นความเข้มแข็งและไม่ต้องการพึ่งใคร มิใช่อ่อนแอและต้องพึ่งพาสถาบันอื่นอยู่เรื่อย อย่างไรก็ตามธรรมสภาท้องถิ่นควรร่วมมือและไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของคณะกรรมการแห่งชาติ?
7
สภายุติธรรมสากล
?ดูกร คาร์เมล…ในไม่ช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแล่นเรือแห่งความรอดพ้นบนเจ้า และจะแสดงประชาชนแห่งบาไฮให้ปรากฏ ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์แห่งนาม?
ในช่วงท้ายของชีวิต พระบาฮาอุลลาห์ได้เปิดเผยพระวจนะข้างบนนี้อยู่ในธรรมจารึกคาร์เมล และประมาณ 70 ปีต่อมาหลังจากการเปิดเผยธรรมจารึกนี้ พระวจนะนี้บังเกิดขึ้นเป็นจริงด้วยการสถาปนาสภายุติธรรมสากล โดยการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963
?เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภายุติธรรมสากลที่จะปรึกษากันในเรื่องที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในคัมภีร์ และบังคับใช้สิ่งที่พวกเขาเห็นสมควร พระผู้เป็นเจ้าจะดลใจพวกเขาในสิ่งที่พระองค์ปรารถนา?
?เรื่องหลักๆ ที่สำคัญและเป็นรากฐานของกฎของพระผู้เป็นเจ้าได้รับจารึกไว้ในพระธรรม แต่กฎปลีกย่อยทั้งหลายจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล ที่เป็นเช่นนี้เพราะยุคสมัยไม้เคยคงอยู่เหมือนเดิม เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นลักษณะของโลกนี้ ซึ่งรวมถึงกาลเวลาและสถานที่ ดังนั้นสภายุติธรรมสากลจะดำเนินการที่เหมาะสมตามความเปลี่ยนแปลง?
?เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภายุติธรรมสากลที่จะชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งและปรึกษากันเกี่ยวกับปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ปัญหาที่ยังคลุมเครือ และเรื่องที่มิได้บันทึกไว้แน่ชัดในคัมภีร์ อะไรก็ตามที่พวกเขาตัดสินใจจะมีผลเช่นเดียวกับพระธรรม เนื่องด้วยสภายุติธรรมนี้มีอำนาจในการออกกฎต่างๆ ที่มิได้บันทึกไว้แน่ชัดในคัมภีร์ และมีผลต่อธุรกิจประจำวัน ดังนั้น สภายุติธรรมสากลก็มีอำนาจในการยกเลิกกฎนั้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในปัจจุบันสภายุติธรรม–สากลออกกฎข้อหนึ่ง และร้อยปีหลังจากนั้นสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป สภายุติธรรมสากลก็มีอำนาจที่จะเปลี่ยนกฎนั้นตามความจำเป็นของยุคสมัย สภายุติธรรมสากลทำเช่นนี้ได้เพราะว่ากฎนั้นมิได้เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมสวรรค์ สภายุติธรรมสากลเป็นทั้งผู้ออกกฎและยกเลิกกฎของตนเอง?
ทุกห้าปี สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลกจะลงคะแนนเลือกตั้งบาไฮ 9 ท่าน เป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล อำนาจในการออกกฎและยกเลิกกฎของตนเองของสภายุติธรรมสากล ทำให้ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์เป็นระบบที่ยืดหยุ่น สามารถปรับตัวในสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เป็นการปรับตัวที่ได้รับการประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด ต่างจากในอดีตที่ผู้นำศาสนาทั้งหลายต่างพยายามปรับหรือดัดแปลงกฎบัญญัติของศาสนาตามความเข้าใจของตน เพื่อให้เหมาะกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และลงเอยที่ความสับสน ความขัดแย้งและแตกแยกในศาสนา
?กล่าวโดยย่อ นี้คือข้อดีของการเสนอกฎต่างๆ ของสังคมให้สภายุติธรรมพิจารณา ในศาสนาอิสลามมีลักษณะคล้ายกันคือบัญญัติที่เปิดเผยไว้มิใช่ชัดเจนทุกข้อ…แม้ว่าเรื่องหลักๆ ที่สำคัญจะพาดพิงไว้อย่างเจาะจง แต่ก็มีกฎอีกนับพันที่มิได้ระบุไว้ซึ่งคิดขึ้นมาโดยนักบวชของยุคหลัง ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมศาสตร์ของอิสลาม นักบวชแต่ละคนต่างก็ใช้เหตุผลของตนสรุปบัญญัติดั้งเดิมออกมาอย่างขัดแย้งกัน แล้วนำกฎเหล่านี้มาใช้ ในปัจจุบันการสรุปนี้เป็นสิทธิ์ของสภายุติธรรมสากล การใช้เหตุผลหาข้อสรุปของผู้แก่วิชาทั้งหลายไม่มีอำนาจ นอกจากจะได้รับการรับรองโดยสภายุติธรรมสากล ความแตกต่างอยู่ที่ตรงนี้คือ โดยการสรุปและรับรองของสภายุติธรรมสากล ซึ่งสมาชิกของสภานี้เป็นที่รู้จักและเลือกตั้งจากชุมชนบาไฮทั่วโลก ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้น แต่การสรุปของนักบวชและนักวิชาการแต่ละคนย่อมนำไปสู่ความขัดแย้ง ก่อให้เกิดการแตกเป็นนิกาย แบ่งแยกและแตกกระจาย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของโลกย่อมถูกทำลาย เอกภาพของศาสนาย่อมสูญหายไป และสถาบันของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าย่อมสั่นคลอน?
สภายุติธรรมสากลและศาสนภิบาลเป็นสถาบันคู่ที่สืบทอดพระปฏิญญาต่อจากพระอับดุลบาฮา แม้ว่าท่านศาสนภิบาลจะทำหน้าที่นี้ก่อนสภายุติธรรมสากล แต่ทั้งสองสถาบันก็มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน นั่นคือท่านศาสนภิบาลจะเป็นผู้ตีความหมายของวจนะโดยไม่ออกกฎใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของท่าน ท่านนำทางชุมชนบาไฮทั่วโลกโดยการตีความและใช้กฎที่มีอยู่ในคัมภีร์ ในทางกลับกัน สภายุติธรรมสากลมีอำนาจในการออกกฎที่ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนในคัมภีร์ แต่ไม่มีอำนาจในการตีความหมายวจนะ สภายุติธรรมสากลจะไม่ตีความว่า พระวจนะเร้นลับข้อนั้นข้อนี้หมายความว่าอย่างไร แต่จะใช้เหตุผลสรุปจากธรรมนิพนธ์ที่เปิดเผยไว้ รวมทั้งการตีความที่พระอับดุลบาฮาและท่านโชกิ เอฟเฟนดิให้ไว้มากมาย เพื่อนำทางชุมชนบาไฮและออกกฎใหม่ที่ไม่ขัดแย้งกับกฎที่มีอยู่ในคัมภีร์ ซึ่งการใช้เหตุผลสรุปนี้จะได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าและไม่มีผิดพลาด
?…เป็นที่ประจักษ์และชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ท่านศาสนภิบาลถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตีความหมายของพระวจนะ และสภายุติธรรมสากลได้รับอำนาจในการออกกฎเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในพระธรรมคำสอน การตีความของท่านศาสนภิบาลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในขอบเขตของตน มีอำนาจผูกมัดเช่นเดียวกับการออกกฎของสภายุติธรรมนานาชาติ ผู้ซึ่งมีสิทธิพิเศษเพียงผู้เดียวในการประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับกฎและบัญญัติที่พระบาฮาอุลลาห์มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจน ทั้งคู่ไม่สามารถก้าวก่ายขอบเขตอันศักดิ์สิทธิ์ของกันและกัน จะไม่ลดทอนอำนาจของกันและกันตามที่กำหนดไว้อย่างแน่ชัด ซึ่งต่างก็ได้รับการประสาทจากสวรรค์
แม้ว่าท่านศาสนภิบาลจะถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าที่ถาวรของหมู่คณะผู้สูงสง่า ท่านก็ไม่สามารถถือสิทธิ์ในการออกกฎแม้จะเป็นเพียงชั่วคราว…?
?จุดกำเนิด อำนาจ หน้าที่ ขอบเขตของการปฏิบัติงานของสภายุติธรรมสากล สืบมาจากพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งพร้อมกับการตีความและขยายความของศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญาและของท่านศาสนภิบาลผู้มีอำนาจในการตีความคัมภีร์บาไฮแต่เพียงผู้เดียวต่อจากพระอับดุลบาฮา คือขอบเขตหน้าที่และรากฐานของสภายุติธรรมสากล จนกว่าจะถึงเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมหิทธานุภาพจะเปิดเผยพระผู้แสดงธรรมองค์ใหม่ ซึ่งอำนาจทั้งหมดจะเป็นของพระองค์?
ด้วยอำนาจสวรรค์ที่ประสาทให้สภายุติธรรมสากลเป็นสถาบันเดียวในโลกที่ไม่มีผิดพลาด เป็นสถาบันสูงสุดของระบบบริหารบาไฮที่จะนำทางไม่เพียงแต่ธรรมสภาแห่งชาติ ธรรมสภาท้องถิ่นและสถาบันทั้งหลายของโลกบาไฮเท่านั้น แต่จะนำทางมวลมนุษยชาติไปสู่การสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ ซึ่งจะเป็นอารยธรรมขั้นสูงสุดของมนุษยชาติบนดาวนพเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี้ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้กล่าวถึงคร่าวๆ ของสหพันธรัฐว่า จะมีสภานิติบัญญัติแห่งโลก มีคณะบริหารแห่งโลกที่หนุนโดยกองกำลังนานาชาติ มีศาลแห่งโลก มีนครหลวงแห่งโลก มีภาษาแห่งโลก ระบบสากลของเงินตรา หน่วยน้ำหนัก หน่วยการวัด ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันเราไม่สามารถเข้าได้ถ่องแท้ แต่กาลเวลาและสภายุติธรรมสากลจะเป็นผู้คลี่คลายต่อเราทีละน้อยว่า สหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮจะมีขั้นตอนวิวัฒนาการขึ้นมาอย่างไร จะมีรูปโฉมและการปฏิบัติงานอย่างไร
?ไม่เพียงแต่ธรรมสภาทั้งหลายในอนาคตจะมีรูปแบบต่างจากปัจจุบัน แต่ยังจะมีอำนาจ หน้าที่และสิทธิต่างๆ เพิ่มเติมจากหน้าที่ในปัจจุบันด้วย ซึ่งจะเป็นผลมาจากการยอมรับศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ว่า ไม่ใช่เป็นเพียงระบบศาสนาหนึ่งของโลกเท่านั้น แต่เป็นศาสนจักรของอภิรัฐเอกราช และเมื่อศาสนาบาไฮซึมซาบเข้าไปในมวลชนของประเทศตะวันออกและประเทศตะวันตกและสัจธรรมบาไฮเป็นที่ยอมรับโดยประชาชนส่วนใหญ่ของรัฐจำนวนหนึ่ง สภายุติธรรมสากลจะขึ้นถึงขีดสุดของอำนาจ เป็นองค์กรสูงสุดของสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ และจะมีสิทธิและความรับผิดชอบทุกประการตามหน้าที่ของอภิรัฐแห่งโลกในอนาคต?
?ตามกฎมูลฐานที่เราได้เปิดเผยไว้ก่อนหน้าที่ในคัมภีร์คีตาบี อัคคัส และธรรมจารึกอื่นๆ กิจการทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของการกษัตริย์และประธานาธิบดีที่ยุติธรรมทั้งหลายและสมาชิกสภายุติธรรมสากลด้วยการตรึกตรองสิ่งที่เราได้แถลงไว้ มนุษย์ทุกคนที่เที่ยงธรรมและหลักแหลมจะแลเห็นความสว่างไสวที่ส่องมาจากดวงตะวันแห่งความยุติธรรม?
พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผยผ่านมาทางพระบาฮาอุลลาห์ในยุคนี้ มีอานุภาพที่จะบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามที่พระวจนะกล่าวไว้ ในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์มีชีวิตอยู่เมื่อร้อยปีก่อนและทรงเปิดเผยธรรมจารึกเคเมล ซึ่งแสดงนัยไว้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้จะเป็นเรือแห่งความรอดพ้น หากเรานึกภาพในเวลานั้นที่ยังไม่มีระบบบริหารบาไฮให้เห็น เพราะไม่มีแม้แต่ธรรมสภาท้องถิ่น บาไฮในสมัยนั้นคงนึกไม่ออกว่า ภูเขาคาเมลที่ว่างเปล่าจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งโลกบาไฮในปัจจุบันได้อย่างไร ซึ่งเริ่มจากการก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่น ต่อมามีธรรมสภแห่งชาติ และในที่สุดมีการสถาปนาสภายุติธรรมสากลในปีค.ศ. 1963 เป็นการบรรลุผลตามพระวจนะในธรรมจารึกคาเมล และตามมาด้วยการก่อสร้างอาคารต่างๆ บนภูเขาคาเมลซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเตรียมเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลกในอนาคต นำนองคล้ายกัน บาไฮในปัจจุบันจะนึกภาพไม่ออกว่าสภายุติธรรมสากลจะมีขั้นตอนวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นองค์กรสูงสุดของสหพันธรัฐแห่งโลกในอนาคตอย่างไร และจะมีรูปแบบการปฏิบัติงานอย่างไร
?พระบาฮาอุลลาห์ทรงพาดพิงถึงเรือแห่งความรอดพ้น ซึ่งผู้ที่อยู่ในเรือคือสมาชิกสภายุติธรรมสากล และดังที่ต้องตรงกับเงื่อนไขที่อยู่ในพินัยกรรมของปฏิญญาที่ทรงอำนาจ สภานี้จะเป็นองค์กรที่วางกฎต่างๆ ที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในพระธรรมในยุคศาสนานี้ กฎเหล่านี้ถูกกำหนดให้หลั่งไหลมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ดังเช่นในยุคศาสนาของพระโมเสสที่กฎของพระผู้เป็นเจ้าประกาศออกมาจากไซออน?162
8
พระหัตถ์ศาสนา
ในสมัยพระบาฮาอุลลาห์ พระองค์บัญชาบาไฮที่มีความรู้และมีความสามารถในการอภิปรายเกี่ยวกับข้อพิสูจน์และหลักธรรมของศาสนา ให้เป็นครูเดินทางไปทั่วเปอร์เซีย เพื่อช่วยบาไฮในท้องถิ่นต่างๆ สอนศาสนา ไม่ใช่บาไฮทุกคนที่มีความสามารถในการพูด และพวกเขาจะใช้วิธีอื่นเช่น ดำเนินชีวิตบาไฮเป็นตัวอย่างจนทำให้เพื่อนบ้านประทับใจและเข้ามาสนิทสนม จากนั้นก็จะนัดให้เพื่อนบ้านได้พบปะพูดคุยกับครูบาไฮ หรือเปิดบ้านคอยต้อนรับผู้ที่สนใจ แล้วนัดให้ครูบาไฮมาที่บ้านเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับศาสนา แนวทางปฏิบัติที่สุขุมรอบคอบเช่นนี้ได้ช่วยสอนประชาชนมากมายให้เข้าใจสัจจะและหันมาเป็นบาไฮ และยังคงดำเนินต่อไปในสมัยของพระอับดุลบาฮาและท่านโชกิ เอฟเฟนดิ
พระบาฮาอุลลาห์ได้แต่งตั้งครูบาไฮเหล่านี้ 4 คนให้เป็นพระหัตถ์ศาสนา และทรงกำหนดหน้าที่ให้เผยแพร่ศาสนา อบรมบาไฮทั้งหลายให้ลึกซึ้งในศาสนา และปกป้องศาสนา ความสำคัญของตำแหน่งพระหัตถ์ศาสนาในเวลานั้นยังไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจและไม่เด่นชัด เพราะพระบาฮาอุลลาห์มิได้ประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเหมือนในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ และพระหัตถ์ศาสนาก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ตนเคยทำอยู่แล้วก่อนแต่งตั้ง พระหัตถ์ศาสนา 4 คนที่พระบาฮาอุลลาห์แต่งตั้งคือ
- ฮาจิ มุลลา อาลี อัคบาร์ (ฮาจี อาคูนด์)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้พบกับชาวบาบีในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์อยู่ที่แบกแดด หลังจากที่ได้อ่านคัมภีร์คีตาบี อีคาน ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ภายหลังจากมาเป็นบาไฮ ท่านถูกนักศึกษาศาสนศาสตร์ขับไล่ออกจากเมืองมัชฮัด จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดที่หมู่บ้านในมณฑลคูราซอนและสอนศาสนาที่นั่น และถูกศรัตรูโจมตีอีก หลังจากนั้นท่านจากครอบครัวไปเมืองเตหะราน แล้วถูกนักบวชมุสลิมต่อต้านการสอนศาสนาของท่านอีกเช่นกัน ท่านต้องประสบความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตในการรับใช้พระบาฮาอุลลาห์ ?ในวันแต่งงานนั้นท่านมีเพียงห้องเก่าๆ ที่พุพังและแทบไม่มีเครื่องใช้อะไรเลยในห้อง หลังจากแต่งงานได้ 3 วันท่านก็ถูกจับตัวไปเข้าคุก ท่านถูกจำคุกรวมทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นในราวปี ค.ศ.1868 โดยคำสั่งของนักบวชเมืองเตหะราน ท่านถึงแก่กรรมในปีค.ศ.1910
- มีร์ซา อาลี โมฮัมหมัด (อิบเน อัสดัค)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้เป็นบุตรของบาไฮที่เรืองนามที่สุดคนหนึ่ง ในวัยเด็กท่านได้ติดตามบิดาไปพบพระบาฮาอุลลาห์ที่แบกแดด หลังจากกลับมาที่เมืองเตหะราน ท่านกับบิดาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 4 เดือนในฐานะที่เป็นบาไฮ ท่านล้มป่วยอย่างหนักในคุกนี้และไม่มีแพทย์ผู้ใดเต็มใจจะรักษาชาวบาบี จนในที่สุดแพทย์ชาวยิวผู้มีชื่อเสียงและเป็นแพทย์ประจำราชสำนักของกษัตริย์ชาห์ชื่อ ฮาคิม มาซิห์ มารักษาท่านถึงในคุก แพทย์ผู้นี้จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาบาไฮและเปลี่ยนเป็นบาไฮ นับเป็นชาวยิวรุ่นแรกที่เป็นบาไฮ
ก่อนหน้านี้แพทย์ผู้นี้เคยติดตามกษัตริย์ชาห์ไปแบกแดดและมีโอกาสเข้าฟังทอเฮเรย์อภิปรายธรรมะต้อนหมู่นักบวชมุสลิมจนมุม เขาจึงอยากรู้มากว่าทอเฮเรย์เรียนวิชามาจากไหนจึงเก่งเช่นนั้น และเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสนาบาไฮเมื่อมารักษาพระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ในคุกเมื่อท่านยังเป็นเด็กน้อยอยู่ คนหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากแพทย์ผู้นี้คือ ดร.ลุทฟุลลา ฮาคิม ซึ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากลปี ค.ศ.1963
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงผู้เป็นเหลนของกษัตริย์ชาห์ จึงทำให้ท่านได้มีโอกาสใกล้ชิดและสอนศาสนาให้กับบุคคลระดับสูง ในปี ค.ศ.1919 ท่านได้เดินทางไปยุโรปเพื่อนำธรรมจารึกของพระอับดุลบาฮาที่ตรัสถึง Central Organization for a Durable Peace ไปให้ที่กรุงเฮก นอกจากนี้ท่านยังมีบทบาทการรับใช้ที่สำคัญในด้านวรรณกรรมบาไฮ การจัดอบรมสตรีบาไฮในเมืองเตหะราน และได้นำตำราศิลปะการปกครองที่เขียนโดยพระอับดุลบาฮาไปมอบให้กษัตริย์ชาห์ในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1928
- มีร์ซา โมฮัมหมัด ตาคี (อิบเน อับฮัร)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเช่นกัน ท่านถูกต่อต้านในหมู่บ้านของท่านเองและต้องย้ายไปอยู่ที่ซานจอน ซึ่งนักบวชที่นั่นก็ลุกขึ้นต่อต้านและจับท่านขังคุกอย่างทรมานแสนสาหัส อีกครั้งหนึ่งในปี 1891 ท่านถูกจับเข้าคุกในเมืองเตหะรานและถูกทรมานในคุกอย่างหนัก ท่านถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณในคุกจนท่านไม่ยอมออกมาพบสตรีบาไฮที่มาเยี่ยมท่าน เพราะไม่อยากให้พวกเธอเห็นสภาพร่างกายของท่าน แต่ท่านภูมิใจที่สุดที่ถูกล่ามโซ่ที่คอด้วยโซ่เดียวกันที่เคยใช่ล่ามพระบาฮาอุลลาห์ เมื่อรูปถ่ายที่ท่านยืนพร้อมกับมีโซ่ล่ามคอและมีผู้คุมคุกอยู่ข้างๆ ไปถึงพระอับดุลบาฮา พระอับดุลบาฮาทรงปลื้มใจมากที่ได้เห็นรูปท่านยืนอยู่อย่างองอาจไม่สะทกสะท้านต่อการถูกทรมาน เมื่อพระบาฮาอุลลาห์เสด็จปรินิพพาน ท่านยังอยู่ในคุกและเศร้าโศกมาก พระอับดุลบาฮาได้ลิขิตธรรมจารึกถึงท่านเพื่อช่วยปลอบโยน และแนะนำให้ท่านอ่านคัมภีร์กุรอ่าน ซึ่งเป็นคัมภีร์เดียวที่มีให้อ่านในคุก ในปี ค.ศ.1907 ท่านได้เดินทางไปอินเดียพร้อมกับบาไฮชาวอเมริกันอีกสองคนเพื่อส่งเสริมงานศาสนาต่อจากบาไฮคนก่อนๆ เคยทำไว้
การแต่งงานของท่านเป็นเรื่องที่น่าสนใจ พระอับดุลบาฮาต้องการให้ท่านแต่งงานกับลูกสาวของพระหัตถ์ศาสนา มุลลา อาลี อัคบาร์ ครั้งที่พระบาฮาอุลลาห์เสด็จปรินิพพานและท่านยังอยู่ในคุก ท่านได้สาบานตนว่าจะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้ศาสนา ท่านจึงยืนกรานอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมแต่งงาน เพราะกลัวว่าจะต้องมีภาระรับผิดชอบต่อครอบครัว และจะไม่สามารถอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้ศาสนา และจะเป็นการผิดคำสาบานจนในที่สุดพระอับดุลบาฮาเรียกท่านไปพบและทรงกล่าวต่อท่านว่า ?คนดีของเรา เราเป็นศูนย์กลางของพระปฏิญญา ถ้าเราบอกว่าเจ้าจะไม่ผิดคำสาบานเพราะการแต่งงาน เจ้าก็ต้องไม่ผิดซิ?
การรับใช้พิเศษอีกอย่างหนึ่งของท่านคือท่านและภรรยาได้รับใช้คณะกรรมการเพื่อปลดแอกสตรีในเตหะรานที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1909 และท่านได้สนับสนุนภรรยาให้ก่อตั้งโรงเรียนบาไฮสำหรับเด็กหญิงเป็นครั้งแรกในเตหะราน ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1917
- ฮาจี มีร์ซา ฮาซาเน อาดิบ
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้เคยเป็นนักบวชมุสลิมที่เป็นเอกและมีความรู้สูง การได้พบปะกับครูบาไฮทำให้ท่านยอมรับศาสนาใหม่นี้ในปี ค.ศ.1889 เมื่ออายุ 40 กว่าปี ภูมิความรู้เดิมในศาสนาอิสลามของท่านได้รับการปรับทิศทางใหม่และทำให้ท่านซาบซึ้งในหลักธรรมได้รวดเร็ว พระบาฮาอุลลาห์ทรงแต่งตั้งท่านเป็นพระหัตถ์ศาสนาภายหลังจากที่ท่านมาเป็นบาไฮได้ไม่นาน ท่านเป็นพระหัตถ์ศาสนาคนสุดท้ายที่ได้รับการแต่งตั้งในช่วงชีวิตของพระบาฮาอุลลาห์ และเป็นพระหัตถ์ศาสนาคนเดียวที่ไม่มีโอกาสได้พบพระบาฮาอุลลาห์
ท่านมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งธรรมสภาเตหะรานและเป็นประธานของธรรมสภานั้น และมีบทบาทสำคัญในการจัดชั้นเรียนเยาวชนบาไฮในเมืองเตหะราน ผลงานชิ้นสำคัญอีกอย่างของท่านคือ การก่อตั้งโรงเรียนทาบียาทในเตหะรานซึ่งเป็นโรงเรียนเด็กชาย และเป็นการเริ่มต้นไปสู่การก่อตั้งโรงเรียนบาไฮอีกหลายแห่งในเปอร์เซีย แต่ต่อมาโรงเรียนบาไฮเหล่านี้ถูกรัฐบาลสั่งปิดในปี ค.ศ.1934 ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1919 และได้รับการบรรจุศพไว้ในเมืองเตหะรานที่เดียวกับพระหัตถ์ศาสนาอีกสามท่าน
ภายหลังปรินิพพานของพระบาฮาอุลลาห์ พระหัตถ์ศาสนาทั้ง 4 ท่านมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้อารักขาชุมชนบาไฮและช่วยปกป้องบาไฮจากการโจมตีของพวกละเมิดพระปฏิญญา พระอับดุลบาฮามิได้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาเพิ่ม แต่คอยกำกับพระหัตถ์ศาสนาทั้ง 4 นี้ พระองค์ทรงระบุให้ท่านศาสนภิบาลเป็นผู้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนา และกำหนดหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาไว้ในพินัยกรรมของพระองค์
?ดูกร มิตรสหาย พระหัตถ์ศาสนาต้องได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยท่านศาสนภิบาล ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาและเชื่อฟังบัญชาของท่านศาสนภิบาล หากใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นพระหัตถ์ศาสนาหรือไม่ ไม่เชื่อฟังและพยายามแบ่งแยกศาสนาความพิโรธของพระผู้เป็นเจ้าจะตามพยาบาทเขา เพราะเขาเป็นผู้ก่อให้เกิดรอยร้าวในศาสนาที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า?
?หน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาคือการแพร่กระจายสุคนธรสสวรรค์ อบรมวิญญาณของมนุษย์ ส่งเสริมวิชา ปรับปรุงอุปนิสัยใจคอของมนุษย์ทั้งปวง ธำรงความบริสุทธิ์และตัดความผูกพันทางโลกในทุกเวลาและทุกสภาพการณ์ ความประพฤติ กิริยา การกระทำและคำพูดของพวกเขาต้องแสดงถึงความกลัวพระผู้เป็นเจ้า คณะพระหัตถ์ศาสนานี้อยู่ภายใต้การชี้แนะของท่านศาสนภิบาล?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาตามข้อกำหนดในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ท่านได้แต่งตั้งไว้ 3 ครั้งคือ
ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.1951 จำนวน 12 คน
ครั้งที่สองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1952 จำนวน 7 คน
ครั้งที่สามเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.1957 จำนวน 8 คน
ในระหว่างนี้พระหัตถ์ศาสนา 5 ท่านได้เสียชีวิตก่อนท่านโชกิ เอฟเฟนดิ และท่านได้แต่งตั้งทดแทนเป็นจำนวนเท่ากัน เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรม จึงมีกระหัตถ์ศาสนา 27 คน
ตำแหน่งและฐานะของพระหัตถ์ศาสนา
?ตำแหน่งและฐานะของพระหัตถ์ศาสนาอยู่สูงกว่าธรรมสภาแห่งชาติ…ดังนั้นในการเขียนเกี่ยวกับพระหัตถ์ศาสนา เมื่อมีการพาดพิงถึงสถาบันของศาสนาถัดจากท่านศาสนภิบาล ควรกล่าวถึงพระหัตถ์ศาสนาก่อน แล้วจึงตามด้วยสถาบันระดับชาติ?
?ด้วยตำแหน่งอันประเสริฐและหน้าที่เฉพาะเจาะจงของพระหัตถ์ศาสนา จึงไม่เหมาะสมที่จะเลือกตั้งหรือแต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาให้อยู่ในสถาบันบริหาร หรือเลือกตั้งให้เป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ ยิ่งไปกว่านั้น สภายุติธรรมสากลก็ต้องการให้พระหัตถ์ศาสนามีเวลาสำหรับอุทิศพลังงานทั้งหมดต่อหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่กำหนดไว้ในธรรมนิพนธ์ และพระหัตถ์ศาสนาเองก็ต้องการเช่นนี้เช่นกัน?
บทบาทหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนา
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนาซึ่งแต่งตั้งจากสวรรค์ ได้รับการประสาทด้วยอำนาจที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมของพระผู้เป็นศูนย์กลางของพระปฏิญญา ให้มีบทบาทสองประการคือ การปกป้องและเผยแพร่ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์?
?วัตถุประสงค์ของเราคือเพื่อแสดงให้เห็นว่า พระหัตถ์ศาสนาต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ และทันใดที่พบว่าผู้ใดเริ่มต่อต้านและประท้วงท่านศาสนภิบาล จงขจัดเขาออกจากชุมชนของประชาชนแห่งบาไฮโดยไม่ยอมรับข้อแก้ตัวใดๆ จากเขา บ่อยแค่ไหนที่ความผิดพลาดที่ร้ายกาจได้ปลอมแปลงอยู่ในรูปของสัจจะ เพื่อจะหว่านเมล็ดแห่งความสงสัยในหัวใจของมนุษย์?
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนาซึ่งมีหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในพระธรรมให้ปกป้องและเผยแพร่ศาสนา มีความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งเป็นพิเศษ ในฐานะที่เป็นผู้ปกป้องศาสนา พระหัตถ์ศาสนาจะทำการขับไล่ผู้ละเมิดพระปฏิญญา และคืนสถานภาพให้เมื่อเขาสำนึกผิดอย่างจริงใจ ซึ่งในแต่ละกรณีจะขึ้นอยู่กับการรับรองของสภายุติธรรมสากล?
บทบาทระหว่างพระหัตถ์ศาสนาและธรรมสภาแห่งชาติ
(ก่อนการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป)
?พระหัตถ์ศาสนาเองจะโต้ตอบจดหมายกับธรรมสภาแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ชี้ให้ธรรมสภาแห่งชาติเห็นปัญหา เพื่อว่าธรรมสภาแห่งชาติจะได้ดำเนินการที่เหมาะสม?
?เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่พระหัตถ์ศาสนาและธรรมสภาแห่งชาติต้องได้รับทราบสถานการณ์ของศาสนาอย่างบริบูรณ์ในพื้นที่รับผิดชอบของตน ดังนั้นเราขอให้คุณตกลงกับพระหัตถ์ศาสนาในทวีปเกี่ยวกับวิธีติดต่อสื่อสารกันที่ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า การแบ่งปันบันทึกการประชุมของธรรมสภาแห่งชาติให้กับพระหัตถ์ศาสนาเป็นเรื่องที่แต่ละธรรมสภาแห่งชาติจะตัดสินใจเอง แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณที่จะป้อนข้อมูลทั้งหมดให้พระหัตถ์ศาสนาทราบอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่องานของพระหัตถ์ศาสนารวมทั้งรายงานของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง?
?ในการปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่ศาสนา พระหัตถ์ศาสนาจะดลใจแนะนำและช่วยเหลืองานของธรรมสภาแห่งชาติดังที่เคยทำในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอนุกรผู้ซึ่งจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ วางไว้เช่นกัน?
บทบาทของพระหัตถ์ศาสนาภายหลังการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
ท่านศาสนภิบาลได้ให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งคณะอนุกรครั้งแรกในปี ค.ศ.1954 จำนวน 36 คน และในปีค.ศ.1957 ท่านให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งอนุกรเพิ่มขึ้นอีก 36 คน รวมเป็น 72 คน พระหัตถ์ศาสนามีหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและกำกับคณะอนุกรเพื่อรับผิดชอบการปกป้องและเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งแนะนำและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ เมื่อสภายุติธรรมสากลแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีปในปีค.ศ.1968 ภาระเหล่านี้จึงเปลี่ยนมาอยู่กับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป แล้วบทบาทของพระหัตถ์ศาสนาจึงเปลี่ยนไปเป็นระดับข้ามทวีป เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและสภายุติธรรมสากล และเป็นตัวแทนของสภายุติธรรมสากลในงานสำคัญต่างๆ
?พระหัตถ์ศาสนายุติการรับผิดชอบในการชี้แนะคณะอนุกร ซึ่งกลายมาเป็นสถาบันที่คอยสนับสนุนคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?พระหัตถ์ศาสนาคือทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งที่โลกบาไฮมีอยู่ เมื่อพ้นจากการบริหารงานของคณะอนุกร พระหัตถ์ศาสนาจะสามารถทุ่มเทพลังงานให้กับความรับผิดชอบเบื้องต้นได้มากกว่าคือ การปกป้องและเผยแพร่ อภิรักษ์สุขภาพจิตใจของชุมชนบาไฮและพลังความศรัทธาของบาไฮทั่วโลก สภายุติธรรมสากลจะขอให้พระหัตถ์ศาสนารับบทบาทพิเศษในนามของตน คือเป็นตัวแทนของธรรมสภายุติธรรมสากลทั้งในงานบาไฮและโอกาสอื่นๆ และคอยแจ้งให้ธรรมสภายุติธรรมสากลรับทราบความผาสุกของศาสนา แม้โดยธรรมดาแล้วพระหัตถ์ศาสนาจะสนใจกิจการศาสนาในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่เป็นพิเศษ แต่พระหัตถ์ศาสนาจะปฏิบัติการในระดับระหว่างทวีปมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนนำอย่างมหาศาลต่อการแพร่กระจายแรงดลใจให้บาไฮทั่วโลก เป็นหัวหน้าผู้อารักขาของสหพันธรัฐแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ที่ยังเป็นตัวอ่อนอยู่?
?พระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างสภายุติธรรมสากลและคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?พระหัตถ์ศาสนามีสิทธิพิเศษและหน้าที่ในการปรึกษากับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องที่ตนคิดว่ามีผลกระทบต่อศาสนา?
?ด้วยฐานะที่สูงส่งและกิจกรรมที่หลากหลายของพระหัตถ์ศาสนาซึ่งกินขอบเขตข้ามทวีป จำเป็นที่คณะที่ปรึกษาข้ามทวีปต้องให้ความร่วมมือเต็มที่กับพระหัตถ์ศาสนาแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ที่นั่นหรือเดินทางผ่านมา และต้องให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนที่พระหัตถ์ศาสนาจำเป็นต้องทราบเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาเอง คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรเสนอตนรับใช้หรือเสนอการรับใช้ของอนุกรให้กับพระหัตถ์ศาสนา?
?ขอให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปส่งสำเนาบันทึกการประชุมของตนและรายงานอื่นๆ ให้กับพระหัตถ์ศาสนาในพื้นที่นั้น…คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรต้อนรับพระหัตถ์ศาสนาให้เข้าร่วมประชุมและร่วมปรึกษาหารือ?
บทบาทในการเป็นหัวหน้าผู้อารักขานำโลกบาไฮไปสู่การสถาปนาสภายุติธรรมสากล
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้เริ่มแผนงานครูเสดสิบปีเมื่อปี ค.ศ.1953 แต่ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1957 ซึ่งแผนงานดำเนินได้เพียงครึ่งทาง พระหัตถ์ศาสนาได้นำทางโลกบาไฮให้ดำเนินแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ต่อไปให้บรรลุเป้าหมายจนสิ้นสุดแผนงานในปี ค.ศ.1963 ในแผนงานเหลือธรรมสภาแห่งชาติที่จะต้องก่อตั้งอีก 16 แห่งเพื่อให้ครบ 48 แห่ง เมื่อสิ้นสุดแผนงานปรากฏว่าทำได้เกินเป้าหมายคือมีธรรมสภาแห่งชาติทั้งหมด 56 ประเทศเป็นฐานของการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากลครั้งแรกในปี ค.ศ.1963
หากพิจารณาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับศาสนาในอดีตจะเห็นได้ว่าช่วงเวลา 6 ปี ระหว่างที่ท่าน โชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรมจนถึงการสถาปนาสภายุติธรรมสากล เป็นช่วงเวลาที่ล่อแหลมมากช่วงหนึ่ง ในช่วง 6 ปีนี้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของศาสนาคือพระหัตถ์ศาสนา 27 ท่าน อีกทั้งชุมชนบาไฮก็กระจายกันอยู่ในหลายประเทศทุกทวีป หากพระหัตถ์ศาสนาไม่ซื่อสัตย์อยากเป็นผู้นำแล้วแย่งอำนาจกัน ก็อาจทำให้ศาสนาบาไฮแตกกออกเป็นนับสิบนิกาย ดังที่ผู้นำศาสนาในอดีตเคยทำมาแล้ว และธรรมสภาแห่งชาติที่กระจายกันอยู่ทั่วโลกก็อาจตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใครแล้วตั้งนิกายใหม่ แต่ด้วยอำนาจพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ที่คอยปกป้องเอกภาพของศาสนา พระหัตถ์ศาสนาได้ร่วมใจกันคอยชี้แนะธรรมสภาแห่งชาติและบาไฮทั่วโลกให้ดำเนินงานต่อตามแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิให้สำเร็จ และทำการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากลในปี ค.ศ.1963 ยกเว้นแต่มีเรื่องน่าเศร้าคือ พระหัตถ์ศาสนาคนหนึ่งได้หลงอำนาจแล้วอวดอ้างตนเป็นผู้นำศาสนาต่อจากท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งก็ต้องพบชะตาเดียวกันกับบรรดาผู้ละเมิดพระปฏิญญาทั้งหลายที่มีมาตลอดตั้งแต่เริ่มศาสนา
ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดขณะนั้น และแม้ว่าตนจะได้รับการยกย่องจากพระบาฮาอุลลาห์ว่ามีคุณธรรมสูงส่ง แต่พระหัตถ์ศาสนาทั้ง 26 ท่านก็ตระหนักว่า พระบาฮาอุลลาห์มิได้รับประกันว่า พวกตนจะนำทางโลกบาไฮได้อย่างไม่มีผิดพลาดซึ่งเป็นการประกันที่ให้สำหรับสภายุติธรรมสากลเท่านั้น ดังนั้นพระหัตถ์ศาสนาจึงดำเนินแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ต่อด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อไปสู่การสถาปนาสภายุติธรรมสากล และเมื่อถึงการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากล พระหัตถ์ศาสนาก็ประกาศขอให้บาไฮอย่าลงคะแนนเลือกพวกตนเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล สภายุติธรรมสากลได้สรรเสริญบทบาทอันสูงส่งครั้งนี้ของพระหัตถ์ศาสนาว่า
?ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นผู้อารักขาศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า พระหัตถ์ศาสนาตระหนักว่า เนื่องด้วยพวกตนไม่ได้รับการนำทางจากสวรรค์ที่แน่นนอนดังที่รับประกันให้กับท่านศาสนภิบาลและสภายุติธรรมสากล แนวทางที่ปลอดภัยของพวกตนคือ การปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ด้วยความมั่นคงแน่วแน่ ตลอดประวัติศาสนาไม่เคยมีบันทึกที่เปรียบได้กับการควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัด ความซื่อสัตย์อย่างแท้จริงและความเสียสละเช่นนี้ ที่บรรดาผู้นำของศาสนาหนึ่งพบว่าตนเองถูกพรากจากการนำทางของสวรรค์โดยฉับพลัน หนี้บุญคุณที่มนุษยชาติหลายชั่วอายุคนและหลายยุคข้างหน้ามีต่อดวงวิญญาณผู้เป็นวีรชน มั่นคงและทุกข์ระทมจำนวนหยิบมือนี้ ไม่สามารถประเมินได้?
คณะที่ปรึกษาประทวีป
ตามพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ เท่านั้นที่มีสิทธิ์แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนา สภายุติธรรมสากลไม่มีสิทธิ์นี้ ดังนั้นพระหัตถ์ศาสนา 27 ท่านที่มีอยู่เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิถึงแก่กรรม จะต้องชราภาพและเสียชีวิตหมดในอนาคตโดยที่แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาคนใหม่มาทดแทนไม่ได้ เพื่อเป็นการสืบทอดหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาให้คงอยู่ต่อไปในอนาคตสภายุติธรรมสากลจึงสถาปนาคณะที่ปรึกษาประจำทวีปในปี ค.ศ.1968 ให้เข้ามารับบทบาทแทนพระหัตถ์ศาสนา กำกับคณะอนุกรและให้คำแนะนำธรรมสภา
?ภายหลังอสัญกรรมของท่านศาสนภิบาล เป็นหน้าที่ของสภายุติธรรมสากลที่จะคิดวิธีในระบบบริหาร เพื่อพัฒนาสถาบันพระหัตถ์ศาสนา เพื่อให้หน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาคงอยู่ต่อไปในอนาคตคือการปกป้องและเผยแพร่ และสิ่งนี้คือเป้าหมายหนึ่งในแผนงานเก้าปี…สภายุติธรรมสกลจึงได้ตัดสินใจดังที่ประกาศไว้ในโทรเลขเมื่อเร็วๆ นี้ คือสถาปนาคณะที่ปรึกษาประจำทวีปสำหรับปกป้องและเผยแพร่ศาสนา?
?พระหัตถ์ศาสนามีหน้าที่สำคัญคือเผยแพร่และปกป้องศาสนาแม้ว่าท่านที่ปรึกษาจะดำรงตำแหน่งที่ต่ำกว่าพระหัตถ์ศาสนาแต่ก็มีหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้เช่นเดียวกัน และเจริญรอยตามพระหัตถ์ศาสนา?
?นับแต่นี้ไป คณะอนุกรฝ่ายปกป้องและเผยแพร่ศาสนาจะรายงานไปยังคณะที่ปรึกษาศาสนา ผู้ซึ่งจะแต่งตั้งอนุกรตามความจำเป็นของสภาพแวดล้อม การแต่งตั้งดังกล่าวซึ่งอาจจำเป็นในระยะเริ่มต้น จะกระทำภายหลังจากปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาที่เคยรับผิดชอบทวีปหรือเขตนั้นๆ?
?การแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป เป็นการปลดปล่อยพระหัตถ์ศาสนาจากหน้าที่บริหารที่เกี่ยวกับการกำกับคณะอนุกร ช่วยให้พระหัตถ์ศาสนาสามารถเดินทางระหว่างประเทศและข้ามทวีปและเปิดโอกาสให้ท่านที่ปรึกษาได้รับประโยชน์จากคำแนะนำและประสบการณ์ของพระหัตถ์ศาสนา?
การแต่งตั้ง พื้นที่รับผิดชอบ และวาระของการเป็นท่านทีปรึกษา
?สมาชิกของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะได้รับการแต่งตั้งโดยสภายุติธรรมสากล จำนวนท่านที่ปรึกษาในแต่ละคณะ…จะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?วาระของการเป็นท่านที่ปรึกษา…จะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?ท่านที่ปรึกษาปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายในขอบเขตงานของตนเท่านั้น หากท่านที่ปรึกษาย้ายที่อยู่ออกไปนอกเขตที่ตนได้รับแต่งตั้ง เท่ากับว่าเขาหมดสถานภาพการเป็นท่านที่ปรึกษา?
?ขอบเขตพื้นที่สำหรับปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคณะที่ปรึกษาศาสนาจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
สภายุติธรรมสากลแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีปครั้งแรกในปี ค.ศ.1968 ประกอบด้วยท่านที่ปรึกษาศาสนา 36 คน ห้าปีต่อมาจำนวนท่านที่ปรึกษาเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 57 คน และในปี ค.ศ.1980 สภายุติธรรมได้กำหนดวาระของการเป็นท่านที่ปรึกษาคราวละ 5 ปี เริ่มนับตั้งแต่วันพระปฏิญญา คือ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1980 ซึ่งครั้งนั้นได้แต่งตั้งคณะท่านที่ปรึกษาไว้ทั้งหมด 71 คน ครั้งล่าสุดสภายุติธรรมได้แต่งตั้งคณะท่านที่ปรึกษา 5 ทวีปประกอบด้วยท่านที่ปรึกษา 72 คน เริ่มต้นวาระวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1990
ฐานะและตำแหน่งของคณะท่านที่ปรึกษาประจำทวีป
?ท่านที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าพระหัตถ์ศาสนา?
?แม้บทบาทของท่านที่ปรึกษาคือการแนะนำ สนับสนุนส่งเสริมและไม่มีอำนาจทางนิติ–บัญญัติหรือบริหาร กระนั้นก็ตามท่านที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าธรรมสภาแห่งชาติหรือสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติ?
?คำแถลงที่ว่าคณะที่ปรึกษาประจำทวีปอยู่สูงกว่าสถาบันระดับชาติของศาสนานั้นมีหลายความหมาย คณะที่ปรึกษาประจำทวีปมีความรับผิดชอบพิเศษในการปกป้องและเผยแพร่ศาสนาทั่วทั้งทวีป ซึ่งประกอบด้วยชุมชนบาไฮระดับชาติหลายชุมชน ในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คณะที่ปรึกษาประจำทวีปได้กำกับหรือสั่งการธรรมสภาหรือบาไฮแต่ละบุคล แต่อยู่ในตำแหน่งที่รับประกันว่า ตนจะได้รับการให้ข้อมูลอย่างเหมาะสม และธรรมสภาจะให้ความสำคัญต่อคำแนะนำของตน อย่างไรก็ตามแก่นของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันบาไฮทั้งหลายคือการปรึกษาหารือด้วยความรัก และความปรารถนาร่วมกันที่จะรับใช้ศาสนาหาใช่เรื่องของตำแหน่งหรือฐานะไม่?
?เป็นที่ชัดเจนจากธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา รวมทั้งการตีความของท่าศาสนภิบาล นั่นคือ การปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมในสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องมีตำแหน่งและชั้นในหมู่สมาชิกในสังคม มิตรสหายควรยอมรับสิ่งนี้โดยไม่อิจฉาริษยา?
?และหนึ่งในอาณาจักรของเอกภาพคือเอกภาพของตำแหน่งและฐานะ เป็นเอกภาพที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา และสดุดีศาสนาต่อประชาชนทั้งปวง ตั้งแต่เริ่มมีความอยากเด่นและเหนือหน้าคนอื่น โลกได้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ กลายเป็นที่อ้างว้าง บรรดาผู้ที่ได้ดื่มสุธารสแห่งพจนาสวรรค์ และตั้งจิตสู่อาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ ควรพิจารณาตนเองว่าเป็นชีวิตหนึ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันกับชีวิตอื่นและอยู่ในฐานะเดียวกัน หากเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์และสาธิตเป็นที่แน่นอนโดยอานุภาพและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า โลกจะกลายเป็นสวรรค์อับ–ฮา
ที่จริงแล้วมนุษย์นั้นประเสริฐ เนื่องด้วยแต่ละคนเป็นที่ฝากสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า กระนั้นก็ตามการพิจารณาว่าตนเองเหนือกว่าในด้านความรู้ วิชา คุณธรรม ยกตัวเองหรือพยายามเหนือหน้าคนอื่น เป็นการละเมิดที่ร้ายแรง พระพรที่ยิ่งใหญ่จงมีแด่ผู้ที่ประดับด้วยอลงกรณ์แห่งเอกภาพนี้ และได้รับพลังจากพระผู้เป็นเจ้า?
?สภายุติธรรมสากลหวังว่า มิตรสหายทุกคนจะระลึกได้ว่า จุดมุ่งหมายสุดท้ายของชีวิตสำหรับทุกวิญญาณควรเป็นการบรรลุความสมบูรณ์เลิศด้านคุณธรรม เพื่อให้เป็นที่ยินดีของพระผู้เป็นเจ้า ฐานะที่แท้จริงของวิญญาณดวงใดก็ตาม พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่รู้ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งฐานะที่บุรุษและสตรีทั้งหลายดำรงอยู่ในสังคม ใครก็ตามที่ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะยอมรับงานหรือฐานะใดก็ตามของศาสนาที่มอบหมายให้กับเขาอย่างเบิกบานหรรษา และจะปิติในการรับใช้พระองค์ในทุกสภาพการณ์?
?ด้วยตำแหน่งและหน้าที่เฉพาะเจาะจง ท่านที่ปรึกษาจึงไม่มีสิทธิ์จะรับใช้ในสถาบันบริหารระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ หากได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล ผู้นั้นจะสิ้นสุดการเป็นท่านที่ปรึกษา?
บทบาทหน้าที่ของคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะติดต่อกับสภายุติธรรมสากลโดยอาศัยพระหัตถ์ศาสนาเป็นตัวกลาง และเมื่อมีการสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติในปี ค.ศ.1973 ศูนย์กลางการเผยแพร่นานาชาติจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและสภา–ยุติธรรมสากล คณะที่ปรึกษาประจำทวีปเข้ารับบทบาทหน้าที่ที่เคยเป็นของพระหัตถ์ศาสนามาก่อน คือการชี้แนะและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ กำกับและชี้แนะคณะอนุกร
?หน้าที่ของท่านที่ปรึกษารวมถึงการกำกับอนุกรในพื้นที่ของตน ปรึกษาและร่วมมือกับธรรมสภาแห่งชาติ คอยแจ้งให้พระหัตถ์ศาสนาและสภายุติธรรมสากลรับทราบสภาพการณ์ของศาสนาในพื้นที่ของตน?
?ท่านที่ปรึกษามีความรับผิดชอบในการกระตุ้น ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ ทำงานร่วมกับบาไฮบางคน กลุ่มบาไฮ และธรรมสภาท้องถิ่น?
?อำนาจในการขับไล่และคืนสภาพให้ผู้ละเมิดพระปฏิญญายังคงอยู่กับพระหัตถ์ศาสนา ทุกกรณีดังกล่าวจะไต่สวนในระดับท้องถิ่นโดยคณะที่ปรึกษาประจำทวีปด้วยการปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาที่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและพระหัตถ์ศาสนาที่เกี่ยวข้อง จะส่งรายงานไปยังศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพื่อพิจารณา?
ในจดหมายลงวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1981 ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติได้แจ้งให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปรับทราบเป้าหมายหนึ่งของแผนงานเจ็ดปี คือการรับบทบาทหน้าที่กว้างขึ้นกว่าเดิมคือ เกื้อกูลศีลธรรมของบาไฮและชุมชน ส่งเสริมรากฐานของชีวิตครอบครัว จัดอบรม กระตุ้นและสนับสนุนงานสอนศาสนา พิจารณาช่วยเหลือด้านการเงินในเรื่องการพิมพ์หนังสือบาไฮ ส่งเสริมให้บาไฮเป็นนักวิชาการ สนับสนุนการเงินสำหรับโครงการสอนศาสนาพิเศษ
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปและคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป
?การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป ได้รับการทบทวนและปรับปรุงเพื่อช่วยให้พวกเขาร่วมมือกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติได้ใกล้ชิดมากขึ้น…นับแต่นี้ไป สมาชิกของคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปจะได้รับการแต่งตั้งโดยสภายุติธรรมสากล?
?คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปขึ้นโดยตรงต่อสภายุติธรรมสากล มิได้เป็นประเภทเดียวกับคณะกรรมการแห่งชาติ และควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดโดยตรงกับคณะที่ปรึกษาในพื้นที่นั้น การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดนี้ออกแบบไว้เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนกันและรับประกันการส่งข้อมูลที่ถูกต้อง?
?ในทุกกรณี คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปควรขอความเห็นและคำแนะนำจากท่านที่ปรึกษาที่เหมาะสม เมื่อตนคิดว่าจะเป็นการช่วยตัดสินใจว่า จะแนะนำอะไรให้กับอาสาสมัครหรือธรรมสภาแห่งชาติ
ในการจัดวงจรสำหรับครูเดินทาง คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปจะอาศัยข้อมูลล่าสุดในปัจจุบันที่ได้มาจากคณะที่ปรึกษาประจำทวีป และคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปไม่ควรลังเลที่จะเสนอเรื่องไปยังท่านที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับบาไฮที่อาสาสมัครจะเดินทาง?
?นอกเหนือจากโควตาที่สภายุติธรรมสากลกำหนดไว้ให้แล้วก็ยังมักจะมีความต้องการอาสาสมัครเพิ่มอีก เช่น เมื่อมีอาสาสมัครย้ายออกจากท้องถิ่นเป้าหมาย ก็ต้องหาคนไปแทน ความต้องการดังกล่าวไม่ต้องเสนอเรื่องมายังสภายุติธรรมสากล แต่จัดทำได้เลยโดยธรรมสภาแห่งชาติขอไปยังคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป และ หรือ โดยการปรึกษาหารือกับคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปและท่านที่ปรึกษา?
ในจดหมายลงวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1974 ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติกล่าวไว้ว่า
?ความต้องการอาสาสมัครที่คาดการณ์ไว้ควรบอกจำนวนอาสาสมัครที่ต้องการ ชื่อของประเทศที่จะส่งอาสาสมัคร ระบุสัญชาติที่ควรส่งไปและไม่ควรส่งไป สภายุติธรรมสากลคิดว่า คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรปรึกษาหารือกับคณะกรรมการอาสาสมัครในเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะส่งข้อเสนอแนะไปยังศูนย์กลางแห่งโลก?
ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติ
หนึ่งในสถาบันที่สะเทือนพิภพ โอบอ้อมพิภพและอำนวยการพิภพ
?ต้องเป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน…ว่าการที่สุสานของใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ใกล้ชิดกับสุสานของอนุชาและพระมารดา เป็นการเสริมอำนาจธรรมสุดคณนาให้กับบริเวณศักดิ์สิทธิ์นั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัศมีของสุสานของพระบ๊อบและใกล้ชิดกับมัชชริคุล อัคคาร์ ในอนาคตซึ่งจะสร้างขึ้นมาขนาบข้าง บริเวณดังกล่าวนี้ถูกกำหนดให้วัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของสถาบันบริหารต่างๆ ที่สะเทือนพิภพ โอบล้อมพิภพและอำนวยการพิภพ ตามที่พระบาฮาอุลลาห์บัญญัติไว้ และพระอับดุลบาฮาคาดหวังไว้ ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสอดคล้องกับหลักธรรมที่กำกับสถาบันคู่คือศาสนาภิบาลและสภายุติธรรมสากล เมื่อนั้นและเพียงเมื่อนั้น คำพยากรณ์ที่เรืองรองอยู่ในวรรคปิดท้ายของธรรมจารึกคาร์เมลจะบรรลุผล: ในไม่ช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแล่นเรือแห่งความรอดพ้นบนเจ้า และจะแสดงประชาชนแห่งบาฮาให้ปรากฏ ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์แห่งนาม?
ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเป็นหนึ่งในสถาบันที่ ?สะเทือนพิภพ โอบล้อมพิภพและอำนวยการพิภพ? ตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิกล่าวไว้ สภายุติธรรมสากลได้ปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาอยู่หลายปี จนในที่สุดได้ตัดสินใจสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติในปี ค.ศ.1973 เป็นเวลาครบรอบ 100 ปีนับจากการเปิดเผยคัมภีร์ตาบี อัคดัส เพื่อเป็นการสืบทอดสถาบันพระหัตถ์ศาสนาต่อไปในอนาคต สมาชิกของสถาบันนี้ประกอบด้วยพระหัตถ์ศาสนาทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะนั้น 17 ท่าน แต่สมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศูนย์กลางแห่งโลกมี 7 ท่าน คือ พระหัตถ์ศาสนา 4 ท่าน ที่อาศัยอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และท่านที่ปรึกษาอีก 3 คน สภายุติธรรมสากลได้ประกาศการสถาปนาไว้ว่า
?เวลานี้ได้ฤกษ์แล้วสำหรับการสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติ เป็นพัฒนาการที่งอกเงยมาจากผลงานของพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งเป็นการสืบทอดงานของพระหัตถ์ศาสนาต่อไปในอนาคต เชื่อมสถาบันคณะที่ปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม และเสริมกำลังให้กับการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของสภายุติธรรมสากลที่เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว?
?หน้าที่ที่มอบหมายให้กับสถาบันที่เกิดใหม่นี้คือ ประสานงาน กระตุ้นและกำกับกิจกรรมทั้งหลายของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปกับสภายุติธรรมสากล
รับทราบสถานการณ์ของศาสนาในทุกดินแดน และด้วยความรู้ที่ทราบมานี้ จะสามารถส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังสภายุติธรรมสากล และให้คำแนะนำต่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ตื่นตัวต่อความเป็นไปได้ทั้งภายในและภายนอกชุมชนบาไฮ เพื่อที่จะขยายงานสอนศาสนาไปยังพื้นที่ที่ตอบสนองและขัดสน และแจ้งให้สภายุติธรรมสากลและคณะที่ปรึกษาประจำทวีปทราบถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว พร้อมกับให้ข้อเสนอแนะ
คาดการณ์และกำหนดความต้องการด้านวรรณกรรม อาสาสมัคร ครูเดินทาง และวางแผนงานสอนศาสนาทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อให้สภายุติธรรมสากลรับรอง?
?อำนาจในการขับไล่และคืนสภาพให้กับผู้ละเมิดพระปฏิญญายังคงอยู่กับพระหัตถ์ศาสนา ทุกกรณีดังกล่าวคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะไต่สวนในระดับท้องถิ่น และปรึกษาหารือกับพระหัตถ์ศาสนาที่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและพระหัตถ์ศาสนาที่เกี่ยวข้องจะรายงานไปยังศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพื่อพิจารณา การตัดสินใจว่าจะขับไล่หรือคืนสถานภาพให้หรือไม่จะกระทำโดยพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งจะเสนอคำตัดสินใจนั้นไปให้สภายุติธรรมสากลเพื่อขอการรับรอง?
10 ปีต่อมาคือปี ค.ศ.1983 พระหัตถ์ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือเพียง 10 ท่านและอาศัยอยู่ที่ศูนย์กลางแห่งโลกมีเพียง 2 ท่าน สภายุติธรรมสากลได้เริ่มขั้นตอนใหม่ของสถาบันนี้ โดยการแต่งตั้งสมาชิกศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพิ่มเป็น 9 ท่าน ประกอบด้วยพระหัตถ์ศาสนา 2 ท่าน และท่านที่ปรึกษาอีก 7 ท่าน และกำหนดวาระของสมาชิกภาพไว้คราวละ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งจะมีการแต่งตั้งใหม่ทุก 5 ปีภายหลังการประชุมนานาชาติที่เลือกตั้งสภายุติธรรมสากล
ท่านที่ปรึกษาที่เป็นสมาชิกของศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติจะมีบทบาทเป็นท่านที่ปรึกษาเสมอไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ซึ่งควรได้ประชุมกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปที่ตนเดินทางไป ต่างจากท่านที่ปรึกษาประจำทวีปซึ่งจะมีบทบาทเฉพาะในทวีปของตน หากออกจากทวีปนั้นตนจะหมดบทบาทการเป็นท่านที่ปรึกษา
11
คณะอนุกร
การแต่งตั้งและสถานภาพ
คณะอนุกรเป็นสถาบันที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาครั้งแรก 36 คน โดยท่านโชกิ เอฟเฟนดิ มอบหมายให้พระหัตถ์ศาสนาเป็นผู้แต่งตั้งในปี ค.ศ.1954 ต่อมาปี ค.ศ.1957 ท่านศาสนภิบาลได้ให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งเพิ่มอีกเท่าตัวคือ 36 คนให้เป็นอนุกรฝ่ายปกป้อง รวมเป็น 72 คน คณะอนุกรเป็นผู้ช่วยของพระหัตถ์ศาสนาจนกระทั่งปี ค.ศ.1968 เมื่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีปได้รับการสถาปนาขึ้นและเข้ามารับบทบาทแทนพระหัตถ์ศาสนาในการกำกับและชี้แนะคณะอนุกร คณะอนุกรจึงเปลี่ยนมาขึ้นกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปโดยตรง ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เป็นตัวแทนและให้ข้อเสนอแนะต่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
มาถึงปี ค.ศ.1973 จำนวนอนุกรได้เพิ่มขึ้นเป็น 270 คน ซึ่งในปีเดียวกันนี้สภายุติธรรมสากลได้มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปพิจารณาให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยของตนได้ สภายุติธรรมสากลได้กำหนดจำนวนอนุกรครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1991 เป็น 846 คนทั่วโลก มีวาระ 5 ปีนับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1991
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะแต่งตั้งใครเป็นอนุกรให้ครบตามจำนวนที่สภายุติธรรมสากลกำหนด จะกำหนดพื้นที่รับผิดชอบให้อนุกรแต่ละคน และในแต่ละเขตควรมีทั้งอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ อนุกรจะหมดบทบาทการเป็นอนุกรเช่นกันเมื่อออกนอกพื้นที่ของตน
?ในแต่ละเขตจะมีอนุกรสองคน คนหนึ่งสำหรับปกป้อง อีกคนหนึ่งสำหรับเผยแพร่ จำนวนอนุกรจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?สมาชิกคณะอนุกรจะมาจากบาไฮในเขตนั้นที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?อนุกรแต่ละคนจะได้รับมอบพื้นที่เฉพาะในการรับใช้ และจะไม่มีหน้าที่ในฐานะอนุกรนอกพื้นที่นั้น นอกจากว่าท่านที่ปรึกษาแต่งตั้งให้เป็นตัวแทน?
?ดังที่คุณทราบแล้ว ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เน้นย้ำความสำคัญที่อนุกรจะต้องไปเยี่ยมธรรมสภาและกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของตน แม้ว่ารายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งตั้งและการปฏิบัติงานของอนุกรจะขึ้นอยู่กับท่านที่ปรึกษา แต่เมื่อคำนึงถึงคำแนะนำของท่านศาสนภิบาลที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ ในการแต่งตั้งอนุกรคนใหม่ ท่านที่ปรึกษาควรพิจารณาถึงความเหมาะสมที่ว่า ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งควรอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เขารับใช้?
?รายละเอียดเกี่ยวกับว่าคณะอนุกรจะปฏิบัติงานอย่างไรขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของพระหัตถ์ศาสนา คณะอนุกรขึ้นต่อพระหัตถ์ศาสนาและมิได้เป็นคณะกรรมการ จึงมีอิสระที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คณะอนุกรไม่จำเป็นต้องมีสำนักงาน สมาชิกของคณะอนุกรต้องได้รับมอบพื้นที่ต่างๆ สำหรับปฏิบัติงาน?
?คณะอนุกรจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน ผู้ช่วยและผู้ให้คำแนะนำกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?อนุกรควรส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังท่านที่ปรึกษาอย่างสม่ำเสมอ?
?แต่ละเขตควรแบ่งสำหรับอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ เพื่อว่าบาไฮในทุกท้องถิ่นจะมีอนุกรทั้งสองฝ่ายที่พวกเขาจะไปหาได้?
?เป็นที่น่าปรารถนาหากท้องถิ่นในแต่ละเขตมีทั้งอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่รับผิดชอบอยู่ กระนั้นก็ตาม ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปที่จะมอบให้อนุกรเพียงคนเดียวรับผิดชอบพื้นที่หนึ่ง หากเชื่อว่าเป็นการดีกว่าตามสภาพการณ์ของพื้นที่นั้น?
?อย่างไรก็ตามพื้นที่รับผิดชอบของอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่อาจซ้อนกันได้?
?เราได้ทบทวนหลายคำถามที่คุณยกขึ้นมาในจดหมายลงวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.1966 เกี่ยวกับว่า อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น เป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ หรือเป็นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่
ในการเลือกตั้งทั้งสามนี้ อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้ง ดังนั้นบัตรเลือกตั้งไม่ควรถือเป็นโมฆะเพราะว่ามีชื่อของอนุกรอยู่ หลักการคืออนุกรผู้นั้นต้องตัดสินเองว่า ตนจะเข้ารับตำแหน่งที่ได้รับเลือกหรือไม่?
?อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้ง แต่ถ้าท่านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งบริหารในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น อนุกรต้องตัดสินใจว่า จะเป็นสมาชิกคณะอนุกรต่อไปหรือเข้ารับตำแหน่งบริหารนั้น เพราะเขาจะรับใช้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้ ถ้าได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล เขาจะสิ้นสุดการเป็นอนุกร?
?สมาชิกคณะอนุกรควรเป็นอิสระจากความรับผิดชอบด้านงานบริหาร รวมทั้งการรับใช้ในคณะกรรมการหรือเป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ?
?หากจำนวนสมาชิกในชุมชนบาไฮลดลงเหลือ 9 คนเมื่อนับอนุกรด้วย อนุกรสามารถเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นชั่วคราวเพื่อรักษาสถานภาพของธรรมสภาท้องถิ่น?
?บาไฮผู้ใหญ่ทุกคนรวมทั้งอนุกรมีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนและธรรมสภาท้องถิ่น?
ปฏิบัติงานในระดับรากหญ้าของชุมชน
ธรรมสภาท้องถิ่นมีอำนาจบริหารและเป็นผู้ปกครองบาไฮในท้องถิ่น เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่บาไฮในท้องถิ่นควรเข้าหา อนุกรอาจเปรียบได้กับ พี่ ป้า น้า อา บางครั้งบาไฮอาจอยากปรึกษากับ พี่ ป้า น้า อา ก่อนเข้าหาพ่อแม่ อนุกรเหมือนกับเป็นหูเป็นตาที่คอยช่วยธรรมสภาท้องถิ่นสอดส่องดูแล และกระตุ้นบาไฮในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามแผนงาน ธรรมสภาท้องถิ่นควรรู้คุณค่า ของการช่วยเหลือและปรึกษาหารือกับอนุกร อนุกรจะปฏิบัติงานในระดับรากหญ้าของชุมชน เพื่อช่วยพัฒนาบาไฮในท้องถิ่นให้เป็นรากฐานที่แข็งแรงของระบบบริหารบาไฮ
?อิทธิพลของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและงานของคณะอนุกรต้องพัฒนาและแพร่กระจายไปทั่วโครงสร้างของชุมชนบาไฮ?
?กิจกรรมสำคัญที่ประเทืองคุณภาพชีวิของบาไฮคือการพัฒนาธรรมสภาท้องถิ่น เพราะสถาบันนี้ปฏิบัติการในระดับพื้นฐานของสังคมมนุษย์ จึงมีศักยภาพที่จะทำนุบำรุงการเจริญเติบโตของชุมชนบาไฮอย่างสมบูรณ์พูนสุข กล่าวคือไม่ว่าธรรมสภาแห่งชาติและทีมงานจะมีประสิทธิภาพเพียงไร ไม่ว่าคณะกรรมการแห่งชาติจะทำหน้าที่อย่างแข็งขันเพียงไร ฐานที่มั่นคงสำหรับการแพร่ข่าวสารออกไปกว้างไกลจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อธรรมสภาท้องถิ่นเริ่มปฏิบัติงานอย่างแข็งขัน?
?ในระดับท้องถิ่นของชุมชนบาไฮซึ่งเป็นรากฐานของโครงสร้างบริหารของศาสนานี้เอง ที่เรามักพบว่ายังขาดประสิทธิภาพและความเข้มแข็ง ในระดับนี้เองที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เร่งเร้าอนุกรให้ติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ ศูนย์ที่โดดเดี่ยวและบาไฮแต่ละคน และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของแผนงาน ช่วยการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รีรอ เฝ้าระวังความปลอดภัยของศาสนา กระตุ้นส่งเสริมงานการสอนศาสนาและอาสาสมัคร ทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและความเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม โดยการไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะอย่างเป็นระบบและโดยอาศัยจดหมาย
งานที่ขยายตัวอยู่เสมออย่างเหลือล้นดังกล่าวตามที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้คาดการณ์ไว้ จะดำเนินไปได้อย่างเหมาะสมก็ต่อเมื่ออนุกรสามารถติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบหมาย?
?อนุกรแต่ละคนที่ได้รับมอบพื้นที่รับผิดชอบ ควรติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในท้องถิ่นอื่นๆ ในพื้นที่ของตน สนับสนุนและชี้แนะศูนย์กลางเหล่านั้นในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายและรับทราบความเข้มแข็งและจุดอ่อนของบาไฮแต่ละท้องถิ่น?
?เหนืออื่นใดอนุกรควรสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นรักใคร่กับบาไฮในพื้นที่ เพื่อว่าธรรมสภาท้องถิ่นจะอยากหันมาหาพวกเขาเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ?
?เป็นความรับผิดชอบของธรรมสภาโดยมีคณะกรรมการคอยช่วยเหลือ ที่จะวางแผนและกำกับงานการสอนศาสนา และดังนั้นพวกเขาจึงต้องกระตุ้นและดลใจบาไฮเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม ธรรมสภาและคณะกรรมการต้องมีภาระในการบริหารงาน การสอนศาสนาและภาระอื่นๆ ในทุกแง่ชีวิตของชุมชนบาไฮพวกเขาจึงไม่มีเวลามากตามที่ตนอยากกระตุ้นบาไฮทั้งหลาย
อำนาจและการอำนวยการมาจากธรรมสภา แต่พลังที่จะปฏิบัติงานให้สำเร็จอยู่กับบาไฮทั้งหลาย งานหลักของอนุกรคือการช่วยกระตุ้นและปลดปล่อยพลังนี้?
บทบาทหน้าที่ร่วมกันของอนุกรฝ่ายปกป้องและเผยแพร่
?ต้องระลึกไว้ด้วยว่า อนุกรทั้งสองฝ่ายนี้มีหน้าที่เสริมกันและกันที่สืบมากจากแหล่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน และปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทน ผู้ช่วย และผู้ให้คำแนะนำของพระหัตถ์ศาสนาซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน อนุกรทั้งสองฝ่ายมักจะส่งเสริมเรื่องเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นหน้าที่หลายอย่างของทั้งสองเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างความมั่นคง การอบรมให้ลึกซึ้ง ขึ้นอยู่กับคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีปที่จะกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบให้กับอนุกรแต่ละฝ่าย เพื่อให้บังเกิดความร่วมมือกันได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมของทั้งสองฝ่าย ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า มักจะเป็นการดีเมื่อท่านที่ปรึกษา ปรึกษาหารือเรื่องเหล่านี้กับอนุกร
ยิ่งไปกว่านั้นควรระลึกไว้ด้วยว่า หน้าที่เดียวกันเหล่านี้เป็นของธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติ และคณะกรรมการต่างๆ ด้วย ซึ่งในเวลานี้มีความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงในการดำเนินแผนงานสอนศาสนา บริหารงาน สร้างความมั่นคงและปกป้องชุมชนบาไฮ ดังนั้นอนุกรควรดูด้วยว่างานของตนเสริมงานของสถาบันบริหาร?
?งานของคณะอนุกรจะอยู่ภายใต้การกำกับของพระหัตถ์ศาสนาในพื้นที่นั้น และโดยการร่วมมือกับสถาบันบริหาร อนุกรจะสามารถช่วยกระตุ้นกลุ่มบาไฮและธรรมสภาที่อ่อนแอโดยการไปเยี่ยม?
?แน่นอนอนุกรฝ่ายปกป้องสามารถช่วยการเผยแพร่ศาสนา แต่หน้าที่เบื้องต้นของเขาคือการปกป้อง?
?ในกรณียกเว้น คณะที่ปรึกษาประจำทวีปอาจพบว่าจำเป็นที่จะต้องมอบหมายเรื่องการปกป้องให้อนุกรฝ่ายเผยแพร่?
?มีคำถามหยิบยกขึ้นมาว่า ธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาควรเสนอเรื่องไปให้อนุกรฝ่ายไหน เราคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการในระดับท้องถิ่นโดยอาศัยประสบการณ์และในระหว่างนี้ธรรมสภาและบาไฮทั้งหลายไม่ควรเป็นห่วงเรื่องนี้มากเกินไป พวกเขาควรรู้สึกมีอิสระที่จะเสนอให้อนุกรฝ่ายไหนก็ได้ และหากอนุกรคิดว่าเรื่องนั้นควรเสนอไปยังอนุกรอีกฝ่าย เขาสามารถผ่านเรื่องนั้นต่อไปได้ หรือแนะนำธรรมสภาหรือบาไฮให้ใช้วิธีใหม่ ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ที่อนุกรคุ้นเคยดีเมื่อพวกเขาเสนอเรื่องมาให้อนุกร ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะจัดการโดยธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการแห่งชาติ?
?อนุกรควรสนับสนุนบาไฮทั้งส่วนบุคคลและธรรมสภาโดยอาศัยจดหมายและการเยี่ยมเยียน และให้พวกเขารู้ว่ารากฐานของกิจกรรมทั้งหมดของเราคือความสามัคคี อนุกรควรสนับสนุนให้เพื่อนบาไฮสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม เพื่อว่างานจะรุดหน้าไปด้วยการเสริมพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์?
?…ควรทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและการเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม?
?เรามั่นใจว่า คณะที่ปรึกษาจะให้การสนับสนุนและหล่อเลี้ยงรากของชุมชนแต่ละท้องถิ่น โดยการติดต่อกับเพื่อนบาไฮด้วยตนเอง หรือติดต่อผ่านทางอนุกรและผู้ช่วยอนุกร เพาะปลูกและบำรุงดินแห่งความรู้ในพระธรรมคำสอน และรดด้วยน้ำแห่งความรักในพระบาฮาอุลลาห์ ดังนี้แล้ว ต้นอ่อนจะเติบโตเป็นพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ และออกผลล้ำค่า?
?อนุกรควรสนับสนุนบาไฮให้บริจาคให้กองทุนต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นเพราะเงินทุนคือโลหิตของชุมชน และงานไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ นอกจากโลหิตจะไหลเวียนอยู่ตลอด?
?ท่านศานภิบาลแน่ใจว่า คณะอนุกรที่แต่งตั้งโดยพระหัตถ์เมื่อเร็วๆนี้ จะกระตุ้นและช่วยงานสอน ซึ่งรวมถึงงานอาสาสมัครและเป็นผู้ค้ำจุนและหัวเรี่ยวหัวแรงของธรรมสภาแห่งชาติที่มักมีงานล้นมือและพระหัตถ์ศาสนาที่รับภาระงานบริหารแถมเข้ามากับตำแหน่งอันสูงส่งในฐานะที่เป็นพระหัตถ์ศาสนา?
?เรามีคำแนะนำสำหรับคุณ นั่นคือ คุณควรทำให้อนุกรของคุณตระหนักในความสำคัญยิ่งที่ท่านศาสนภิบาลให้กับความพากเพียรของอาสาสมัครที่จะทำงานในประเทศเป้าหมายที่ศาสนาพึ่งเข้าไปตั้งรกรากใหม่ๆ เรารู้สึกว่าอาสาสมัครบางคนยังไม่ตระหนักในการรับใช้อันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเป็นตัวแทนของศาสนาในพื้นที่ที่ศาสนาพึ่งเข้าไปถึง
เราต้องการให้คุณสนใจเรื่องนี้ เพื่อว่าหากคุณคิดว่าสมควรคุณจะทำให้อนุกรที่คุณแต่งตั้งตระหนักในความสำคัญยิ่งในการติดต่อกับอาสาสมัคร ช่วยให้อาสาสมัครพากเพียรต่อไป และชี้ให้อาสาสมัครเห็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา และพวกเขาสามารถทำอะไรได้หากอยู่ที่นั่นต่อไป?
ในจดหมายลงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1980 ศูนย์กลางศาสนานานาชาติกล่าวไว้ว่า
?ดังที่คุณทราบแล้ว ปัญหาในการปรับความเข้าใจของอาสาสมัครให้เข้ากับที่ตนเข้าไปอยู่ใหม่ บางครั้งเป็นเรื่องยาก และถ้าไม่มีการปรับความเข้าใจที่เหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากอย่างมากสำหรับตัวอาสาสมัครเอง และชุมชนที่อาสาสมัครนั้นเข้าไปรับใช้
สภายุติธรรมสากล…เชื่อว่าในหลายประเทศ ท่านที่ปรึกษาและอนุกรสามารถช่วยเหลืออาสาสมัครที่พึ่งเข้ามาในพื้นที่ของตนได้อย่างมาก งานสร้างสรรค์มากมายประเภทนี้ คณะที่ปรึกษาและท่านที่ปรึกษาแต่ละคนในส่วนต่างๆ ของโลกได้ทำมาแล้ว?
บทบาทของอนุกรฝ่ายเผยแพร่
?งานเบื้องต้นของอนุกรฝ่ายเผยแพร่คือการดึงความสนใจของบาไฮมาที่เป้าหมายของแผนงานใดๆ ก็ตามที่วางไว้สำหรับพวกเขา กระตุ้นและช่วยเหลือพวกเขาให้ส่งเสริมงานสอนศาสนาทั้งในวงของการประกาศศาสนา การขยายศาสนา การสร้างความมั่นคง และการอาสาสมัคร สนับสนุนเงินบริจาคให้กองทุนต่างๆ และปฏิบัติตนเป็นเสมือนผู้ชูธงนำขบวนครูของศาสนา นำบรรดาครูไปสู่ความสำเร็จใหม่ๆ ของการแพร่กระจายพระธรรมของพระผู้เป็นเจ้าให้กับเพื่อนมนุษย์?
บทบาทของอนุกรฝ่ายปกป้อง
?ความจำเป็นในการปกป้องศาสนาให้พ้นจากการโจมตีของศัตรูนั้น บาไฮส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเห็นคุณค่า…อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น จะเกิดขึ้นทุกแห่งหน และจะมีการร่วมมือกันโจมตี ธรรมนิพนธ์ของศาสนาของเราบอกเป็นลางไม่เพียงแต่การวางแผนร้ายของศัตรูภายในที่จะเข้มแข็งขึ้น แต่ยังบอกถึงความเป็นอริและการต่อต้านที่จะมาจากศัตรูภายนอกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อศาสนาที่รักยิ่งของเราเคลื่อนทัพไปข้างหน้าจนได้ชัยชนะในที่สุด ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงคำเตือนของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คณะอนุกรฝ่ายปกป้องควรเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา คอยจับตาดูบรรดาผู้ที่เรารู้ว่าเป็นศัตรูหรือถูกขับไล่ออกจากศาสนา ไต่สวนกิจกรรมของพวกเขาอย่างรอบคอบ เตือนเพื่อนบาไฮด้วยวิธีที่ฉลาดเกี่ยวกับการต่อต้านศาสนาที่จะมาถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อธิบายถึงว่าความวิกฤติที่เกิดขึ้นในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าคือพระพรที่แอบแฝงมาเสมอ ตระเตรียมเพื่อนบาไฮสำหรับการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกกำหนดให้กรีธากองทัพแห่งแสงสว่างเข้าสู้กับอำนาจมืด และเมื่ออิทธิพลของศัตรูแพร่กระจายมาถึงหมู่บาไฮ อนุกรเหล่านี้ต้องเฝ้าระวังแผนการของศัตรูที่จะดับความศรัทธาและบั่นทอนความจงรักภักดีของบาไฮทั้งหลาย ต่อกรกับแผนการเหล่านี้มิให้แพร่อิทธิพลต่อไป โดยการใช้มาตรการที่สุขุมและมีประสิทธิภาพเหนืออื่นใด อนุกรฝ่ายปกป้องควรเอาใจใส่ต่อการอบรมบาไฮให้มีความรู้ลึกซึ้งในพระปฏิญญา ให้มีความรักและซื่อสัตย์ต่อพระปฏิญญามากขึ้น คอยตอบคำถามต่างๆ ที่กวนใจเพื่อนบาไฮให้เป็นที่ชัดเจนและเปิดเผยตรงตามคำสอน ทำนุบำรุงความศรัทธาและความมั่นใจของพวกเขาให้ลึกซึ้งและเข้มแข็ง ส่งเสริมอะไรก็ตามที่จะช่วยเพิ่มบรรยากาศของความรักและสามัคคีในชุมชนบาไฮ?
ความซื่อสัตย์ต่อพระปฏิญญารวมถึงการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ด้วย อนุกรฝ่ายปกป้องจึงมีบทบาทในการทำนุบำรุงบาไฮให้มีจิตใจเข้มแข็งอยู่ในศีลธรรม ไม่ดำเนินชีวิตออกนอกทำนองคลองธรรม เมื่อบาไฮคนใดมีปัญหาทางด้านนี้ นอกจากอยู่ในความรับผิดชอบของธรรมสภาแล้ว เป็นหน้าที่ของอนุกรฝ่ายปกป้องที่จะคอยช่วยเหลือประคับประคองบาไฮผู้นั้นและปกป้องชุมชนบาไฮ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความประพฤตินั้นเป็นภัยต่อชื่อเสียงของศาสนา บทบาทนี้อาจทำให้บาไฮในชุมชนระแวงคิดว่า อนุกรเป็นผู้คอยจับผิดความประพฤติของตน อาจทำให้เกิดความไม่ไว้ใจและจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอนุกร อนุกรฝ่ายปกป้องควรระวังปัญหานี้
?…เราคิดว่า แทนที่จะให้คณะอนุกรไต่สวนชีวิตส่วนตัวของเพื่อนบาไฮ ควรให้คณะอนุกรอบรมบาไฮในหลักธรรมของศาสนา คำกล่าวหาเกี่ยวกับความผิดศีลธรรมหรือไม่ชอบมาพากลในสถานภาพการสมรส ควรจัดการเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ควรเสาะหาปัญหา?
การเดินทางไปเยี่ยมท้องถิ่นต่างๆ
?ท่านศาสนภิบาลได้ชี้แจงว่า อนุกรไม่มีข้อบังคับที่จะต้องเดินทางตลอดเวลา อนุกรควรเดินทางเมื่อทำได้ แต่งานที่เหลือควรใช้จดหมาย?
?จดหมายควรเป็นงานส่วนใหญ่ของคุณ เวลาหรือเงินนั้นมีไม่พอที่จะให้อนุกรเดินทางอยู่ตลอดและก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น จดหมายสามารถเร่งการดำเนินแผนงานได้อย่างมาก?
?ท่านศาสนภิบาลให้ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองของพระหัตถ์ศาสนาว่า อนุกรควรไปเยี่ยมท้องถิ่นต่างๆ กี่ครั้ง ซึ่งย่อมขึ้นกับว่าเมืองนั้นอยู่ที่ไหนและมีเงินทุนเท่าไหร่ และขึ้นกับความแข็งแรงของชุมชนนั้นด้วย?
?ธรรมสภาแห่งชาติเมื่อปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาผู้เป็นธงประจำแผนงานเก้าปี ควรใช้ความช่วยเหลือของอนุกรให้เป็นประโยชน์ อนุกรพร้อมครูเดินทางที่คัดเลือกโดยธรรมสภาหรือคณะกรรมการสอนศาสนา ควรได้รับการสนับสนุนอยู่ตลอดให้จัดอบรมที่ศูนย์อบรม และไปเยี่ยมธรรมสภาท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอในโอกาสดังกล่าว ผู้เยี่ยมเยียนไม่ว่าจะเป็นอนุกรหรือครูเดินทางไม่เพียงแต่จะพบกับธรรมสภาท้องถิ่น แต่ควรพบกับบาไฮในชุมชนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพบพร้อมหน้ากันในที่ประชุม หรือพบกับบาไฮบางคนเป็นการส่วนตัวที่บ้านของเขาหากจำเป็น
หัวข้อที่ควรอภิปรายในการประชุมกับธรรมสภาท้องถิ่นและเพื่อนบาไฮควรมีเรื่องเหล่านี้ด้วย
- การแพร่กระจายและความเจริญของศาสนาในปัจจุบัน
- ความสำคัญของบทอธิษฐานบังคับ(อย่างน้อยบทสั้น)
- ความจำเป็นในการอบรมเด็กบาไฮในคำสอนของศาสนาและสนับสนุนเด็กๆให้ท่องจำบทอธิษฐานบางบท
- กระตุ้นเยาวชนให้มีส่วนร่วมในชีวิตของชุมชน โดยให้ออกมาพูดเรื่องต่างๆ ฯลฯ และมีกิจกรรมของตนเองถ้าเป็นไปได้
- ความจำเป็นในการยึดถือกฎของการแต่งงาน กล่าวคือต้องมีพิธีแต่งงานบาไฮ ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ ต้องมีสามีหรือภรรยาคนเดียว ความซื่อสัตย์ภายหลังแต่งงาน ความสำคัญของการละเว้นจากเครื่องดื่มมึนเมาและยาเสพติด
- กองทุนท้องถิ่นและความจำเป็นที่บาไฮต้องเข้าใจว่า การบริจาคให้กองทุนโดยสมัครใจเป็นทั้งสิทธิพิเศษและข้อผูกมัดทางจิตใจ ควรมีการอภิปรายเกี่ยวกับวิธีต่างๆที่บาไฮสามารถทำได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริจาค และหนทางที่ธรรมสภาท้องถิ่นจะใช้กองทุนของตนเพื่อส่งเสริมประโยชน์ของชุมชนและศาสนา
- ความสำคัญของงานฉลองบุญสิบเก้าวัน และความจริงที่ว่างานนี้ควรเป็นโอกาสสำหรับความเบิกบานหรรษา และเป็นศูนย์รวมของชุมชน
- ลักษณะการเลือกตั้งและการลองปฏิบัติเท่าที่จำเป็น รวมทั้งการสอนวิธีง่ายๆ ในการลงคะแนนสำหรับผู้ที่ไม่รู้หนังสือ เช่น ใช้บ้านหนึ่งเป็นสถานที่สำหรับลงคะแนน และจัดให้บุคคลที่รู้หนังสือคนหนึ่งแม้ว่าจะเป็นเด็กก็ตาม ให้อยู่ที่บ้านนั้นตลอดวันหากจำเป็น และ
- สุดท้ายแต่สำคัญไม่น้อยคือ งานสอนศาสนาซึ่งสำคัญที่สุดทั้งในท้องถิ่นและชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งความจำเป็นในการอบรมบาไฮอย่างต่อเนื่องให้ลึกซึ้งในแก่นของศาสนา ควรทำให้บาไฮตระหนักว่าในการสอนศาสนาผู้อื่น พวกเขาไม่ควรมุ่งเพียงจะหาผู้ที่จะมาร่วมศาสนา แต่ควรทำให้พวกเขาเป็นครูและผู้สนับสนุนศาสนาที่กระตือรือร้นด้วย
ประเด็นที่กล่าวมาข้างบนนี้ควรเน้นย้ำมาที่ความสำคัญของธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนให้หันมาสนใจหน้าที่ที่สำคัญเหล่านี้ และกลายเป็นหัวใจของชีวิตชุมชนในท้องถิ่นของตน แม้ว่าการประชุมของธรรมสภาท้องถิ่นจะหนักไปด้วยปัญหาต่างๆของชุมชน บาไฮในท้องถิ่นควรเข้าใจความสำคัญของการปรึกษาหารือ และตระหนักว่าพวกเขาต้องกันไปหาธรรมสภาท้องถิ่น ยึดถือคำตัดสินใจและสนับสนุนโครงการของธรรมสภาท้องถิ่น ร่วมมือกับธรรมสภาท้องถิ่นอย่างจริงใจในงานส่งเสริมประโยชน์ของศาสนา ขอคำแนะนำและการชี้ทางจากธรรมสภาท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว ขอให้ธรรมสภาท้องถิ่นตัดสินหากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างบาไฮในชุมชน?
อิสระในการทำงานของอนุกร
?ท่านที่ปรึกษาในแต่ละเขตประจำทวีปของตนมีอิสระกว้างขวางในวิธีการทำงานของตน ทำนองเดียวกันพวกเขาควรให้อนุกรมีอิสระในการปฏิบัติงานภายในพื้นที่ของตน ถึงแม้ท่านที่ปรึกษาควรกำกับงานของอนุกรอย่างสม่ำเสมอ อนุกรก็ควรตระหนักว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรอท่านที่ปรึกษากำกับ ลักษณะงานของอนุกรคือพวกเขาควรปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องตามวิจารณญาณของตน แม้ว่าจะไม่ได้รับมอบหมายงานที่เฉพาะเจาะจง?
?หากอนุกรติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นหรือบาไฮในท้องถิ่นใดไม่ได้ เขาควรหาวิธีของตนเองเพื่อแก้ปัญหานี้?
?หากบาไฮเข้าหาผู้ช่วยอนุกรหรืออนุกรเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ผู้ช่วยอนุกรหรืออนุกรต้องตัดสินใจว่า ตนจะแนะนำบาไฮคนนั้นให้เข้าหาธรรมสภา หรือตนจะให้คำแนะนำเอง และตนควรจะรายงานไปยังท่านที่ปรึกษาหรือธรรมสภาท้องถิ่นหรือไม่ ซึ่งย่อมขึ้นกับว่าเรื่องนั้นเป็นความลับส่วนตัวแค่ไหน ทำนองเดียวกัน ท่านที่ปรึกษาต้องตัดสินใจว่า เรื่องนั้นธรรมสภาแห่งชาติควรรับทราบหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วนอกเหนือจากเรื่องที่ควรเป็นความลับส่วนบุคคล การแบ่งปันข้อมูลระหว่างสถาบันของศาสนายิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี?
?หากอนุกรพบปัญหาใดที่เขารู้สึกว่าต้องมีการแก้ไข เขาต้องรายงานไปยังพระหัตถ์ศาสนา และหากพระหัตถ์ศาสนาเห็นด้วยก็จะจัดการเรื่องนั้นกับธรรมสภาแห่งชาติ?
ในจดหมายเดือนธันวาคม ค.ศ.1971 คณะพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แนะนำว่า ?เมื่อมีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ในระดับท้องถิ่น อนุกรควรเสนอเรื่องไปยังท่านที่ปรึกษาเพื่อว่าท่านที่ปรึกษาอาจจะปรึกษากับธรรมสภาแห่งชาติ?
เนื่องด้วยการรับใช้ของอนุกรมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ต้องไม่รับงานบริหารซึ่งเป็นหน้าที่ของธรรมสภาและคณะกรรมการ บางครั้งจึงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของอนุกร ซึ่งอนุกรสามารถรับใช้ศาสนาได้ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติได้ชี้แจงไว้ในจดหมายลงวันที่ 5 เมษายน ค.ศ.1981 ดังนี้
?ดังเช่นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติซึ่งมีภาระหนักอยู่แล้วตามหน้าที่ของตน แต่ก็ยังรับใช้ศาสนาในรูปแบบอื่นนานัปการ ไม่มีเหตุผลว่าทำไมการรับใช้ของอนุกรควรอยู่ภายใต้ข้อจำกัดพิเศษ ซึ่งอนุกรสามารถรับใช้ศาสนาได้นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างบน
อนุกรสามารถรับใช้ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของตน แต่มีกิจกรรมอื่นมากมายที่เขาสามารถทำได้ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ของเขาในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ตัวอย่างการรับใช้ที่เรานึกได้ ได้แก่
- เขียนบทความเกี่ยวกับศาสนา
- เป็นวิทยากรที่โรงเรียนฤดูร้อน ที่ประชุม ที่บ้านบาไฮที่จัดสนทนาธรรมะ ที่การพบปะกับสาธารณชน หรือพูดออกรายการวิทยุโทรทัศน์
- เดินทางไปสอนศาสนาไปเยี่ยมเยียนนอกพื้นที่ของตน
- เป็นตัวแทนบาไฮไปเข้าร่วมงานสำคัญที่จัดโดยคนอื่น
- ให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพในเรื่องที่ตนเป็นผู้ชำนาญ
กิจกรรมเหล่านี้และอื่นๆ สามารถเป็นประโยชน์สำหรับงานของคณะอนุกร แต่มิใช่เป็นงานที่เจาะจงสำหรับอนุกรเท่านั้นบาไฮทุกคนสามารถทำได้ และไม่มีเหตุผลว่าทำไมอนุกรจะทำไม่ได้ หรือธรรมสภาและคณะกรรมการจะขอให้อนุกรรับใช้ในงานดังกล่าวไม่ได้ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ทุกกรณีดังกล่าวอนุกรควรพิจารณาว่า การรับงานนั้นๆ จะเป็นอุปสรรคต่องานของคณะอนุกรหรือไม่ และหากมีข้อสงสัย ขอให้ปรึกษากับท่านที่ปรึกษา?
12
ผู้ช่วยอนุกร
การแต่งตั้ง
?ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เร่งเร้าอนุกรให้ติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ ศูนย์ที่โดดเดี่ยวและบาไฮแต่ละคน และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของแผนงาน ช่วยการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รีรอ เฝ้าระวังความปลอดภัยของศาสนา กระตุ้นส่งเสริมงานการสอนศาสนาและอาสาสมัคร ทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและความเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม โดยการไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะอย่างเป็นระบบและโดยอาศัยจดหมาย
งานที่ขยายตัวอยู่เสมออย่างเหลือล้นดังกล่าวตามที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้คาดการณ์ไว้ จะดำเนินไปได้อย่างเหมาะสมก็ต่อเมื่ออนุกรสามารถติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบหมาย แต่อนิจจา ในหลายกรณีสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ มิใช่เพราะว่าอนุกรไม่เต็มใจปฏิบัติงานแต่เป็นเพราะว่าจำนวนท้องถิ่นบาไฮที่พวกเขารับผิดชอบอยู่นั้นมากมายเกินกว่าที่จะติดต่อได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว?
ข้างบนนี้คือคำกล่าวของสภายุติธรรมสากลในปี ค.ศ.1971 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อนุกรเผชิญอยู่ ซึ่งมาจากจำนวนท้องถิ่นบาไฮที่เพิ่มจำนวนมากจนรับไม่ไหว ต่อมาในปี ค.ศ.1973 สภายุติธรรมสากลได้ประกาศถึงการแก้ปัญหานี้ไว้ว่า
?ดังนั้นเราได้ตัดสินใจเริ่มก้าวต่อไปของการพัฒนาสถาบันนี้และคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีปพิจารณาให้อำนาจอนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยได้…หน้าที่และวาระของผู้ช่วยอนุกรขึ้นอยู่กับแต่ละคณะที่ปรึกษาตัดสินใจ?
ต่างจากวาระของการเป็นอนุกรหรือท่านที่ปรึกษาซึ่งกำหนดไว้คราวละ 5 ปี วาระของการเป็นผู้ช่วยอนุกรไม่มีกำหนดตายตัวเป็นมาตรฐาน แต่อนุกรต้องให้ผู้ช่วยของตนทราบว่าวาระของการเป็นผู้ช่วยนั้นสิ้นสุดเมื่อไร ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ช่วยเกิดความไม่แน่ใจว่าตนยังเป็นผู้ช่วยอยู่หรือเปล่า
?วาระของการแต่งตั้งควรเป็นช่วงเวลาจำกัดเช่นหนึ่งหรือสองปีและอาจแต่งตั้งต่อได้?
?เราคิดว่าวาระของการเป็นผู้ช่วยไม่ควรเป็นมาตรฐานเหมือนกันหมด ควรมีความยืดหยุ่น บางคณะที่ปรึกษาอาจต้องการแต่งตั้งผู้ช่วยเป็นวาระที่แน่นอน บางคณะที่ปรึกษาอาจไม่ต้องการ คณะที่ปรึกษาหนึ่งอาจต้องการกำหนดวาระที่แน่นอนในบางพื้นที่เท่านั้น ไม่ใช่ทุกพื้นที่ ในบางกรณีคณะที่ปรึกษาอาจต้องการแต่งตั้งผู้ช่วยสำหรับโครงการบางอย่าง ซึ่งบางโครงการอาจมีระยะเวลาสั้นมาก พวกเขามีอิสระในเรื่องนี้?
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะเป็นผู้กำหนดว่า พื้นที่ไหนควรมีผู้ช่วยเมื่อไรและจำนวนเท่าไร โดยอนุกรเป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่ตนอยากแต่งตั้ง เมื่อคณะที่ปรึกษารับรองแล้ว อนุกรจึงแต่งตั้งได้ ยกเว้นในพื้นที่ห่างไกลที่ท่านที่ปรึกษาไม่มีโอกาสได้พบคนที่ถูกเสนอชื่อ ซึ่งท่านที่ปรึกษาอาจให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยได้โดยไม่ต้องขอรับการรับรอง
?เมื่ออนุกรคนใดตัดสินใจแล้วว่าเขาอยากแต่งตั้งใคร เขาควรเสนอชื่อไปยังท่านที่ปรึกษาคนหนึ่งเพื่อขอรับการรับรอง เมื่อได้รับรองแล้ว เขาจึงให้ผู้นั้นมาเป็นผู้ช่วยได้?
?…เพราะว่าในทางปฏิบัติ เมื่อคำนึงถึงเวลาและระยะทาง จึงอนุญาตให้ท่านที่ปรึกษาที่รับผิดชอบให้อนุกรที่อยู่ที่นั่นแต่งตั้งผู้ช่วยตามที่ท่านที่ปรึกษาจัดหาให้ โดยไม่ต้องเสนอชื่อมาให้ท่านที่ปรึกษารับรองเป็นรายๆ?
?การมอบอำนาจไม่จำเป็นต้องให้อนุกรทุกคนในเขต จำนวนผู้ช่วยที่กำหนดให้อนุกรแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ที่จริงแล้วบางคณะที่ปรึกษาอาจตัดสินใจว่า ในสภาพแวดล้อมในปัจจุบันขอบเขตของตนยังไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ช่วย เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีป อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นทีละน้อย เพื่อว่าคุณจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า จะให้มีผู้ช่วยเท่าไหร่ที่เหมาะสมทั้งในแง่ของการดูแลชุมชนได้ทั่วถึง และความสามารถของอนุกรที่จะกำกับผู้ช่วยของตน?
บาไฮอาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของอนุกรฝ่ายปกป้องและอนุกรฝ่ายเผยแพร่ในเวลาเดียวกัน การแต่งตั้งผู้ช่วยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งในท้องถิ่นที่มีธรรมสภาเท่านั้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ห่างไกลที่อนุกรติดต่อได้ยาก หากมีผู้ช่วยก็จะช่วยงานอนุกรได้มาก พื้นที่รับผิดชอบของผู้ช่วยควรจำกัดอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อว่าผู้ช่วยจะรับผิดชอบหน้าที่ของตนได้ เช่นกันกับอนุกรผู้ช่วยจะไม่มีบทบาทนอกพื้นที่ของตน
?เป็นที่ประจักษ์ว่าอนุกรฝ่ายเผยแพร่มีความต้องการผู้ช่วยมากกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ควรยับยั้งอนุกรฝ่ายปกป้องมิให้แต่งตั้งผู้ช่วย อาจพบได้ในหลายพื้นที่ว่า การแต่งตั้งผู้ช่วยคนหนึ่งให้รับผิดชอบทั้งสองหน้าที่อาจเพียงพอสำหรับปัจจุบัน แต่เรามองเห็นได้ในวันข้างหน้าที่สถานการณ์นี้จะเปลี่ยนไป เช่นกันการวางรูปแบบและประสานงานความสัมพันธ์นี้ต้องยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ของท้องถิ่น?
?ท่านที่ปรึกษาอาจพิจารณาขอให้อนุกรมอบหมายให้ผู้ช่วยทำงานในพื้นที่เป้าหมายที่จะก่อตั้งธรรมสภา?
?โดยปกติแล้ว ลักษณะงานของผู้ช่วยที่จำกัดอยู่ในท้องถิ่น ควรช่วยให้ผู้ช่วยทำงานได้โดยไม่ต้องรับเงินทุนช่วยเหลือ?
?ดังที่เรากล่าวไว้ในจดหมายลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1973 เราหวังว่างานของผู้ช่วยส่วนใหญ่ไม่ต้องอาศัยเงินทุนช่วยเหลือ แต่ถ้าหากจำเป็น น่าจะชัดเจนว่าเมื่อทำงานให้กับธรรมสภาท้องถิ่น เขาควรได้รับเงินคืนจากกองทุนท้องถิ่น และเมื่อดำเนินโครงการให้กับอนุกร เขาควรได้รับเงินคืนจากกองทุนประจำทวีป?
?ผู้ช่วยได้รับการแต่งตั้งโดยอนุกรให้คอยช่วยเหลืองานในพื้นที่เฉพาะ และเขาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้ช่วยเฉพาะในพื้นที่นั่นเท่านั้น เช่นเดียวกับอนุกร ผู้ช่วยปฏิบัติงานโดยตัวคนเดียวมิใช่กลุ่มที่ปรึกษาหารือกัน?
อนุกรมีความรับผิดชอบที่จะฝึกผู้ช่วยของตน และสามารถแต่งตั้งเยาวชนให้เป็นผู้ช่วยได้ แม้บาไฮที่ยังไม่ลึกซึ้งในศาสนา อนุกรก็อาจแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยได้ โดยหวังว่าจะฝึกให้เขามีความสามารถภายหลัง
?เป็นที่ชัดเจนว่า ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนบาไฮคือ การทำให้ธรรมสภาท้องถิ่นทั้งหมดแข็งขันเต็มที่ ซึ่งทำได้หลายทาง หนึ่งคือที่ปรึกษาประจำทวีปให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วย และจากนั้นรับประกันว่า ผู้ช่วยเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนในคำสอนของศาสนาและทำงานของระบบบริหาร เพื่อว่าพวกเขาจะช่วยเหลือธรรมสภาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
สถานภาพ
?พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา อนุกร จัดอยู่ใน ?ผู้รู้? ที่นิยามไว้โดยท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่ง ดังนั้นทั้งสามสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น และไม่ผิดที่จะอ้างถึงตำแหน่งทั้งสามว่าเป็นสถาบันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสามต่างก็เป็นสถาบันต่างหาก?
?ผู้ช่วยอนุกรเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันคณะอนุกร?
พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษาและอนุกร ต่างก็เป็นสถาบันหนึ่ง ส่วนผู้ช่วยอนุกรมิใช่สถาบันต่างหากแต่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอนุกร และผู้ช่วยมีสิทธิ์จะดำรงตำแหน่งบริหารควบคู่กันไปด้วย เช่น อยู่ในธรรมสภาท้องถิ่นหรือคณะกรรมการ ในกรณีที่บาไฮที่อยู่ในสถาบันบริหารได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยอนุกร สภายุติธรรมสากลสนับสนุนให้ผู้ช่วยอยู่ในสสถาบันบริหารต่อไป ไม่ต้องลาออก
?ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งสามารถรับใช้ในเวลาเดียวกันเป็นทั้งผู้ช่วยอนุกรและสมาชิกในสถาบันบริหาร บาไฮที่มีความรู้ในคำสอนและอุทิศตนต่อศาสนาซึ่งทำให้เขาหรือเธอได้เป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น มักจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยอนุกรด้วย สภายุติธรรมสากลคิดว่า ผู้ช่วยอนุกรไม่น่าจะวางมือจากงานบริหาร อย่างไรก็ตามเมื่อปรึกษากับคณะธรรมสภาท้องถิ่นของตนแล้วคิดว่าน่าจะวางมือ ความคิดนั้นควรจะมาจากผู้ช่วยเอง มิใช่ธรรมสภาขอให้ผู้ช่วยวางมือ?
?การแต่งตั้งบาไฮเป็นผู้ช่วยอนุกร มิได้เป็นเหตุผลที่จะยอมรับการขอลาจากธรรมสภาท้องถิ่นของบาไฮผู้นั้น?
บทบาทหน้าที่
?จุดมุ่งหมายของผู้ช่วยควรเป็นการกระตุ้นและสนับสนุนธรรมสภาท้องถิ่น เรียกสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นให้หันมาสนใจความสำคัญของการประชุมอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนชุมชนให้มาร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวันและวันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยอบรมเพื่อนบาไฮให้เข้าใจคำสอนอย่างลึกซึ้ง และช่วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกร?
?ในสถาบันของศาสนา (อนุกรและผู้ช่วย) ที่เข้าถึงทุกท้องถิ่นประกอบด้วยบาไฮที่มั่นคงที่รู้จักพื้นที่ที่ตนรับใช้ และคุ้นเคยกับปัญหาและศักยภาพในพื้นที่…เป็นสถาบันที่ออกแบบไว้สำหรับกระตุ้นบาไฮให้ศึกษาพระธรรมคำสอน และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต?
?เกี่ยวกับหน้าที่ในการกระตุ้นกลุ่มบาไฮ บาไฮที่อยู่โดดเดี่ยว รวมทั้งธรรมสภาท้องถิ่น ไม่เพียงแต่คณะกรรมการแห่งชาติดูแลเรื่องนี้อยู่เท่านั้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ อนุกรและผู้ช่วยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเข้ามารับผิดชอบอย่างมากในการสนับสนุนบาไฮเป็นการส่วนตัว กระตุ้นความพยายามของบาไฮที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นเหล่านี้?
ในการช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกร ผู้ช่วยสามารถมีบทบาทหลากหลายและสร้างสรรค์ ผู้ช่วยอาจได้รับมอบความรับผิดชอบให้ช่วยงานของอนุกรโดยทั่วๆ ไป หรือได้รับเฉพาะงานเจาะจง เช่น การกระตุ้นความสนใจมากขึ้นที่ชั้นเรียนเด็ก การพัฒนากิจกรรมเยาวชน การส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมในชุมชนมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นอนุกรมีแนวทางมากมายที่จะให้ผู้ช่วยช่วยงานเพื่อรับประกันว่า ชุมชนบาไฮพัฒนาไปด้วยดีและเป้าหมายของแผนงานได้รับการเอาใจใส่ อนุกรมีความรับผิดชอบในการดูแลงานของผู้ช่วย และบางโอกาสอาจขอให้ผู้ช่วยทำงานบางอย่างในนามของเขา เช่นประชุมกับธรรมสภาท้องถิ่นเพื่อแจ้งข้อมูลบางอย่างให้ชุมชน อย่างไรก็ตามผู้ช่วยควรมีอิสระในการทำงานและการริเริ่มของตัวเอง และที่จริงแล้วบทบาทของผู้ช่วยต้องใช้ความคิดริเริ่มอย่างมากที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไว้ข้างบน
?ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นพิเศษที่อนุกรจะให้ผู้ช่วยประชุมกับธรรมสภาในนามของตน เพราะการประชุมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานผู้ช่วยอยู่แล้ว ผู้ช่วยควรพบกับธรรมสภาท้องถิ่นตามหน้าที่ปกติแต่ละครั้งโดยไม่ต้องมีคำสั่งพิเศษจากอนุกร แต่แน่นอน หากอนุกรขอให้เขาประชุมกับธรรมสภาเกี่ยวกับบางเรื่อง เขาจะทำตามนั้น
เราหวังว่าคำวิจารณ์เหล่านี้จะมีส่วนช่วยคณะที่ปรึกษา และเราคิดว่าเราควรเน้นว่า งานในระดับนั้นควรเป็นแบบกันเองเท่าที่เป็นไปได้ การกำหนดขอบเขตรับผิดชอบและอำนาจที่ตายตัวหรือการเน้นข้อแตกต่างมากเกินไประหว่างสถาบันนี้กับสถาบันนั้น ไม่เพียงแต่ไม่จำเป็น แต่ยังเป็นภัยต่อบรรยากาศของการร่วมมือและสนับสนุนกัน ซึ่งจำเป็นต่อความก้าวหน้าของงาน?
ผู้ช่วยจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลในท้องถิ่นของตนกับอนุกรได้อย่างดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อนุกรเข้าไปหาได้ยาก แต่ลักษณะและความถี่ที่ผู้ช่วยจะรายงานไปยังอนุกร ขึ้นอยู่กับอนุกรแต่ละคนว่าตนจำเป็นต้องรายงานไปยังท่านที่ปรึกษาแค่ไหน ดังที่สภายุติธรรมสากลกล่าวไว้ว่า
?อนุกรยิ่งรายงานไปยังท่านที่ปรึกษามากแค่ไหน ท่านที่ปรึกษาก็จะคุ้นเคยกับสถานการณ์ของศาสนามากเท่านั้นเวลาที่ปรึกษาหารือกับธรรมสภาแห่งชาติ?
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ช่วยอนุกรกับธรรมสภาท้องถิ่น
?จุดมุ่งหมายหลักของการรับใช้ของผู้ช่วยคือ การทำนุบำรุงสัมพันธภาพที่รักใคร่ บรรยากาศของความไว้ใจกัน และการนับถือกันและกันกับธรรมสภาท้องถิ่นในพื้นที่ของตน?
?ผู้ช่วยที่เป็นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการ มิได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสถาบันนั้น และเขามีหน้าที่ที่เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ คือรักษาความลับของการปรึกษาหารือของสถาบันและเรื่องที่ธรรมสภาถือว่าเป็นความลับ แน่นอนผู้ช่วยสามารถเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น แต่งานของเขาในฐานะที่เป็นผู้ช่วยคือ การช่วยให้ธรรมสภาปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและกลมกลืน ซึ่งจะสำเร็จได้ยากหากเขาทำให้ธรรมสภารู้สึกว่าเขากำลังรายงานเรื่องที่เป็นความลับทุกเรื่องให้อนุกร ในทางตรงข้าม เขาควรทำทุกอย่างเพื่อทำนุบำรุงบรรยากาศของการร่วมมือด้วยความรักและอบอุ่นระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและอนุกร?
ผู้ช่วยควรได้รับการชี้แจงให้เข้าใจบทบาทของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ช่วยคนนั้นเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นด้วยเรื่องส่วนใหญ่ที่ปรึกษาหารือกันในที่ประชุมของธรรมสภาจะเป็นงานของศาสนาทั่วไปที่ผู้ช่วยสามารถบอกกับอนุกรและบาไฮคนอื่นได้ มีส่วนน้อยที่เป็นความลับที่ไม่ควรออกไปนอกธรรมสภา ผู้ช่วยควรแยกบทบาทของตนให้ออกว่า งานไหนเป็นของผู้ช่วยหรือเป็นของสมาชิกธรรมสภา
?ผู้ช่วยสามารถปฏิบัติหน้าที่พร้อมกันในทั้งสองแขนของระบบบริหาร ดังนั้นหากธรรมสภาแห่งชาติหรือธรรมสภาท้องถิ่นขอบาไฮที่เป็นผู้ช่วยให้ทำงานเฉพาะอย่างหนึ่ง ธรรมสภากำลังขอเขาในฐานะที่เขาเป็นบาไฮคนหนึ่ง มิใช่ในฐานะที่เป็นผู้ช่วย?
บทบาทระหว่าง
สถาบันแขนขวา (ผู้รู้)
และแขนซ้าย (ผู้ปกครอง)
?ในคีตาบี อัดห์ (คัมภีร์แห่งพระปฏิญญา) พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า ขอพรจงมีแด่ผู้ปกครองและผู้รู้ในอัลบาฮา และในการพาดพิงถึงวรรคนี้ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เขียนไว้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1931 ในวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์นี้ ผู้รู้คือพระหัตถ์ศาสนา คือครูและผู้แพร่กระจายพระธรรมคำสอนของพระองค์ที่มิได้ดำรงตำแหน่งพระหัตถ์ศาสนา แต่ก็ได้บรรลุถึงความเป็นเอกในงานสอน สำหรับผู้ปกครองหมายถึง สมาชิกสภายุติธรรมท้องถิ่น สภายุติธรรมแห่งชาติ และสภายุติธรรมนานาชาติ หน้าที่ของแต่ละดวงวิญญาณเหล่านี้จะถูกกำหนดในอนาคต
พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา อนุกร จัดอยู่ในผู้รู้ที่นิยามไว้โดยท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่ง?
?เราได้สังเกตว่า พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา และคณะอนุกรบางครั้งถูกพาดพิงโดยมิตรสหายว่าเป็น แขนแต่งตั้งของระบบบริหาร ต่างจากสภายุติธรรมสากล ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งเป็นแขนเลือกตั้ง แม้คำอธิบายนี้จะเป็นจริงเมื่อคำนึงถึงวิธีการก่อตั้งสถาบันเหล่านี้ มิตรสหายก็ควรเข้าใจว่า มิใช่เพียงแต่การแต่งตั้งเท่านั้นที่ทำให้สถาบันพระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษาและคณะอนุกร แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น มีบาไฮมากมายที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในแขนเลือกตั้ง
ความแตกต่างที่เด่นกว่าคือ ผู้ปกครองในศาสนาปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะ แต่ผู้รู้ปฏิบัติการเบื้องต้นโดยตัวคนเดียว?
การร่วมมือกันระหว่างแขนขวาและแขนซ้าย
?การปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนระหว่างสถาบันที่เป็นผู้ปกครองและผู้รู้ในหมู่ประชาชนแห่งบาฮา คือ การบรรลุอำนาจหน้าที่ที่มอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าโดยสมบูรณ์?
?ท่านที่ปรึกษา คณะอนุกรและผู้ช่วยในด้านหนึ่ง ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น และคณะกรรมการในอีกด้านหนึ่ง ล้วนเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจสำหรับงานสอน ด้วยการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ระหว่างพวกเขาและด้วยความสามัคคีในการปฏิบัติงาน สถาบันเหล่านี้จะได้รับพรและอำนาจอย่างอุดม การร่วมมือและอุทิศตนด้วยความรักที่หน่วยงานเหล่านี้แสดงเป็นตัวอย่างและความสามัคคีที่พวกเขาแสดงให้ประจักษ์ในการเสริมและกำกับความพยายามของมิตรสหายอย่างมีประสิทธิภาพ จะปลดปล่อยพลังธรรมอย่างล้นหลามซึ่งจะเติมพลังให้บาไฮทั้งหลายที่เสนอการรับใช้อันมีค่าที่สุดให้กับศาสนาที่พวกเขาอุทิศตนให้?
?ในการดำเนินแผนงานนั้น ควรมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างธรรมสภาแห่งชาติ คณะกรรมการและธรรมสภาท้องถิ่นในด้านหนึ่ง ท่านที่ปรึกษา อนุกรและผู้ช่วยในอีกด้านหนึ่งหากสถาพแวดล้อมอำนวย แง่หนึ่งของการ่วมมือนี้อาจเป็นการชุมนุมกันระหว่างท่านที่ปรึกษา อนุกร ธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการ เพราะทุกคนเหล่านี้จะต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานตามแผน ทุกคนจะได้คุ้นเคยกับรายละเอียดของแผนงาน และในเวลาเดียวกันก่อให้เกิดบรรยากาศของความอุทิศร่วมกัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานให้สำเร็จ?
?ปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสองสถาบัน ควรปรึกษาหารือกันและไม่ควรปล่อยไว้?
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแขนขวาและแขนซ้าย
?การแบ่งปันบันทึกการประชุมของธรรมสภาแห่งชาติให้กับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ขึ้นอยู่กับธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติอาจแบ่งปันบันทึกการประชุมทั้งหมดหรือบางส่วน อย่างไรก็ตามไม่เหมาะสมที่คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะแบ่งปันบันทึกการประชุมของตนให้กับธรรมสภาแห่งชาติ รายงานเฉพาะเรื่องจากคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและคณะอนุกรควรจะเพียงพอสำหรับธรรมสภาแห่งชาติ?
?สภายุติธรรมสากลหวังว่า ความร่วมมือกันอย่างสนิทสนมระหว่างท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นพันธะที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เปิดโอกาสให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างทั้งสองโดยการแลกเปลี่ยนรายงานอย่างสม่ำเสมอ แลกเปลี่ยนรายงานที่ส่งมาจากอนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ…และโดยปรึกษาหารือกันอย่างอิสระ เปิดเผยและด้วยความรักระหว่างสถาบันทั้งสองนี้ซึ่งขาดไม่ได้สำหรับระบบบริหารบาไฮ เราแน่ใจว่าพระพรจะหลั่งไหลมาและเป้าหมายจะสำเร็จลุล่วง?
?เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแบ่งปันข้อมูลกันอย่างบริบูรณ์โดยไม่รีรอดังที่อธิบายไว้ในประมวลการทำงานของอนุกรที่แจกจ่ายในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1969 วิธีจะรับประกันการแบ่งปันข้อมูลนี้ควรตกลงกันระหว่างท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งวิธีอาจแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่?
?การแลกเปลี่ยนรายงานระหว่างสองสถาบันนั้นสำคัญ และรายงานเหล่านี้ควรเป็นฐานที่มั่นคงและแน่นอนสำหรับการปรึกษาหารือ โดยวิธีนี้ธรรมสภาแห่งชาติจะคุ้นเคยกับความรู้สึกและทรรศนะของอนุกรในแต่ละพื้นที่ และสามารถเสนอไปยังท่านที่ปรึกษาว่า ตนต้องการการรับใช้และความช่วยเหลืออะไรจากอนุกรในพื้นที่นั้น?
?ธรรมสภาเป็นผู้วางแผนงานและอำนวยการ แต่แผนงานเหล่านี้ควรให้ท่านที่ปรึกษาและอนุกรทราบอย่างดี เพราะหนทางหนึ่งที่พวกเขาจะช่วยธรรมสภาได้คือ การเร่งเร้าบาไฮอย่างต่อเนื่องให้สนับสนุนแผนงานของธรรมสภา หากธรรมสภาแห่งชาติกำหนดเป้าหมายหนึ่งให้สำคัญที่สุดสำหรับปีนั้น อนุกรควรระลึกเป้าหมายนี้ไว้เสมอเมื่อติดต่อกับบาไฮทั้งหลาย และควรกระตุ้นให้บาไฮสนใจและสนับสนุนแผนงานของธรรมสภาแห่งชาติอย่างกระตือรือร้น?
?แม้ว่าอนุกรสามารถได้รับข้อมูลจากธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการแห่งชาติ แหล่งข้อมูลเบื้องต้นของเขาเกี่ยวกับชุมชนควรมาจากการที่เขาติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ และบาไฮแต่ละคนโดยตรง ด้วยวิธีนี้ท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลสองแหล่งเกี่ยวกับชุมชน คือจากอนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ?
?เป็นหน้าที่ของธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติที่จะเสนอเรื่องเกี่ยวกับการปกป้องศาสนาไปยังอนุกร ซึ่งมิใช่เพียงเรื่องของการละเมิดพระปฏิญญาที่อาจเกิดขึ้น แต่รวมถึงปัญหาความแตกสามัคคีในชุมชน การตัดสิทธิ์เลือกตั้ง หรือเรื่องอื่นๆ ที่คุณคิดว่า การชี้แนะและคำแนะนำของอนุกรฝ่ายปกป้องจะช่วยสถาบันของศาสนาได้ อนุกรจะแจ้งให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปรับทราบ และจากนั้นท่านที่ปรึกษาจะดำเนินการที่คิดว่าจำเป็น?
?แนวทางที่นโยบายในปัจจุบัน (ค.ศ.1977) กำหนดไว้ให้นั้นเพียงพอ และเมื่อมีความรู้สึกว่าขาดการร่วมมือกัน ก็เป็นเพราะว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างสถาบันยังไม่เพียงพอ?
ท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ
?แต่ละประเทศที่มีท่านที่ปรึกษาอาศัยอยู่ ควรตระหนักในคุณค่าพิเศษนี้ แต่ละธรรมสภาแห่งชาติที่มีท่านที่ปรึกษาพร้อมที่จะปรึกษาด้วยได้เสมอ ควรขอความคิดเห็นจากท่านบ่อยๆ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อคำแนะนำของท่าน โดยที่ไม่สละอำนาจส่วนไหนของธรรมสภาแห่งชาติเอง เราหวังว่าธรรมสภาแห่งชาติและสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติแต่ละคน จะเอาใจใส่ต่อคำพูดของท่านที่ปรึกษาอย่างจริงจัง?
?ในทุกกรณี การตัดสินใจที่จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อศาสนา ควรปรึกษาหารือกับท่านที่ปรึกษาอย่างถ้วนทั่วด้วยน้ำใสใจจริงเสียก่อน?
?ท่านที่ปรึกษาศาสนาไม่ควรถูกยับยั้งมิให้แสดงทรรศนะต่อธรรมสภาแห่งชาติในเรื่องที่ท่านถือว่าสัมพันธ์กับความได้เสียอย่างมหันต์ของศาสนา?
?คณะท่านที่ปรึกษาประจำทวีปและอนุกร มิได้บริหารกิจการของชุมชน การตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับธรรมสภา และทุกคนต้องเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเมื่อคำตัดสินใจเหล่านั้นจะมีผลกระทบต่อความผาสุกของอนุกรหรือมีผลได้เสียอย่างมหันต์ต่อศาสนา ควรปรึกษากับท่านที่ปรึกษาอย่างเต็มที่ด้วยน้ำใสใจจริง หลังจากตัดสินใจไปแล้ว หากท่านที่ปรึกษารู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ร้ายแรง และเกิดความเสี่ยงต่อศาสนา ท่านที่ปรึกษาอาจขอให้ธรรมสภาแห่งชาติพิจารณาการตัดสินใจนั้นใหม่ หรืออาจรายงานเรื่องนั้นไปยังพระหัตถ์ศาสนาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านที่ปรึกษาสามารถเลือกทางใดทางหนึ่งหรือทั้งสองทาง?
?หากมีการขอร้องจากท่านที่ปรึกษาให้พิจารณาใหม่ ธรรมสภาแห่งชาติควรเปิดการอภิปรายเรื่องนั้นอีกครั้ง และหลังจากปรึกษาหารือกันเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งน่าจะปรึกษากับท่านที่ปรึกษาด้วย ธรรมสภาแห่งชาติอาจจะยกเลิก ดัดแปลงหรือยืนยันคำตัดสินเดิม?
?ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกธรรมสภาไม่ควรอยู่ในที่ประชุมเมื่อธรรมสภาจะทำการตัดสินใจ ดังนั้นไม่เหมาะสมที่อนุกรหรือท่านที่ปรึกษาจะอยู่เฝ้าสังเกตการณ์ตลอดการประชุมของธรรมสภา?
ธรรมสภาแห่งชาติและอนุกร
ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง อนุกรก็ต้องเชื่อฟังและอยู่ภายใต้การปกครองของธรรมสภาแห่งชาติ แต่ในแง่การทำงานในฐานะที่เป็นอนุกร อนุกรจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ โดยมิได้ขึ้นกับธรรมสภาแห่งชาติ แต่ขึ้นกับท่านที่ปรึกษา อนุกรควรแลกเปลี่ยนข้อมูลกับธรรมสภาแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เสนอคำแนะนำ แต่จะเสนอคำแนะนำนั้นไปยังท่านที่ปรึกษา และในทางกลับกัน ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่ขออนุกรให้รับงานบางอย่างในฐานะที่เป็นอนุกร แต่อาจขอผ่านทางท่านที่ปรึกษา ยกเว้นงานบางอย่างที่ธรรมสภาสามารถขอให้อนุกรทำได้โดยตรงในฐานะที่เขาเป็นบาไฮคนหนึ่ง ดังที่กล่าวไว้ท้ายบทที่ 11 ตอนท้ายของหัวข้อ ?อิสระในการทำงานของอนุกร?
?อนุกรควรส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังท่านที่ปรึกษา มิใช่ส่งไปให้ธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการแห่งชาติโดยตรง เป็นไปได้ที่ท่านที่ปรึกษาอาจปฏิเสธหรือดัดแปลงข้อเสนอแนะนั้น หรือถ้าท่านที่ปรึกษายอมรับก็จะส่งต่อไปให้ธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติอาจตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอนั้นก็ได้ เพราะถ้าอนุกรให้ข้อเสนอแนะโดยตรงต่อคณะกรรมการแห่งชาติ ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์ในวงกว้างกว่าที่อนุกรรู้ และจะเป็นการลัดวงจรและบั่นทอนอำนาจของทั้งท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ?
?ธรรมสภาแห่งชาติสามารถเสนอไปยังท่านที่ปรึกษาว่าตนต้องการการรับใช้และความช่วยเหลือจากอนุกรในพื้นที่นั้น?
?หากเกิดเหตุการณ์ที่ว่า ธรรมสภาแห่งชาติพิจารณาว่า การกระทำของอนุกรคนหนึ่งเป็นอันตรายต่อศาสนาในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ก็ควรเสนอเรื่องนั้นไปยังท่านที่ปรึกษาทันทีเพื่อให้ท่านที่ปรึกษาตัดสินใจหรือทำอะไรบางอย่าง ไม่ควรให้เรื่องนั้นข้ามท่านที่ปรึกษาไป การไม่รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับงานของอนุกรคนนั้น ธรรมสภาแห่งชาติอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจทำสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหามากขึ้นในพื้นที่นั้น?
?ธรรมสภาแห่งชาติไม่ควรตัดสิทธิ์เลือกตั้งของอนุกรเพียงเพราะว่าตนสงสัยในความเหมาะสมและประสิทธิภาพของผู้นั้นในฐานะที่เป็นอนุกร การลงความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอนุกรอยู่ในความรับผิดชอบของท่านที่ปรึกษาโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม อนุกรสามารถถูกลงโทษเหมือนบาไฮคนอื่นเกี่ยวกับการกระทำของเขาในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง รวมทั้งการถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งหากมีเหตุผลสมควรที่จะลงโทษรุนแรงถึงขั้นนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้การลงโทษนี้เป็นทางออกสุดท้าย และจะใช้ก็ต่อเมื่อได้ปรึกษาหารืออย่างเต็มที่กับท่านที่ปรึกษาแล้วเท่านั้น?
อนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ
?มีปัญหาจำนวนหนึ่งถามมาเกี่ยวกับงานของท่านที่ปรึกษาและอนุกร และมีการเสนอแนะว่าอนุกรควรได้รับอนุญาตให้ทำงานกับธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอ เราได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบอีกครั้งและขอตัดสินว่าเรายังต้องยึดถือหลักการที่ว่า การปรึกษาหารือโดยตรงดังกล่าวควรมีได้เฉพาะในกรณียกเว้น มิใช่ทำได้ตามปกติ?
?หากธรรมสภาแห่งชาติตกลงด้วย อาจเป็นการดีถ้าอนุกรจะประชุมกับคณะกรรมการแห่งชาติเป็นบางโอกาส เพื่อชี้แจงสถานการณ์ในพื้นที่ให้ชัดเจน และเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดอย่างถ้วนทั่วแต่ไม่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ
…หากทำเช่นนั้นจะเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อการทำงานของสองสถาบันนี้ และเป็นการบั่นทอนการร่วมมือกันที่สำคัญยิ่งระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติ อีกทั้งเป็นการกระจายพลังงานและเวลาของอนุกรที่เข้ามากำกับคณะกรรมการแห่งชาติทีละน้อย เป็นการแย่งหน้าที่ของธรรมสภาแห่งชาติ หรืออนุกรอาจกลายเป็นเพียงครูเดินทางที่ถูกส่งไปมาภายใต้การกำกับของคณะกรรมการหรือธรรมสภาแห่งชาติ?
?เป็นที่อนุญาตและน่าปรารถนาอย่างยิ่ง หากมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยตรงอย่างสม่ำเสมอระหว่างคณะกรรมการและอนุกร?
?คณะกรรมการแห่งชาติไม่ควรโต้ตอบจดหมายกับอนุกรโดยตรงอย่างเป็นทางการในฐานะที่เขาเป็นอนุกร เนื่องด้วยคุณอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ…การขออนุกรให้รับใช้เรื่องใดควรส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ พร้อมกับขอให้ธรรมสภาแห่งชาติเสนอเรื่องไปยังพระหัตถ์ศาสนา (ปัจจุบันเป็นท่านที่ปรึกษา) ในทวีปนั้น?
?ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเริ่มต้นงานในแต่ละปี หรือเวลาอื่นในปีนั้น เมื่อจะมีการวางแผนงานใหม่ มักมีประโยชน์หากจัดให้มีการปรึกษาหารือระหว่างอนุกร ธรรมสภาแห่งชาติ คณะกรรมการสอนศาสนาแห่งชาติและแห่งภาค ก่อนแผนงานนั้นจะคลอดออกมา?
?หากอนุกรทำงานกับชุมชนแล้วพบว่า งานสอนศาสนาคั่งค้างเพราะคณะกรรมการแห่งชาติไร้ประสิทธิภาพ เขาควรรายงานรายละเอียดไปยังท่านที่ปรึกษา ผู้ซึ่งจะตัดสินใจว่าจะเสนอเรื่องให้ธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่?
อนุกรและธรรมสภาท้องถิ่น
?ธรรมสภาแห่งชาติควรสนับสนุนทุกวิถีทางให้อนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่จำเป็นว่าอนุกรจะต้องมาเข้าร่วมการประชุมธรรมสภาท้องถิ่นทุกครั้ง การประชุมบางโอกาส ตัวอย่างเช่น ธรรมสภาท้องถิ่นต้องการอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับความก้าวหน้าของศาสนาในบางพื้นที่ การมาร่วมประชุมของอนุกรจะมีส่วนช่วย แต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธรรมสภาท้องถิ่นว่าจะให้อนุกรมาร่วมประชุมหรือไม่ แน่นอนเมื่อไหร่ก็ตามที่อนุกรรู้สึกว่าจำเป็นต้องปรึกษาหารือกับธรรมสภาท้องถิ่น เขาสามารถขอธรรมสภาท้องถิ่นให้ประชุมเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะโดยมีเขาร่วมประชุมด้วย?
?สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งมีความรับผิดชอบและอำนาจในการตัดสินใจดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารของศาสนา ท่านที่ปรึกษาและอนุกรมีความรับผิดชอบเบื้องต้นในการปกป้องและเผยแพร่ อย่างไรก็ตาม สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งควรขยันขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากท่านที่ปรึกษาและอนุกร?
?เมื่อธรรมสภาท้องถิ่นเริ่มต้นทำงานได้อย่างเหมาะสม มิได้หมายความว่าธรรมสภาท้องถิ่นนั้นไม่ต้องการพึ่งการรับใช้และงานของอนุกรและผู้ช่วยอนุกร ผู้ซึ่งจะใช้แรงกระตุ้นและดลใจต่อไปแก่ธรรมสภา แก่กิจกรรมบาไฮต่างๆ ในท้องถิ่นและบาไฮแต่ละคนด้วย?
?ไม่จำเป็นที่ท่านที่ปรึกษาหรืออนุกรจะต้องได้รับความยินยอมจากธรรมสภาแห่งชาติก่อนที่จะติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันบริหารและท่านที่ปรึกษาและอนุกร ควรเป็นไปด้วยเจตคติของมารยาท ความนับถือและความเข้าใจ ดังนั้นเมื่ออนุกรต้องการพบกับธรรมสภาท้องถิ่นทั้งอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นควรพยายามกำหนดเวลาประชุมล่วงหน้าให้เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย ไม่จำเป็นที่คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะต้องแจ้งให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบว่า เมื่อไรอนุกรกำลังทำงานกับธรรมสภาท้องถิ่นในพื้นที่ของพวกเขา อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดหวังว่า สัมพันธภาพด้วยน้ำใสใจจริงระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติจะคงอยู่ และคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะแบ่งปันข้อมูลให้ธรรมสภาแห่งชาติที่ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของธรรมสภาแห่งชาติ?
?เราคิดว่าสำคัญที่จะต้องเน้นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรติดขัดเพราะข้อบังคับ วิธีการให้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นบันทึกการประชุมหรืออื่นๆ ไม่ใช่เรื่องบังคับ…ความสัมพันธ์ระหว่างอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรเป็นเรื่องของสิทธิใดๆ แต่ควรเป็นการร่วมมือกันอย่างจริงใจด้วยความรัก ดังที่ท่านศาสนภิบาลกล่าวไว้ว่า หลักการของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก?
?อำนาจและการอำนวยการมาจากธรรมสภา แต่พลังที่จะทำงานให้สำเร็จอยู่กับบาไฮทั้งหลาย งานหลักของอนุกรคือการช่วยกระตุ้นและปลดปล่อยพลังนี้ นี้คือกิจกรรมสำคัญและหากอนุกรจะปฏิบัติงานนี้ให้ได้ดี พวกเขาต้องไม่เข้าไปยุ่งกับงานบริหาร ตัวอย่างเช่น เมื่ออนุกรกระตุ้นบาไฮให้เป็นอาสาสมัคร เขาควรให้บาไฮที่ต้องการไปอาสาสมัครเข้าหาคณะกรรมการที่เหมาะสมที่จะวางโครงการให้ ท่านที่ปรึกษาอนุกรไม่ควรวางโครงการอาสาสมัครและการเดินทางสอนศาสนาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า คณะอนุกรควรทำงานอย่างใกล้ชิดในระดับรากของชุมชน โดยการแนะนำ กระตุ้นและช่วยเหลือบาไฮแต่ละคน กลุ่มบาไฮและธรรมสภาท้องถิ่น ท่านที่ปรึกษารับผิดชอบในการกระตุ้น ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ และยังทำงานกับบาไฮแต่ละคน กลุ่มบาไฮและธรรมสภาท้องถิ่นด้วย?
?บางครั้งธรรมสภาเข้าใจคำแถลงผิดไปที่ว่า ท่านที่ปรึกษาและอนุกรเกี่ยวข้องกับงานสอนศาสนา ไม่เกี่ยวกับการบริหาร โดยหมายความว่า พวกเขาจะไม่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการบริหารนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ท่านที่ปรึกษาและอนุกรควรเฝ้าดูและรายงานคือ การปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมของสถาบันบริหารต่างๆ คำแถลงที่ว่าพวกเขาไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการบริหาร หมายความว่าพวกเขาไม่บริหารงาน พวกเขาไม่กำกับหรือจัดระบบงานการสอนศาสนา ไม่ตัดสินเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับความขัดแย้งหรือปัญหาส่วนบุคคล ความรับผิดชอบทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของธรรมสภาต่างๆ แต่ถ้าอนุกรพบว่าธรรมสภาท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง เขาควรบอกธรรมสภาท้องถิ่นให้ดูที่พระทำคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ทำนองเดียวกัน หากอนุกรทำงานกับชุมชนแล้วพบว่า งานสอนศาสนาคั่งค้างเพราะคณะกรรมการแห่งชาติไร้ประสิทธิภาพ เขาควรรายงานรายละเอียดไปยังท่านที่ปรึกษาผู้ซึ่งจะตัดสินใจว่าจะเสนอเรื่องให้กับธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่หากธรรมสภาแห่งชาติปฏิบัติงานไม่เหมาะสม ท่านที่ปรึกษาไม่ควรลังเลที่จะปรึกษาหารือกับธรรมสภาแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเปิดเผยด้วยความรัก?
14
วิวัฒนาการของระบบบริหารบาไฮ
ในสมัยของพระบาฮาอุลลาห์ ภายหลังการเปิดเผยพระคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ซึ่งระบุถึงการก่อตั้งธรรมสภา มีบาไฮในอิหร่านขอทำตามข้อกำหนดในคัมภีร์นี้ แต่พระบาฮาอุลลาห์ไม่อนุญาตเพราะถือว่ายังไม่ถึงเวลาอันควรที่จะก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเพราะจะก่อให้เกิดความโกลาหลที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของบาไฮ ถึงแม้ระบบแห่งโลกที่พระบาฮาอุลลาห์ระบุไว้ในคัมภีร์อัคดัสยังไม่ได้เริ่มต้นในตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่าพระองค์ได้เริ่มอบรมหลักการบางอย่างของระบบแห่งโลกนี้เช่นการปรึกษาหารือ ซึ่งเห็นได้จากบางครั้งที่พระองค์บ่ายเบี่ยงไม่ยอมชี้แนะเมื่อถูกถาม แต่กลับบอกให้สาวกปรึกษาหารือกันในเรื่องนั้นๆ เช่นครั้งหนึ่งพระหัตถ์ศาสนาเคยถามพระองค์ว่า ตนควรอาศัยอยู่ที่ไหนในเปอร์เซีย คำตอบคือ ให้พระหัตถ์ศาสนาปรึกษากับบาไฮบางคนที่มั่นคงในศาสนา และถือตามคำตัดสินใจนั้น
มาถึงสมัยของพระอับดุลบาฮา พระองค์ได้เริ่มให้บาไฮก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเป็นขั้นตอนฝึกหัด ซึ่งยังไม่สมบูรณ์แบบตามหลักการ พระอับดุลบาฮาได้สั่งการให้พระหัตถ์ศาสนาก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเตหะรานซึ่งเป็นธรรมสภาแห่งแรกของโลก ครั้งนั้นพระหัตถ์ศาสนามิได้ประกาศบอกบาไฮทุกคน แต่เชิญบาไฮผู้เป็นที่รู้จักดีจำนวนหนึ่งในเมืองเตหะรานมาลงคะแนนซึ่งพระหัตถ์ศาสนาเป็นสมาชิกถาวรของธรรมสภาและมีสิทธิออกเสียง 2 เสียงในการปรึกษาหารือ ต่อมาภายหลังพระอับดุลบาฮาได้เปลี่ยนให้ทุกคนมีสิทธิออกเสียงเดียว
ครั้งหนึ่งบาไฮชาวเคิร์ดได้แปลธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์เป็นภาษาอาหรับ พระอับดุลบาฮาทรงแก้ไขบทแปลนั้นด้วยพระองค์เอง และจากนั้นทรงกำชับให้บาไฮผู้แปลนำไปให้ธรรมสภาให้การรับรองก่อนจะตีพิมพ์ ซึ่งเป็นการอบรมให้บาไฮเห็นความสำคัญและอำนาจของธรรมสภา
ธรรมนิพนธ์สำคัญที่พระอับดุลบาฮาให้ไว้เป็นมรดกสำหรับระบบแห่งโลกในอนาคตคือ พินัยกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากการปะทะสัมพันธ์กันทางวิญญาณระหว่างพระองค์และพระบาฮาอุลลาห์ พินัยกรรมนี้กับคัมภีร์คีตาบี อัคดัส คือคลังที่เก็บรักษาองค์ประกอบของอารยธรรมสวรรค์ และเป็นกฏบัตรของระบบแห่งโลกใหม่ซึ่งได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ
?พลังงานสร้างสรรค์ที่ปลดปล่อยมาจากกฎของพระบาฮาอุลลาห์ซึมซาบและดำริอยู่ในปัญญาของพระอับดุลบาฮา ผลจากปฏิกิริยาทางจิตนี้ได้ให้กำเนิดเครื่องมือที่พิจารณาได้ว่าเป็นกฎบัตรของระบบแห่งโลกใหม่ ซึ่งเป็นทั้งความรุ่งโรจน์และพันธสัญญาของยุคศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ดังนั้นพินัยกรรม (ของพระอับดุลบาฮา) อาจได้รับการแซ่ซ้องว่า เป็นผลของการปะทะสัมพันธ์กันอย่างลึกลับระหว่างพระผู้ถ่ายทอดพลานุภาพตามเจตนาสวรรค์กับพระผู้เป็นพาหนะที่รับพลานุภาพนั้น…เราต้องระลึกไว้เสมอว่าเจตนาที่หยั่งไม่ถึงของพระบาฮาอุลลาห์ได้ซึมซาบอยู่ในความประพฤติของพระอับดุลบาฮา และแรงจูงใจของทั้งสองพระองค์สมัครสมานกันอย่างแน่นแฟ้นอย่างที่ การพยายามแยกคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ออกจากระบบใดๆ ที่พระผู้เป็นแบบอย่างของคำสอนเดียวกันนี้ได้สถาปนา เท่ากับเป็นการปฏิเสธหนึ่งในหลักธรรมมูลฐานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนา?
?พินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาและคัมภีร์คีตาบี อัคดัส คือคลังสำคัญที่เก็บรักษาองค์ประกอบอันประเมิณค่ามิได้ของอารยธรรมสวรรค์ ซึ่งการสถาปนาอารยธรรมนี้คือบทบาทหน้าที่เบื้องต้นของศาสนาบาไฮ การศึกษาข้อกำหนดในเอกสารที่ศักดิ์สิทธิ์นี้จะเปิดเผยสัมพันธภาพอันใกล้ชิดระหว่างทั้งสอง รวมทั้งจุดประสงค์และวิธีการที่พร่ำสอนไว้เหมือนกัน…ที่จริงแล้วผู้ที่อ่านคัมภีร์อัคดัสอย่างรอบคอบและบากบั่นจะค้นพบได้ไม่ยากว่า บางวรรคในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้คาดการณ์ถึงสถาบันต่างๆ ที่พระอับดุลบาฮาบัญญัติไว้ในพินัยกรรมของพระองค์ โดยการปล่อยบางเรื่องโดยไม่ระบุหรือกำหนดข้อบังคับไว้ในคัมภีร์ตแห่งกฎดูเหมือนว่าพระบาฮาอุลลาห์ได้จงใจเหลือช่องว่างไว้ในแผนงานของยุคศาสนาของพระองค์ ซึ่งข้อกำหนดที่ชัดเจนในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาได้เติมเต็มช่องว่างนั้น?
?เนื้อหาในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮานั้นมากมายเกินกว่าบาไฮรุ่นปัจจุบัน (ค.ศ.1930) จะเข้าใจได้ และต้องอาศัยเวลาอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษเมื่อนำมาปฏิบัติจริง ก่อนที่ขุมทรัพย์ปัญญาที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นจะเปิดเผยออกมาได้?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้นำทางการปฏิบัติงานของบาไฮให้ตรงกับแนวทางที่ให้ไว้ในพระธรรม ซึ่งท่านได้ชี้แจงไว้ในปี ค.ศ.1929 แนวทางที่ท่านชี้แนะบาไฮทั่วโลกให้พัฒนาระบบบริหารนั้น มิใช่เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้นมาเอง แต่ยึดถือตามพินัยกรรมและคัมภีร์อัคดัส
?บาไฮทุกคนควรระลึกไว้ว่า ระบบบริหารบาไฮมิใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเองแล้วนำมายัดเยียดให้กับบาไฮทั่วโลกหลังจากมรณภาพของพระอับดุลบาฮา แต่เป็นระบบที่สืบอำนาจมาจากพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา และได้รับการบัญญัติไว้อย่างเจาะจงในธรรมจารึกจำนวนนับไม่ถ้วน และลักษณะสำคัญบางอย่างของระบบอิงอยู่กับข้อกำหนดในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ดังนั้นระบบนี้จึงประสานสัมพันธ์หลักการที่วางไว้โดยพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา และเชื่อมอยู่กับหลักธรรมของศาสนาอย่างสลายออกไม่ได้?
ในสมัยของท่านศาสนภิบาล ระบบบริหารบาไฮได้พัฒนามาจนมีสถาบันแขนขวาและสถาบันแขนซ้ายให้เห็น นั่นคือมีธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติ มีพระหัตถ์ศาสนาและคณะอนุกรภายหลังจากที่สภายุติธรรมได้นำทางโลกบาไฮ สถาบันแขนขวาและสถาบันแขนซ้ายได้เติบโตและแตกกิ่งก้านมากขึ้น ในปีค.ศ.1972 สภายุติธรรมสากลได้ชี้ให้โลกบาไฮเข้าใจว่า สถาบันแขนขวาและแขนซ้ายมีฐานะอันสูงส่งที่ถูกกำหนดให้เป็นสถาบันที่จะสถาปนาสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด สถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลก เป็นระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งบาไฮต้องพยายามปฏิบัติงานให้ตรงตามหลักการของระบบ ดังนั้นบาไฮควรตระหนักในความสำคัญนี้ และต้องไม่คิดว่าสถาบันต่างๆ ของศาสนา เช่น ธรรมสภาท้องถิ่นเป็นเหมือนกับการก่อตั้งสมาคมหรือชมรมที่มีอยู่ทั่วไปในสังคม
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนา คณะที่ปรึกษา พร้อมกับสถาบันบริหารของศาสนาถูกกำหนดให้เป็นบ่อเกิดของความเข้มแข็งและเกื้อกูลสำหรับกันและกัน และสำหรับโลกบาไฮ เพื่อก่อกำเนิดสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ก่อตั้งศาสนาของเราใฝ่ปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทนทุกข์ทรมานความโหดร้ายตลอดชีวิตของพระองค์เพื่อให้ได้มา สิ่งท้าทายสำหรับเราในฐานะที่เป็นสมาชิกของสถาบันเหล่านี้คือ การพยายามสุดชีวิตโดยอาศัยความช่วยเหลือที่พระบาฮาอุลลาห์สัญญาไว้ เพื่อแสดงความรักและสามัคคีที่พระองค์ตั้งความหวังไว้อย่างสูง และขาดไม่ได้สำหรับการสถาปนาระบบแห่งโลกของพระองค์?
?เมื่อองค์ประกอบและสถาบันของระบบเริ่มปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีชีวิตชีวา ระบบนี้ยืนยันคำกล่าวอ้างและสาธิตความสามารถของตนจนได้รับการพิจารณาว่า ไม่เป็นแต่เพียงแกน แต่เป็นแบบแผนของระบบแห่งโลกใหม่ที่ถูกกำหนดให้โอบล้อมมนุษยชาติทั้งปวงเมื่อครบกำหนดเวลา?
หาที่เปรียบมิได้ในประวัติการณ์ศาสนาของโลก
ระบบบริหารบาไฮต่างจากทุกสิ่งที่พระศาสดาองค์ใดในอดีตเคยสถาปนาไว้ เนื่องด้วยพระบาฮาอุลลาห์ทรงเปิดเผยหลักธรรมสถาปนาสถาบันต่างๆ ของระบบ แต่งตั้งผู้ตีความหมายพระธรรมคำสอนของพระองค์ และทรงประสาทอำนาจให้กับองค์กรที่จะนำบทบัญญัติของพระองค์มาใช้ นั่นคือสภายุติธรรมสากลซึ่งจะเป็นสถาบันที่รับประกันเอกภาพของศาสนาไม่ให้แตกออกเป็นนิกาย และป้องกันความเสื่อมของสถาบัน ไม่มีคัมภีร์ของศาสนาใดอีกในอดีตที่มีข้อกำหนดที่เปรียบได้กับพระปฏิญญาที่สืบทอดระบบบริหารต่อไปในอนาคต แม้ศาสนาที่เด่นๆ ของโลกอย่างเช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ หรือศาสนาพุทธ ก็ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับคัมภีร์แห่งพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ หรือพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ไม่มีคัมภีร์ใดของศาสนาในอดีตที่ประสาทอำนาจให้ผู้ใดหรือสถาบันใดอย่างเพียงพอที่จะอ้างว่า ตนมีสิทธิ์ตีความพระคัมภีร์อย่างไม่มีใครโต้แย้งได้ หรือมีอำนาจพอที่จะสยบผู้ที่คอยโต้แย้งจนแตกแยกออกเป็นนิกายมากมายตราบจนปัจจุบันนี้
ต่างจากศาสนาทั้งหลายในอดีตที่แตกออกเป็นนิกายภายในเวลาไม่กี่สิบปีภายหลังจากพระศาสดาล่วงลับไป แม้ว่าศาสนาบาไฮตะเผชิญความวิกฤติมากมายตั้งแต่เริ่มต้นศาสนาทั้งจากศัตรูภายนอกและศัตรูภายใน ซึ่งบัดนี้เวลาผ่านมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว เอกภาพของศาสนาก็ยังมั่นคงอยู่ไม่แตกเป็นนิกาย ชุมชนบาไฮประกอบด้วยสมาชิกที่มีภูมิหลังที่หลากหลาย มาจากทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้น ทุกวัฒนธรรม และทุกศาสนา ซึ่งบางศาสนามีภูมิหลังที่เป็นปรปักษ์กันมานับพันปี อย่างที่ไม่มีอำนาจใดในโลกที่จะเปลี่ยนความเกลียดชังระหว่างพวกเขาให้เป็นความรักได้ แต่บุคคลเหล่านี้สามารถรวมตัวสามัคคีกันได้ ปรับตัวเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ด้วยอำนาจของพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ เพื่อจะก่อสร้างระบบบริหารบาไฮให้เติบโตขึ้นเป็นอารยธรรมใหม่ของโลก
เป็นระบบที่ประสานธรรมะและการบริหารเข้าด้วยกัน
?การแยกหลักการบริหารของศาสนาออกจากคำสอนด้านศีลธรรมและมนุษยธรรม เท่ากับเป็นการทำลายแกนร่างของศาสนา เป็นการแยกที่จะก่อให้เกิดการแตกสลายขององค์ประกอบและการดับสิ้นของศาสนา?
ต่างจากความรู้สึกทั่วไปของประชาชนที่ว่า สถาบันศาสนามีหน้าที่อบรมธรรมะให้ประชาชนและไม่มีอะไรต้องยุ่งเกี่ยวกับสถาบันทางโลก หรือการดำเนินศาสนกิจเป็นเรื่องต่างหากจากการบริหารกิจการทางโลก ระบบบริหารบาไฮสาธิตให้เห็นว่าทั้งสองส่วนจำเป็นต้องประสานเข้าด้วยกันเป็นปฏิบัติการที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ จึงจะสามารถก่อสร้างอารยธรรมขั้นสูงสุดบนพิภพนี้ได้ นั่นคือการสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ ในการดำเนินงานบริหารของบาไฮ เราเห็นได้ว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์อธิษฐานเพื่อรับแรงดลใจที่จะเกื้อหนุนการปรึกษาหารือในภาคต่อไป การประชุมบาไฮทุกครั้งเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิ เพื่อวิงวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสริมพลังปัญญาของผู้ร่วมปรึกษาหารือ ต่อจากนั้นก็ใช้ปัญญานี้ปรึกษาหารือกันตามหลักบาไฮ ซึ่งผู้ร่วมปรึกษาหารือจะต้องฝึกฝนความสามารถและคุณธรรมอย่างสูง เช่น เจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ่อมตน อดทนต่อความยากลำบาก ความรักใคร่ปรองดอง มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ ความพอประมาณ การเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดีฯลฯ ดังที่กล่าวไว้ในบทที่ 4 เพื่อจะดำเนินการปรึกษาหารือและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำสมาธิมิใช่เป็นเพียงการแยกตัวอยู่คนเดียว แต่มีบทบาทสำคัญในการบริหารกิจการต่างๆ ในระบบบริหารบาไฮ ซึ่งจะเติบโตเป็นระบบแห่งโลกในอนาคต
?โดยสมาธิสิ่งประดิษฐ์จึงเกิดขึ้นได้ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ดำเนินไปได้โดยอาศัยสมาธิ การปกครองดำเนินไปได้อย่างราบรื่นโดยอาศัยสมาธิ มนุษย์เข้าไปสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าโดยอาศัยสมาธิ?
หาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์การปกครองของโลก
ระบบบริหารบาไฮไม่เพียงแต่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ของศาสนา แต่ยังหาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์การปกครองของโลกด้วย ระบบบริหารบาไฮผสมผสานข้อดีของระบอบการปกครองสามระบบอันเป็นที่ยอมรับของโลก โดยขจัดข้อเสียในระบบเหล่านั้นออกไป
ข้อดีของประชาธิปไตยที่เด่นอยู่ในระบบบริหารบาไฮคือการเลือกตั้งบาไฮกำหนดให้ไม่มีการสมัครรับเลือกตั้ง จึงทำให้ประชาชนมีอิสระเต็มที่ที่จะเลือกใครก็ได้ การสมัครรับเลือกตั้งหรือการเสนอชื่อเป็นการจำกัดอิสรภาพของผู้ลงคะแนน สมมติว่าในท้องถิ่นหนึ่งมีผู้แทนได้ 1 คน และมีผู้สมัครเป็นผู้แทน 5 คน ในกรณีนี้ประชาชนถูกบังคับให้เลือกใครคนหนึ่งใน 5 คนนั้น ซึ่งพวกเขาอาจจะอยากเลือกคนอื่นที่ไม่อยู่ใน 5 คนนั้นก็ได้ เพราะพวกเขาคิดว่า 5 คนนั้นไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดีแต่ก็ต้องจำใจเลือกหรือไม่ก็ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หลังจากมีการเลือกตั้งธรรมสภาขึ้นมาเป็นผู้ปกครองแล้ว บาไฮทุกคนก็มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาจะเป็นคนใหญ่โตหรือต่ำต้อยในการเสนอความคิดเห็นหรือร้องทุกข์ต่อธรรมสภา ซึ่งโอกาสพิเศษที่จัดไว้สำหรับการนี้คืองานฉลองบุญสิบเก้าวัน นอกจากโอกาสพิเศษนี้แล้ว บาไฮทุกคนก็สามารถเข้าหาธรรมสภาในเวลาอื่นได้หากมีเรื่องรีบด่วนจำเป็น
ข้อเสียของประชาธิปไตยคือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งต้องขึ้นอยู่กับประชาชน เพราะถ้าหากผู้ปกครองไม่ทำให้ประชาชนกลุ่มที่เลือกตนขึ้นมาพอใจ ตนก็เกรงว่าคราวหน้าจะไม่ได้รับเลือก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่ยุติธรรมในสังคมได้ เพราะผู้แทนราษฎรมีแนวโน้มจะถือว่าประโยชน์ของประชาชนกลุ่มนั้นสำคัญกว่าประโยชน์ของส่วนรวม นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้กลุ่มที่แย่งอำนาจกันใช้วิธีปลุกระดมประชาชนมากดดันผู้ปกครองที่เป็นฝ่ายปรปักษ์กับตน ระบบบริหารบาไฮกันข้อเสียเหล่านี้ออกไป เพราะธรรมสภาปฏิบัติหน้าที่ตามมโนธรรมของตนเป็นหลัก และมิได้ขึ้นอยู่กับประชาชน เช่นบาไฮคนหนึ่งมีข้อเสนออย่างหนึ่งต่อธรรมสภา ?และมีบาไฮอีก 20 คน เสนออีกอย่างหนึ่งต่อธรรมสภา ธรรมสภาไม่จำเป็นต้องเอาตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเสมอไป ธรรมสภาอาจตัดสินใจตามที่คนเดียวนั้นเสนอ ตามที่ 20 คนเสนอ หรือเอาทั้งสองอย่างมาผสมกัน หรือไม่เอาทั้งสองอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับมโนธรรมของธรรมสภาว่าเห็นอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยลักษณะเช่นนี้ การใช้วิธีปลุกระดมคนหมู่มากมาเรียกร้องหรือกดดันผู้ปกครองจึงไม่มีในระบบบริหารบาไฮ
แม้ว่าธรรมสภามีอำนาจเช่นนี้ มีอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องเอาตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ก็มิได้หมายความว่าเป็นเผด็จการหรือจะเสื่อมไปเป็นเผด็จการ เนื่องด้วยบาไฮแต่ละคนที่เป็นสมาชิกธรรมสภาไม่มีอำนาจหรือสิทธิพิเศษอะไรเหนือกว่าบาไฮคนอื่น เพราะอำนาจอยู่ที่สถาบันธรรมสภา มิได้อยู่ที่สมาชิกคนใดของธรรมสภา ซึ่งจะมีการเลือกตั้งธรรมสภาใหม่ทุกปี และก็ไม่มีบาไฮ 9 คนใดสามารถรวมทีมกันเข้ามาเพื่อกุมอำนาจของธรรมสภา เพราะการเลือกตั้งบาไฮไม่มีการสมัครรับเลือกตั้งหรือเสนอชื่อ นอกจากนี้ธรรมสภาทั้งหลายก็ไม่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับสภายุติธรรมสากลเดียวกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ได้รับประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด
ส่วนบาไฮ ?ผู้รู้? ที่อยู่ในสถาบันแขนขวาซึ่งมักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเด่นในชุมชนบาไฮ ก็ไม่ควรเป็นที่เข้าใจผิดหรือสับสนกับพระหรือนักบวชของศาสนาในอดีต บรรดานักบวชทั้งหลายมีอำนาจหน้าที่หลายอย่างเช่น การบริหารศาสนกิจ การตีความในคัมภีร์ การออกกฎ การตัดสินคดี ทำพิธีทางศาสนา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ล้นมือเกินกว่าบุคคลใดจะแบกรับได้หมด แม้แต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ผู้ได้รับการประสาทอำนาจจากสวรรค์ยังไม่มีหน้าที่ในการออกกฎ เพราะหน้าที่นี้เป็นของสภายุติธรรมสากล การมีบทบาทหน้าที่มากมายเหล่านี้ของนักบวชทำให้เลยเถิดกลายเป็นการรวบอำนาจ เผด็จการ และนักบวชเหล่านี้เองที่เป็นต้นเหตุทำให้ศาสนาแตกแยกออกเป็นนิกายเพราะต่างก็ตีความหมายในคัมภีร์ต่างกัน แต่สำหรับท่านที่ปรึกษาและอนุกร แม้จะเป็นผู้รู้ และเป็นที่เคารพนับถือของธรรมสภา ซึ่งธรรมสภาจะขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาแนะนำจากพวกเขา แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีอำนาจในการบริหาร ไม่มีอำนาจในการตีความพระวจนะ ไม่มีอำนาจในการออกกฎหรือตัดสินคดี และเมื่อธรรมสภาตัดสินอะไรไป พวกเขาก็ต้องเชื่อฟังธรรมสภาเหมือนบาไฮคนอื่นๆ
สภายุติธรรมได้อธิบายลักษณะเด่นนี้ของระบบบาไฮไว้ในปี ค.ศ.1972 ว่า
?ในจดหมายลงวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1927 ถึงธรรมสภาอิสตันบูล เลขานุการของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้อธิบายในนามของท่านเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของศาสนาโดยอาศัยเสียงส่วนใหญ่ ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ?บุคคลบางคนที่ถือว่าตัวเองมีความรู้เหนือกว่าและมีตำแหน่งสูงกว่า ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างไร? และ ?บุคคลที่ทำเป็นว่าตนเก่งกว่าคนอื่นทั้งหมดและมักจะเป็นเหตุของการพิพาทอะไร? ท่านกล่าวต่อไปว่า ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่ พระผู้เป็นเจ้าที่ปากกาแห่งความรุ่งโรจน์ได้ขจัดทรรศนะที่บงการและไม่ยอมใครของผู้รู้และผู้ชาญลาด ได้ปัดเป่าการอ้างของบุคคลใดว่าเกณฑ์ของตนนั้นถูกต้อง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นที่ยอมรับว่าประสบความสำเร็จและรอบรู้ที่สุดในหมู่มนุษย์ และได้บัญญัติว่าทุกเรื่องต้องเสนอไปยังศูนย์อำนาจและธรรมสภาทั้งหลายแม้กระนั้นก็ตาม ไม่มีธรรมสภาใดที่ได้รับอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะจัดการเรื่องของส่วนรวมที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติ แต่พระองค์ได้วางธรรมสภาทั้งหมดไว้ภายใต้ร่มเงาของสภายุติธรรมสากลเดียวกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่แต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่าจะมีเพียงศูนย์กลางเดียว และที่เหลือทั้งหมดรวมตัวกันเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน และโคจรรอบศูนย์กลางที่ระบุไว้ชัดเจนนี้เป็นการป้องกันการแตกแยกออกเป็นนิกาย…?
การมีสถาบันที่สูงส่งซึ่งประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญดังกล่าว แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีอำนาจนิติบัญญัติ ไม่มีอำนาจบริหารหรือตุลาการ ไม่มีหน้าที่แบบนักบวช ไม่มีสิทธิ์จะตีความหมายพระธรรม คือลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของระบบบริหารบาไฮ ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ในศาสนาในอดีต?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้นำทางบาไฮทั่วโลกและอบรมให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ยากจะเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก นั่นคือระบบบริหารบาไฮที่พระผู้เป็นเจ้าออกแบบไว้ให้สำหรับโลกยุคใหม่ ในปีค.ศ.1934 นับได้สิบกว่าปีของการเป็นศาสนภิบาล ท่านได้อธิบายไว้ด้วยความหมายที่กว้างไกลดังนั้น
?สหพันธรัฐบาไฮในอนาคตซึ่งมีระบบบริหารที่ไพศาลนี้เป็นโครงร่างในทางทฤษฎีและปฏิบัติ มิใช่เพียงแต่หาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์ของสถาบันการปกครองทั้งหลาย แต่ยังหาที่เปรียบไม่ได้ในประวัตศาสตร์ของระบบศาสนาใดๆ ของโลกด้วย ไม่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่มีระบอบเอกาธิปไตยหรือเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตยหรือสาธารณรัฐ ไม่มีแผนคนกลางของระบบชนชั้นสูง ไม่มีแม้แต่รูปแบบของการปกครองโดยนักบวช ไม่ว่าจะเป็นสหพันธรัฐฮิบรู องค์กรนักบวชของคริสเตียน อิหม่ามหรือกาหลิบของอิสลาม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแสดงหรือกล่าวได้ว่า ตรงกับระบบบริหารที่ออกแบบไว้ด้วยความชำนาญของพระผู้ทรงเป็นสถาปนิกที่สมบูรณ์เลิศ
ระบบบริหารที่เกิดใหม่นี้มีโครงสร้างที่รวมองค์ประกอบที่พบได้ในแต่ละระบอบการปกครองทั้งสามระบอบที่เป็นที่ยอมรับของโลก แต่มิใช่เป็นเพียงการถอดแบบจากระบอบใดๆ เหล่านั้นและมิได้นำลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ในระบอบเหล่านั้นเข้ามาในกลไกของตน ผสมผสานและกลมกลืนสัจจะที่เป็นข้อดีของแต่ละระบบอย่างที่ไม่มีการปกครองใดที่มนุษย์ออกแบบไว้เคยทำได้และมิได้ลดทอนบูรณภาพของหลักธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของระบบเองในที่สุด
ระบบบริหารของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ มิได้มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยแท้ เนื่องด้วยสมมุติฐานที่ทำให้ประชาธิปไตยต้องขึ้นกับการได้รับมอบอำนาจจากประชาชน ไม่มีในยุคศาสนานี้ ในการบริหารกิจการของศาสนา ในการออกกฎหมายที่จำเป็นเพื่อเสริมกับกฎในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ควรระลึกไว้ตามที่วจนะของพระบาฮาอุลลาห์แสดงนัยอย่างชัดเจนว่า สมาชิกสภายุติธรรมสากลไม่ขึ้นกับบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นตัวแทนอยู่พวกเขาไม่ถูกควบคุมด้วยความรู้สึก ความคิดเห็นทั่วไป และแม้แต่ความเชื่อมั่นของมวลชนผู้ซื่อสัตย์หรือบรรดาผู้ที่เลือกพวกเขาขึ้นมาโดยตรง พวกเขาต้องปฏิบัติตามที่มโนธรรมสั่งการด้วยการอธิษฐาน แท้จริงแล้วพวกเขาต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพการณ์ในชุมชน ต้องชั่งใจอย่างเที่ยงธรรมต่อความถูกผิดของเรื่องต่างๆ ที่เสนอมาเพื่อพิจารณา แต่ต้องรักษาสิทธิ์ของพวกเขาเองในการตัดสินใจอย่างอิสระ ?แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะดลใจพวกเขาในสิ่งที่พระองค์ปรารถนา? คือคำรับประกันที่โต้แย้งไม่ได้ของพระบาฮาอุลลาห์ ด้วยประการฉะนี้ สมาชิกสภายุติธรรมสากล มิใช่บรรดาผู้ที่เลือกตั้งพวกเขาโดยตรงหรือโดยทางอ้อม คือผู้รับการนำทางจากสวรรค์ ซึ่งในเวลาเดียวกันเป็นโลหิตแห่งชีวิตและเป็นผู้คุ้มครองสุดท้ายของการเปิดเผยศาสนานี้…
ระบบบริหารบาไฮมิใช่เอกาธิปไตยที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่ผ่อนผันที่จะต้องเลิกไป มิใช่การเลียนแบบระบอบการปกครองที่นักบวชกุมอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปกครองของพระสันตะปาปา ของอิหม่ามหรือสถาบันอื่นที่คล้ายกัน เพราะเหตุผลที่ชัดเจนว่าผู้แทนของสาวกของพระบาฮาอุลลาห์ที่มาจากการเลือกตั้งระดับนานาชาติ ได้รับสิทธิ์เพียงผู้เดียวในการออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในธรรมนิพนธ์บาไฮ ไม่ว่าท่านศาสนภิบาลหรือสถาบันอื่นใดที่นอกเหนือไปจากสภายุติธรรมนานาชาติ ก็ไม่สามารถแย่งชิงอำนาจที่สำคัญนี้ หรือรุกล้ำสิทธิ์ที่ต้องเคารพดังกล่าว การล้มเลิกการเป็นนักบวชอาชีพและพิธีแบ๊บติสที่พ่วงมาด้วยกัน การล้มเลิกพิธีศีลมหาสนิทและการสารภาพบาป กฎที่กำหนดการเลือกตั้งสภายุติธรรมระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ โดยให้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างทั่วถึง การปราศจากอำนาจของบิชอปที่มากับอภิสิทธิ์ ความทุจริต และการยึดกับพิธีรีตอง เหล่านี้คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าระบบบริหารบาไฮมิใช่เอกาธิปไตย และโน้มเอียงเข้าหาวิธีทางประชาธิปไตยในการบริหารกิจการทั้งหลาย
ระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระนามของพระบาฮาอุลลาห์นี้ต้องไม่เป็นที่สับสนกับระบบการปกครองโดยชนชั้นสูงในแง่ความจริงที่ว่า ระบบนี้ค้ำจุนหลักการสืบทอดจากบรรพบุรุษ และมอบหน้าที่ให้ท่านศาสนภิบาลตีความหมายคำสั่งสอน แต่ก็จัดให้มีการเลือกตั้งอย่างอิสระโดยตรงเพื่อเลือกตั้งสภาที่เป็นองค์กรนิติบัญติสูงสุด แม้ระบบบริหารนี้มิได้เลียนแบบระบบปกปกครองเหล่านี้ แต่ก็ได้รวม ประสาน และดูดซึมองค์ประกอบที่มีประโยชน์ที่พบได้ในแต่ละระบบเหล่านั้นเข้าไว้ อำนาจสืบทอดจากบรรพบุรุษที่ท่านศาสนภิบาลใช้ปกครอง หน้าที่สำคัญที่สภายุติธรรมสากลปฏิบัติ ข้อกำหนดให้ทำการเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตยโดยผู้แทนของบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ เหล่านี้ร่วมกันสาธิตถึงความจริงที่ว่า ระบบที่เปิดเผยจากสวรรค์นี้ ได้รวมและผสมผสานหลักธรรมที่เป็นฐานที่ตั้งของตนเข้ากับองค์ประกอบที่มีประโยชน์ที่พบได้ในแต่ละระบบเหล่านี้ ซึ่งมิได้ตรงกับการปกครองมาตรฐานใดๆ ที่อริสโตเติ้ลพาดพิงถึงในผลงานของเขา ความชั่วร้ายทั้งหลายที่แฝงอยู่ในแต่ละระบบเหล่านี้ถูกกันออกไปอย่างเคร่งครัดและถาวร ระบบที่หาที่เปรียบมิได้นี้ ไม่ว่าจะยืนยงอยู่นานเท่าไรหรือแตกกิ่งก้านมากมายเพียงใด ก็ไม่มีวันเสื่อมลงไปเป็นระบบการปกครองที่กดขี่ คณาธิปไตย หรือการปลุกปั่นประชาชนซึ่งในไม่ช้าก็เร็วต้องกัดกร่อนกลไกของสถาบันการปกครองที่บกพร่องทั้งหมดที่มนุษย์สร้างขึ้นมา?
การตายอันเจ็บปวดของระบบเก่าและการคลอดอันเจ็บปวดของระบบแห่งโลกใหม่
?แท้จริงแล้วหากเราประเมินอย่างถูกต้อง เรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคที่ควรได้รับการพิจารณาว่ากำลังเป็นพยานต่อปรากฏการณ์สองอย่าง ปรากฏการณ์แรกบ่งบอกถึงความตายอันเจ็บปวดของระบบที่พ้นสมัยและไร้ศาสนา ซึ่งได้ปฏิบัติอย่างดื้อดึง ไม่ยอมปรับขบวนการของตนให้เขากับหลักธรรมและอุดมคติที่ศาสนาจากสวรรค์เสนอให้ ทั้งๆ ที่ศาสนาที่มีอายุหนึ่งศตวรรษนี้ได้ให้สัญญาณเตือน ปรากฏการณ์ที่สองประกาศถึงการคลอดอันเจ็บปวดของระบบที่มาจากสวรรค์และมาไถ่ ซึ่งจะมาแทนระบบเก่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภายในโครงสร้างบริหารของระบบนี้อารยธรรมที่หาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งจะโอบล้อมโลก กำลังเป็นตัวอ่อนที่เติบโตอย่างลับๆ ระบบหนึ่งกำลังถูกม้วนเก็บและพังทลายอยู่ในความกดขี่ การหลั่งเลือดและความพินาศ อีกระบบหนึ่งเปิดทิวทัศน์ของความยุติธรรม ความสามัคคี สันติภาพ วัฒนธรรมอย่างไม่เคยเห็นในยุคใดมาก่อน ระบบแรกใช้กำลัง สาธิตความผิดพลาดและความไร้ผลของตนเอง สูญเสียโอกาสอย่างเรียกคืนไม่ได้ และกำลังจะจบชะตาของตนเอง ระบบหลังซึ่งแข็งขันและไม่สามารถพิชิตได้ กำลังกระชากโซ่ตรวนให้หลุดออกไปและพิสูจน์ให้เห็นว่าบรรดาศักดิ์ของตนคือที่กำบังเดียวเท่านั้นที่สามารถชำระความโสมมและคุ้มครองมนุษยชาติที่ถูกทรมานให้บรรลุสู่จุดหมาย
พระบาฮาอุลลาห์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า ?ในไม่ช้าระบบปัจจุบันจะถูกม้วนเก็บและระบบใหม่จะแผ่เข้ามาแทนที่? และอีกครั้งหนึ่ง ?เราเองเป็นพยาน วันนั้นกำลังใกล้เข้ามา คือวันที่เราจะม้วนเก็บโลกและทุกสรรพสิ่งในโลก และแผ่ระบบหนึ่งเข้ามาแทนที่?
ความเสแสร้งหลอกลวง ความประสงค์ร้าย ความทุจริตของวิชาชีพ การใช้ความรุนแรงขู่เข็ญ ความมัวเมาอยู่ในโลกีย์และวัตถุนิยม การแตกสลายของครอบครัว ความเสื่อมทรามของศิลปะและดนตรี ความโสมมของหนังสือพิมพ์ ความไม่พอใจการเมือง ความเอาเปรียบกันทางเศรษฐกิจพร้อมกับความอดอยากขาดแคลนที่ตามมา ความหมดศรัทธาและสิ้นหวังในสถาบันศาสนา ความกดดันที่บีบคั้นประชาชนให้เคียดแค้นสังคม ความชั่วร้ายที่จับตาเหล่านี้กำลังร่วมมือกันบีบสังคมทุกแห่งหนให้ตายคามือ การต่อสู้กันระหว่างเชื้อชาตินิยมที่ขาดสติเพราะความบ้าคลั่งศาสนา หรือแตกต่างกันในปรัชญาทางการเมือง ซึ่งเป็นชนวนของสงคราม การก่อการร้ายและวินาศกรรมทั่วโลก กำลังซ้ำเติมมนุษยชาติที่ร่อแร่ให้ตายสนิท แม้แต่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ไร้เดียงสาก็ยังถูกทำลายล้างผลาญอย่างไร้ปรานีเหล่านี้คือปรากฏการณ์ของการตายอันเจ็บปวดของระบบโลกเก่าที่กำลังหายใจเฮือกสุดท้าย ซึ่งคู่กันมากับการคลอดอันเจ็บปวดของระบบแห่งโลกใหม่ นั่นคือระบบบริหารบาไฮ
?เหตุผลสำคัญสำหรับความชั่วร้ายที่ดาษดื่นในสังคมในปัจจุบันคือไร้คุณธรรม อารยธรรมทางวัตถุนิยมในยุคของเราได้กลืนพลังงานและความสนใจของมนุษยชาติไปอย่างมาก จนประชาชนทั่วไปไม่รู้สึกว่าจำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องถีบตัวเองขึ้นมาเหนือสภาวะของการมีชีวิตอยู่กับโลกวัตถุไปวันๆ…ดังนั้นความวิกฤติที่ทรมานมนุษยชาติอยู่ทุกแห่งหนมีมูลเหตุมาจากจิตใจโดยเนื้อแท้ ปัญหาของยุคนี้ทั้งหมดอยู่ที่ความไร้ศาสนา ทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อชีวิตนั้นหยาบและวัตถุนิยมเกินกว่าที่เขาจะถีบตัวขึ้นมาอยู่ในอาณาจักรของวิญญาณ สภาพอันเลวร้ายที่น่าเศร้านี้เองที่สังคมได้จมลงไป และศาสนาพยายามปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง?
แม้มนุษยชาติกำลังป่วยหนักจวนจะสิ้นลมหายใจ แต่อนิจจาประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังตาบอดมองไม่เห็นแสงธรรม ไม่รับยารักษาที่สวรรค์ยื่นมาให้ ดังนั้นเองจึงเป็นหน้าที่ของบาไฮที่จะช่วยเปิดตาเพื่อนมนุษย์ให้เห็นแสงธรรม เพื่อให้พวกเขาเข้ามาในที่กำบังของระบบบริหารบาไฮ ซึ่งเปรียบเสมือนเรือแห่งความรอดพ้นที่จะมากู้วิญญาณของมนุษย์ไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนความพยายามของบาไฮโดยลำพังยังไม่เพียงพอ และต้องอาศัยความทุกข์ทรมานเข้ามาช่วยปลุกมนุษยชาติด้วย
?เท่าที่เรารู้คือมนุษยชาติต้องทนทุกข์ทรมานและถูกลงโทษอย่างเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหันมาหาพระผู้เป็นเจ้า?
?เราต้องระลึกไว้เสมอว่าระบบของพระบาฮาอุลลาห์คือยารักษาโรคและมาตรการอื่นทั้งหมด…ที่องค์การสหประชาชาติหรือรัฐบาลต่างๆ ริเริ่ม ไม่ว่าจะมีน้ำหนักหรือความก้าวหน้าเพียงไร ก็เป็นเพียงยาบรรเทาอาการ เราต้องเอาใจใส่ต่อการพัฒนาอุปนิสัยใจคอของเราในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง พัฒนาระบบแห่งโลกของเราที่ยังเป็นตัวอ่อนและยังไม่เป็นที่เข้าใจดี แพร่กระจายพระธรรมตามข้อกำหนดที่อยู่ในธรรมจารึกแห่งแผนงานสวรรค์ และก่อสร้างชุมชนบาไฮที่ประสานกันอย่างแน่นแฟ้นทั่วโลก?
ระบบโลกเก่าที่บกพร่องอย่างน่าเศร้าที่กำลังทรมานมนุษยชาติอยู่ จะทวีความรุนแรงสาหัสขึ้นทุกขณะ จนผู้เชี่ยวชาญในทุกสาขาจนปัญญาไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร บุรุษและสตรีที่ช่างคิดและห่วงใยโลกอย่างจริงจัง จะทยอยกันมาถามหาหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ นักเศรษฐศาสตร์จะมาถามหาว่า พระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับการศึกษาว่าอย่างไร นักปกครองจะมาถามหาว่าพระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับการปกครองว่าอย่างไร ศาสนิกชนที่สิ้นหวังในสถาบันศาสนาของตนจะมาถามหาว่า สถาบันของระบบบริหารของพระบาฮาอุลลาห์เป็นอย่างไร ผู้ที่ทำงานไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างชาติจะมาถามหาว่า พระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับสันติภาพและสวัสดิภาพของโลกอย่างไรฯลฯ แม้แต่บาไฮเองก็จะถูกกดดันจากความหายนะของโลกให้เร่งมือแพร่กระจายพระธรรม และพัฒนาระบบบริหารและชุมชนบาไฮเพื่อเตรียมไว้พร้อมสำหรับเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ระทมไร้ที่พึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันเชื่อหรือไม่ว่า ความริษยา ความประสงค์ร้าย ความไร้คุณธรรมที่ครอบงำมนุษยชาติส่วนใหญ่อยู่ จะทำให้พวกเขาตามืดมัว เห็นถูกเป็นผิด เห็นมิตรเป็นศตรู และจะลุกขึ้นต่อต้านศาสนาที่พระศาสดาทุกพระองค์ในอดีตได้พยากรณ์ไว้ว่าจะมากู้โลกและช่วยเหลือพวกเขาเอง การต่อต้านเหล่านี้ที่กระหน่ำตีศาสนาบาไฮ จะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับการคลอดของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ แต่อำนาจของพระปฏิญญาจะสยบเหล่าศัตรูผู้ประสงค์ร้ายในที่สุด เพราะไม่ว่าศัตรูซึ่งจะมีทั้งพระและฆราวาสจะมีอำนาจมากมายและโหมกำลังเข้าต่อต้านศาสนาบาไฮเพียงไร อำนาจของพวกเขาก็จำกัดอยู่ที่พิภพนี้เท่านั้นและพิภพนี้ก็เป็นเพียงผงฝุ่นเมื่อเทียบกับจักรวาลอันไพศาล ไหนเลยพวกเขาจะหาญมาต่อกรกับพลังของจักรวาลที่หนุนพระปฏิญญาได้
?ศาสนานี้ยิ่งใหญ่ ช่างยิ่งใหญ่เพียงไร การโจมตีของประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งปวงบนโลกช่างโหดร้ายเพียงไร ในไม่ช้าเสียงโห่ร้องของมวลชนทั่วทั้งอัฟริกา ทั่วทั้งอเมริกา เสียงร้องของชาวยุโรปและชาวเตอร์ก เสียงโอดครวญของอินเดียและจีน จะได้ยินมาจากแดนไกลและใกล้ พวกเขาทุกคนจะลุกขึ้นต่อต้านศาสนาของพระองค์ด้วยอำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ เมื่อนั้นอัศวินของพระผู้เป็นนาย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพลังของปัญญาและพระกรุณาเบื้องบน ได้รับการส่งเสริมกำลังด้วยความศรัทธาและกองทัพของพระปฏิญญา จะลุกขึ้นและแสดงสัจจะของบทกลอนนี้ให้เป็นที่ประจักษ์: จงดูความสับสนที่บังเกิดกับหมู่ชนผู้ปราชัย?
?ปัจจุบันนี้พระผู้เป็นนายแห่งกองทัพสวรรค์คือผู้ปกป้องพระปฏิญญาอำนาจของอาณาจักรสวรรค์คุ้มครองพระปฏิญญา ดวงวิญญาณ ของเทพเทวัญเสนอการรับใช้ และเทพธิดาบนสวรรค์ประกาศและแพร่กระจายพระปฏิญญาไปทั่วสารทิศ หากพิจารณาด้วยธรรมทรรศนะ จะเห็นได้ว่าเมื่อวิเคราะห์ถึงขั้นสุดท้าย พลังทั้งหมดในจักรวาลหนุนพระปฏิญญา?
การตายอันเจ็บปวดของระบบโลกเก่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพราะมนุษยชาติจมอยู่ในบาปจนไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้นอกจากอาศัยไฟแห่งความทุกข์ทรมานตามแผนงานของพระผู้เป็นเจ้าพวกเขาจะถูกกดดันให้นำหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์มาใช้โดยไม่รู้ตัวเพื่อสถาปนาสันติภาพรอง เช่น บทบาทของสตรีต่อสันติภาพ การลดอาวุธ การก่อตั้งอภิรัฐแห่งโลกซึ่งประกอบด้วยคณะบริหารนานาชาติ รัฐสภาแห่งโลก ศาลแห่งโลกฯลฯ มนุษยชาตินำหลักการของพระบาฮาอุลลาห์มาปฏิบัติช้าเท่าไหร่ความหายนะของโลกและความเจ็บปวดก็จะรุนแรงมากเท่านั้น บาไฮจะช่วยบรรเทาความหายนะของโลกได้ก็โดยการประกาศหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ให้มนุษยชาติรับทราบและซาบซึ้งเร็วที่สุดหลังจากการสถาปนาสันติภาพรองแล้ว ระบบแห่งโลกใหม่ที่พึ่งคลอดจะเติบโตขึ้นเป็นสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ เป็นการสถาปนาสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด
?ต่อลักษณะทั่วไป ต่อความหมายและลักษณะเด่นของสหพันธรัฐแห่งโลกนี้ ซึ่งถูกกำหนดในไม่ช้าก็เร็วให้ปรากฏขึ้นท่ามกลางการสังหารผลาญชีวิต ความเจ็บปวด และความพินาศโกลาหลของโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเราได้พาดพิงไว้แล้วในจดหมายฉบับก่อนๆ เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่า ขบวนการนี้จะดำเนินไปทีละน้อย และตามที่พระบาฮาอุลลาห์เองทรงคาดการณ์ไว้ ต้องนำไปสู่การสถาปนาสันติภาพรองดังกล่าวก่อน ซึ่งชาติทั้งหลายแม้ยังไม่ทราบถึงการเปิดเผยศาสนาของพระองค์ แต่พวกเขาจะนำหลักการที่พระองค์แถลงไว้มาบังคับใช้โดยไม่รู้ตัว และจะสถาปนาสันติภาพรองโดยพวกเขาเอง ขั้นตอนสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์นี้ จะเกี่ยวพันกับการปฏิสังขรณ์มนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการยอมรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์ชาติอย่างเป็นสากลและจะตามมาด้วยการฟื้นฟูศีลธรรมของมวลชน เมื่อพวกเขายอมรับลักษณะและคำกล่าวอ้างของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการหลอมทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อทุกชนชั้นและทุกชาติเข้าด้วยกันในที่สุด และจะเป็นสัญญาณบอกถึงการปรากฏขึ้นมาของระบบแห่งโลกใหม่ของพระองค์?
?สองขบวนการที่ยิ่งใหญ่กำลังปฏิบัติการอยู่บนโลก หนึ่งคือแผนงานอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งคืบหน้าไปด้วยความอลวน ปฏิบัติการผ่านมนุษยชาติทั้งปวง ทลายอุปสรรคที่ขวางกั้นเอกภาพของโลก หลอมมนุษยชาติเข้าเป็นร่างกายเดียวกันด้วยไฟแห่งความทุกข์ทรมานและประสบการณ์ เมื่อถึงเวลาที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนด ขบวนการนี้จะก่อให้เกิดสันติภาพรอง ซึ่งเป็นการประสานการปกครองของโลก ในเวลานั้นมนุษยชาติเปรียบเหมือนร่างกายที่เชื่อมเข้าด้วยกันแต่ปราศจากชีวิต ขบวนการที่สองเป็นงานของการเติมชีวิตเข้าไปในร่างกายนี้ เป็นการสร้างเอกภาพและธรรมะที่แท้จริง ซึ่งจะขึ้นไปสู่ยอดสุดที่สันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นงานของบาไฮที่กำลังตรากตรำอย่างมีสติ โดยอาศัยการชี้แนะและนำทางจากสวรรค์อย่างไม่ขาดสาย เพื่อก่อตั้งโครงร่างของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ และเรียกเพื่อนมนุษย์ให้เข้ามา ซึ่งจะเป็นการประสาทชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกเขา?
จุดกำเนิด หลักการ และเป้าหมายของระบบบริหารบาไฮ
?ขณะที่ระบบบริหารนี้ยังอยู่ในวัยทารก ขออย่าให้ใครเข้าใจลักษณะของระบบผิดไป ดูแคลนความสำคัญหรือแสดงจุดประสงค์ของระบบอย่างผิดๆ ฐานที่ระบบบริหารนี้ตั้งอยู่คือพระประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษยชาติในยุคนี้แหล่งที่ระบบนี้สืบแรงดลใจมานั้นมิใช่ใครแต่คือพระบาฮาอุลลาห์เอง ผู้ปกครองและความคุ้มครองคือกองทัพที่เตรียมพร้อมของอาณาจักรอับฮา จุดกำเนิดคือเลือดของผู้ที่เสียสละชีวิตไม่น้อยกว่า 20,000 คน เพื่อให้ระบบนี้ได้เกิดและเจริญขึ้น แกนของสถาบันทั้งหลายของระบบคือข้อกำหนดที่อยู่ในพระประสงค์และพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา หลักการที่เป็นแนวทางของระบบคือ สัจธรรมที่พระผู้ตีความหมายคำสอนของศาสนาอย่างไม่มีผิดพลาด ได้แถลงไว้อย่างชัดเจนในการดำรัสต่อสาธารณชนทั่วประเทศตะวันตก กฎที่ควบคุมการปฏิบัติการและจำกัดหน้าที่ต่างๆ ของระบบ ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ตำแหน่งที่กิจกรรมส่งเสริมจิตใจและมนุษยธรรม และกิจกรรมบริหารของระบบจะมารวมกันคือ มัชชริคุล อัสคาร์ และหน่วยงานทั้งหลายที่อยู่ในอาณาบริเวณนั้น เสาที่ค้ำจุนอำนาจและโครงสร้างของระบบคือสถาบันศาสนภิบาลและสภายุติธรรมสากล จุดมุ่งหมายหลักที่เป็นรากฐานและแรงดลใจคือการสถาปนาระบบแห่งโลกใหม่ตามที่พระบาฮาอุลลาห์คาดการณ์ไว้ มาตรฐานที่พร่ำสอนและวิธีการทั้งหลายที่ใช้อยู่ในระบบ มิได้โน้มเอียงไปทางประเทศตะวันออกหรือตะวันตก มิได้ไปทางชาวยิวหรือศาสนิกชนอื่น มิได้ไปทางผู้ร่ำรวยหรือคนยากไร้ มิได้ไปทางชนผิวขาวหรือผิวดำ คติพจน์ของระบบคือการประสานสามัคคีมนุษยชาติ ธงประจำระบบคือสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ความสำเร็จโดยบริบูรณ์ของระบบคือการมาถึงของยุคทอง 1,000 ปี เป็นยุคที่อาณาจักรทั้งหลายบนโลกนี้จะกลายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเอง เป็นอาณาจักรของพระบาฮาอุลลาห์?
15
กองทุนบาไฮ
?บาไฮทุกคนไม่ว่าจะยากจนแค่ไหน ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบอันหนักหน่วงที่ตนต้องแบกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และควรมั่นใจว่า ความก้าวหน้าของวิญญาณในฐานะที่ตนเป็นผู้สนับสนุนระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ขึ้นอยู่กับระดับการกระทำที่เขาพิสูจน์ถึงความพร้อมที่จะบริจาคสนับสนุนสถาบันต่างๆ ของศาสนา?
?ไม่มีข้อจำกัดในการบริจาคให้แก่กองทุนแห่งชาติ ใครบริจาคมากเท่าไหร่ยิ่งดี โดยเฉพาะเมื่อการบริจาคนั้นทำให้ผู้บริจาคต้องเสียสละความปรารถนาอื่นๆ ของตน ยิ่งเสียสละมากเท่าใดยิ่งได้บุญมากในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะที่สำคัญนั้นไม่ใช่อยู่ที่จำนวนบริจาค แต่อยู่ที่ความเสียสละของการบริจาคนั้น?
?ที่คู่กันมากับหน้าที่ของบาไฮที่จะต้องบริจาคให้กองทุนต่างๆ ของศาสนาคือ ความรับผิดชอบโดยตรงของธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติแต่ละแห่งที่จะอบรมบาไฮในเรื่องหลักธรรมเกี่ยวกับการบริจาค การไม่อบรมบาไฮในเรื่องนี้เท่ากับพรากพวกเขามิให้ได้รับบุญจากการบริจาคในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า?
?เนื่องด้วยความก้าวหน้าและการดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมศีลธรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยทางวัตถุ ภายหลังการสถาปนาธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องก่อตั้งกองทุนบาไฮทันที ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภา?
บาไฮใหม่มักบริจาคให้กองทุนท้องถิ่นของตนในเริ่มแรกเพราะเขายังไม่ทราบเกี่ยวกับกองทุนแห่งชาติ กองทุนนานาชาติ ฯลฯ เมื่อธรรมสภาอบรมบาไฮเกี่ยวกับระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ บาไฮจะเข้าใจมากขึ้น และบริจาคให้กองทุนอื่นๆ ด้วย เพราะการใช้เงินในหนทางอื่นใดหรือที่มีคุณค่ากว่าการใช้เงินในการก่อสร้างอารยธรรมขั้นสูงสุดบนโลกนี้ บาไฮควรตระหนักว่า การบริจาคนี้เป็นสิทธิพิเศษของบาไฮเท่านั้นที่ตนจะบริจาคด้วยความสมัครใจ จะไม่มีการกดดันให้บาไฮผู้ใดบริจาคแม้แต่บาไฮที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งก็บริจาคไม่ได้ กองทุนบาไฮไม่รับบริจาคจากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮ บาไฮจะรับบริจาคจากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮก็ต่อเมื่อเงินนั้นมิได้นำมาใช้ในกิจการของศาสนา แต่นำไปใช้ในการกุศลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมภายนอกเช่น ก่อตั้งโรงเรียนที่รับนักเรียนที่เป็นบาไฮและไม่ใช่บาไฮ กองทุนบาไฮมีหลายกอง ซึ่งระดับนานาชาติสำคัญกว่าระดับทวีป และระดับทวีปสำคัญกว่าระดับชาติและระดับท้องถิ่น ดังต่อไปนี้
กองทุนฮุคุคุลลาห์ (สิทธิของพระผู้เป็นเจ้า)
ฮุคุคุลลาห์เป็นกฎข้อหนึ่งในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส เป็นรากฐานที่ค้ำจุนระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นกฎที่จะทำให้หลักธรรมต่างๆ บังเกิดขึ้นเป็นจริง เช่น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิถีทางศีลธรรม การขจัดความมั่งคั่งและความยากจนที่มากเกินไป การะกระจายทรัพยากรอย่างยุติธรรม
ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า ทุกสิ่งที่เรากินหรือใช้ รวมทั้งทรัพย์สินและความมั่งคั่งของเรา ล้วนสูบขึ้นมาจากพื้นโลก จึงเป็นสิทธิของพระองค์ที่จะได้รับทรัพย์สินเหล่านี้เป็นหน้าที่ของบาไฮที่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ก่อนกองทุนบาไฮอื่นใดทั้งหมดพระผู้เป็นเจ้ามิได้ต้องการทรัพย์สมบัติจากเราพระองค์กำหนดกฎนี้ก็เพื่อช่วยให้วิญญาณของเราเจริญขึ้น และมนุษยชาติโดยส่วนรวมจะมีชีวิตช่วยให้วิญญาณของเราเจริญขึ้น และมนุษยชาติโดยส่วนรวมจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์ทรมานกับความอดอยากขาดแคลน
หลังจากนำรายได้ของเรามาหักค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว หากเรามีทรัพย์สินที่มีมูลค่าเท่ากับทอง 19 มิธเท่าขึ้นไป (69.2 กรัมหรือ 4.56 บาท คือประมาณ 21,000 บาทขึ้นกับราคาทองที่ขึ้นลง) เราต้องบริจาค 19% จากจำนวนนี้ให้กองทุนฮุคุคุลลาห์ เช่นในปีที่ผ่านมาหักค่าใช้จ่ายแล้วเรายังมีเงิน 15,000 บาท เราไม่จำเป็นต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ แต่ถ้าเรามีเงิน 100,000 บาท เราต้องบริจาค 19% คือ 19,000 บาทเงินที่เหลืออีก 81,000 บาทจะเป็นเงินที่บริสุทธิ์และไม่ต้องมาคำนวณการบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ซ้ำสอง เช่นถ้าในปีหน้าเราไม่มีเงินเหลือเลยเงินเดิมที่มีอยู่ 81,000 บาทนี้ไม่ต้องนำมาคำนวณ 19% เพื่อบริจาคอีกรอบ แต่ถ้าเงิน 81,000 บาทนี้ออกดอกเบี้ยจนถึง 21,000 บาท ก็ต้องคิด 19% ?จากดอกเบี้ยนั้นนำมาบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ ถ้าปีต่อไปเราขาดทุนในธุรกิจ 31,000 บาท เราจึงมีเงินเหลือเพียง 50,000 บาท แล้วปีถัดไปเรามีกำไรขึ้นมาใหม่กลายเป็น 81,000 บาทเท่าเดิม เงิน 31,000 บาทที่เพิ่มมาในปีสุดท้ายนี้ไม่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เพราะไม่ใช่เงินที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นเงินที่ชดเชยที่เคยขาดทุน
การหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณเงินบริจาคคิดจากสิ่งที่จำเป็น ซึ่งตามที่พระบาฮาอุลลาห์กำหนดไว้ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น อุปกรณ์ที่ลงทุนในธุรกิจหรือเกษตรกรรมการคำนวณฮุคุคุลลาห์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะพิจารณาว่า ค่าใช้จ่ายอะไรของตนถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เช่น เมื่อหักค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว เรามีเงิน 100,000 บาท จากจำนวนนี้เรานำไปซื้อรถยนต์ราคา 60,000 บาท จึงเหลือ 40,000 บาท หากเราถือว่ารถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้ขับไปทำงาน เราก็คำนวณ 19% จาก 40,000 บาท แต่ถ้าเราถือว่ารถยนต์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเราก็จะคำนวณ 19% จาก 100,000 บาท เพื่อบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เช่นเดียวกับการซื้อโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเราต้องพิจารณาว่าเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ ?บางอย่างพระบาฮาอุลลาห์กำหนดไว้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งจำเป็น เช่น ที่อยู่อาศัย หากเรามีเงินหนึ่งล้านบาท แล้วเราซื้อบ้านราคาเก้าแสนบาท เหลือเงินหนึ่งแสนบาท เราก็คำนวณ 19% จากเงินหนึ่งแสนบาทนี้ แต่ถ้าเรามีบ้านอยู่แล้ว แล้วเราซื้อบ้านนี้เป็นหลังที่สองจึงถือว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น เราก็ต้องคำนวณ 19% จากเงินหนึ่งล้านบาท
การพิจารณาว่าสิ่งใดจำเป็นหรือไม่ขึ้นอยู่กับบาไฮแต่ละคนที่จะใช้มโนธรรมของตน ไม่มีใครไต่สวนหรือมาตรวจสอบบัญชีรายรับของผู้นั้น มูลค่าของทรัพย์สินที่ไม่ออกดอกออกผลไม่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เช่นหากเรามีที่ดินเก็บไว้เฉยๆ มูลค่าหนึ่งล้านบาท เรายังไม่ต้องบริจาค แต่เมื่อเราขายที่ดินนี้แล้ว เราต้องบริจาค 190,000 บาท ระบบเศรษฐกิจกำลังซับซ้อนขึ้นทุกวัน บาไฮจะเจอปัญหาในการคำนวณฮุคุคุลลาห์ที่ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนในสมัยของพระบาฮาอุลลาห์ พระอับดุลบาฮา และท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งสภายุติธรรมสากลยังไม่ต้องการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่ให้บาไฮแต่ละคนใช้มโนธรรมของตนเองไปก่อน
ในกรณีที่บาไฮเสียชีวิต พระบาฮาอุลลาห์กำหนดให้ใช้ทรัพย์สินของผู้ตายเป็นค่าทำศพอันดับแรก อันดับสองคือการจ่ายหนี้หากผู้ตายมีหนี้สิน และอันดับสามคือการบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์และที่เหลือจึงเป็นของทายาท ผู้ที่รับมรดกก็ต้องบริจาค 19% ของมรดกที่ได้รับให้ฮุคุคุลลาห์
การบริจาคทำได้โดยบริจาคให้กับตัวแทนฮุคุคุลลาห์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งตัวแทนจะส่งเงินไปให้สภายุติธรรมอีกต่อ หรือบาไฮอาจบริจาคให้สภายุติธรรมสากลโดยตรงก็ได้ ไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องบริจาคบ่อยแค่ไหน อาจเป็นปีละครั้ง หรือทุก 2–3 เดือน หรือทุกครั้งเมื่อมีเงินถึง 21,000 บาท สภายุติธรรมสากลมีสิทธิเพียงผู้เดียวในการพิจารณาว่าจะใช้จ่ายกองทุนฮุคุคุลลาห์ในด้านไหน แต่เดิมกฎนี้ใช้กับบาไฮชาวอิหร่านและบาไฮในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ก็มีบาไฮชาติอื่นๆ บริจาคให้ด้วยความสมัครใจ สภายุติธรรมสากลได้ประกาศใหเกฎฮุคุคุลลาห์นี้บังคับใช้กับบาไฮทั่วโลก เริ่มตั้งแต่เรซวาน ค.ศ.1992
ฮุคุคุลลาห์เป็นบททดสอบพิเศษสำหรับความศรัทธาของเราช่วยทำให้ทรัพย์สินของเราบริสุทธิ์ ให้พรแก่เราและลูกหลานของเรา และจะเป็นที่ยอมรับเมื่อบริจาคด้วยความปีติยินดี ไม่มีการเรียกร้องให้บาไฮผู้ใดบริจาค แต่สามารถเตือนบาไฮโดยส่วนรวมให้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ได้ เช่นพูดในที่ประชุม แต่ไม่ใช่พูดกับบาไฮคนใดเป็นการส่วนตัวเพื่อขอให้เขาบริจาค
กองทุนนานาชาติ
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสภายุติธรรมสากล ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมบาไฮทั่วโลกตามความจำเป็น เช่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปตะวันออกและในสหภาพโซเวียตซึ่งทำให้สถาบันบริหารบาไฮเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศเหล่านั้น สภายุติธรรมสากลต้องใช้กองทุนนานาชาติช่วยเหลือการพัฒนาระบบบริหารบาไฮในประเทศที่เปิดใหม่เหล่านี้
กองทุนประจำทวีป
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในทวีปนั้น เช่นกิจกรรมของอนุกรหรือผู้ช่วยอนุกร
กองทุนแห่งชาติ
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในประเทศนั้นๆ ธรรมสภาแห่งชาติอาจใช้เงินจำนวนนี้บริจาคให้กองทุนนานาชาติหรือกองทุนประจำทวีป
กองทุนท้องถิ่น
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาท้องถิ่น ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในท้องถิ่น ธรรมสภาท้องถิ่นอาจใช้เงินจำนวนนี้บริจาคให้กองทุนแห่งชาติ หรือในทางกลับกันถ้าธรรมสภาท้องถิ่นได้รับบริจาคไม่พอ ก็อาจได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนแห่งชาติ
กองทุนพิเศษ
- กองทุนภูเขาคาร์เมล อยู่ภายใต้การดูแลของสภายุติธรรมสากล ใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมบนภูเขาคาร์เมลและก่อสร้างทางเดิน 19 ชั้นขึ้นไปยังสถูปของพระบ๊อบ
- กองทุนโบสถ์บาไฮ ในทุกทวีปมีโบสถ์บาไฮซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายทุกวันในการบำรุงรักษา บาไฮสามารถบริจาคให้กองทุนนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย ในทวีปเอเชีย เราบริจาคให้กับโบสถ์ที่อินเดีย
- กองทุนเดินทางสอนศาสนา กองทุนนี้มีอยู่ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ เมื่อเราต้องการเดินทางไปสอนศาสนาแต่เราไม่มีเวลา เราสามารถขอให้ผู้อื่นไปแทนเราโดยเราออกค่าใช้จ่ายให้ หรือเราอาจบริจาคให้ธรรมสภาแล้วขอให้ธรรมสภาหาคนไปแทนเรา
ธรรมสภาท้องถิ่น
การสถาปนาธรรมสภาท้องถิ่น
?พระผู้เป็นนายได้บัญญัติไว้ว่า ในทุกเมืองต้องสถาปนาสภายุติธรรม ซึ่งภายในสภานี้มีที่ปรึกษาเก้าคนมาร่วมชุมนุมกันและถ้ามีจำนวนมากกว่าเก้าไม่เป็นไร พวกเขาต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากพระผู้ทรงปรานี และต้องพิจารณาตนเองว่าเป็นผู้อภิบาลที่แต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลก?
?เป็นเรื่องสำคัญยิ่งตามที่บ่งบอกไว้ชัดเจนในคัมภีร์คีตาบีอัคดัสที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ ในทุกท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นเมืองหรือหมู่บ้านที่มีผู้ใหญ่อายุ 21 ปีขึ้นไปประกาศตนเป็นบาไฮจำนวน 9 คนขึ้นไป จะต้องมีการก่อตั้งธรรมสภาทันที ทุกเรื่องในระดับท้องถิ่นที่เกี่ยวพันกับศาสนาต้องนำมาให้ธรรมสภาโดยตรงทันทีเพื่อปรึกษาและตัดสินใจ?
?ได้รับการระบุว่าเป็นธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งเมื่อถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนเป็นชื่อที่ถาวรและตรงกว่าคือ สภายุติธรรม เป็นชื่อตามที่ผู้ก่อตั้งศาสนาบาไฮประทานไว้ให้ จะต้องก่อตั้งในทุกเมืองและหมู่บ้านที่มีบาไฮผู้ใหญ่ 9 คนขึ้นไป และทำการเลือกตั้งโดยตรงทุกปีในวันแรกของเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดโดยบาไฮผู้ใหญ่ทุกคนทั้งชายและหญิง?
สถานภาพของธรรมสภาและสมาชิกธรรมสภา
?มีความแตกต่างที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่ควรระลึกไว้เสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ระหว่างธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบันและสมาชิกที่ประกอบกันเป็นธรรมสภา สมาชิกธรรมสภามิใช่เป็นผู้ที่ล้ำเลิศหรือได้รับการพิจารณาว่าสูงส่งกว่าบาไฮคนอื่นๆ เพราะว่าพวกเขามีข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์เหมือนกับบาไฮคนอื่นในชุมชน และฉะนั้นจึงต้องมีการเลือกตั้งทุกปี การมีการเลือกตั้งชี้บ่งว่า สมาชิกธรรมสภาแม้ว่าจะประกอบกันเป็นสถาบันที่สมบูรณ์เลิศจากสวรรค์ แต่ตัวพวกเขาเองนั้นไม่สมบูรณ์ แต่นี่มิได้หมายความวิจารณญาณของพวกเขาบกพร่อง เพราะตามที่พระอับดุลบาฮาทรงย้ำไว้ ธรรมสภาบาไฮอยู่ภายใต้การนำทางและการคุ้มครองของพระผู้เป็นเจ้า การเลือกตั้งทุกปีเปิดโอกาสให้ชุมชนแก้ไขข้อบกพร่องที่ทำให้ธรรมสภาติดขัด ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของสมาชิกธรรมสภา ดังนี้ วิธีที่ปลอดภัยจึงวางไว้เพื่อให้คุณภาพของสมาชิกภาพในธรรมสภาบาไฮปรับปรุงอยู่ตลอด แต่ตามที่กล่าวไว้แล้ว สถาบันธรรมสภาไม่ควรนำมาประเมินด้วยคุณวุฒิของสมาชิกแต่ละคนที่ประกอบกันเป็นธรรมสภา?
?ท่านดีใจมากที่รู้ว่า สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติเปลี่ยนหน้าไปในปีนี้ ซึ่งท่านมิได้เจาะจงสมาชิกคนใด เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี และทำให้การอภิปรายของธรรมสภาเปิดไปสู่แง่มุมใหม่ๆ?
?วันที่ยิ่งใหญ่จะมาถึง คือวันที่มิตรสหายที่เข้าและออกจากธรรมสภาจะเข้าใจความจริงที่ว่า ความสำคัญมิใช่อยู่ที่บุคคลใดในธรรมสภา แต่ที่สำคัญคือธรรมสภาคือสถาบัน?
บาไฮแต่ละคนแม้จะมีคุณวุฒิและคุณธรรมสูงส่งเพียงไรก็ยังมีข้อจำกัดของความเป็นมนุษย์ที่ทำให้แต่ละคนมีข้อบกพร่องต่างกันไปมากบ้างน้อยบ้าง แต่ด้วยพระพรอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษยชาติในยุคนี้ เราจึงมีธรรมสภาท้องถิ่นตามที่บัญญัติไว้ในคัมภีร์ เป็นสถาบันที่ทำให้บาไฮที่ไม่สมบูรณ์สามารถรวมตัวกันเป็นความสมบูรณ์เลิศได้ อาจเปรียบบาไฮแต่ละคนเหมือนโมเลกุลของเหล็ก และธรรมสภาท้องถิ่นคือแม่เหล็ก แต่ละโมเลกุลของเหล็กไม่มีพลังอันใด แต่เมื่อโมเลกุลของเหล็กมารวมตัวกันเป็นแบบแผนที่กำหนดไว้ จึงเกิดพลังแม่เหล็ก เช่นกันเมื่อสมาชิก 9 คนประกอบกันขึ้นเป็นธรรมสภาและดำเนินกิจการด้วยความรักและสามัคคีเพื่อรับใช้ตามแบบแผนที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดไว้ ธรรมสภานั้นจะมีพลังอำนาจ และเป็นสถาบันของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์สำหรับโลกยุคใหม่โดยแท้จริง ความสำคัญมิได้อยู่ที่สมาชิกคนใดในธรรมสภา แต่อยู่ที่สถาบันธรรมสภา โมเลกุลใดของเหล็กก็ตาม เมื่อรวมตัวกันตามแบบแผนก็เกิดพลังแม่เหล็ก บาไฮคนใดก็ตามเมื่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภาก็ทำให้ธรรมสภานั้นมีพลังอำนาจได้ ดังนั้นสมาชิกธรรมสภาที่เปลี่ยนหน้าไปในแต่ละปีจึงมิใช่เรื่องแปลก แต่ไม่ควรเข้าใจว่า บาไฮควรลงคะแนนเลือกตั้งเพียงเพื่อขอให้ได้เปลี่ยนหน้าสมาชิกธรรมสภา การเปลี่ยนหน้าสมาชิกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เกณฑ์การเลือกผู้ที่จะเป็นสมาชิกธรรมสภาต้องยึดถือตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ระบุไว้ข้างล่างนี้
บาไฮที่ไม่ว่าจะด้อยความรู้ ด้อยประสบการณ์ หรือต่ำต้อยเพียงไหน เมื่อได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภา ไม่ควรท้อใจแต่ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดด้วยความมั่นใจ
?หากเราพินิจดูคุณสมบัติที่สูงส่งของสมาชิกธรรมสภาบาไฮเราจะรู้สึกไม่คู่ควรและท้อใจ แต่ด้วยความอุ่นใจที่ว่า ถ้าเราลุกขึ้นปฏิบัติหน้าที่อย่างประเสริฐแล้วข้อบกพร่องทุกอย่างในชีวิตของเราจะได้รับการชดเชยโดยพลังที่เหนือกว่าของพระกรุณาและอานุภาพของพระองค์ ดังนั้นเป็นหน้าที่ที่จะพิจารณาโดยปราศจากกิเลสหรืออคติ แม้เพียงน้อยที่สุด และไม่คำนึงถึงสถานภาพทางวัตถุแล้วเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหล่านี้สมบูรณ์สุดคือ มีความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อสงสัย มีความอุทิศอย่างไม่เห็นแก่ตัว มีจิตใจที่ฝึกฝนมาดี มีความสามรถอันเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์?
แม้ว่าสภายุติธรรมสากลเท่านั้นที่ได้รับการประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด แต่ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่นก็ได้รับการประกันว่า พระบาฮาอุลลาห์คอยนำทางพวกเขาอยู่ และหากเกิดความผิดพลาด ความผิดครั้งนั้นจะถูกแก้ให้เป็นถูกหากสมาชิกธรรมสภายังสามัคคีปรองดองกัน บาไฮควรตระหนักว่า การเลือกตั้งธรรมสภาขึ้นมานั้นมิได้หมายความว่าธรรมสภานั้นจะมีพลังอำนาจโดยอัตโนมัติ ธรรมสภาจะมีอานุภาพสวรรค์แค่ไหนขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของสมาชิกธรรมสภา หากสมาชิกธรรมสภาขัดแย้งกันไม่สามัคคีกัน ธรรมสภานั้นจะกลายเป็นความว่างเปล่า
?พระบาฮาอุลลาห์ทรงสัญญาไว้ว่า ในทุกธรรมสภาที่มีความสามัคคีปรองดอง พระวิญญาณที่รุ่งโรจน์ของพระองค์จะไม่เพียงอยู่กับธรรมสภาเท่านั้น แต่จะกระตุ้น ค้ำจุนและนำทางมิตรสหายทุกคนในการปรึกษาหารือ?
?หากพวกเขาเห็นพ้องกันในเรื่องหนึ่งถึงแม้ว่าจะผิดก็ยังดีกว่าขัดแย้งกันและอยู่ฝ่ายถูก เพราะความขัดแย้งนี้จะทำลายรากฐานสวรรค์ แม้ว่าคนหนึ่งในกลุ่มจะถูกแต่ถ้าพวกเขาขัดแย้งกัน จะเป็นเหตุของความผิดอีกพันอย่าง แต่ถ้าพวกเขาเห็นพ้องกันและทั้งสองฝ่ายผิดด้วยกัน ความจริงจะเปิดเผยออกมาและสิ่งที่ผิดจะถูกแก้ให้เป็นถูก เพราะยังสามัคคีกันอยู่?
บาไฮที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกธรรมสภาต้องตระหนักว่าเขาได้รับเลือกโดยพระผู้เป็นเจ้าให้รับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ บาไฮควรยินดีและจะปฏิเสธโดยขอลาออกจากธรรมสภามิได้ นอกจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ เช่น ป่วยเรื้อรัง หรือย้ายถิ่นฐานออกน้องพื้นที่ การเป็นสมาชิกธรรมสภา บาไฮจะได้พัฒนาตนเองและพัฒนาระบบบริหารบาไฮไปพร้อมกันเพื่อเป็นแบบแผนสังคมใหม่สำหรับโลกอนาคต
?เกี่ยวกับปัญหาที่ว่า บาไฮบางคนไม่ยอมรับการถูกเลือกตั้งขึ้นมาดำรงตำแหน่งบริหาร ท่านศาสนภิบาลคิดว่าการวิพากษ์วิจารณ์ การต่อต้านหรือความสับสน มิใช่เหตุผลเพียงพอสำหรับการไม่ยอมรับหรือลาออก เฉพาะในรายที่เสื่อมสมรรถภาพทางจิตใจหรือร่างกายเท่านั้นซึ่งมีน้อยรายมาก จึงจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอ ความลำบากและการทดสอบในการยมรับตำแหน่งบริหาร ไม่ควรชักนำให้บาไฮแยกตัวออกจากงานของศาสนาแต่ควรทำให้เขาพยายามมากยิ่งขึ้น และมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นมากขึ้นในการแก้ปัญหาที่ชุมชนบาไฮเผชิญอยู่ เฉพาะในรายที่ไม่ฟังคำเตือน คำวิงวอนและคำเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากธรรมสภาอย่างจงใจโดยไม่มีเหตุผลสมควร จึงจะมีการตัดเขาออกจากรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง?
?สมาชิกธรรมสภาที่ขาดประชุมมาเป็นเวลานาน ธรรมสภาควรนำมาพิจารณาแต่ละกรณี และหากเห็นได้ว่า บุคคลนั้นไม่ต้องการมาร่วมประชุมหรือมาประชุมไม่ได้อย่างไม่มีกำหนดเวลา เพราะว่าป่วยหรือปัญหาการเดินทาง เมื่อนั้นจึงมีการประกาศตำแหน่งที่ว่างลงได้อย่างสมเหตุสมผล และทำการเลือกตั้งสมาชิกใหม่?
?ความขัดแย้งส่วนตัวในหมู่สมาชิกธรรมสภา ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอสำหรับการลาออกหรือไม่มาประชุม?
?ความขัดแย้งกันในธรรมสภาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการลาออกหรือไม่มาประชุมธรรมสภา?
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกธรรมสภา
?สมาชิกของธรรมสภาเหล่านี้ต้องไม่คำนึงถึงว่า ตนชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่คิดถึงประโยชน์และค่านิยมของตน และตรึกตรองมาตรการต่างๆ ที่จะนำความผาสุกและความสุขมาสู่ชุมชนบาไฮ และส่งเสริมความผาสุกของส่วนรวม?
?เป็นที่ชัดเจนว่านอกเสียจากว่า สมาชิกธรรมสภาจะสามารถเข้าร่วมประชุมอย่างสม่ำเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปฏิบัติหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะเป็นผู้แทนของชุมชน การเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นรวมความถึง ข้อผูกพันและความสามารถที่จะรับทราบกิจกรรมบาไฮต่างๆในท้องถิ่น และเข้าร่วมประชุมธรรมสภาอย่างสม่ำเสมอ?
สมาชิกธรรมสภาแต่ละคนมิได้มีสิทธิอะไรพิเศษไปกว่าบาไฮคนอื่นๆ ในชุมชน แต่มีบทบาทในการติดตามกิจกรรมดูแลความเป็นอยู่ของชุมชนบาไฮ เพื่อหามาตรการที่จะนำไปสู่ความผาสุกและความเจริญก้าวหน้า ธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบันต้องถือว่า สมาชิกธรรมสภาก็เป็นเหมือนบาไฮคนหนึ่งในชุมชนที่ธรรมสภาต้องปกป้องดูแล ไม่ปกป้องคนผิดอย่างในระบบโลกเก่าที่ปกป้องคนในสมาคมเดียวกัน อาชีพเดียวกัน ฯลฯ แม้ว่าจะเป็นคนผิด
?ตามทฤษฎีแล้ว เป็นไปได้ที่สมาชิกคนหนึ่งในธรรมสภาอาจไม่คู่ควรหรือไม่จริงใจ เจตคติที่ว่า การติเตียนหรือกล่าวหาสมาชิกธรรมสภาคนหนึ่ง คือการกล่าวหาทั้งธรรมสภา เป็นเจตคติที่ผิดทีเดียว ธรรมสภาต้องปกป้องศาสนา และต้องไม่กล่าวหาหรือปกป้องสมาชิกธรรมสภาคนใดอย่างตาบอด?
บาไฮตระหนักดีว่า กุญแจสำคัญสำหรับการแก้ปัญหาของโลกคือ ความสามัคคีของมวลมนุษยชาติ และเป็นไปไม่ได้ที่ความแตกแยกของมนุษยชาติจะเปลี่ยนเป็นความสามัคคีได้นอกจากอาศัยพระวิญญาณที่บาฮาอุลลาห์หายใจมาบนโลกในยุคนี้ ดังนั้นงานสำคัญก่อนอื่นใดของธรรมสภาคือการสอนศาสนาเพื่อให้ประชาชนได้สัมผัสอานุภาพธรรมของศาสนาบาไฮที่จะทำให้พวกเขาสามัคคีกันได้
?ในระหว่างการประชุม เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะสนทนากันในนามของคนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับกิจการและประโยชน์ของสาธารณชน ตัวอย่างเช่น การสอนศาสนาต้องมาก่อน เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง เพื่อว่ามนุษย์ทั้งปวงจะได้เข้ามาในปะรำแห่งความสามัคคี และประชนทั้งปวงบนโลกจะได้รับการพิจารณาเป็นประหนึ่งร่างกายเดียวกัน?
ระบบบริหารบาไฮมีวัตถุประสงค์สองประการ คือ การขยายศาสนาให้เป็นที่รู้จักยอมรับ และ การสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นในชุมชน ความรับผิดชอบของสมาชิกธรรมสภาจึงมีขอบเขตกว้างมาก ซึ่งธรรมสภาจะทำหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้นตามที่ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์เติบโตมากขึ้น
?ในเรื่องแนวทาง วิธีการและการขยายการสอนศาสนาและสานต่อให้เป็นปึกแผ่น แม้ว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อศาสนาแต่ก็มิได้เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ควรได้รับการเอาใจใส่จากธรรมสภาเหล่านี้ การศึกษาธรรมจารึกของพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮาอย่างรอบคอบ เปิดเผยให้เห็นว่าหน้าที่อื่นๆ ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันตกอยู่กับผู้แทนที่ได้รับเลือกในทุกท้องถิ่น
เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะตื่นตัว ระมัดระวัง รอบคอบ คอยสอดส่องและปกป้องศาสนาให้พ้นจากผู้คิดร้ายและการโจมตีของศัตรู
พวกเขาต้องพยายามส่งเสริมมิตรภาพและความปรองดองในหมู่มิตรสหาย ลบร่องรอยของความระแวง ความเย็นชาและหมางเมินออกไปจากหัวใจ และแทนที่ด้วยความร่วมมือกันอย่างแข็งขันสุดหัวใจ เพื่อรับใช้ศาสนา
พวกเขาต้องพยายามเต็มที่ในทุกเวลาเพื่อช่วยเหลือคนยากไร้ เจ็บป่วย คนพิการ เด็กกำพร้า หญิงหม้าย โดยไม่คำนึงถือสีผิว ชนชั้นหรือความเชื่อ
พวกเขาต้องส่งเสริมทุกวิถีทางที่ทำได้ เพื่อความเจริญทางด้านวัตถุและจิตใจของเยาวชน จัดการศึกษาของเด็ก การอบรม และสถาบันการศึกษาบาไฮเมื่อเป็นไปได้บริหารงานและหาวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความก้าวหน้าและพัฒนาการของกิจการเหล่านี้
พวกเขาต้องจัดให้มีการพบปะของมิตรสหายอย่างสม่ำเสมอ จัดให้มีงานฉลองบุญและวันสำคัญประจำปี รวมทั้งการชุมนุมพิเศษที่จัดเพื่อส่งเสริมความเจริญทางด้านสังคม สติปัญญาและจิตใจของเพื่อนมนุษย์
เหล่านี้คือหน้าที่ที่สำคัญของสมาชิกธรรมสภาทุกแห่ง?
ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน
1.บาไฮต้องเชื่อฟังธรรมสภา
?หลักการหนึ่งที่เป็นรากฐานของระบบบริหารของเราที่เราต้องจำไว้ว่าจะกลายเป็นแบบแผนระบบแห่งโลกของเราคือ แม้ว่าธรรมสภาจะตัดสินใจไม่ค่อยเหมาะสม คำตัดสินใจนั้นต้องได้รับการสนับสนุนเพื่อรักษาความสามัคคีของชุมชน คำตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่นสามารถนำไปอุธรณ์กับธรรมสภาแห่งชาติได้…แต่อำนาจของสถาบันที่เลือกตั้งขึ้นมาต้องได้รับการค้ำจุน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียนรู้ได้โดยไม่ผ่านความยากลำบากและการทดสอบ?
?ธรรมสภาอาจทำผิดพลาด แต่ตามที่พระอับดุลบาฮาชี้แจงไว้ หากชุมชนหรือบาไฮคนใดไม่ยึดถือคำตัดสินใจของธรรมสภา ผลที่ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะเป็นการบั่นทอนสถาบันที่ควรจะเจริญขึ้นเพื่อค้ำจุนหลักธรรมและกฏของศาสนาท่านบอกเราว่า พระผู้เป็นเจ้าจะแก้สิ่งที่ผิดที่ทำไปแล้วให้กลายเป็นถูก เราต้องมั่นใจในสิ่งนี้และเชื่อฟังธรรมสภา ดังนั้น ท่านขอร้องให้คุณทำงานอยู่ภายใต้ธรรมสภา ยอมรับความผิดชอบในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งที่มีสิทธิออกเสียง และพยายามเต็มที่เพื่อความปรองดองในชุมชน?
แม้ไม่ต้องคิดลึกไปถึงว่า พระผู้เป็นเจ้าจะแก้ผิดให้เป็นถูกได้อย่างไร เราก็พอเข้าใจได้ไม่ยากถึงผลดีของการเชื่อฟังธรรมสภาแม้ว่าบาไฮจะไม่เห็นด้วยหรือคิดว่าธรรมสภาตัดสินใจผิด หากบาไฮบางคนไม่เห็นด้วยแล้วไม่ทำตามคำตัดสินของธรรมสภา สิ่งนี้ก็จะกลายเป็นข้อโต้แย้งต่อไปไม่รู้จบเพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่ถ้าหากบาไฮทุกคนปฏิบัติตามคำตัดสินของธรรมสภาแล้ว และพบว่าผิด ก็จะไม่มีข้อกังขาอีกต่อไป ทุกคนจะยอมรับว่าผิด และสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจใหม่ให้ถูกต้องได้ แต่พึงระลึกไว้ว่า ผู้ที่คิดถูกแต่แรกต้องไม่ขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาต่อว่ากัน
ดังนั้นบาไฮต้องเชื่อฟังธรรมสภาอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์เพื่อเห็นแก่ความก้าวหน้าและความสามัคคีของชุมชน การเชื่อฟังนี้มิได้หมายความว่า บาไฮหมดอิสระในการแสดงความคิดเห็นในทางตรงข้าม บาไฮมีสิทธิที่จะติชมสมาชิกธรรมสภาและการทำงานของธรรมสภา แต่การติชมนี้ควรพูดกับธรรมสภาโดยตรงมิใข่เอามาพูดกันเองเป็นการส่วนตัว ซึ่งจะกลายเป็นการนินทาและไม่สร้างสรรค์
?สิ่งที่พระอับดุลบาฮาต้องการปกป้องมิตรสหายคือ ให้พ้นจากการทะเลาะวิวาทยืดเยื้อและความหัวดื้อ บาไฮสามารถถามธรรมสภาว่า ทำไมจึงตัดสินใจเช่นนั้น และขอให้ธรรมสภาพิจารณาใหม่ด้วยความสุภาพ แต่เขาต้องพอแค่นั้น และไม่ก่อกวนกิจการในท้องถิ่นโดยยืนกรานในทรรศนะของตน สิ่งนี้ใช้กับสมาชิกธรรมสภาด้วยเช่นกัน เราทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและคิดต่างกัน แต่บาไฮต้องยอมรับคำตัดสินตามเสียงส่วนใหญ่ของธรรมสภา โดยตระหนักว่า การยอมรับและความปรองดองแม้ว่าจะมีความผิดพลาดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และเมื่อเรารับใช้ศาสนาอย่างเหมาะสมด้วยวิธีบาไฮ พระผู้เป็นเจ้าจะแก้สิ่งผิดที่ทำไปแล้วให้กลายเป็นถูกในที่สุด?
?บาไฮมีสิทธิที่จะติชม แสดงทรรศนะของตนเกี่ยวกับนโยบายหรือสมาชิกธรรมสภาแต่ละคนให้ธรรมสภารับทราบทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ แต่จากนั้นแล้วบาไฮต้องยอมรับคำแนะนำหรือคำตัดสินใจของธรรมสภาอย่างจริงใจ ตามหลักการที่วางไว้สำหรับเรื่องนั้นๆ ในระบบบริหารบาไฮ?
2.บาไฮควรเข้าหาธรรมสภา
?สถาบันเหล่านี้มีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการช่วยเหลือ แนะนำ ปกป้องและนำทางบาไฮในทุกวิถีทางที่ทำได้เมื่อบาไฮขอร้อง ที่จริงแล้วสถาบันเหล่านี้สถาปนาขึ้นเพื่อรักษาระเบียบและความสามัคคีและการเชื่อฟังกฎของพระผู้เป็นเจ้า คุณควรไปหาสถาบันเหล่านี้เหมือนลูกไปหาพ่อแม่?
?บาไฮควรเรียนรู้ที่จะเข้าหาธรรมสภาให้บ่อยยิ่งขึ้น เพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือและควรมาแต่เนิ่นๆ ในทางกลับกัน ธรรมสภาควรตื่นตัวและสำนึกในความรับผิดชอบต่อชุมชนมากขึ้นเกี่ยวกับทุกสถานการณ์ที่อาจทำให้เกียรติของศาสนาเสียหายในสายตาของสาธารณชน เมื่อธรรมสภาตัดสินใจแล้วทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์และเต็มใจ?
?ท่านรู้สึกสลดใจที่มิตรสหายไม่ประพฤติตัวตามระบบบริหาร แทนที่จะนำคำกล่าวหา ปัญหาและความทุกข์มาให้ธรรมสภาท้องถิ่นหรือธรรมสภาแห่งชาติพิจารณา พวกเขากลับนำไปพูดกับบาไฮบางคนหรือสมาชิกธรรมสภาบางคนหรือไม่ยอมเข้าพบธรรมสภา ประการแรกที่บาไฮควรทำคือเข้าหาธรรมสภา นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงมีธรรมสภา ท่านคิดว่าความยุ่งยากนี้จะไม่เกิดขึ้นหากบาไฮใช้ธรรมสภาให้เป็นประโยชน์ตามที่ควร?
?เกี่ยวกับการปรึกษาหารือ ทุกคนสามารถเสนอเรื่องให้ธรรมสภาเพื่อปรึกษาหารือ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะต้องการหรือไม่ก็ตาม ในเรื่องที่มีผลกระทบต่อศาสนา หากธรรมสภาถือว่าจำเป็น ธรรมสภาควรเข้าไปจัดการแม้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ต้องการเพราะเจตนาของธรรมสภาคือการปกป้องศาสนา ปกป้องชุมชนและบาไฮแต่ละคน?
3.ธรรมสภาและบาไฮควรปรึกษาและร่วมมือกัน
?เป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะไม่ดำเนินการโดยไม่ปรึกษากับธรรมสภา และพวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของธรรมสภาด้วยหัวใจและวิญญาณและยอมจำนนต่อคำสั่งนั้น เพื่อว่าสิ่งต่างๆ จะเป็นระเบียบเหมาะสมและจัดแจงอย่างดี มิฉะนั้นแล้วทุกคนจะกระทำตามวิจารณญาณตนเองโดยไม่ขึ้นกับใคร ทำตามความต้องการของตนเองและเป็นผลร้ายต่อศาสนา?
?ไม่มีงานใดที่จำเป็นและรีบด่วนไปกว่าการรับประกันความปรองดองและมิตรภาพอันสมบูรณ์ในหมู่มิตรสหาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน ธรรมสภาท้องถิ่นควรทำให้บาไฮมั่นใจในสถาบัน และในทางกลับกันบาไฮควรแสดงความพร้อมที่จะยึดถือตามคำตัดสินใจและคำแนะนำของธรรมสภา ทั้งสองฝ่ายจะต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมือกันและตระหนักว่า โดยการร่วมมือนี้เท่านั้นที่สถาบันของศาสนาจึงจะปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและถาวร แม้ว่าการเชื่อฟังธรรมสภาท้องถิ่นควรเป็นไปอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์ ธรรมสภาก็ควรอำนวยการในลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นเผด็จการ พลังชีวิตของศาสนาคือการร่วมมือกัน มิใช่เผด็จการ?
?จุดหมายอันสูงส่งและแรงจูงใจที่บริสุทธิ์แม้ว่าจะน่าสรรเสริญเพียงไรย่อมไม่เพียงพอแน่นอน หากไม่ได้รับการค้ำจุนด้วยมาตรการที่ปฏิบัติได้และวิธีที่เหมาะสม ความปรารถนาอันแรงกล้า ไมตรีจิตและความพยายามอันเหลือล้น จะมีประโยชน์เพียงเล็กน้อยหากเราไม่รู้จักแยกแยะและควบคุม และละเลยที่จะกำกับสิ่งเหล่านี้ให้ไปตามช่องทางที่มีประโยชน์ที่สุด อิสรภาพของบุคคลควรสมดุลกับการปรึกษาหารือและความเสียสละ การริเริ่มและความบากบั่นนั้นควรเสริมด้วยความสำนึกในความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการร่วมมือกันและอุทิศต่อความผาสุกส่วนรวม?
?รากฐานของระบบบริหารบาไฮคือหลักการของเอกภาพในความหลากหลาย ซึ่งเน้นย้ำอย่างหนักแน่นอยู่ในธรรมนิพนธ์ ข้อคิดเห็นที่แตกต่างที่ไม่สำคัญและไม่ขัดแย้งกับคำสอนของศาสนาควรค้ำจุนไว้ แต่ความสามัคคีที่เป็นรากฐานของระบบบริหารควรรักษาและรับประกันไว้ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ความสามัคคีในทั้งจุดประสงค์และวิธีการที่จริงแล้วขาดไม่ได้สำหรับกาทำงานที่รวดเร็วและปลอดภัยของทุกธรรมสภา ไม่ว่าระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ?
4.ธรรมสภาสนับสนุนบาไฮ มิใช่บงการ
?คุณสมบัติประการแรกของความเป็นผู้นำสำหรับแต่ละบุคคลและธรรมสภาคือ การใช้พลังงานและความสามารถที่มีอยู่ในบาไฮทั้งหลาย มิฉะนั้นสมาชิกในกลุ่มที่มีความสามารถกว่าจะออกไปหางานอื่นทำที่เขาสามารถใช้พลังงานของตนได้ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ หวังว่า ธรรมสภาจะพยายามวางแผนกิจกรรมการสอนศาสนาที่ทำให้บาไฮทุกคนไม่ว่าง?
?ไม่ว่าผู้แทนระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติของชุมชน ไม่ว่าจะมีแผนงานที่ประณีต ยืนหยัด วิงวอน หรือมีคำแนะนำที่หลักแหลมเพียงไร แม้แต่ท่านศาสนภิบาลเอง ถึงแม้ว่าท่านจะปรารถนาความสมบูรณ์เลิศนี้ ก็ไม่สามารถตัดสินว่า บาไฮแต่ละคนมีหน้าที่อะไร หรือมอบให้เขาปฏิบัติงานนั้น บาไฮแต่ละคนเท่านั้นที่ต้องประเมินคุณสมบัติของตัวเอง ใช้มโนธรรมตรึกตรอง พิจารณาทุกแง่ด้วยจิตอธิษฐาน ต่อสู้กับแรงเฉื่อยตามธรรมชาติที่ถ่วงความพยายามของตน ในการลุกขึ้นสลัดความยึดมั่นผูกพันเกินไปกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระที่ฉุดตนไว้ สลัดความคิดทุกอย่างที่มีแนวโน้มจะกีดขวางหนทางของตน?
?เกี่ยวกับหลักการที่ว่า ศาสนาต้องไม่รวมจุดมาที่บาไฮคนใด ท่านศาสนภิบาลต้องการชี้แจงให้เห็นชัดว่า หลักการนี้มิได้หมายความว่า ครูบาไฮที่มีคุณวุฒิไม่ควรได้รับกำลังใจและการสนับสนุนจากธรรมสภาท้องถิ่นให้พูดต่อสาธารณชน ท่านศาสนภิบาลหมายความว่า ชื่อเสียงและความเป็นที่นิยมของบาไฮที่เป็นนักพูดไม่ควรบดบังอำนาจ หรือลดทอนอิทธิพลของธรรมสภาในทุกท้องถิ่น บาไฮผู้นั้นไม่ควรแต่เพียงขออนุญาตคำแนะนำและการช่วยเหลือจากสถาบันที่เป็นตัวแทนของศาสนาในท้องถิ่นของตนเท่านั้น แต่ควรอ้างอิงชื่อเสียงที่ได้รับมาที่ปรีชาสามารถของธรรมสภาที่รับผิดชอบพื้นที่นั้น ธรรมสภา มิใช่บุคคล ที่เป็นรากฐานของระบบบริหาร ทุกสิ่งต้องเป็นรอง รับใช้และส่งเสริมประโยชน์สูงสุดของธรรมสภาผู้อารักขาและส่งเสริมกฎของพระบาฮาอุลลาห์?
?ขอให้เราระลึกไว้ว่า หลักการของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่การบงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก ไม่มีสิ่งใดที่ไร้พลังชีวิตของบาไฮที่สามารถประสานหลักการของความปรานีและความยุติธรรม อิสรภาพและการยอมจำนน สิทธิส่วนบุคคลและการสละความปรารถนาของตน ความตื่นตัวและสุขุมรอบคอบในด้านหนึ่ง มิตรภาพ น้ำใสใจจริงและความกล้าหาญในอีกด้านหนึ่ง
หน้าที่ของผู้ที่เป็นมิตรสหายใช้มโนธรรมเลือกขึ้นมาเป็นผู้แทนนั้น สำคัญและผูกมัดไม่น้อยกว่าหน้าที่ของผู้ที่เป็นฝ่ายเลือก หน้าที่ของพวกเขามิใช่บงการแต่เป็นการปรึกษาหารือ และมิใช่ปรึกษาหารือเฉพาะพวกเขาเองเท่านั้น แต่ปรึกษาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้กับมิตรสหายที่พวกเขาเป็นตัวแทนอยู่ พวกเขาต้องไม่พิจารณาว่าตนเองเป็นอื่นใด นอกจากเครื่องมือที่ได้รับเลือกเพื่อแสดงศาสนาต่อสาธารณชนอย่างมีประสิทธิภาพและสมเกียรติ พวกเขาไม่ควรคิดว่าตนคือหัวใจสำคัญของศาสนา มีคุณค่าและความสามรารถเหนือกว่าผู้อื่น เป็นผู้ส่งเสริมคำสอนและหลักธรรมของศาสนาแต่เพียงผู้เดียว พวกเขาควรดำเนินงานด้วยความถ่อมตัวที่สุด ด้วยความอุตสาหะ ใจกว้าง สำนึกในความยุติธรรมและหน้าที่ น้ำใสใจจริง เจียมตัว อุทิศตนต่อความผาสุกและประโยชน์ของมิตรสหาย ศาสนาและมนุษยชาติ เพื่อให้บรรดาผู้ที่พวกเขารับใช้ไม่เพียงแต่มีความมั่นใจ สนับสนุนและนับถือพวกเขาอย่างจริงใจเท่านั้น แต่ยังยกย่องและรักใคร่พวกเขาอย่างแท้จริงด้วย ทุกเวลาพวกเขาต้องหลีกเลี่ยงความถือตัว ลับลมคมในและการวางมาดข่ม ปรึกษาหารือโดยปราศจากอคติและกิเลสทุกรูปแบบ พวกเขาควรเชื่อใจมิตรสหายตามขอบเขตที่เหมาะสม ให้มิตรสหายรับทราบแผนงาน ปัญหาและความวิตกและขอคำแนะนำปรึกษาจากมิตรสหาย?
แบบแผนสำหรับสังคมในอนาคต
การสร้างแบบแผนสังคมสำหรับโลกยุคใหม่โดยอาศัยระบบการเลือกตั้งและบริหารงานของธรรมสภา จำเป็นที่บาไฮแต่ละคนต้องพัฒนาคุณธรรมและความสามรถควบคู่กันไปด้วย เพราะแบบแผนสังคมที่บาไฮกำลังก่อสร้างอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมที่รับประกันว่า พลังงานและความสามารถของสมาชิกในชุมชนจะถูกปลดปล่อยไปในทางที่สร้างสรรค์
การรู้จักข่มอัตตาของตนเองโดยการเชื่อฟังธรรมสภาถึงแม้บางครั้งตนจะไม่เห็นด้วย เชื่อฟังอย่างจริงใจโดยสมบูรณ์โดยไม่นินทาหรือยุยงปลุกปั่นผู้อื่น เพื่อเห็นแก่ความสามัคคีและก้าวหน้าในชุมชน เป็นการเชื่อฟังที่ไม่เสื่อมลงไปเป็นความเฉื่อยชาไม่รู้จักคิดอ่าน แต่มีความริเริ่มอย่างอิสระที่ไม่เลยเถิด ด้วยความตระหนักว่า ความริเริ่มส่วนบุคคลต้องได้รับการค้ำจุนโดยการปรึกษาหารือและร่วมมือกันอย่างกระตือรือร้น และดังนั้นความสำเร็จที่ได้มาจึงมิได้มีไว้ให้เชิดชูบาไฮคนใดให้ลำพองใจ แต่ความสำเร็จนั้นจะตกอยู่กับธรรมสภาซึ่งมิได้ขึ้นอยู่กับบาไฮคนไหนที่หมุนเวียนกันมารับใช้ในสถาบันนี้
สมาชิกธรรมสภาแม้จะอยู่ในบทบาทของผู้ปกครอง อยู่ในสถาบันที่บาไฮในชุมชนต้องเชื่อฟัง ก็ต้องระลึกอยู่เสมอว่าระบบบริหารบาไฮนั้น ?มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตนมิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก? อันเป็นลักษณะของผู้นำของโลกยุคใหม่ที่ตระหนักว่าความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าของสังคมขึ้นอยู่กับความริเริ่มและความพยายามของแต่ละบุคคลในสังคมเป็นสำคัญ และดังนั้นบทบาทของผู้นำคือการกระตุ้นให้กำลังใจและสนับสนุนแต่ละบุคคลในชุมชน ให้ใช้ความสามารถและพรสวรรค์ของตนให้เป็นประโยชน์ที่สุด เป็นความรับผิดชอบที่ท้าทายเป็นพิเศษสำหรับสมาชิกธรรมสภาที่จะเรียนรู้เพื่อจะนำทางและอำนวยการด้านความสุขุมรอบคอบ พร้อมกับถ่อมตัวและใจกว้างในเวลาเดียวกัน นับเป็นความเสียสละโดยแท้จริงที่สมาชิกธรรมสภาในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง ก็ไม่มีอำนาจหรือสิทธิพิเศษอันใดเหนือบาไฮคนอื่นในชุมชน แต่ต้องรับภาระเพื่อความผาสุกและความก้าวหน้าของชุมชน
ตัวอย่างหนึ่งอันน่าตื้นตันใจเห็นได้จากสมาชิกสภายุติธรรมสากล เมื่อครั้งสงครามระหว่างพันธมิตรกับอิรักในเดือนมกราคม–กุมภาพันธ์ พ.ศ.2534 ที่อิรักไม่ยอมถอนทหารจากคูเวตอีกทั้งยังยิงขีปนาวุธโจมตีอิสราเอล ทำให้เกิดภาวะขาดแขลนอาหารในอิสราเอล ศูนย์กลางบาไฮแห่งโลกที่เมืองไฮฟ่าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย บาไฮที่นั่นจำเป็นต้องแบ่งปันอาหารกันในภาวะสงครามนี้ และสมาชิกสภายุติธรรมสากลคือบุคคลสุดท้ายที่รับอาหาร โดยให้บาไฮคนอื่นๆ รับอาหารก่อน
ดังนั้นเป็นสิ่งที่ประเสริฐและท้าทายอย่างยิ่งสำหรับบาไฮที่จะพัฒนาธรรมสภาท้องถิ่น ก่อสร้างระบบบริหารและแบบแผนสังคมใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของโลก ด้วยความมั่นใจว่าพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์มีอานุภาพสร้างสวรรค์ และฉะนั้นระบบแห่งโลกใหม่ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ของพระองค์จะบังเกิดขึ้นเป็นจริงแน่นอน
?มีวิธีการรักษาเดียวเท่านั้นสำหรับเรื่องนี้ คือการศึกษาระบบบริหาร เชื่อฟังธรรมสภา และบาไฮแต่ละคนพยายามปรับปรุงอุปนิสัยใจคอของตนให้เป็นบาไฮที่สมบูรณ์ เราไม่สามารถโน้มน้าวคนอื่นได้ดังที่เราโน้มน้าวตัวเราเอง หากเราดีกว่า หากเราแสดงความรัก ความอดทน เข้าใจความอ่อนแอของผู้อื่น หากเราพยายามไม่ติเตียนแต่ให้กำลังใจ ผู้อื่นจะทำตาม และเราจะสามารถช่วยศาสนาได้โดยตัวอย่างและคุณธรรมของเรา ทุกแห่งหนเมื่อมีการก่อตั้งระบบบริหารเป็นครั้งแรก บาไฮจะรู้สึกว่ายากที่จะปรับตัว บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแม้ว่าธรรมสภาจะเป็นฝ่ายผิด เพื่อเห็นแก่ความสามัคคี บาไฮต้องสละอุปนิสัยส่วนตัวในระดับหนึ่ง เพื่อให้ชีวิตชุมชนเติบโตและพัฒนาไปด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ยากมากแต่เราต้องตระหนักว่า นี้จะนำเราไปสู่แนวทางชีวิตที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์เลิศยิ่งขึ้น เมื่อศาสนาได้รับการสถาปนาอย่างเหมาะสมตามระบบบริหาร?
?ท่านศาสนภิบาลทราบดีอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ความบกพร่องมีอยู่ในกลไกบริหารของศาสนา แต่ท่านคิดว่าสิ่งเหล่านี้มิใช่มีสาเหตุมาจากระบบบริหาร แต่มาจากผู้บริหารศาสนา ผู้ซึ่งมีข้อจำกัดและความบกพร่องของความเป็นมนุษย์ ซึ่งไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขตามอุดมการณ์ทั้งหมดที่อยู่ในคำสอน อย่างไรก็ตาม ความบกพร่องจำนวนมากที่มีอยู่ในกิจกรรมของบาไฮในปัจจุบันจะถูกขจัดไปทีละน้อยเมื่อชุมชนพัฒนาและมีประสบการณ์มากขึ้น และจะมีความแข็งขันและก้าวหน้ามากขึ้น และเพื่อบรรลุจุดประสงค์อันประเสริฐนี้ที่มิตรสหายควรสามัคคีพยายามอย่างกระตือรือร้น?
?มิตรสหายทั้งหลายต้องไม่เข้าใจผิดว่า ระบบบริหารบาไฮเป็นสิ่งที่สิ้นสุดในตัวเอง ระบบบริหารเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับปลดปล่อยพลังของศาสนา ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาที่พระผู้เป็นเจ้าเปิดเผยให้แก่มนุษยชาติทั้งปวง ออกแบบไว้ให้เป็นประโยชน์แก่มวลมนุษยชาติและหนทางเดียวที่จะทำได้คือการปฏิรูปชีวิตชุมชนของมนุษย์และฟื้นฟูชีวิตของแต่ละบุคคล ระบบบริหารบาไฮเป็นเพียงเริ่มต้นของการจัดแบบแผนใหม่ของชีวิตสังคมและกฎของการดำเนินชีวิตชุมชนในอนาคต ตราบจนถึงบัดนี้บาไฮเพียงกำลังเริ่มต้นเข้าใจและปฏิบัติตามให้เหมาะสม ดังนั้นต้องมีความอดทนถ้าบางครั้งการทำงานดูเหมือนเข้มงวดและประหม่าเล็กน้อย เป็นเพราะว่าเรากำลังเรียนรู้สิ่งที่ยากมากแต่น่าพิศวงยิ่งคือการอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นชุมชนบาไฮตามคำสอนอันรุ่งโรจน์?
?เป็นความจริงเช่นเดียวกันกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่ศาสนาบาไฮต้องประสบอุปสรรคและความยุ่งยากที่คาดไม่ถึง แต่ที่ต่างกับองค์กรอื่นๆ ของมนุษย์คือ ศาสนาบาไฮดลบันดาลพลังแห่งความศรัทธาและความอุทิศที่จะชักนำเราให้พยายามอย่างจริงใจอยู่เสมอ เพื่อเผชิญกับความยุ่งยากเหล่านี้ และสมานความขัดแย้งที่อาจจะต้องเกิดขึ้น?
?ธรรมสภาเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ปกป้องธรรมสภาคือพระอับดุลบาฮา พระองค์ทรงโอบแขนคุ้มครองธรรมสภา มีพรใดยิ่งใหญ่กว่านี้อีกหรือ ธรรมสภาเหล่านี้คือตะเกียงที่สว่างไสว คืออุทยานสวรรค์ที่โชยสุคนธรสแห่งความวิสุทธ์ไปทั่วทุกภูมิภาค และสาดรัศมีแห่งความรู้ไปยังทุกสรรพสิ่ง พลังชีวิตจากธรรมสภาเหล่านี้หลั่งไหลไปทุกทิศทาง ที่จริงแล้วธรรมสภาเหล่านี้คือบ่อเกิดความก้าวหน้าของมนุษย์ในทุกเวลาและทุกสภาพการณ์?
?เมื่อระบบบริหารบาไฮขยายออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นหน้าที่ของทุกคนที่สัมพันธ์กับศาสนาที่จะต้องทำความคุ้นเคยกับหลักธรรม ทำความเข้าใจความหมาย และนำบัญญัติมาปฏิบัติต่อเมื่อสมาชิกแต่ละคนของธรรมสภาท้องถิ่นศึกษาให้ลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักธรรมมูลฐานของศาสนา และการประยุกต์ใช้หลักการปฏิบัติงานของธรรมสภาอย่างเหมาะสม สถาบันนี้จึงจะเติบโตและพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุด?
?สถาบันที่บัญญัติโดยพระผู้เป็นเจ้าคือธรรมสภาท้องถิ่นปฏิบัติการในระดับพื้นฐานของสังคมมนุษย์ และเป็นหน่วยบริหารพื้นฐานของระบบบริหารแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเกี่ยวพันกับบุคคลและครอบครัวที่ธรรมสภานั้นต้องให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พวกเขาสามัคคีกันในสังคมบาไฮที่ไม่มีใครเหมือนซึ่งได้รับชีวิตและการปกป้องโดยกฎ บัญญัติและหลักธรรมของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ ธรรมสภาท้องถิ่นคุ้มครองศาสนาของพระองค์ ปฏิบัติงานประหนึ่งเป็นผู้เลี้ยงแกะที่รักใคร่ฝูงแกะบาไฮ
บาไฮได้รับการเรียกร้องให้สนับสนุนและร่วมมืออย่างสุดหัวใจกับธรรมสภาท้องถิ่น ประการแรกโดยการออกเสียงเลือกตั้งสมาชิกธรรมสภา และต่อมาโดยการติดตามแผนงานและโครงการต่างๆของธรรมสภาอย่างแข็งขันโดยการหันมาหาธรรมสภาในยามลำบาก โดยการสวดมนต์ให้ธรรมสภาประสบความสำเร็จ และยินดีเมื่อธรรมสภารุ่งเรืองด้วยเกียรติ สิ่งมีค่าและของขวัญอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้านี้ในแต่ละชุมชน ต้องได้รับการถนอม บำรุงเลี้ยง รัก ช่วยเหลือ เชื่อฟัง และสวดมนต์ให้?
?ประสิทธิภาพของระบบบริหารควรควบคู่ไปกับความรัก ความอุทิศและการพัฒนาจิตใจในระดับที่ไม่น้อยไปกว่ากัน ทั้งสองส่วนเป็นสิ่งจำเป็น การพยายามแยกส่วนหนึ่งออกจากอีกส่วนหนึ่งเท่ากับเป็นการดับพลังของศาสนา ปัจจุบันนี้ขณะที่ศาสนายังอยู่ในวัยทารก ต้องรอบคอบเป็นพิเศษ เพื่อมิให้ขั้นตอนบริหารกลายเป็นอุปสรรคบั่นทอนพลังชีวิตของระบบบริหารเสียเอง ซึ่งเป็นพลังที่ขับเคลื่อนและกระตุ้นชีวิตของระบบบริหาร
แต่ตามที่เน้นไว้แล้ว ทั้งพลังชีวิตและรูปแบบต่างก็จำเป็นต่อการพัฒนาระบบบริหารให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและปลอดภัยการรักษาสมดุลของทั้งสองเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญเป็นพิเศษของผู้บริหารศาสนา?
?ในการประชุมของตน ธรรมสภาท้องถิ่นต้องพยายามพัฒนาความชำนาญในศิลปะของการปรึกษาหารือ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแต่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เป็นการปรึกษาที่สมาชิกทุกคนต้องควบคุมตนเองอย่างสูง และวางใจในอำนาจของพระบาฮาอุลลาห์โดยสมบูรณ์ ธรรมสภาท้องถิ่นควรประชุมอย่างสม่ำเสมอและรับประกันว่า สมาชิกทุกคนได้รับทราบกิจกรรมทั้งหลายของธรรมสภาอยู่เนืองนิตย์ เลขาธิการได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเหรัญญิกเก็บและใช้จ่ายเงินทุนของศาสนาเป็นที่น่าพอใจ ทำบัญชีอย่างถูกต้องเหมาะสม และออกใบเสร็จให้แก่การบริจาคทุกครั้ง ธรรมสภาหลายแห่งพบว่า กิจกรรมบางอย่าง เช่น การสอนศาสนา การฉลองบุญ การจัดงานวันสำคัญประจำปี การแก้ปัญหาส่วนบุคคล และหน้าที่อื่นๆสามารถจัดการไปได้ดีโดยคณะกรรมการที่ธรรมสภาแต่งตั้งขึ้น?
ธรรมสภาท้องถิ่น
(ภาคปฏิบัติ)
- จัดการเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นทุกปี ในวันที่ 21 เมษายน
1.1 ทำการเลือกตั้งระหว่างหลังพระอาทิตย์ตกดินวันที่ 20 เมษายน ถึง พระอาทิตย์ตกดินวันที่ 21 เมษายน สำหรับท้องถิ่นที่ไม่เคยมีธรรมสภามาก่อน การจัดตั้งธรรมสภาครั้งแรกสามารถทำได้เลยเมื่อมีบาไฮผู้ใหญ่ครบ 9 คน โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันที่ 21 เมษายน
1.2 ควรอบรมบาไฮในชุมชนให้ทราบความสำคัญและวิธีการของการเลือกตั้งบาไฮ การอบรมสม่ำเสมอตลอดปีดีกว่าอบรมไม่กี่วันก่อนเลือกตั้ง
1.3 แจ้งให้บาไฮชุมชนทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่ ของการเลือกตั้ง ผู้ที่ไม่สามารถร่วมประชุมเลือกตั้งได้สามารถลงคะแนนโดยทางจดหมายได้ แต่บาไฮต้องเข้าใจว่าการลงคะแนนทางจดหมายมีไว้สำหรับบาไฮที่มาไม่ได้จริงๆ บาไฮควรพยายามทุกอย่างเพื่อมาร่วมประชุมเลือกตั้งด้วยตนเอง
1.4 การลงคะแนนต้องเป็นความลับ โดยเขียนชื่อบาไฮ 9 คน ที่เราต้องการเลือกลงในบัตรเลือกตั้ง สำหรับผู้ที่เขียนหนังสือไม่ได้สามารถให้คนอื่นช่วยเขียนให้ แต่ควรเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง เช่น เยาวชนที่อายุไม่ถึง 21 ปี
1.5 บัตรเลือกตั้งที่ถือเป็นโมฆะหรือบัตรเสียคือ บัตรที่ลงชื่อมากหรือน้อยกว่า 9 คน หรือลงชื่อคนๆเดียวซ้ำกันสองชื่อ บัตรเลือกตั้งที่ไม่ถือเป็นโมฆะทั้งบัตรแต่โมฆะเป็นบางชื่อคือ บัตรที่เขียนอ่านไม่ออกบางชื่อหรือเลือกคนที่ไม่มีสิทธิ์ เช่น บาไฮที่อายุน้อยกว่า 21 ปี หรือบาไฮที่อยู่นอกท้องถิ่น ชื่ออื่นที่เหลือยังใช้ได้
1.6 ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 9 คนแรกจะเป็นสมาชิกธรรมสภา หากผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดคนที่ 9 มีสองคน ให้ลงคะแนนอีกรอบหนึ่งเพื่อเลือกระหว่างสองคนนี้เท่านั้น การลงคะแนนรอบที่สองนี้สามารถทำได้เลยในที่ประชุมเลือกตั้ง ต่างจากการเลือกตั้งคนใหม่มาแทนที่ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกธรรมสภาแล้วลาออกซึ่งในกรณีนี้ต้องให้โอกาสทุกคนได้รับทราบและลงคะแนน และอาจไม่สามารถทำการเลือกตั้งให้เสร็จในที่ประชุมได้นอกเสียจากว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคนอยู่ในที่ประชุม หากจำเป็นต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปควรทำให้เร็วที่สุดถ้าเป็นไปได้ควรทำวันที่ 22 เมษายน
1.7 ถ้ามีบาไฮผู้ใหญ่อายุ 21 ปีขึ้นไปในท้องถิ่นจำนวน 9 คนพอดี ไม่จำเป็นต้องลงคะแนนเสียง บาไฮทั้ง 9 คนสามารถประกาศสถานภาพเป็นธรรมสภาท้องถิ่นได้เลย โดยส่งรายชื่อทั้ง 9 คนไปให้ธรรมสภาแห่งชาติ
1.8 เมื่อรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว ควรรายงานไปให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบโดยเร็วที่สุด
2) เรียกประชุมธรรมสภา
2.1 เมื่อรู้ผลการเลือกตั้งแล้ว สมาชิกธรรมสภาที่ได้รับคะแนนสูงสุดควรเป็นผู้เรียกประชุมธรรมสภาโดยเร็วที่สุดเพื่อทำการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ธรรมสภา คือ ประธาน รองประธาน เลขาธิการ เหรัญญิก
2.2 การเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ควรมีสมาชิกธรรมสภามาครบ 9 คน ถ้าไม่ครบ 9 คนอาจเลือกเจ้าหน้าที่ชั่วคราวไปก่อนธรรมสภาควรกำหนดวัน เวลา ของการประชุมที่อำนวยความสะดวกให้สมาชิกทั้ง 9 คนมาร่วมประชุมได้เพื่อเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ เมื่อทั้ง 9 คน ได้รับทราบวันเวลาของการประชุมแล้ว แต่บางคนก็ยังมาประชุมไม่ได้ ธรรมสภาสามารถเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ถาวรได้เลย แล้วแจ้งรายชื่อของผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบ
2.3 ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมสภาต้องได้คะแนนอย่างน้อย 5 เสียง การเลือกตั้งเจ้าหน้าที่อาจเรียงตามความสำคัญคือ เลือกประธานก่อน ต่อมาเลือกเลขาธิการ เหรัญญิก และรองประธาน
2.4 การประชุมธรรมสภาต้องมีสมาชิกมาร่วมประชุมเกินครึ่งคืออย่างน้อย 5 คน จึงจะถือเป็นองค์ประชุม ถ้าไม่ถึง 5 คน สมาชิกธรรมสภาสามารถปรึกษาหารือกันได้โดยไม่มีการตัดสินใจ
2.5 การประชุมธรรมสภาจะถือเป็นทางการก็ต่อเมื่อ มีการเรียกประชุมอย่างเหมาะสม กล่าวคือสมาชิกทั้ง 9 คน ต้องได้รับการแจ้งวันและเวลาของการประชุมล่วงหน้าพอสมควร ส่วนจะมาประชุมได้หรือไม่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง มิใช่ว่าเชิญกันมาให้ครบ 5 คนแล้วประชุมเลยโดยอีก 4 คนไม่ทราบ
3) บทบาทของเจ้าหน้าที่ธรรมสภา
ประธาน (ผู้ดำเนินการประชุม)
- เปิดและปิดการประชุมให้ตรงตามกำหนดเวลา
- เตรียมหัวข้อการประชุมโดยปรึกษากับเลขาธิการ
- ดำเนินการประชุมให้คล่องตัว ให้ทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นโดยไม่ให้พูดน้อยไปหรือมากไปเกินความจำเป็น ควบคุมไม่ให้พูดออกนอกเรื่อง ควบคุมการปรึกษาหารือแต่ละเรื่องให้อยู่ในเวลาที่พอเหมาะตามความสำคัญ ไม่ใช่ว่าเรื่องเล็กแต่พูดกันยืดยาว แต่เรื่องใหญ่พูดกันเดี๋ยวเดียวไม่ถี่ถ้วน
- บันทึกการตัดสินใจ ใครได้รับมอบหมายให้ทำอะไร เมื่อไรที่งานควรจะเริ่มและเสร็จเมื่อไร เพื่อติดตามงาน โดยประสานงานกับเลขาธิการ
- ก่อนบันทึการตัดสินใจ ควรให้แน่ใจว่าทุกคนในที่ประชุมเข้าใจการตัดสินใจนั้นถูกต้องและตรงกัน
- ควรเข้าใจแผนงานอย่างดีและรู้ว่าเรื่องอะไรสำคัญก่อนหลัง
- ควรรู้สถานะการเงินของธรรมสภา
รองประธาน (รองผู้ดำเนินการประชุม)
- ดำเนินการประชุมเมื่อประธานไม่อยู่ หากทั้งประธานและรองประธานไม่อยู่ ธรรมสภาควรตัดสินว่าจะให้ใครเป็นผู้ดำเนินการประชุม
- ศึกษาหน้าที่ของประธาน เพื่อจะทำหน้าที่แทนได้ในคราวจำเป็น
เลขาธิการ
- เตรียมหัวข้อการประชุม และเตรียมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่จะประชุมให้สมาชิกรับทราบก่อนเข้าประชุม เพื่อให้สมาชิกได้มีโอกาสไตร่ตรองมาก่อน
- แจ้งให้สมาชิกทราบล่วงหน้าว่าจะมีการประชุมเมื่อไหร่ ที่ไหน
- ทำบันทึกการประชุมเพื่อแจกจ่ายให้สมาชิกและส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ
- ตอบจดหมายตามมติของที่ประชุม
- ติดตามการดำเนินงานต่างๆ ว่าสอดคล้องกับแผนงานของธรรมสภาหรือไม่
- เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างธรรมสภาและบาไฮในชุมชน
- เก็บสถิติของจำนวนบาไฮในชุมชน
- รายงานกิจกรรมในรอบปีให้บาไฮทราบในวันที่ 21 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับการเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นชุดใหม่
- พึงระลึกว่า เลขาธิการคือหัวจักรสำคัญของการดำเนินงานของธรรมสภา เป็นตัวแทนของธรรมสภาที่ติดต่อกับทั้งชุมชนบาไฮและโลกภายนอก
เหรัญญิก
- รับบริจาคจากบาไฮพร้อมทั้งออกใบเสร็จ กระตุ้นบาไฮในชุมชนให้เห็นความสำคัญของการบริจาค และอำนวยความสะดวกต่อการบริจาค
- ทำบัญชีรายรับ รายจ่ายของธรรมสภา
- รายงานสถานะการเงินให้ธรรมสภาทราบ รายงานให้เพื่อนบาไฮทราบในงานฉลองบุญ 19 วัน และในวันที่ 21 เมษายน และรายงานให้ธรรมสภาแห่งชาติ (อาจรวมอยู่กับบันทึกการประชุม)
- ใช้จ่ายเงินตามมติของธรรมสภา
- เตรียมงบประมาณเพื่อเสนอให้ธรรมสภาพิจารณา
- ดูแลทรัพย์สินของธรรมสภาและชุมชน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องพิมพ์ดีด
สมาชิกอื่น
- ศึกษาข้อมูลที่ได้รับจากเลขาธิการก่อนเข้าประชุม เพื่อให้การประชุมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- มีความพร้อมที่จะรับภาระแทนเจ้าหน้าที่ของธรรมสภา เช่น เสนอหัวข้อการประชุมต่อเลขาธิการ ช่วยร่างจดหมายแทนเลขาธิการ ติดตามการดำเนินงานบางอย่าง เมื่อธรรมสภาเติบโตขึ้น มีภารกิจและความรับผิดชอบขยายออกมากขึ้น สมาชิกทุกคนต้องสามารถเข้าช่วยงานของเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาได้
- สมาชิกทุกคนสามารถช่วยจัดบรรยากาศของการประชุมให้สดชื่น เช่น จัดโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งสบาย พูดคุยกันได้สะดวกระหว่างปรึกษาหารืออาจสลับที่นั่งกันบ้างหรือผลัดกันเริ่มเป็นผู้แสดงความเห็นก่อนในแต่ละเรื่อง ฯลฯ เพื่อให้การประชุมมีชีวิตชีวา
(พึงระลึกไว้ว่าระบบบริหารบาไฮ เจ้าหน้าที่ธรรมสภาคือผู้ที่ได้รับมอบบทบาทความรับผิดชอบ มิใช่ได้สิทธิ์หรืออำนาจเหนือสมาชิกธรรมสภาคนอื่น เช่นประธานคือผู้ที่ได้รับบทบาทในการดำเนินการประชุม มิใช่ว่าประธานมีสิทธิหรืออำนาจเหนือคนอื่น หรือหากเวลามีการออกเสียงในที่ประชุม ประธานก็เป็นเพียงหนึ่งในเก้าเสียงของธรรมสภา)
4) หัวข้อการประชุม
ตัวอย่างหัวข้อการประชุม
- อธิษฐานเปิดการประชุม
- อ่านบันทึกการประชุมครั้งที่แล้วเพื่อรับรองหรือแก้ไข
- ปรึกษาเกี่ยวกับเป้าหมายของแผนงานที่ได้รับจากธรรมสภาแห่งชาติ หรือแผนงานของตัวเอง ทบทวนงานที่ทำไป วางแผนงานต่อไป เช่น การสอนศาสนา กิจกรรมเยาวชน ?ชั้นเรียนเด็ก
- จดหมายต่างๆ ที่มาถึงธรรมสภา ควรนำมาพิจารณาให้ตรงกับหัวข้อเรื่องที่จะปรึกษา
- เหรัญญิกรายงานการเงิน
- เรื่องด่วนต้องนำมาพิจารณาก่อน
- นัดประชุมครั้งต่อไป
- อธิษฐานปิดการประชุม
หมายเหตุ การเตรียมหัวข้อประชุม ควรแบ่งเวลาสำหรับเรื่องต่างๆ ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ธรรมสภามีเวลาเพียงพอสำหรับปรึกษาเพื่อริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือไม่ มีเวลาระดมความคิดเพียงพอหรือไม่ มีเวลาเพียงพอที่จะวางแผนการสอนศาสนาหรือไม่ ฯลฯ เพื่อความก้าวหน้าของธรรมสภาเองและชุมชน ไม่ใช่ได้แต่เพียงทำงานประจำให้เสร็จไป
5) บันทึกการประชุม
– ระบุชื่อของธรรมสภา วันที่ของการประชุมให้ชัดเจน
– ระบุชื่อของผู้ที่เข้าร่วมประชุม ผู้ที่ขาดประชุม พร้อมทั้งเหตุผลที่ขาดประชุม
– บันทึกคำแก้ไขของบันทึกการประชุมครั้งที่แล้ว หากมี
– เมื่อบันทึกคำตัดสินใจของธรรมสภา ควรลงข้อมูลที่เป็นเบื้องหลังและการปรึกษาหารือที่นำมาสู่การตัดสินใจนั้น เพื่อว่าธรรมสภาแห่งชาติอ่านแล้วจะเข้าใจได้ว่า ทำไมธรรมสภาท้องถิ่นตัดสินใจเช่นนั้น ข้อมูลที่ลงบันทึกควรรวบรัดแต่เพียงพอที่จะเข้าใจได้ ไม่ต้องลงรายละเอียดว่าใครเป็นผู้ออกความเห็นอะไร แต่ต้องระบุชื่อบุคคลที่ได้รับมอบหมายงานหรือความรับผิดชอบนั้นๆ
6) การพิจารณาวางแผนงานและเป้าหมาย
แผนงานควรระบุระยะเวลา และถ้าเป็นไปได้ระบุเป็นตัวเลข เช่น แผนงาน 6 เดือน 9 เดือน หรือ 1 ปี มีการจัดการสนทนาธรรมกี่ครั้ง ตัวอย่างเช่น
6.1 การสอนศาสนา
- มีบาไฮเพิ่มเท่าไหร่ ถ้าจะให้ดีตามที่พระอับดุลบาฮาบอกไว้ แต่ละท้องถิ่นควรมีบาไฮเพิ่มเป็นสองเท่าในหนึ่งปี คือบาไฮแต่ละคนสอนให้มีบาไฮเพิ่มหนึ่งคนในหนึ่งปี
- มีการจัดสนทนาธรรมกี่ครั้ง
- จะขยายการสอนศาสนาออกไปนอกท้องถิ่นได้หรือไม่
6.2 การประกาศศาสนา
- สามารถใช้สื่อมวลชน เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ได้หรือไม่
- จัดการประชุมอภิปรายเกี่ยวกับศาสนาได้หรือไม่
- กระจายหนังสือบาไฮได้มากน้อยแค่ไหน เช่น ห้องสมุดสถาบันการศึกษา
6.3 การพัฒนาชุมชนบาไฮ
- ทำอย่างไรจะช่วยให้เพื่อนบาไฮมาร่วมงานฉลองบุญและวันศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น มากขึ้นเท่าไร
- จัดการพบปะกันได้สม่ำเสมอแค่ไหน เช่น ชั้นเรียนธรรมะ สวดมนต์ตอนเช้า
- สนับสนุนกิจกรรมเยาวชนได้อย่างไร
- จัดชั้นเรียนเด็กให้สม่ำเสมอได้อย่างไร
- ก่อตั้งศูนย์บาไฮได้ไหม กองทุนมีพอไหม
- มีการบริจาคให้กองทุนบาไฮแค่ไหน ควรตั้งเป้าหมายสำหรับการบริจาคเท่าไหร่
- ออกข่าวสารประจำท้องถิ่นได้หรือไม่
7) บทบาทความเป็นผู้นำของธรรมสภา
????7.1 มองไปในอนาคต
สมาชิกธรรมสภาต้องพยายามทำความเข้าใจงานที่ตนทำอยู่ และมองไปข้างหน้าว่าสถาบันของตนและชุมชนบาไฮจะพัฒนาไปเป็นอย่างไร แล้ววางแผนงาน เป้าหมาย การทำงานให้เป็นไปในทิศทางนั้น และนำมาสัมพันธ์กับสถานการณ์ในปัจจุบันว่า ชุมชนสามารถทำอะไรได้ในตอนนี้เพื่อจะก้าวไปสู่เป้าหมายที่วาดไว้สำหรับอนาคต ซึ่งธรรมสภาควรจะ
- ประเมินโอกาส ความสามารถและปัจจัยในชุมชน
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ควรเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่มิใช่เป็นไปไม่ได้
- ถ้าเป็นไปได้ แนะวิธีและแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมาย
- กำหนดวันเริ่มต้นและระยะเวลาของโครงการเพื่อไม่ให้รีรอ
- หาวิธีที่จะวัดความก้าวหน้าของโครงการ
????7.2 บันดาลใจ
ลักษณะความเป็นผู้นำที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งคือ การบันดาลใจ ให้ความหวังกำลังใจ เพื่อให้บาไฮตื่นตัวรับใช้ แสดงความหวังให้ชุมชน เข้าใจว่าธรรมสภาวาดภาพอนาคตไว้อย่างไร กิจกรรมแต่ละอย่างจะส่งผลอย่างไรในวันข้างหน้า การดลใจอาจใช้วิธีเล่าประสบการณ์และเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จที่ได้มาด้วยความยากลำบากความเสียสละของบาไฮบางคน
????7.3 แสดงเป็นตัวอย่าง
ที่จริงแล้วการแสดงเป็นตัวอย่างคือหนทางหนึ่งที่ช่วยดลใจ ความเป็นผู้นำของธรรมสภาใช่ว่า สมาชิกธรรมสภาคอยแต่สั่งให้คนอื่นทำโดยที่ตัวเองอยู่เฉยๆ สมาชิกธรรมสภาควรตื่นตัวอยู่เสมอเพื่อรับรู้ข้อมูล ความเป็นไปความรู้สึกนึกคิดของบาไฮในชุมชน ซึ่งต้องอาศัยการเข้าร่วมในกิจกรรมของงานต่างๆ การเข้าร่วมนี้จะเป็นกำลังใจให้บาไฮในชุมชนมั่นใจว่าพวกเขามิได้ทำงานอยู่โดดเดี่ยวแต่มีธรรมสภาคอยสนับสนุนอยู่และหันมาพึ่งพาได้เมื่อเผชิญปัญหา
????7.4 การริเริ่ม
การทำนุบำรุงบรรยากาศแห่งความรักและความสามัคคีในชุมชนบาไฮ ประกอบด้วยการแสดงเป็นตัวอย่างและการบันดาลใจของสมาชิกธรรมสภา จะช่วยให้บาไฮในชุมชนเกิดความริเริ่มและส่งผลให้ชุมชนก้าวหน้า หากงานของธรรมสภาและงานของชุมชนไม่มีการริเริ่ม มีแต่ทำงานประจำไปวันๆ สมาชิกธรรมสภาควรตรึกตรองดูว่า มีปัจจัยอะไรที่เป็นอุปสรรค เช่น บาไฮในชุมชนกับธรรมสภาห่างเหินกันเกินไปหรือไม่ มิตรภาพในชุมชนอ่อนลงไม่แน่นแฟ้น ฯลฯ
?
??7.5 เข้าหาได้
บาไฮในชุมชนควรรู้สึกว่า ธรรมสภาพร้อมที่จะให้เวลาพวกเขา ให้โอกาสพวกเขาเข้าหาได้เสมอ ประหนึ่งพ่อแม่พร้อมจะให้เวลากับลูกเสมอเมื่อลูกต้องการคำแนะนำหรือระบายความรู้สึก สมาชิกธรรมสภาต้องระวังมิให้บาไฮในชุมชนรู้สึกว่าพวกตนทำตัวห่างเหินหรือถือตัว ในทางกลับกัน บาไฮไม่ควรใช้สิทธินี้เกินขอบเขตโดยนำเรื่องสารพัดสารพันมาสุมให้ธรรมสภา บางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ บาไฮควรพยายามแก้ไขด้วยตัวเองก่อน เช่น โดยการสวดมนต์และศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาที่อยู่ในธรรมนิพนธ์บาไฮ หรืออาจปรึกษากับผู้ที่เหมาะสมเป็นการส่วนตัว
????7.6 ความน่าเชื่อถือ
สิ่งที่ช่วยให้ธรรมสภาน่าเชื่อถือก็คือ ความประพฤติของสมาชิกธรรมสภาเอง ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภากับชุมชนควรเป็นไปในลักษณะเปิดเผยไม่มีลับลมคมใน ?การสื่อสารกับชุมชนอย่างชัดเจนไม่คลุมเครือ การส่งข่าวให้ชุมชนได้รับทราบทันเวลาไม่ล่าช้า การร้องขอหรือมอบหมายงานอย่างเหมาะสม ฯลฯ เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้ธรรมสภา ธรรมสภาต้องคำนึงว่าบาไฮในชุมชนมีหน้าที่เชื่อฟังธรรมสภา ฉะนั้นธรรมสภาไม่ควรใช้สิ่งนี้โดยไม่ระวัง เช่น มอบหมายงานที่ไม่สมเหตุผลให้ชุมชนทำ นอกจากนี้การปฏิบัติตาม 5 ข้อข้างต้นจะช่วยทำให้ธรรมสภาเป็นที่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
การปรึกษาหารือบาไฮ
ลักษณะสำคัญของการปรึกษาหารือบาไฮ คือ
- คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้น 7 ประการ
?คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้ปรึกษาหารือกันคือเจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ถวิลหาสุคนธรสสวรรค์ ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ อดทนต่อความยากลำบาก และรับใช้ ณ ธรณีประตูอันประเสริฐของพระองค์?
- เงื่อนไข 2 ประการ
?เงื่อนไขแรกคือความรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกธรรมสภา พวกเขาต้องปลอดจากความหมางเมินโดยสิ้นเชิง และต้องแสดงออกซึ่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้าเพราะพวกเขาคือคลื่นในทะเลเดียวกัน คือหยดน้ำในชโลธรเดียวกัน คือดวงดาราในนภาเดียวกัน คือรัศมีของดวงอาทิตย์เดียวกัน คือพฤษาในสวนเดียวกัน คือดอกไม้ในอุทยานเดียวกัน หากไร้ซึ่งความเห็นพ้องต้องกัน ไร้ความสามัคคีที่แท้จริง การชุมนุมนั้นจะสลายตัวและธรรมสภาจะกลายเป็นความว่างเปล่า เงื่อนไขที่สองคือ เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาต้องตั้งจิตสู่เบื้องบน และขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์?
- เกณฑ์การดำเนินการประชุม 5 ประการ
?จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศ มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ และความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน?
คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้น 7 ประการ
- เจตนาอันบริสุทธิ์
ผู้ร่วมปรึกษาหารือจำเป็นต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ มิใช่ค้นหาว่าอะไรจะเป็นประโยชน์แก่ตน ซึ่งมาจากเจตนาที่เห็นแก่ตัวหรือเจตนาอื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ มิฉะนั้นจะทำให้การปรึกษานั้นติดขัดและไม่สามารถพบความจริงหรือการตัดสินใจที่ดีได้ บางครั้งเจตนาที่แอบแฝงอยู่มิใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป เช่น ผู้ที่เข้าร่วมปรึกษาคนหนึ่งต้องการเลิกประชุมเวลาสามทุ่มเพราะอยากไปดูรายการโทรทัศน์ที่ชอบ ตนจึงรีบเร่งการประชุมให้เสร็จเร็วๆ บางคนอาจเตรียมไปเที่ยววันอาทิตย์เวลาธรรมสภาจะตัดสินใจให้มีกิจกรรมบางอย่างในวันอาทิตย์ตนจึงพยายามคัดค้านในระหว่างการปรึกษาหารือ เจตนาที่แอบแฝงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้สามารถรบกวนการปรึกษาหารือได้ หากเกิดเช่นนี้จริง ผู้ร่วมปรึกษาหารือควรบอกเจตนาที่แอบแฝงเหล่านี้ให้ผู้อื่นทราบเพื่อความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ไม่ถึงกับจำเป็นต้องบอกทุกครั้งหากการปรึกษาหารือยังดำเนินไปได้ด้วยดี
- จิตใจอันผ่องใส
จิตใจที่ผ่องใสจะทำให้ผู้ร่วมปรึกษาหารือไม่มองอะไรแง่ลบจนเกินไปจนคิดอะไรไม่ออก ไม่อิจฉาแต่ยินดีต่อความสำเร็จของกันและกัน ห่วงใยความสุขและอ่อนไหวต่อความรู้สึกของกันและกัน ในการปรึกษาหารือบางครั้ง สมาชิกบางคนอาจไม่เข้าใจในบางเรื่อง หากคนอื่นๆไม่สนใจแล้วรีบตัดสินใจให้เรื่องนั้นผ่านไป จะทำให้คนนั้นรู้สึกไม่มีค่า ไม่อยากร่วมปรึกษาอีกต่อไป ไม่มีใครสามารถแสดงความคิดเห็นได้ดีหากเขารู้สึกว่าตนไม่เป็นที่ยอมรับ
?นภาแห่งเมธาสวรรค์ได้รับการส่องสว่างด้วยประทีปแห่งการปรึกษาหารือและความเห็นอกเห็นใจ?
จิตใจที่ผ่องใสจะช่วยให้เรามองปัญหาด้วยทิวทัศน์ที่สดใสกว่า ตัวอย่างเช่น บางครั้งบาไฮมัวแต่เน้นที่กฎข้อห้ามต่างๆ บาไฮใหม่ในชุมชนหนึ่งอาจมีอุปนิสัยชอบดื่มสุรามาตั้งแต่ก่อนเป็นบาไฮจนแก้ยาก จึงมีการปรึกษาหารือกันอย่างเหน็ดเหนื่อยว่าจะทำยังไงกับบาไฮที่ชอบดื่มสุรา และมักจะเป็นการปรึกษาหารือที่หาทางออกไม่ได้ แต่เมื่อมีการมองปัญหาด้วยทิวทัศน์ที่สดใสกว่า คือเน้นไปที่การสวดมนต์ การอบรมเด็ก ชีวิตครอบครัว เมื่อทุ่มเทมาที่กิจกรรมเหล่านี้จนได้ผลแล้ว ปัญหาการดื่มสุราจะคลี่คลายตามมาได้
- ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ร่วมปรึกษาหารือต้องตัดความผูกพัน ไม่ยึดมั่น เพื่อว่าตนจะคิดอ่านได้อย่างเที่ยงธรรมตรึกตรองความคิดที่ผู้อื่นเสนอมาได้อย่างยุติธรรม ตรึกตรองโดยไม่คำนึงว่าใครเป็นผู้แสดงความคิดเห็นนั้น นี้เป็นเรื่องที่เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ เพราะโดยธรรมดาแล้ว เรามีแนวโน้มจะยอมรับความคิดของผู้มีประสบการณ์ได้ง่ายๆ และมองข้ามความคิดเห็นของผู้อ่อนประสบการณ์โดยไม่ทันคิดให้รอบคอบ การคิดอ่านของเราควรเป็นอิสระจากความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบใคร เพราะจะมีผลให้เราคิดอย่างลำเอียง
?บ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ต่ำต้อยด้อยความรู้และด้อยประสบการณ์ แต่ด้วยแรงดลใจที่มาจากความอุทิศอย่างแรงกล้าและไม่เห็นแก่ตัว ได้แสดงความคิดเห็นที่เป็นกุญแจสำคัญในการอภิปรายของธรรมสภา?
เมื่อเสนอความคิดออกไป ความคิดนั้นจะกลายเป็นของกลุ่มผู้เสนอความคิดนั้นต้องตัดความผูกพันไม่ยึดมั่นว่าความคิดนั้นยังเป็นของตนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนจะมีอิสระที่จะเห็นด้วยหรือปฏิเสธโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ใครเสียใจ และผู้เสนอความคิดก็จะไม่ขุ่นใจหากถูกปฏิเสธ ในทางกลับกัน หากความคิดนั้นเป็นที่ยอมรับ ความคิดนั้นก็เป็นของส่วนรวม มิใช่เป็นของผู้ที่เสนอความคิดเท่านั้น
- ถวิลหาสุคนธรสสวรรค์
นั่นคือจิตใจของผู้ร่วมปรึกษาหารือต้องฝักใฝ่ในสิ่งที่ดีงามไม่ใช่เรื่องต่ำช้า การปรึกษาหารือบาไฮมุ่งส่งเสริมความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจของบุคคลและสังคม ไม่มีการปรึกษาหารือเพื่อทำร้ายใคร ไม่วางอุบายหลอกลวงหรือเอาเปรียบใคร
- ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์
ความทะนงว่าความคิดของตนดีกว่าใครเป็นภัยต่อการปรึกษาหารือ เราเห็นตัวอย่างมากมายที่คนแต่ละนิกายทะนงในความเชื่อศาสนาของตน มั่นใจว่าความเชื่อของตนถูก ความมั่นใจมิได้รับประกันว่าสิ่งนั้นจะถูกจริง การปรึกษาหารือบาไฮต้องไม่มีการยกตนข่มผู้อื่น ซึ่งอาจซ่อนเร้นอยู่ในรูปแบบของการไม่ยอมบอกข้อมูลที่สำคัญให้คนอื่นทราบ จะบอกก็ต่อเมื่อเป็นโอกาสที่จะเกทับผู้อื่น ดังนั้นการปรึกษาหารืออาจเริ่มต้นโดยผู้ที่รู้ข้อมูลมากสุดเป็นผู้พูดก่อน ความถ่อมตนไม่ควรเป็นที่สับสนกับความอ่อนแอ
- อดทนต่อความยากลำบาก
สมาชิกธรรมสภามาจากการเลือกตั้งบาไฮ ซึ่งกำหนดไม่ได้ว่าใครจะได้รับเลือก และผู้ที่ได้รับเลือกจะมีพื้นฐานต่างกันมากน้อยแค่ไหน ในการปรึกษาหารือบางครั้ง สมาชิกธรรมสภาจึงเป็นบททดสอบซึ่งกันและกัน คนหนึ่งอาจคิดอะไรได้เร็ว อีกคนอาจคิดช้า คนคิดเร็วอาจรู้สึกรำคาญคนคิดช้า คนคิดช้าอาจรู้สึกระแวงว่าคนคิดเร็วจะรีบผ่านเรื่องไปเพราะกลัวถูกแย้ง คนหนึ่งอาจคิดอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ในคณะที่อีกคนหนึ่งอาจคิดอะไรง่ายๆ แบบตรงไปตรงมา คนที่คิดละเอียดอาจมองคนที่คิดอะไรแบบง่ายๆ ว่าไม่รอบคอบ คนที่คิดง่ายๆ อาจมองว่าคนที่คิดละเอียดว่าจุกจิกเกินความจำเป็น คนหนึ่งกระตือรือร้นอยากให้งานลุล่วงไปโดยเร็ว ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจรู้สึกว่าไม่เห็นมีเรื่องอะไรรีบด่วนเลย คนหนึ่งอาจตั้งใจสูงและต้องการพูดลึกลงไปในปัญหา ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจไม่รู้สึกจริงจังและใจลอย คนหนึ่งอาจหัวดื้อไม่ยอมเปลี่ยนความคิด ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจถูกชักจูงความคิดได้ง่าย เห็นด้วยกับทุกอย่าง คนหนึ่งอาจมองปัญหาในแง่ร้าย ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจมองอะไรในแง่ดี แม้จะไม่มีหนทางแก้ปัญหาแต่ถือว่าพระผู้เป็นเจ้าจะช่วยให้ดีเอง คนมองในแง่ดีอาจถือว่าคนมองในแง่ร้ายนั้นอาจไม่สร้างสรรค์ ส่วนคนที่มองในแง่ร้ายอาจคิดว่าคนที่มองในแง่ดีเป็นคนที่เพ้อฝันหลอกตัวเอง คนที่มีประสบการณ์มากอาจเสนอความคิดเห็นที่ตรงกับหลักธรรมคำสอน แต่อีกคนหนึ่งอ่อนประสบการณ์จึงอาจไม่เข้าใจและไม่พร้อมที่จะยอมรับความคิดเห็นนั้น บุคคลที่กล่าวมานี้สามารถเป็นบททดสอบซึ่งกันและกัน และบาไฮที่ร่วมปรึกษาหารือกันต้องพัฒนาความอดทนเป็นคุณสมบัติหนึ่ง ?อย่างไรก็ตามระบบบริหารบาไฮออกแบบไว้สำหรับมนุษยชาติทั้งมวลและคนทุกประเภทเหล่านี้แหล่ะคือองค์ประกอบที่ถูกหล่อหลอมเข้ามาอยู่ในระบบจากพระผู้เป็นเจ้านี้
- การรับใช้ ณ ธรณีประตูอันประเสริฐของพระองค์
เจตคติของการรับใช้จะช่วยให้ผู้ร่วมปรึกษากันเป็นอิสระจากความทะเยอทะยาน ความทะนง ความอิจฉา และคุณสมบัติที่ไม่ดีอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณสมบัติอีก 6 ข้อที่กล่าวมาข้างตน
เงื่อนไข 2 ประการ
- ความรักใคร่ปรองดอง
ความรักใคร่ปรองดองโดยสมบูรณ์เป็นบรรยากาศที่เกื้อกูลการหลั่งไหลและประสานความคิด ทำให้ความคิดเห็นพัฒนาขึ้นเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง อาจเปรียบความคิดเห็นของแต่ละคนเป็นเมล็ด เมื่อเมล็ดนั้นได้รับการเพาะปลูกในดินที่ดี อากาศที่มีอุณหภูมิเหมาะสม ความชื้นพอเหมาะ เมล็ดนั้นจะเติบโตเป็นพืชที่งดงาม ในทางตรงข้ามหากอยู่ในบรรยากาศของความหมางเมิน เย็นชา เมล็ดนั้นจะไม่โต และผู้ที่ร่วมปรึกษาหารือจะเหนื่อยใจไปกับการอภิปรายที่ไม่ออกผล ความรักใคร่ปรองดองนี้มิใช่มีแต่ในห้องประชุมเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่สมาชิกธรรมสภาต้องทำนุบำรุงระหว่างกันนอกห้องประชุมด้วย เช่นการช่วยเหลือให้กำลังใจกันในยามที่ใครคนหนึ่งมีปัญหาส่วนตัวหรือปัญหาในครอบครัว
- ตั้งจิตสู่เบื้องบนและขอความช่วยเหลือ
ดังที่กล่าวไว้แล้ว บาไฮแต่ละคนที่มาร่วมประชุมกันมีความคิดอ่านและพื้นฐานที่ต่างกัน นอกจากนี้แต่ละคนก็เข้ามาในห้องประชุมด้วยความรู้สึกที่ต่างกันตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนก่อนมาประชุม ดังนั้นการตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้าก่อนการปรึกษาหารือ โดยการสวดมนต์อธิษฐานจะเป็นการปรับความรู้สึกนึกคิดแต่ละคนให้ประสานกลมกลืนกันเพื่อรับแรงดลใจจากเบื้องบน เปรียบเหมือนการปรับเสียงสายกีตาร์ให้เข้ากัน
เกณฑ์การดำเนินการประชุม 5 ประการ
- ความอุทิศ
บาไฮที่มาร่วมปรึกษากันต้องอุทิศความรักต่อพระบาฮาอุลลาห์ การปรึกษานั้นต้องอุทิศต่อสิ่งที่จะส่งเสริมความก้าวหน้าของชุมชนและศาสนา มิใช่ประชุมพอเป็นพิธี หาทางออกง่ายๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรให้หนักสมอง
- มารยาท
มารยาทในการพูดและการฟังจะช่วยให้การปรึกษาหารือมีประสิทธิภาพ ไม่ควรพูดขัดจังหวะกัน ไม่เสียดสีหรือประชดประชันกัน ไม่ทำท่ากระสับกระส่ายเวลาคนอื่นพูด มารยาทในการนั่งห้องประชุมและการแต่งตัวก็มีผลต่อบรรยากาศของการประชุม บาไฮควรรักษามารยาทเสมือนว่าพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในห้องประชุมนั้นด้วย
- เกียรติ
ผู้ร่วมปรึกษาต้องให้เกียรติและนับถือกันและกัน ไม่ดูแคลนความคิดเห็นผู้อื่น แต่ต้องฟังอย่างตั้งใจ และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นนั้น เมื่อใครคนหนึ่งรู้สึกว่า ความคิดเห็นของตนกำลังได้รับฟังจากคนอื่นด้วยความตั้งใจ ผู้นั้นจะยอมรับได้ง่ายกว่าเมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วย มิฉะนั้นแล้วเขาจะไม่แล้วแก่ใจ และคิดว่าผู้อื่นไม่ฟังเขาให้ดี ไม่เข้าใจที่เขาพูด ผู้ร่วมปรึกษาต้องนับถือตัวเองด้วย กล่าวคือ ต้องคิดว่าตนเป็นคนที่มีค่าคนหนึ่งในกลุ่ม และพร้อมจะแสดงความเห็นต่างๆ ไม่คิดว่าตนเองไร้ค่าแล้วเงียบไม่ออกความคิดเห็น
- ความรอบคอบ
ความรอบคอบจะบ่งบอกถึงมาตรฐานของกลุ่มที่ปรึกษาหารือกัน ผู้พูดควรพูดให้ตรงประเด็น และผู้ฟังควรระลึกถึงวัตถุประสงค์ของการปรึกษานั้นอยู่เสมอ ??แล้วนำข้อมูลที่ได้รับฟังมาสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์นั้น ๆ ไม่หักเหไปหารายละเอียดปลีกย่อยที่พ่วงมากับคำพูด การฟังไม่ควรเพียงแต่เก็บข้อมูลเท่านั้นแต่ควรพยายามเข้าถึงความรู้สึกของผู้พูดด้วย การมองข้ามความรู้สึกของผู้พูดอาจมีผลเสีย เช่น บาไฮคนหนึ่งมีความปรารถนาอยากปรับปรุงงานฉลองบุญ เขาจึงมีข้อเสนอในที่ประชุมธรรมสภาแต่บังเอิญข้อเสนอนั้นไม่เหมาะสม คนอื่นๆจึงปฏิเสธอย่างไม่ใยดีโดยลืมมองที่เจตนาของผู้เสนอความคิดนั้น การมองข้ามความรู้สึกเช่นนี้อาจบั่นทอนกำลังใจซึ่งกันและกัน ความรอบคอบยังอยู่ที่การให้ความสำคัญต่อเรื่องต่างๆให้เหมาะสม ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญแต่ใช้เวลาปรึกษากันเดี๋ยวเดียว ส่วนเรื่องเล็กๆ กลับพูดกันยืดยาว ไม่ควรขุดคุ้ยจับผิดเล็กๆ น้อยๆ บางครั้งคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกมาถูกตั้ง 90% แล้ว มีผิดอยู่เพียง 10% แต่อีกคนหนึ่งเพ่งเล็งมาที่ 10% นี้ และทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ต้องอภิปรายยืดเยื้อเสียเวลาโดยใช่เหตุ
?การอภิปรายและปรึกษาหารือของผู้แทนที่ได้รับเลือกจากชุมชน ควรมีความอดทนและยับยั้งชั่งใจเสมอ และไม่ควรอภิปรายขุดคุ้ยอย่างไร้เหตุผลไม่ว่าในสภาพแวดล้อมใด?
ความรอบคอบมิใช่อยู่ที่ปรึกษาหารือกันในที่ประชุมเท่านั้นแต่รวมถึงการเตรียมตัวก่อนประชุมด้วย เช่น เตรียมข้อมูลให้พร้อมเพื่อนำเสนอปรึกษาหารือ กลุ่มที่ร่วมปรึกษากันควรแน่ใจว่าทุกคนเข้าใจเรื่องนั้นๆ หรือสถานการณ์นั้นๆ ?เพียงพอที่จะใช้วิจารณญาณได้อย่างรอบคอบ ไม่ใช่ว่ามีเพียงไม่กี่คนเข้าใจแล้วตัดสินใจไป โดยที่คนอื่นที่เหลือจำต้องคล้อยตามเพราะตนไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องนั้นๆ
- ความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน
บาไฮไม่ควรแสดงความคิดเห็นในลักษณะที่กดดันผู้อื่น เช่นใช้เสียงแข็ง หรือทำหน้าตาขึงขังวางมาดว่าตนรู้เรื่องนั้นดีอยู่คนเดียว คนอื่นไม่มีสิทธิ์แย้งข้อสรุปของตน ซึ่งจะทำให้คนอื่นอึดอัดใจที่จะพูด และในทางตรงข้ามไม่ควรแสดงความเห็นอย่างปวกเปียกไม่มีน้ำหนัก บาไฮควรอธิบายความคิดเห็นและเหตุผลของตนให้หนักแน่น เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจทรรศนะและจุดยืนของตนโดยไม่บีบคั้นผู้ใด บางครั้งเราอาจรู้สึกเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องหนึ่งแต่อธิบายไม่ออก หากเราพูดความรู้สึกนี้ออกมาก็มีประโยชน์
ความเห็นควรเป็นเอกฉันท์
?ที่จริงแล้วพระอับดุลบาฮาตั้งความปรารถนาไว้เสมอว่ามิตรสหายที่อยู่ในสภาทั้งระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ควรอภิปรายกันอย่างถี่ถ้วนด้วยน้ำใสใจจริง เจตนาที่สุจริต จิตใจที่แน่วแน่แล้วเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง?
คุณสมบัติของผู้ร่วมประชุมกันที่กล่าวมาข้างต้นคืออุดมคติของการปรึกษาหารือบาไฮ ซึ่งธรรมสภาไหนมีคุณสมบัติเหล่านี้มากเท่าไหร่ก็จะปรึกษาหารือกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว หากสมาชิกปรึกษากันด้วยความรักใคร่ปรองดองโดยสมบูรณ์ ตั้งจิตสู่พระผู้เป็นเจ้า เข้าใจสถานการณ์นั้นๆ และอภิปรายเหตุผลกันอย่างถี่ถ้วน สมาชิกทุกคนควรลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ ถ้าไม่เช่นนั้นแสดงว่า ยังมีจุดบกพร่องอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดาสำหรับธรรมสภาที่กำลังเรียนรู้และฝึกฝนความชำนาญในการปรึกษาหารือในระยะที่ระบบบริหารบาไฮยังอยู่ในวัยทารกนี้ แต่ในอนาคตธรรมสภาต่างๆจะพัฒนาไปถึงวันที่การปรึกษาหารือจะสมบูรณ์พอที่จะเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง อย่างไรก็ตามบาไฮไม่ต้องลงความเห็นฝืนความรู้สึกของตนเองเพียงเพื่อต้องการให้เป็นเอกฉันท์ และในกรณีที่ไม่เป็นเอกฉันท์ต้องยึดถือตามเสียงส่วนใหญ่
?เจตนาที่กล่าวมานี้คือการเน้นว่า จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือการไต่สวนความจริง ผู้ที่แสดงความคิดเห็นไม่ควรกล่าวว่านี่คือสิ่งที่ถูก แต่ควรเสนอความเห็นนั้นเพื่อนำไปสู่ความเป็นเอกฉันท์ เพราะแสงสว่างแห่งความจริงจะปรากฏชัดเมื่อสองความคิดเห็นต้องตรงกัน ประกายจะเกิดขึ้นเมื่อหินเหล็กไฟและเหล็กมาด้วยกัน มนุษย์ควรชั่งความคิดเห็นของตนด้วยความสงบเยือกเย็น ก่อนที่จะแสดงทรรศนะของตน เขาควรพิจารณาทรรศนะที่คนอื่นเสนอมาอย่างรอบคอบ ถ้าเขาพบว่าความคิดที่เสนอมาก่อนถูกต้องและมีค่ากว่า เขาควรยอมรับทันทีและต้องไม่ยึดอยู่กับความคิดของตน ด้วยวิธียอดเยี่ยมนี้ เขาพยายามไปสู่ความสามัคคีและความจริง การต่อต้านและความแตกแยกเป็นเรื่องน่าเศร้า ดังนั้นเป็นการดีกว่าที่จะขอความคิดเห็นจากผู้ที่ฉลาดหลักแหลม มิฉะนั้นแล้ว ความขัดแย้งจะเป็นปากเสียงกันเพราะทรรศนะแตกต่างกันที่เสนอมาจะทำให้สภาจำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหานั้น ความเห็นที่เป็นเสียงส่วนใหญ่หรือเอกฉันท์อาจไม่ถูก ประชาชนหนึ่งพันคนอาจยึดถือทรรศนะหนึ่ง แต่ก็ผิด ขณะที่ผู้ที่หลักแหลมคนเดียวอาจถูก ดังนั้นการปรึกษาหารือที่แท้คือการประชุมทางธรรมด้วยเจตคติและบรรยากาศแห่งความรัก สมาชิกที่ปรึกษากันต้องรักกันและกันด้วยดวงจิตแห่งมิตรภาพเพื่อว่าผลดีจะบังเกิดตามมา ความรักและมิตรภาพคือรากฐาน?
?เกี่ยวกับบุคคลบางคนมาร่วมประชุมตามคำเชิญของธรรมสภา ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ถือว่าสิ่งนี้เป็นการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการบริหารงานที่ดี สมาชิกธรรมสภามิได้รับการคาดหวังให้รู้ทุกสิ่งหรือในทุกเรื่อง ดังนั้นพวกเขาสามารถเชิญผู้ชำนาญในปัญหานั้นมาร่วมประชุมและแสดงทรรศนะแต่บุคคลนั้นไม่มีสิทธิออกเสียง?
?ก่อนที่เสียงส่วนใหญ่ของธรรมสภาจะตัดสินใจ ไม่เป็นเพียงสิทธิเท่านั้น แต่เป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนที่จะแสดงทรรศนะอย่างอิสระและเปิดเผย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นที่พอใจหรือแหนงใจสมาชิกคนอื่น ในแง่ของหลักการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยที่เป็นหลักการบริหารที่สำคัญนี้ ท่าศาสนภิบาลขอแนะนำคุณให้เลิกวิธีการขอให้สมาชิกคนอื่นเสนอความคิดเห็นและคำแนะนำของคุณ การแสดงทรรศนะของคุณต่อธรรมสภาทางอ้อมนี้ ไม่เพียงแต่เพราะความรู้สึกลับลมคมในที่ขัดกับหลักธรรมของศาสนาเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ความเข้าใจผิดและความยุ่งยากมากมายสมาชิกธรรมสภาต้องมีความมั่นใจ แต่ต้องเชื่อฟังการพิจารณาและแนวทางของเสียงส่วนใหญ่อย่างจริงใจและไม่มีเงื่อนไข?
?บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะไม่สนใจบุคลิกนิสัย และเอาชนะความปรารถนาที่มีอยู่ในมนุษย์เป็นธรรมดา นั่นคือการหาพวกเข้าข้างเพื่อต่อสู้กัน บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะใช้หลักการปรึกษาหารืออย่างแท้จริง?
?บาไฮไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องออกเสียงในธรรมสภาขัดกับมโนธรรมของตนเอง เป็นการดีกว่าถ้าเขายอมจำนนต่อเสียงส่วนใหญ่และทำให้เป็นเอกฉันท์ แต่เขามิได้ถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาต้องทำคือ ยึดถือตามคำตัดสินของเสียงส่วนใหญ่เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ เขาต้องไม่บั่นทอนธรรมสภาโดยเที่ยวพูดว่า เขาไม่เห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ กล่าวคือ เขาต้องถือศาสนามาก่อน มิใช่ความคิดเห็นของตน สมาชิกธรรมสภาสามารถขอให้ธรรมสภาพิจารณาเรื่องนั้นอีกครั้ง แต่เขาไม่มีสิทธิจะบังคับหรือก่อความแตกแยกเพราะว่าธรรมสภาไม่เปลี่ยนคำตัดสินใจ เสียงเอกฉันท์เป็นที่พึงประสงค์ แต่แน่นอนไม่สามารถนำมาบังคับสมาชิกธรรมสภาโดยวิธีตุกติกที่ใช้กันอยู่ในวงสมาคมอื่น?
?เมื่อตัดสินใจให้ออกเสียงต่อข้อเสนอหนึ่ง ต้องรู้ให้แน่ว่าสมาชิกกี่คนเห็นด้วย ถ้าหากเป็นเสียงส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้าร่วมประชุมข้อเสนอนั้นเป็นที่ยอมรับ แต่ถ้าเป็นเสียงส่วนน้อย ข้อเสนอนั้นก็พับไป ดังนี้ปัญหาการงดออกเสียงไม่มีสำหรับบาไฮ สมาชิกที่ไม่ออกเสียงเห็นด้วยเท่ากับออกเสียงคัดค้าน แม้ว่าขณะนั้นเขาอาจรู้สึกว่าไม่สามารถตัดสินใจได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น?
?เมื่อมีการเสนอให้ออกเสียงตัดสินเรื่องหนึ่ง สมาชิกธรรมสภาอาจรู้สึกว่ามีข้อมูลหรือทรรศนะบางอย่างที่ควรแสวงหาเพิ่มเติมก่อนที่เขาจะออกเสียงได้อย่างรอบคอบ เขาควรบอกความรู้สึกนี้ต่อธรรมสภา และขึ้นอยู่กับธรรมสภาที่จะตัดสินใจว่า จำเป็นต้องปรึกษาหารือต่อไปอีกหรือไม่ก่อนออกเสียง?
สำคัญอยู่ที่ปรึกษาตามเงื่อนไขบาไฮ ถูกผิดเป็นเรื่องรอง
ที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่บาไฮควรระลึกไว้เสมอคือ ขบวนการปรึกษาหารือที่นำไปสู่การตัดสินใจนั้น สำคัญกว่าการตัดสินใจพระอับดุลบาฮาบอกไว้ว่า หากบาไฮพยายามบรรลุคุณสมบัติและเงื่อนไขของการปรึกษาหารือบาไฮ พวกเขาจะได้รับพรและอำนาจจากเบื้องบน
?หากพวกเขาพยายามบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประสาทพรให้แก่พวกเขา และธรรมสภานั้นจะกลายเป็นศูนย์กลางของพระพรจากสวรรค์ กองทัพของอำนาจสวรรค์จะลงมาช่วยเหลือ และพวกเขาจะได้รับพลังใหม่แต่ละวันที่หลั่งไหลมาจากพระวิญญาณ?
จะเห็นได้ว่าพระองค์มิได้บอกว่า การตัดสินใจที่ถูกหรือผิด การตัดสินใจที่ดีมากหรือดีน้อย จะเป็นตัวดึงดูดพระพรให้ธรรมสภาเจริญก้าวหน้า แต่ความพยายามที่จะปรึกษาหารือตามอุดมคติบาไฮต่างหากที่จะทำให้ธรรมสภาเจริญ เมื่อปรึกษากันได้ตามหลักธรรมบาไฮแล้ว การตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมจะเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาเอง ?ดังนั้นบาไฮไม่ควรเน้นความสำคัญที่ความถูกผิดมากเกินไปจนถึงขนาดทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือการแสวงหาหนทางการแก้ปัญหา ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจว่าใครผิดหรือถูก ซึ่งอาจทำให้เจ็บปวดกว่าเดิม ที่สำคัญคือต้องรักษาความสามัคคีปรองดองไว้อย่าให้การทะเลาะวิวาทคืบคลานเข้ามา
?สมาชิกธรรมสภาต้องปรึกษาหากันในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีความร้าวฉานและความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน สิ่งนี้บรรลุได้เมื่อสมาชิกทุกคนอิสระเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นและเหตุผลหากใครโดนโต้แย้ง เขาต้องไม่รู้สึกเจ็บใจเพราะหนทางที่ถูกต้องจะไม่เปิดเผยจนกว่าจะมีการปรึกษากันอย่างเต็มที่ ประกายไฟแห่งสัจจะบังเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะกันของความคิดที่ต่างกัน ภายหลังจากอภิปรายกันแล้ว หากมีการตัดสินใจโดยเสียงเป็นเอกฉันท์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายังมีความแตกต่างของความคิดเห็นอยู่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่?
?สมาชิกธรรมสภาผู้มีเกียรติควรพยายามอย่าให้มีความขัดแย้งเกิดขึ้น และหากความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้วไม่ควรปล่อยให้ไปถึงขีดที่ทะเลาะกัน เกลียดชังและเป็นปรปักษ์กันซึ่งจะนำไปสู่การคุกคาม เมื่อเจ้าสังเกตเห็นว่า ความเป็นปรปักษ์และการคุกคามกำลังจะเกิดขึ้น เจ้าควรเลื่อนการอภิปรายเรื่องนั้นออกไปทันทีจนกว่าการต่อล้อต่อเถียงและขึ้นเสียงจะสงบลง และเวลาที่เหมาะมาถึง?
เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิ เป็นศาสนภิบาลใหม่ๆ และมีหน้าที่ในการหล่อเลี้ยงสถาบันของระบบบริหารบาไฮให้เติบโตโดยไม่ชักช้าคือในปี ค.ศ. 1922 ท่านได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงบาไฮในอเมริกา ซึ่งในนั้นท่านนำธรรมนิพนธ์ของพระอับดุลบาฮามาแถลงเพื่อเป็นแนวทางการปรึกษาหารือสำหรับบาไฮและธรรมสภา เป็นธรรมนิพนธ์ที่บรรจุความหมายที่มีค่าไว้อย่างล้ำลึกดังนี้:
?คุณสมบัติจำเป็นเบื้องต้นสำหรับผู้ที่จะปรึกษาหารือกันคือเจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ตัดความผูกพันจากทุกสิ่งทุกอย่างนอกจากประผู้เป็นเจ้า ใฝ่หาสุคนธรสสวรรค์ ถ่อมตนต่อบรรดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ อดทนต่อความยากลำบาก และรับใช้ ณ ธรณีอันประเสริฐของพระองค์ พวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้บรรลุคุณสมบัติเหล่านี้ ชัยชนะจากอาณาจักรบาฮาจะประทานมาให้แก่พวกเขา ในยุคนี้ ธรรมสภาที่ปรึกษาหารือกันนั้นสำคัญที่สุดและจำเป็นอย่างยิ่ง การเชื่อฟังธรรมสภาเป็นหน้าที่ที่สำคัญ สมาชิกธรรมสภาต้องปรึกษากันในลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้มีความบาดหมางและความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน สิ่งนี้บรรลุได้เมื่อสมาชิกทุกคนมีอิสระเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นและเหตุผลหากใครโดนโต้แย้ง เขาต้องไม่รู้สึกเจ็บใจ เพราะหนทางที่ถูกต้องจะไม่เปิดเผยจนกว่าจะมีการปรึกษากันอย่างเต็มที่ประกายไฟแห่งสัจจะจะบังเกิดขึ้นเมื่อมีการปะทะกันของความคิดเห็นที่ต่างกัน ภายหลังอภิปรายกันแล้วหากมีการตัดสินใจโดยเสียงเป็นเอกฉันท์เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้ายังมีความแตกต่างของความคิดเห็นอยู่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงห้าม ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่?
?เงื่อนไขแรกคือความรักใคร่ปรองดองอย่างแท้จริงระหว่างสมาชิกของธรรมสภา พวกเขาต้องปลอดจากความหมางเมินโดยสิ้นเชิงและต้องแสดงออกซึ่งเอกภาพของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาคือคลื่นในทะเลเดียวกัน คือหยดน้ำในชโลธรเดียวกัน คือดวงดาราในนภาเดียวกัน คือรัศมีของดวงอาทิตย์เดียวกัน คือพฤษาในสวนเดียวกัน คือดอกไม้ในอุทยานเดียวกัน หากไร้ซึ่งความเห็นพ้องต้องกัน ไร้ความสามัคคีที่แท้จริง การชุมนุมนั้นจะสลายตัวและธรรมสภาจะกลายเป็นความว่างเปล่า เงื่อนไขที่สองคือ เมื่อมาร่วมชุมนุมกัน พวกเขาต้องตั้งจิตสู่เบื้องบน และขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ จากนั้นพวกเขาต้องดำเนินการประชุมด้วยความอุทิศ มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ และความพอประมาณในการแสดงทรรศนะของตน ในทุกเรื่องพวกเขาต้องแสวงหาความจริง มิใช่ยืนกรานในความคิดเห็นของตน เพราะความดื้อดึงขืนอยู่ในทรรศนะของตนจะนำไปสู่ความร้าวฉานและวิวาทกันในที่สุด และความจริงจะยังคงซ่อนเร้นอยู่ สมาชิกผู้มีเกียรติทั้งหลายต้องแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ และห้ามมิให้ผู้ใดดูแคลนความคิดเห็นของคนอื่น ไม่เพียงเท่านั้น เขาต้องแสดงสัจจะด้วยความพอควร และหากมีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ต้องถือตามเสียงส่วนใหญ่ และทุกคนจะต้องเชื่อฟังและยอมตามเสียงส่วนใหญ่ เช่นกันห้ามมิให้ผู้ใดคัดค้านหรือตำหนิการตัดสินใจที่ลงมติไปแล้วไม่ว่าในหรือนอกที่ประชุมแม้ว่าการตัดสินใจนั้นไม่ถูก เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวจะขัดขวางการปฏิบัติตามการตัดสินใจ กล่าวโดยย่อ สิ่งใดก็ตามที่ดำเนินไปด้วยความปรองดองและความรักและเจตนาที่บริสุทธิ์ผลที่ได้คือแสงสว่าง และหากร่องรอบความหมางเมินแม้เพียงน้อยที่สุดเข้ามาปกคลุม ผลที่ได้คือความมืดในความมืด…หากเคารพตามนี้ธรรมสภานั้นจะเป็นของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่เช่นนั้นการชุมนุมนั้นจะนำไปสู่ความเย็นชาและความหมางเมินที่มาจากความชั่วร้าย การอภิปรายทั้งหมดต้องจำกันอยู่ที่เรื่องทางธรรมที่เกี่ยวกับการอบรมจิตใจ การสั่งสอนเด็ก การบรรเทาทุกข์คนยากไร้ การช่วยเหลือคนอ่อนแอในทุกชนชั้นในโลก ความกรุณาต่อประชาชนทั้งหมด เป็นการแพร่กระจายสุคนธรสของพระผู้เป็นเจ้า และเชิดชูพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์หากพวกเขาพยายามบรรลุเงื่อนไขเหล่านี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประสาทพรให้แก่พวกเขา และธรรมสภานั้นจะกลายเป็นศูนย์กลางของพระพรจากสวรรค์ กองทัพของอำนาจสวรรค์จะลงมาช่วยเหลือ และพวกเขาจะได้รับพลังใหม่แต่ละวันที่หลั่งไหลมาจากพระวิญญาณ?
เมื่อพิจารณา ?ในทุกเรื่องพวกเขาต้องแสวงหาความจริงมิใช่ยืนกรานในความคิดเห็นของตน ?และความหมางเมินที่สิงมาจากความชั่วร้าย? สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ
- ทำความเข้าใจสถานการณ์
ผู้ร่วมปรึกษาต้องแสวงหาความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆ เพื่อนำมาพิจารณาหาหนทางแก้ปัญหา เมื่อยังไม่ทราบข้อมูลเพียงพอหรือยังไม่เข้าใจสถานการณ์ดีพอ ไม่ควรรีบด่วนตัดสินใจ จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือบาไฮคือการหาทางแก้ปัญหา การแก้ปัญหาอาจออกมาในรูปของปล่อยไว้ก่อนยังไม่ทำอะไร เพราะปัญหาทุกอย่างไม่ใช่มีทางแก้เสมอไป อาจต้องรอเวลาและโอกาส ระหว่างที่ยังไม่ตัดสินใจ ธรรมสภาสามารถศึกษาสถานการณ์ให้เข้าใจมากขึ้น แล้วจึงไปสู่ขั้นที่ 2 คือตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร
- ตัดสินใจว่าจะทำอย่างไร
เมื่อเข้าใจสถานการณ์แล้ว ทุกคนต้องแสดงความเห็นออกมาอย่างอิสระ เพื่อนำความคิดเห็นมาผสมผสาน ตกแต่งหรือหักล้างกัน เพื่อให้ออกมาเป็นการตัดสินใจ การนำความคิดของคนสองคนมาแลกเปลี่ยนกันมิใช่เป็น 1+1=2 การปะทะความคิดเห็นที่ต่างกันสามารถนำไปสู่ความคิดที่แปลกใหม่ซึ่งอาจไม่เหมือนความคิดเดิมของใครเลย อาจเปรียบกับธาตุโซเดียมและคลอไรด์ซึ่งก็ต่างเป็นพิษ แต่เมื่อทั้งสองมาผสมกันเป็นโซเดียมคลอไรด์จะกลายเป็นสารที่จำเป็นสำหรับชีวิต บาไฮที่ร่วมปรึกษากันต้องฝึกปล่อยวางจากอัตตาไม่เจ็บใจเมื่อถูกแย้ง การปรึกษาหารือบาไฮเป็นการปะทะกันของความคิดเห็น มิใช่การปะทะของผู้แสดงความคิดเห็น
- ดำเนินการตามคำตัดสินใจ
เมื่อตัดสินใจออกมาแล้วไม่ว่าเป็นเอกฉันท์หรือเสียงส่วนใหญ่ บาไฮทุกคนต้องร่วมมือกันดำเนินการตามนั้น มิใช่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อยู่ฝ่ายเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น ผู้ที่เป็นเสียงส่วนน้อยต้องเชื่อฟังอย่างจริงใจ ไม่วิพากษ์วิจารณ์ไม่ว่าในหรือนอกห้องประชุม และความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเป็นของกลุ่ม คือเป็นของทุกคน มิใช่เป็นของผู้ที่อยู่ฝ่ายเสียงส่วนใหญ่เท่านั้น ตราบใดที่สมาชิกธรรมสภายังอยู่ในความสามัคคีปรองดอง ถึงแม้คำตัดสินใจนั้นจะผิด พระบาฮาอุลลาห์ก็จะแก้ให้เป็นถูก
การตัดสินใจในรูปแบบของการปรึกษาหารือต่างๆ
- การตัดสินใจในลักษณะของกลุ่ม เช่น การตัดสินใจของธรรมสภาหรือคณะกรรมการ
- การตัดสินใจของบุคคลที่ได้รับแต่งตั้ง เช่นได้รับแต่งตั้งจากธรรมสภาให้ดำเนินการจัดโรงเรียนอบรมฤดูร้อนหรือชั้นเรียนเด็ก ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจะรับนโยบายและแนวทางจากธรรมสภาและจะมีอำนาจตัดสินใจต่างๆ เพื่อให้บรรลุผลตามนโยบายเขาสามารถปรึกษาขอความคิดเห็นจากผู้อื่น แต่การตัดสินใจขึ้นอยู่กับเขาเท่านั้น เช่นในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ท่านได้ขอคำปรึกษาจากพระหัตถ์ศาสนาและบาไฮคนอื่นๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไร สมมติธรรมสภาให้นโยบายว่าให้อบรมเรื่อง ชีวิตที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ที่ค่ายเยาวชน แต่เยาวชนส่วนใหญ่ที่มาเข้าค่ายไม่อยากอบรมเรื่องนี้แต่อยากเปลี่ยนเป็นการเรียนพูดภาษาอังกฤษ ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ดำเนินการตามนโยบายของธรรมสภามีสิทธิตัดสินใจโดยไม่ต้องฟังเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งมิได้ขัดกับหลักการของบาไฮ เพราะถ้าหากปรึกษาหารือกันแล้วต้องยอมตามเสียงส่วนใหญ่ จะเป็นการบั่นทอนอำนาจของธรรมสภา แน่นอนผู้ที่ได้รับแต่งตั้งควรฟังความเห็นความรู้สึกจากเยาวชน แต่เขาต้องตัดสินใจไปในแนวทางที่ไม่ทำให้เสียหายต่อนโยบายของธรรมสภา เขาสามารถปรึกษากับเยาวชนว่า การอบรมเรื่องนี้เป็นอย่างไร มีข้อดีบกพร่องอย่างไร ได้ประโยชน์แค่ไหน เพื่อรายงานให้ธรรมสภาทราบ
- ไม่มีการตัดสินใจ การปรึกษาหารือบางครั้งไม่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจ เช่นในการอบรมธรรมะไม่จำเป็นต้องตัดสินใจหรือสรุปออกมาว่า พระวจนะเร้นลับข้อนั้นหมายความว่าอย่างไรเพราะเป็นเรื่องของความเข้าใจส่วนตัว หรือธรรมสภาอาจเชิญบาไฮในชุมชนมาร่วมปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับการประกาศศาสนา ในกรณีนี้บาไฮแต่ละคนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยไม่มีการตัดสินใจ เพราะธรรมสภาจะนำความคิดเหล่านั้นไปพิจารณาอีกที เป็นลักษณะคล้ายกับการประชุมแห่งชาติ
ปรึกษาหารือในทุกแง่ของชีวิต
บาไฮอาจรู้จักใช้การปรึกษาหารือมาก่อนที่จะเป็นบาไฮแต่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมคือ การฝึกฝนความชำนาญในการปรึกษาหารือตามอุดมคติบาไฮ การปรึกษาหารือบาไฮคือรากฐานของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นวิธีการที่จะช่วยพัฒนาทุกสถาบันของระบบบริหาร เช่น ธรรมสภา งานฉลองบุญ กองทุนบาไฮ ชั้นเรียนธรรมะ และทุกกิจกรรมของทุกชีวิต เช่น ชีวิตครอบครัว การศึกษา ธุรกิจการงาน ฯลฯ การปรึกษาหารืออาจเป็นทางการในรูปของการประชุม หรือคุยกันเมื่อมีโอกาสอย่างไม่เป็นทางการ แต่ต้องระลึกว่าจะต้องมีจุดประสงค์จึงจะถือว่าเป็นการปรึกษาหารือ มิฉะนั้นการสนทนาครั้งนั้นจะเป็นเพียงการคุยกันธรรมดาไม่ใช่การปรึกษาหารือ การปรึกษาหารือบาไฮต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ที่จะหาหนทางแก้ปัญหา ไม่ใช่การเรียกร้องให้ผู้อื่นเห็นใจ ชักจูงให้ผู้อื่นเข้าข้างตน และไม่ใช้เป็นโอกาสนินทาผู้อื่น
?ในทุกสิ่งจำเป็นต้องปรึกษาหารือ เจ้าควรเน้นเรื่องนี้อย่างหนักแน่น เพื่อว่าทุกคนจะได้ใช้การปรึกษาหารือ จุดมุ่งหมายของสิ่งที่เปิดเผยจากปากกาของพระผู้ทรงความสูงส่งคือเพื่อว่ามิตรสหายจะใช้การปรึกษาหารือเต็มที่ เพราะการปรึกษาหารือคือเหตุของความมีสติและตื่นตัว และเป็นแหล่งกำเนิดคุณประโยชน์และความผาสุก?
?การปรึกษาหารือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง และเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดที่ชักนำไปสู่ความสงบและความสุขของประชาชน ตัวอย่างเช่น เมื่อบาไฮคนหนึ่งไม่แน่ใจเกี่ยวกับกิจการของเขา หรือเมื่อเขาพยายามจะดำเนินโครงการหรือการค้า มิตรสหายควรชุมนุมกันหาหนทางแก้ปัญหาสำหรับเขา และเขาควรปฏิบัติตามนั้น ทำนองเดียวกับประเด็นใหญ่ๆ เมื่อมีปัญหาหรือความยุ่งยากเกิดขึ้น ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมควรชุมนุมปรึกษากันเพื่อหาทางแก้ปัญหาพวกเขาควรวางใจในพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว และยอมตามการบริบาลของพระองค์ ไม่ว่าหนทางใดจะเปิดเผยออกมาเพราะอำนาจสวรรค์จะมาช่วยเหลืออย่างไม่มีข้อสงสัย ดังนั้นการปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในบัญญัติที่แน่ชัดของพระผู้เป็นนายของมนุษยชาติ?
?มนุษย์ต้องปรึกษาหารือในทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กเพื่อตนว่าจะได้ทราบว่าสิ่งใดดี การปรึกษาหารือทำให้มนุษย์เข้าใจเรื่องต่างๆ และช่วยให้เขาลงลึกเข้าไปในปัญหาที่ไม่รู้มาก่อนแสงแห่งสัจธรรมส่องมาจากใบหน้าของผู้ที่ร่วมปรึกษาหารือ…อย่างไรก็ตามสมาชิกที่ปรึกษากันควรปฏิบัติตนด้วยความรักความปรองดองและจริงใจต่อกันที่สุด หลักการปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของ นวัตกรรมสวรรค์ แม้แต่กิจการสามัญ สมาชิกในสังคมก็ควรปรึกษาหารือกัน?
?จุดประสงค์ของการปรึกษาหารือคือเพื่อแสดงว่า ทรรศนะของหลายคนเป็นที่พึ่งประสงค์กว่าคนเดียว เสมือนกับกำลังของหลายคนเหนือกว่ากำลังของคนเดียว ดังนั้นการปรึกษาหารือเป็นที่ยอมรับต่อเบื้องหน้าของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพและบัญญัติไว้สำหรับบาไฮ เพื่อว่าพวกเขาจะปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องสามัญและเรื่องส่วนตัว รวมทั้งกิจการทั่วไป
ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งมีโครงการที่ต้องทำให้สำเร็จหากเขาปรึกษากับพี่น้อง สิ่งที่เห็นพ้องกันจะได้รับการไต่สวนและคลี่คลาย และความจริงจะเปิดเผยออกมา ทำนองเดียวกันในระดับสูงกว่านั้น หากประชาชนในหมู่บ้านปรึกษากันเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของพวกเขา การแก้ปัญหาที่ถูกต้องจะเปิดเผยออกมา ทำนองคล้ายกัน สมาชิกของแต่ละวิชาชีพเช่นอุตสาหกรรมควรปรึกษาหารือ ผู้ที่อยู่ในวงพาณิชย์ควรปรึกษาหารือเกี่ยวกับธุรกิจ กล่าวโดยย่อการปรึกษาหารือเป็นที่ปรารถนาและยอมรับสำหรับทุกสิ่งและทุกประเด็น?
?เกี่ยวกับคำถามของท่านที่ว่า พ่อปรึกษากับลูกหรือลูกปรึกษากับพ่อในเรื่องค้าขายและพาณิชย์ การปรึกษาหารือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบพื้นฐานของกฎของพระผู้เป็นเจ้า การปรึกษาหารือดังกล่าวเป็นที่ยอมรับแน่นอน ไม่ว่าระหว่างพ่อกับลูกหรือกับคนอื่น ไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้ มนุษย์ต้องปรึกษาหารือกันในทุกสิ่ง เพราะการปรึกษาหารือจะทำให้เขาลึกลงไปในแต่ละปัญหาและช่วยให้เขาพบการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง?
?การปรึกษาหารืออย่างเหมาะสมจะช่วยให้ค้นพบวิธีการอย่างแน่นอน ไม่มีความจำเป็นต้องรอจนกว่าจะมีการก่อตั้งธรรมสภาจึงจะเริ่มปรึกษาหารือ ทรรศนะของสองคนย่อมดีกว่าคนเดียวเสมอ?
?หลักการปรึกษาหารือซึ่งเป็นหนึ่งในกฎมูลฐานของการบริหารควรนำมาใช้กับทุกกิจกรรมบาไฮที่มีผลกระทบต่อส่วนรวมของศาสนา เพราะโดยการร่วมมือและแลกเปลี่ยนความคิดและทรรศนะอย่างต่อเนื่อง ศาสนาจึงจะได้รับการปกป้องและทำนุบำรุงประโยชน์ได้ดีที่สุด?
?ธรรมสภาท้องถิ่นมิใช่สถาบันเดียวที่มิตรสหายจะขอปรึกษาเรื่องส่วนตัวได้ การปรึกษาดังกล่าวสามารถทำได้กับสมาชิกในครอบครัว มิตรสหาย ผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่นในธรรมจารึกหนึ่งของพระอับดุลบาฮา พระองค์คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาหนึ่งจะปรึกษาหารือกัน?
งานฉลองบุญสิบเก้าวัน
?เจ้าได้รับบัญชาให้ต้อนรับขับสู้เดือนละครั้ง แม้ว่าจะเสิร์ฟแค่เพียงน้ำเปล่าก็ตาม เพราะพระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะเชื่อมหัวใจของพวกเจ้าเข้าด้วยกัน แม้จะต้องใช้วิธีการทางโลกและสวรรค์ร่วมกัน?
?จุดประสงค์หลักของงานฉลองบุญสิบเก้าวันคือ เพื่อให้บาไฮแต่ละคนสามารถเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะส่งผ่านไปยังธรรมสภาแห่งชาติ ดังนั้นธรรมสภาท้องถิ่นคือสื่อกลางที่เหมาะสมที่ชุมชนบาไฮแต่ละท้องถิ่นจะได้ติดต่อกับคณะผู้แทนระดับชาติ?
งานฉลองบุญแบ่งเป็น 3 ภาค
?เป็นที่รู้กันว่างานฉลองบุญมี 3 ภาคที่ต่างกันแต่สัมพันธ์กัน คือภาคธรรมะ ภาคบริหาร และภาคสังสรรค์ ภาคแรกเป็นการสวดบทอธิษฐานและอ่านธรรมะ ภาคที่สองเป็นการประชุมซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะรายงานกิจกรรม แผนงาม และปัญหาของตนให้ชุมชนทราบ แบ่งปันข่าวและข่าวสารจากศูนย์กลางแห่งโลกและธรรมสภาแห่งชาติ รับความคิดเห็นและคำแนะนำจากมิตรสหายโดยการปรึกษาหารือ ภาคที่สามเป็นการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม และเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่ทำนุบำรุงมิตรภาพตามแต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย ซึ่งต้องไม่ละเมิดหลักธรรมของศาสนาและระเบียบของงานฉลองบุญ?
- ภาคธรรมะ
?ในภาคธรรมะของงานฉลองบุญ การอ่านกระธรรมควรจำกัดอยู่ที่ธรรมนิพนธ์ของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์และอาจจะอ่านของพระอับดุลบาฮาบ้าง ไม่ควรอ่านธรรมนิพนธ์ของท่านศาสนภิบาล ในภาคบริหารของงานฉลองบุญ อาจนำธรรมนิพนธ์ของท่านศาสนภิบาลมาอ่านได้ ซึ่งแน่นอนไม่มีข้อคัดค้านที่จะอ่านธรรมนิพนธ์ของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮาในภาคนี้ด้วย?
?ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คิดว่าในงานฉลองบุญบาไฮ มิตรสหายควรเน้นทั้งภาคธรรมะและภาคบริหาร เพราะทั้งสองมีความสำคัญเท่ากันต่อความสำเร็จของงานฉลองบุญบาไฮทุกงาน ดังนั้นการรักษาสมดุลของทั้งสองภาคจึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของบาไฮทุกคนหรือทุกกลุ่ม จนกว่าบาไฮจะเรียนรู้การผสมผสานทั้งสองภาค จะไม่มีหวังที่จะได้รับประโยชน์ที่แท้จริงและถาวรจากการฉลองทางศาสนาดังกล่าว แน่นอนส่วนหนึ่งของงานฉลองบุญต้องอุทิศให้กับการอ่านพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ เพราะมิตรสหายจะได้รับแรงดลใจและจินตภาพที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของศาสนาให้สำเร็จ?
- ภาคบริหาร
?มิใช่เป็นเพียงสิทธิ แต่เป็นความรับผิดชอบที่สำคัญของสมาชิกที่ซื่อสัตย์และหลักแหลมทุกคนในชุมชน ที่จะเสนอคำแนะนำหรือคำวิจารณ์อย่างเต็มที่และเปิดเผยต่อธรรมสภา แต่ต้องเป็นการเสนอด้วยความเคารพนับถือ ตามที่มโนธรรมของเขาคิดว่า จะเป็นการช่วยปรับปรุงและแก้ไขสภาพการณ์หรือแนวโน้มบางอย่างที่มีอยู่ในชุมชน และเป็นหน้าที่ของธรรมสภาที่จะนำทรรศนะเหล่านั้นมาพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำจากบาไฮคนใดโอกาสเหมาะที่สุดทำหรับจุดประสงค์นี้คืองานฉลองบุญสิบเก้าวันซึ่งนอกจากภาคสังสรรค์และภาคธรรมะแล้ว ยังสนองความต้องการของระบบบริหารด้วย ที่สำคัญคือการวิจารณ์และปรึกษาหารืออย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับกิจการต่างๆในชุมชน
แต่ควรเน้นอีกครั้งว่า ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์และอภิปรายแบบแดกดัน ที่อาจนำไปสู่การบ่อนทำลายอำนาจของธรรมสภาในฐานะที่เป็นสถาบัน เพราะมิฉะนั้นแล้ว ระบบของศาสนาจะตกอยู่ในอันตราย และความสับสนและความร้าวฉานจะเข้ามาปกครองชุมชนนั้น?
?บาไฮต้องเรียนรู้ที่จะใช้หลักการปรึกษาหารือด้วย มีช่วงเวลาหนึ่งในงานฉลองบุญสิบเก้าวันที่สำรองไว้ให้ชุมชนได้แสดงทรรศนะและเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภา ธรรมสภาและบาไฮทั้งหลายควรรอคอยช่วงเวลาอภิปรายที่มีความสุขนี้ โดยไม่กลัวหรือพยายามระงับการอภิปราย?
?เยาวชนบาไฮอายุระหว่าง 15–21 ปีควรเข้าร่วมการอภิปรายและควรได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วม แต่พวกเขาจะไม่ลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำให้ธรรมสภาจนกว่าจะอายุ 21 ปี?
?หากในงานฉลองบุญ มิตรสหายเห็นด้วยกับคำแนะนำหนึ่งไม่ว่าจะโดยเอกฉันท์หรือเสียงส่วนใหญ่ สิ่งนั้นจะเป็นคำแนะนำจากงานฉลองบุญถึงธรรมสภา ในทางตรงกันข้ามหากบาไฮคนหนึ่งเสนอคำแนะนำ แต่บาไฮคนอื่นๆไม่เห็นด้วย ธรรมสภาก็อาจนำมาพิจารณาได้?
- ภาคสร้างสรรค์
ภาคนี้จะเป็นการทำความรู้จักมักคุ้นเพื่อเสริมสร้างมิตรภาพและสนุกสนานร่วมกัน อาจเป็นการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มหรือแม้แต่เพียงน้ำเปล่า อาจมีดนตรีหรือกิจกรรมต่างๆ ตามแต่ละวัฒนธรรมที่ไม่ละเมิดหลักธรรมของศาสนาหรือระเบียบของงานฉลองบุญ เช่น ไม่สังสรรค์กันอย่างเอ็ดตะโรบ้าคลั่ง
?เกี่ยวกับงานฉลองบุญ…ขอให้ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าชุมนุมและสมาคมกันอย่างมีความสุขในบรรยากาศของความรักที่ประเทืองจิตใจ ประพฤติตนด้วยมารยาทและความสำรวมอย่างยิ่ง?
เจ้าภาพจัดงานฉลองบุญ
?หากงานฉลองบุญนี้จัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสม มิตรสหายจะรู้สึกว่าจิตใจของตนกลับสดชื่นอีกครั้งทุกๆ สิบเก้าวัน และมีพลังที่มิใช่มาจากโลกนี้?
ธรรมสภาท้องถิ่นคือผู้รับผิดชอบในการจัดงานฉลองบุญ แต่ในทางปฏิบัติธรรมสภามักจะมอบหมายให้บาไฮคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าภาพ การจะจัดงานให้จิตใจของผู้มาร่วมกลับสดชื่นอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับการเตรียมงานเป็นสำคัญ เจ้าภาพควรเลือกบทอธิษฐานและธรรมนิพนธ์เตรียมไว้สำหรับภาคธรรมะ คอยดูแลความสุขสบายของเพื่อนบาไฮ เจ้าภาพอาจทำหน้าที่เป็นประธานในการปรึกษาหารือในภาคบริหารด้วย แต่ในชุมชนใหญ่ที่มีบาไฮมาร่วมงานมาก ธรรมสภาอาจมอบหมายให้อีกคนหนึ่งต่างหากเป็นประธานในการปรึกษาหารือ ซึ่งอาจเป็นประธานธรรมสภาหรือบาไฮคนหนึ่งที่เหมาะสม เพราะเจ้าภาพจะมีภาระในการเตรียมอาหารและสถานที่มากพอแล้ว ในชุมชนใหญ่ เจ้าภาพจะไม่สามารถเสิร์ฟทุกคนด้วยตัวเอง ซึ่งต้องมีการปรับวิธีใหม่โดยคำนึงถึงหัวใจของงานฉลองบุญคือ การต้อนรับขับสู้
?ลักษณะสำคัญของการเตรียมงานฉลองบุญรวมถึง การเลือกธรรมนิพนธ์ที่เหมาะสมและมอบหมายให้ผู้อ่านที่ออกเสียงได้ดี มารยาทของการนำเสนอและการต้อนรับในภาคธรรมะ การเอาใจใส่สิ่งแวดล้อมในงานฉลองบุญไม่ว่าจะเป็นในร่มหรือกลางแจ้งจะมีผลโน้มน้าวประสบการณ์ ความสะอาด การประดับประดาและจัดเนื้อที่ให้พอเหมาะ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ความตรงต่อเวลาเป็นมาตรการหนึ่งของการเตรียมงานที่ดี?
?เจ้าภาพต้องมีน้ำใจต่อทุกคนโดยไม่นึกถึงตัวเอง ต้องคอยให้ความสะดวกสบายแก่ทุกคน และเสิร์ฟมิตรสหายทั้งหลายด้วยมือของตนเอง?
?ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่า งานฉลองบุญฝังรากอยู่ที่การต้อนรับขับสู้ซึ่งแสดงนัยถึง มิตรภาพ มารยาท การรับใช้ ความเอื้อเฟื้อและความรื่นเริง การต้อนรับขับสู้ซึ่งเป็นดวงจิตที่ค้ำจุนสถาบันที่สำคัญนี้ เป็นเจตคติใหม่ของการดำเนินกิจการมนุษย์ทุกระดับซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อเอกภาพของโลก?
?เด็กๆ ควรได้รับการอบรมให้เข้าใจความสำคัญของการชุมนุมต่างๆ ของสาวกของประผู้ทรงความงามอันอุดมพร และให้รู้ว่าการมีส่วนร่วมในการชุมนุมเหล่านี้เป็นเกียรติและพระพร ไม่ว่ารูปแบบของการชุมนุมจะเป็นแบบใด เป็นที่ตระหนักว่างานบาไฮบางงานใช้เวลานาน และเป็นการยากสำหรับเด็กเล็กๆ ที่จะนิ่งเงียบอยู่ได้นาน ในกรณีดังกล่าวพ่อหรือแม่อาจจะต้องปลีกตัวจากงานบางตอนเพื่อไปดูแลลูก ธรรมสภาอาจช่วยเหลือพ่อแม่โดยการจัดงานสำหรับเด็กในอีกห้องหนึ่งต่างหากตามที่เด็กจะรับได้ ระหว่างที่งานชุมนุมกำลังดำเนินอยู่ การที่เด็กสามารถเข้าร่วมงานฉลองของผู้ใหญ่ได้ตลอดงาน เป็นเครื่องหมายหนึ่งของการเข้าสู่สุฒิภาวะ ซึ่งจะทำได้โดยอาศัยความประพฤติที่ดี?
การปฏิบัติตัวของผู้ร่วมงานฉลองบุญ
นอกจากการเตรียมงานที่ดีแล้ว ความสำเร็จของงานฉลองบุญยังขึ้นอยู่กับผู้มาร่วมด้วย
?เมื่อเจ้าไปงานฉลองบุญ ก่อนจะเข้าไป จงปล่อยวางจากทุกสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในหัวใจ ให้ความคิดและจิตใจของเจ้าเป็นอิสระจากทุกสิ่งนอกจากพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับหัวใจของเจ้า เพื่อว่าทุกคนจะทำให้งานนี้เป็นการชุมนุมแห่งความรัก เป็นเหตุแห่งความเรืองรอง เป็นการชุมนุมที่ดึงดูดหัวใจ ห้อมล้อมด้วยประทีปของหมู่เทวัญ เพื่อว่าเจ้าจะชุมนุมอยู่ด้วยกันด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง?
?พวกเจ้าแต่ละคนต้องคิดถึงว่า จะทำให้ผู้อื่นในที่ชุมนุมมีความสุขและยินดีได้อย่างไร และแต่ละคนต้องถือว่าทุกคนที่นั่นดีกว่าและสำคัญกว่าตน รู้ว่าพวกเขามีฐานะสูง และเจ้าเองมีฐานะต่ำต้อยหากเจ้าดำเนินชีวิตและปฏิบัติตามคำสั่งนี้ จงรู้ไว้เป็นที่แน่นอนว่า งานฉลองบุญนั้นเป็นอาหารทิพย์ มื้อนั้นอาหารค่ำของพระผู้เป็นนาย เราคือคนรับใช้ของการชุมนุมนั้น?
?กล่าวโดยย่อ เราหวังว่างานฉลองบุญจะกลายเป็นบ่อเกิดของความเป็นปึกแผ่นทางจิตใจระหว่างมิตรสหาย เชื่อมมิตรสหายเข้าไว้ในพันธะแห่งเอกภาพ และเมื่อนั้นเราจะสามัคคีกันอย่างที่ความรักและปัญญาจะแพร่กระจายจากศูนย์นี้ไปยังทุกแห่งหนงานนี้เป็นงานฉลองแห่งสวรรค์ เป็นอาหารค่ำของผู้เป็นนาย ดึงดูดอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าเหมือนเป็นแม่เหล็ก เป็นบ่อเกิดของความเรืองรองของหัวใจ?
เราหวังว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันจะเป็นสถาบันที่จัดตั้งอย่างมั่นคง เพื่อว่าความบริสุทธิ์ที่เป็นรากฐานของการประชุมนี้จะขจัดอคติและความขัดแย้งออกไป และทำให้หัวใจเป็นคลังแห่งความรักหากแม้ว่ามีความรู้สึกไม่รักกัน แม้เพียงน้อยทีสุดระหว่างบางคนความรู้สึกนั้นต้องหายไปโดยสิ้นเชิง และเจตนาต้องบริสุทธิ์และปลอดโปร่ง?
งานฉลองบุญจำกัดเฉพาะบาไฮ
งานฉลองบุญเป็นงานสำหรับบาไฮเท่านั้นและเป็นหัวใจของชุมชน บาไฮทุกคนควรพยายามทุกอย่างที่จะมาร่วมงานนี้ นอกเสียจากเจ็บป่วยหรือเดินทางออกไปนอกท้องถิ่นการมาร่วมงานฉลองบุญยังเป็นตัวชี้บ่งถึงวุฒิภาวะของบาไฮผู้นั้นที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อกิจการของชุมชน เพราะในงานนี้บาไฮจะได้ร่วมปรึกษาหารือ ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นจะนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาหรือเสนอต่อไปยังธรรมสภาแห่งชาติ บาไฮควรอธิบายให้ผู้ที่ไม่ใช่บาไฮเข้าใจว่า งานนี้เป็นงานภายในชุมชนและมิได้มีลับลมคมในอะไร บางโอกาสครอบครัวย่อมต้องการอยู่ด้วยกันและพูดคุยกันตามลำพังเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัวโดยไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
?เราสามารถอธิบายด้วยความเป็นมิตรว่า งานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นงานภายในชุมชนบาไฮ ซึ่งมีการอภิปรายเกี่ยวกับกิจการภายในและสมาชิกในชุมชนได้พบปะกันเพื่อมิตรภาพและนมัสการ ไม่ควรทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่มีความลับอะไรในงานฉลองบุญ เพียงแต่เป็นงานที่จัดสำหรับบาไฮเท่านั้น?
?เกี่ยวกับงานฉลองบุญสิบเก้าวัน หลักการที่ใช้ทุกแห่งหนคือ ผู้ที่ไม่ใช่บาไฮจะไม่ได้รับเชิญมาร่วม แต่ถ้าถูกถาม คุณสามารถอธิบายได้ว่า ลักษณะของงานฉลองบุญเป็นเรื่องภายในและเกี่ยวกับการบริหาร ระหว่างการปรึกษาหารือ บาไฮควรมีอิสระในการแสดงทรรศนะเกี่ยวกับงานของศาสนา โดยไม่รู้สึกเขินว่าสิ่งที่เขาพูดนั้น ผู้ที่มิได้ยอมรับพระบาฮาอุลลาห์กำลังฟังอยู่ด้วย และผู้นั้นอาจเข้าใจภาพพจน์ของศาสนาผิดไป อีกทั้งยังเป็นเรื่องอึดอัดใจสำหรับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮแต่อ่อนไหว เมื่อเขาพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการอภิปรายรายละเอียดเกี่ยวกับกิจการของชุมชนบาไฮซึ่งเขามิได้เป็นสมาชิก ผู้ที่มิใช่บาไฮที่ขอให้เราเชิญมางานฉลองบุญจะเข้าใจหากเราอธิบายเรื่องนี้ให้แก่เขา?
?หากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮบังเอิญเข้ามาที่งานฉลองบุญสิบเก้าวัน ควรทำให้เขารู้สึกว่าเราต้อนรับเขา แต่บาไฮไม่ควรเชิญผู้ที่ไม่ใช่บาไฮมาร่วมงาน?
?เกี่ยวกับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮมาร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวัน ควรหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง แต่ถ้าเขามาที่งาน ไม่ควรให้เขาออกไป เพราะจะทำให้เขาเสียใจ?
?เมื่อผู้ที่มิใช่บาไฮบังเอิญเข้ามาที่งานฉลองบุญ ไม่ควรขอให้เขากลับไป แต่ธรรมสภาควรงดภาคปรึกษาหารือของงาน และควรต้อนรับผู้ที่มิใช่บาไฮคนนั้น
ไม่มีข้อสงสัยว่าคุณทราบคำแนะนำนี้ดี ทำนองเดียวกันหากบางครั้งมีการจัดงานฉลองบุญที่บ้านของครอบครัวที่สามีหรือภรรยามิได้เป็นบาไฮ ย่อมเป็นการเสียมารยาทหากไม่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวนั้นที่มิใช่บาไฮเข้าร่วมงาน อย่างน้อยในภาคธรรมะและสังสรรค์?
?งานฉลองบุญสิบเก้าวันจะมีภาคบริหารอย่างเป็นทางการก็ต่อเมื่อมีธรรมสภาท้องถิ่นดูแลรับผิดชอบ เสนอรายงานต่อมิตรสหายและรับคำแนะนำจากพวกเขา แต่กลุ่มบาไฮต่างๆ หรือการชุมนุมตามปกติของบาไฮและแม้แต่บาไฮที่อยู่โดดเดี่ยว ควรระลึกถึงวันฉลองบุญและสวดมนต์ด้วยกัน ในกรณีของกลุ่มบาไฮอาจจัดงานฉลองบุญในลักษณะเดียวกับที่ธรรมสภาท้องถิ่นจัดโดยตระหนักว่างานนั้นไม่มีสถานภาพทางด้านบริหาร
สำหรับผู้ที่มาเยือนนั้น บาไฮจากทุกแห่งหนในโลกควรได้รับการต้อนรับสู่งานฉลองบุญและสามารถมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ อย่างไรก็ตามเฉพาะบาไฮในท้องถิ่นเท่านั้นที่สามารถลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น?
?บาไฮที่ไปเยือนชุมชนอื่นสามารถร่วมปรึกษาหารือในงานฉลองบุญได้เต็มที่ แต่ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเสนอคำแนะนำต่อธรรมสภาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม โดยมารยาทแล้วผู้มาเยือนไม่ควรกินเวลาของการปรึกษาหารือมากเกินไป?
เวลาและสถานที่สำหรับการจัดงานฉลองบุญ
?คำถามข้อที่สามของคุณเกี่ยวกับวันที่จะจัดงานฉลองบุญในแต่ละเดือน ท่านศาสนภิบาลตอบว่า ไม่มีวันใดกำหนดไว้เป็นพิเศษแต่เป็นที่น่าพอใจและเหมาะสมที่สุดหากจัดการชุมนุมของมิตรสหายในวันแรกของทุกเดือนบาไฮ?
?โดยปกติแล้วควรจัดงานฉลองบุญในวันแรกของเดือนบาไฮถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าทำได้ยาก ตัวอย่างเช่น หากวันนั้นตรงกับงานประชุมพบปะกับประชาชนทั่วไป ก็อนุญาตให้จัดงานฉลองบุญในวันถัดไปได้?
?งานฉลองนอร์รูซควรจัดในวันที่ 21 มีนาคม ก่อนพระอาทิตย์ตกและไม่เกี่ยวข้องกับงานฉลองบุญสิบเก้าวัน งานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นงานที่มีบทบาททางด้านบริหาร ส่วนนอร์รูซเป็นวันปีใหม่ของเรา เป็นงานฉลองเพื่อการต้อนรับขับสู้และปีติยินดี?
?ไม่มีข้อคัดค้านที่จะจัดการประชุมในที่โล่งแจ้งตราบใดที่ยังรักษาเกียรติของงานนั้น?
?หากในบางสถานการณ์ มีการเสนอให้จัดงานฉลองบุญพิเศษที่บ้านของบาไฮคนหนึ่ง ซึ่งธรรมสภาท้องถิ่นอนุมัติ ไม่มีข้อคัดค้านได้ แต่โดยทั่วไปแล้วท่านคิดว่า เป็นการดีกว่าถ้าจัดที่ศูนย์บาไฮ?
?แต่ละเมืองมีธรรมสภาท้องถิ่นประจำเมืองนั้น มิใช่ธรรมสภาท้องถิ่นย่อยในแต่ละตำบล โดยปรกติแล้วสามารถแยกจัดงานฉลองบุญสิบเก้าวันตามแต่ละตำบลได้ หากมีบาไฮจำนวนมากในเมืองเดียวกัน?
?เราไม่คัดค้านที่ธรรมสภาของคุณจะให้สิทธิธรรมสภาท้องถิ่นจัดงานฉลองบุญในหลายสถานที่เป็นการทดลอง หากธรรมสภาท้องถิ่นต้องการเช่นนั้น โดยระลึกถึงข้อควรระวังเหล่านี้คือ:
เมื่องใหญ่ๆ มีแนวโน้มของการแยกกลุ่มกัน และดังนั้นธรรมสภาท้องถิ่นควรเฝ้าระวังเพื่อป้องกันมิให้แบบแผนคล้ายกันนี้เกิดขึ้นในการประชุมของบาไฮ เพราะมีเหตุผลมาจากสถานที่จัดงานฉลองบุญ ธรรมสภาท้องถิ่นควรเฝ้าระวังมิให้เอกภาพของชุมชนหรือการดูแลของธรรมสภาท้องถิ่นแตกกระจายไปเพราะการปฏิบัติเช่นนี้?
?ความยากลำบากในการเดินทางมางานฉลองบุญสิบเก้าวันและงานอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในบางพื้นที่ สามารถแก้ไขได้โดยให้สิทธิ์ธรรมสภาท้องถิ่นจัดงานฉลองบุญมากกว่าหนึ่งแห่ง ไม่มีความจำเป็นที่จะกำหนดเส้นแบ่งตายตัวเพื่อจุดประสงค์นี้ และบาไฮควรได้รับอนุญาตให้ไปงานฉลองบุญที่สะดวกที่สุดสำหรับเขา แต่ทุกคนควรรู้ว่า งานฉลองบุญทุกแห่งในพื้นที่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของงานเดียวกันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภาท้องถิ่น ในบางโอกาสควรจัดงานให้บาไฮทั่วทั้งพื้นที่นั้นได้พบปะกัน และโอกาสนั้นอาจเป็นงานฉลองบุญก็ได้?
รูปแบบการชุมนุมที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
ในอดีตกาล ศาสนิกชนในแต่ละศาสนาจะมีวันพิเศษสำหรับชุมนุมกันเพื่อบูชาและนมัสการ เช่นทุกวันอาทิตย์ ทุกวันศุกร์ ฯลฯ และจะมีผู้นำพิธี เช่น พระ บาทหลวง หรือโต๊ะอิหม่าม แต่สำหรับในยุคใหม่นี้ พระบาฮาอุลลาห์ได้วางรูปแบบของการชุมนุมให้ใหม่เรียกว่า งานฉลองบุญสิบเก้าวัน เป็นแบบแผนสังคมของระบบแห่งโลกยุคใหม่ โดยที่ไม่มีนักบวชเป็นผู้นำพิธีในงาน
ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์โอบอ้อมทุกหน่วยของสังคม ผนวกแนวทางด้านจิตใจ ด้านบริหารงานและด้านสังคมเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อก่อสร้างอารยธรรมใหม่ และงานฉลองบุญสิบเก้าวันได้ประสานแนวทางของชีวิตทั้งหมดเหล่านี้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานของสังคม ซึ่งปฏิบัติการในหมู่บ้านและในเมือง เป็นสถาบันสำหรับการชุมนุมกันของบาไฮ ดังนั้นงานฉลองบุญมิใช่เป็นการชุมนุมเพียงเพื่อร่วมบูชาและนมัสการด้วยกันดังเช่นในอดีตเท่านั้น
งานฉลองบุญมีวิวัฒนาการตามพัฒนาการของศาสนา ในยุคเริ่มต้นของศาสนาในอิหร่าน ตามบัญชาของพระบาฮาอุลลาห์ บาไฮได้จัดงานชุมนุมกันที่บ้านของตนทุกสิบเก้าวันเพื่อต้อนรับในฐานะเป็นเจ้าภาพ และเป็นโอกาสที่บาไฮได้ดลใจกันและกันโดยการอ่านและอภิปรายพระธรรมคำสอน เมื่อชุมชนบาไฮเติบโตขึ้น พระอับดุลบาฮาได้อธิบายและเน้นภาคธรรมะและภาคสังสรรค์ของงานฉลองบุญ ภายหลังมีการก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่น ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้เสริมภาคบริหารเข้าไป และอบรมให้บาไฮเข้าใจว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันเป็นสถาบันหนึ่ง เป็นราวกับว่าดนตรีสามชิ้นประสานเสียงเป็นเพลงเดียวกันโดยบริบูรณ์แล้วในงานฉลองบุญสิบเก้าวันในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังถือได้ว่า งานฉลองบุญเป็นสุดยอดของวิถีทางแห่งประวัติศาสตร์ เพราะองค์ประกอบพื้นฐานของชุมชนซึ่งได้แก่ การนมัสการ การฉลองรื่นเริง และการสามัคคีรวมกลุ่ม ได้มาบรรจบกันเป็นครั้งแรกนับแต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ งานฉลองบุญเป็นรากฐานของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เพราะเป็นสื่อกลางของการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดระหว่างเพื่อนบาไฮด้วยกัน และระหว่างบาไฮกับผู้แทนของพวกเขาคือสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น งานฉลองบุญยังเป็นโอกาสสำหรับส่งทอดข่าวสารจากสถาบันระดับชาติและระดับนานาชาติมายังสมาชิกในชุมชน และในทางกลับกันก็ส่งข้อเสนอแนะของบาไฮในท้องถิ่นไปยังสถาบันเหล่านี้ งานฉลองบุญจึงเป็นตัวเชื่อมชุมชนบาไฮในแต่ละท้องถิ่นเข้ากับโครงสร้างทั้งหมดของระบบบริหารบาไฮ
งานฉลองบุญเป็นสมรภูมิของประชาธิปไตยในระดับรากของสังคมโดยแท้ เพราะเป็นที่ซึ่งผู้ปกครองและราษฎร นั่นคือสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในชุมชน ได้ร่วมประชุมกันอย่างใกล้ชิดด้วยความทัดเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นบาไฮที่ต่ำต้อยหรือบาไฮที่มีฐานะสูงในสังคม ทั้งผู้ปกครองและราษฎรต่างก็คำนึงถึงการเข้าร่วมฉลองบุญตามที่พระอับดุลบาฮาสอนไว้ว่า ?พวกเจ้าแต่ละคนต้องคิดถึงว่า จะทำให้ผู้อื่นในชุมชนมีความสุขและยินดีได้อย่างไร และแต่ละคนต้องถือว่าทุกคนที่นั่นดีกว่าและสำคัญกว่าตน รู้ว่าพวกเขามีฐานะสูง และเจ้ามีฐานะต่ำต้อย? ดังนี้แล้วบรรยากาศในงานฉลองบุญจะเอื้ออำนวยให้บาไฮแต่ละคนรู้สึกอบอุ่นใจและมีอิสระที่จะร่วมปรึกษาหารือและเสนอความคิดทั้งยังแน่ใจด้วยว่าความคิดของเขาจะได้รับฟังและรับพิจารณา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนใหญ่โตในสังคม การเสนอความคิดอาจเป็นไปเพื่อติชมการทำงานหรือนโยบายของผู้ปกครองนั่นคือธรรมสภาท้องถิ่น หรืออาจเสนอความคิดใหม่ จึงเห็นได้ว่างานฉลองบุญนอกจากจะเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาจิตใจร่วมกันแล้ว ยังปลูกฝังให้บาไฮแต่ละคนมีสำนึกในความรับผิดชอบต่อการปรับปรุงและพัฒนาสังคมของตนด้วย โดยการมีส่วนร่วมในภาคบริหารของงาน
การนับวันของบาไฮเริ่มภายหลังพระอาทิตย์ตกดินของวันวานและสิ้นสุดเมื่อพระ–อาทิตย์ตกดินของวันนั้น ดังนั้นสมมติว่าจะจัดงานฉลองบุญของเดือนที่ 19 ให้ตรงกับวันแรกของเดือนคือ 2 มีนาคม ต้องจัดระหว่างพระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 1 มีนาคม ถึง พระอาทิตย์ตกดินของวันที่ 2 มีนาคม
ธรรมสภาแห่งชาติ
- การสถาปนาและบทบาทหน้าที่
?เกี่ยวกับการสถาปนาธรรมสภาแห่งชาติ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับทุกประเทศเมื่อสภาพการณ์เอื้ออำนวยและจำนวนมิตรสหายเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก…คือจะต้องสถาปนาธรรมสภาแห่งชาติทันทีเป็นตัวแทนของมิตรสหายทั่วประเทศ
จุดประสงค์ในขณะนี้ของธรรมสภาแห่งชาติคือเพื่อกระตุ้นรวบรวมและประสานงานกิจกรรมนานัปการของมิตรสหายและธรรมสภาท้องถิ่น โดยอาศัยการปรึกษาหารือกันเป็นส่วนตัวอยู่เสมอ ริเริ่มมาตรการและอำนวยการกิจการต่างๆ ของศาสนาในประเทศนั้นโดยการติดต่อกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างสม่ำเสมอ
อีกจุดประสงค์หนึ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เพราะในอนาคตธรรมสภาแห่งชาติจะพัฒนาขึ้นเป็นสภายุติธรรมแห่งชาติ(พาดพิงอยู่ในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาว่าเป็นสภายุติธรรมลำดับสอง) ซึ่งตามพระธรรมที่อยู่ในพินัยกรรม สภานี้จะต้องเลือกตั้งสมาชิกสภายุติธรรมนานาชาติ เป็นสภาสูงสุดที่จะนำทาง จัดระบบและประสานงานกิจการต่างๆ ของศาสนาทั่วโลก?
?ธรรมสภาแห่งชาตินี้ซึ่งระหว่างรอการสถาปนาสภายุติธรรมสากล จะต้องได้รับการเลือกตั้งใหม่ปีละครั้ง และมีความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่ง เพราะธรรมสภาแห่งชาติต้องปกครองธรรมสภาท้องถิ่นทั้งหมดในเขตของตน และต้องอำนวยการกิจกรรมต่างๆของมิตรสหาย เฝ้าระวังปกป้องศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ดูแลและกำกับกิจการของศาสนาโดยทั่วไป?
?เราควรเคารพธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น เพราะเป็นสถาบันที่ก่อตั้งโดยพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่าการคำนึงถึงบุคคลใดในสถาบันเหล่านี้?
?ไม่ว่าในสภาพแวดล้อมใด ธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรมีสิทธิ์วิจารณ์หรือต่อต้านนโยบายที่ธรรมสภาแห่งชาติกำหนดและรับรองไว้แล้ว ท่านหวังว่านับจากนี้ไป ปัญหาของความสัมพันธ์ระหว่างธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่นในเรื่องแบบนี้ จะเป็นที่เข้าใจสำหรับบาไฮและธรรมสภาทั้งหลาย?
บทบาทหน้าที่ของสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติคล้ายกับสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น แต่ต่างกันที่สายงานบริหารเพราะธรรมสภาแห่งชาติต้องรับผิดชอบงานระดับชาติ ดูแลทั้งบาไฮในประเทศและธรรมสภาท้องถิ่น ประสานงานของธรรมสภาท้องถิ่นกับคณะกรรมการแห่งชาติ ธรรมสภาแห่งชาติเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในการปกครองดูแลชุมชนบาไฮในประเทศ และเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างชุมชนในประเทศกับสภายุติธรรมสากล
?หนึ่งในหน้าที่สำคัญของธรรมสภาแห่งชาติคือการรับทราบสภาพการณ์ในชุมชนแต่ละท้องถิ่น พยายามชี้แนะมิตรสหายทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวมเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆของพวกเขา โดยการติดต่อเป็นส่วนตัวและโต้ตอบจดหมายอย่างสม่ำเสมอ?
?ขอให้เป็นที่ชัดเจนต่อผู้ซักถามทุกคนว่า ในบรรดาหน้าที่อันชัดเจนและศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่ถูกเรียกให้ริเริ่ม กำกับและประสานงานกิจการทั้งหลายของศาสนา คือการทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อให้บรรดาผู้ที่เขาได้รับใช้มีความมั่นใจและรักใคร่ หน้าที่ของพวกเขาคือการไต่สวนและทำความคุ้นเคยกับทรรศนะ ความรู้สึกที่มีอยู่ทั่วไป ความมั่นใจส่วนตัวของบรรดาผู้ที่พวกเขามีหน้าที่ส่งเสริมความผาสุกให้ หน้าที่ของพวกเขาคือปรึกษาและดำเนินกิจการโดยปราศจากความถือตัว ความเคลือบแคลงใจ การวางอำนาจอย่างบีบคั้น กล่าวคือ ทุกคำพูดและการกระทำที่ส่อถึงความลำเอียง อัตตาและอคติ แม้สิทธิ์การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่พวกเขา พวกเขาก็มีหน้าที่เชิญการอภิปราย จัดหาข้อมูล ระบายข้อข้องใจ ต้อนรับคำแนะนำจากสมาชิกในครอบครัวบาไฮแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนสำคัญและต่ำต้อยที่สุด เปิดเผยเจตนาของตน แสดงแผนงานของตน ให้เหตุผลต่อการกระทำตน พิจารณาคำตัดสินใหม่หากจำเป็น ปลูกฝังสำนึกในการพึ่งพาและร่วมมือกัน ความเข้าใจและความมั่นใจซึ่งกันและกัน ระหว่างพวกเขากับธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮศาสนิกชน?
- ธรรมสภาแห่งชาติมีอำนาจโดยสมบูรณ์ แต่มิใช่เผด็จการ
?ท่านศาสนภิบาลต้องการให้ข้าพเจ้ายืนยันทรรศนะของท่านอีกครั้งว่า อำนาจบังคับบัญชาของธรรมสภาแห่งชาติในทุกเรื่องเกี่ยวกับการบริหารงานศาสนา ไม่มีใครก้าวก่ายหรือขัดขืนได้ และดังนั้นจำเป็นที่บาไฮทุกคน ผู้แทนกลุ่มต่างๆ และธรรมสภาท้องถิ่น ต้องเชื่อฟังอำนาจนี้อย่างจริงใจและไม่มีเงื่อนไข?
?การรวมอำนาจบังคับบัญชามาที่ธรรมสภาแห่งชาติ โดยที่ศูนย์อำนาจอยู่ที่ธรรมสภาท้องถิ่นต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างชัดเจนเมื่อเราตรึกตรองว่า ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในเยาว์วัยและกำลังเติบโต เมื่อเราระลึกถึงว่า ความสำคัญของคำสั่งของพระอับดุลบาฮาที่อยู่ในพินัยกรรมของพระองค์ไม่เป็นที่เข้าใจเต็มที่ และการเคลื่อนไหวทั้งหมดของศาสนายังไม่เป็นที่ชัดเจนพอต่อสายตาของโลก?
?ท่านศาสนภิบาลมีสิทธิ์จะแทรกแซงและยกเลิกคำตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติ หากท่านไม่มีสิทธิ์นี้ ท่านย่อมไร้ประสิทธิภาพในการปกป้องศาสนา เช่นเดียวกัน หากธรรมสภาแห่งชาติไม่มีสิทธิ์ยกเลิกคำตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่สามารถดูแลและชี้แนะความผาสุกระดับชาติของชุมชนบาไฮ…
เป็นหน้าที่ของธรรมสภาแห่งชาติที่จะใช้ความสุขุมรอบคอบที่สุด อดกลั้นและมีไหวพริบ เมื่อจัดการกิจการต่างๆ ของศาสนา ความขัดแย้งหลายอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างบาไฮศาสนิกชนมาจากความไม่เข้าใจศาสนาอย่างเพียงพอ ความกระตือรือร้นและความจริงใจเป็นล้นพ้น?
การบริหารส่วนกลางอาจรวมอำนาจมากเกินไปจนทำให้การบริหารส่วนท้องถิ่นกลายเป็นอัมพาต ดำเนินงานไม่คล่องตัวติดขัดหลายอย่าง ในทางกลับกันการบริหารส่วนท้องถิ่นอาจพยายามแยกตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใคร ไม่ให้ใครมาควบคุม ซึ่งในขั้นรุนแรงอาจออกมาในรูปแบบของการพยายามแบ่งแยกดินแดน ความเกินไปของทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่ระบบบริหารบาไฮ แม้ธรรมสภาแห่งชาติจะมีอำนาจบังคับบัญชาโดยสมบูรณ์และขัดขืนไม่ได้ และมีสิทธิ์ยกเลิกคำตัดสินของธรรมสภาท้องถิ่น แต่ธรรมสภาแห่งชาติก็มิได้ใช้อำนาจนี้พร่ำเพรื่อ และเปิดโอกาสให้ธรรมสภาท้องถิ่นได้เรียนรู้และพัฒนาความสามารถในการดูแลชุมชนในท้องถิ่นของตน ธรรมสภาท้องถิ่นอาจตัดสินใจหรือดำเนินการบางอย่างไม่ถูกต้องตามหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมสภาท้องถิ่นที่ก่อตั้งใหม่และด้อยประสบการณ์ ธรรมสภาแห่งชาติมักจะเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่นก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงจริงๆ ส่วนเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่เข้าแทรกแซงอย่างจุกจิกหรือเข้มงดจนธรรมสภาท้องถิ่นท้อแท้ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิด ระบบบริหารบาไฮเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลกซึ่งบาไฮต้องเรียนรู้โดยผ่านความถูกผิดเป็นธรรมดา เราสังเกตได้เช่นกันว่าสภายุติธรรมสากลมักจะเข้าแทรกแซงการตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่เสียหายร้ายแรงจริงๆ
ในทางกลับกัน ด้วยความเคารพในอำนาจของธรรมสภาแห่งชาติ ธรรมสภาท้องถิ่นจะรายงานการตัดสินใจและกิจกรรมของตนให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบอยู่เสมอ โดยไม่มีการปิดบังหรือลับลมคมใน เพื่อให้ธรรมสภาแห่งชาติคอยชี้แนะการดำเนินงานของตน ธรรมสภาท้องถิ่นจะไตร่ตรองอยู่เสมอว่าสิ่งต่างๆ ที่ตนจะทำนั้น ถูกต้องเหมาะสม เกินขอบเขตของตนหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจก็จะถามธรรมสภาแห่งชาติ ในลักษณะนี้เอง ?มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก? และ ?พลังชีวิตของศาสนาคือการร่วมมือกัน มิใช่เผด็จการ? คือหลักธรรมที่ขับเคลื่อนระบบบริหารบาไฮอยู่เสมอ
ระบบแห่งโลกใหม่ที่พลังพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์จะก่อให้เกิด จะเป็นระบบที่ค้ำจุนสมดุลระหว่างการรวมอำนาจส่วนกลางและการกระจายอำนาจให้ระดับภูมิภาคและระดับท้องถิ่นซึ่งให้ขอบเขตกว้างขวางสำหรับการตัดสินใจในระดับท้องถิ่น
?เกี่ยวกับธรรมสภาแห่งชาติซึ่งมีความรับผิดชอบในการปกป้องบูรณภาพ ประสานงานกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นพลังชีวิตของชุมชนงานที่สำคัญในปัจจุบันคือการปรึกษาหารือกันว่าจะช่วยให้บาไฮแต่ละบุคคลและธรรมสภาท้องถิ่นต่างๆ ทำงานของพวกเขาให้สำเร็จดีที่สุดได้อย่างไร โดยการย้ำคำวิงวอน ความพร้อมที่จะปัดเป่าความเข้าใจผิดและขจัดอุปสรรคทั้งปวง โดยการดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่างและเฝ้าระวังอย่างไม่เพลามือ สำนึกในความยุติธรรมอย่างสูง ถ่อมตัว อุทิศและกล้าหาญ สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติต้องสาธิตความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อความก้าวหน้าของแผนงานที่พวกเขาและบาไฮในชุมชนเกี่ยวข้องอยู่?
?การบริหารงานที่เข้มงวดเกินไปอาจเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับศาสนาในเวลานี้มากกว่าการบริหารหย่อนเกินไป บาไฮส่วนใหญ่ยังอ่อนหัดในศาสนา และถ้าพวกเขาทำอะไรผิดพลาด ก็สำคัญไม่ถึงครึ่งหนึ่งของการที่พวกเขาถูกบั่นทอนกำลังใจ เพราะถูกสั่งอยู่ตลอดเวลาว่าทำสิ่งนี้ไม่ทำสิ่งนั้น ธรรมสภาแห่งชาติที่ก่อตั้งใหม่ควรเป็นเสมือนพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความรัก คอยเฝ้าดูและช่วยเหลือลูกๆ มิใช่เป็นเสมือนผู้พิพากษาที่เข้มงวดที่คอยโอกาสใช้อำนาจพิพากษา?
?การตัดสินใจขึ้นอยู่กับธรรมสภาแห่งชาติว่าประเด็นนั้นๆ เป็นเรื่องระดับท้องถิ่น และควรสำรองไว้วำหรับการพิจารณาและตัดสินใจของธรรมสภาท้องถิ่น หรือควรเป็นเรื่องของธรรมสภาแห่งชาติและควรสนใจเป็นพิเศษ ธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นผู้ตัดสินใจว่า เรื่องนั้นควรนำเสนอไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อปรึกษาหารือและตัดสินใจ?
?เรื่องสำคัญที่มีผลกระทบต่อศาสนาในประเทศ เช่น การแปลและตีพิมพ์หนังสือบาไฮ มัชเชอริคุลอัสคาร์ งานสอนศาสนา และเรื่องที่คล้ายๆ กันที่ต่างจากกิจกรรมท้องถิ่น ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภาแห่งชาติโดยบริบูรณ์?
- เอกภาพในความหลากหลาย
ระบบบริหารบาไฮมิใช่แข็งทื่อ แต่เป็นระบบที่ได้รับการออกแบบไว้ให้มีความยืดหยุ่น และสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์และความต้องการของสังคมและโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บาไฮทุกแห่งหนยึดถือหลักมูลฐานของระบบบริหารเหมือนกันอย่างเป็นเอกภาพ แต่จะมีความหลากหลายในรายละเอียดและวิธีการของการดำเนินงาน เช่นธรรมนิพนธ์บาไฮระบุไว้ว่า ธรรมสภาท้องถิ่นมีหน้าที่จัดงานฉลองบุญ ธรรมสภาท้องถิ่นทุกแห่งหนทั่วโลกจะจัดงานฉลองบุญเป็นสามภาคตามที่ธรรมนิพนธ์บาไฮกำหนดไว้ คือภาคธรรมะ ภาคบริหาร และภาคสังสรรค์ แต่รายละเอียดของแต่ละภาคนั้น ธรรมสภาแต่ละท้องถิ่น แต่ละประเทศสามารถจัดด้วยรูปแบบหลากหลายต่างๆ เช่นภาคสังสรรค์อาจมีดนตรี มีรับประทานอาหารหรือของว่าง หรือื่นๆ ตามแต่ละวัฒนธรรมและความเหมาะสม
?หลักธรรมมูลฐานที่วางไว้เกี่ยวกับระบบบริหารบาไฮ ต้องยึดถือตามนั้น แต่มีแนวโน้มที่ธรรมสภาทั้งหลายจะกำหนดวิธีการและข้อบังคับที่เป็นรายละเอียดต่อมิตรสหาย และท่านถือว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่องานของศาสนาและเป็นความไม่เข้าใจศาสนาเพียงพอ เท่าที่เป็นไปได้ ควรจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับกรณีต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น มิใช่กำหนดข้อบังคับเป็นผ้าห่มสำหรับปกคลุมทุกกรณีที่คล้ายกันที่อาจเกิดขึ้น เช่นนี้จะเป็นการรักษาความยืดหยุ่นของระบบบริหาร และป้องกันมิให้มีเส้นแดงมาขัดขวางงานของศาสนา ความเป็นเอกรูปของหลักธรรมมูลฐานเป็นสิ่งจำเป็น แต่มิใช่เป็นเอกรูปในรายละเอียดทุกอย่าง ในทางตรงข้าม ความหลากหลายของวิธีแก้ปัญหาอย่างถูกต้องในสถานการณ์ของแต่ละท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญ?
?ในศาสนาบาไฮ มีหลักการปฏิบัติงานของสถาบันบาไฮต่างๆ กำหนดไว้ในธรรมนิพนธ์บาไฮ และในธรรมนูญของธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น เป็นที่ชัดเจนว่าธรรมสภาแห่งชาติจะเผชิญกับสถานการณ์และปัญหาที่ต้องแก้แต่ไม่มีระบุไว้ในธรรมนิพนธ์หรือธรรมนูญ ในเรื่องดังกล่าว ธรรมสภาแห่งชาติควรกำหนดวิธีการของตนเองที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและความจำเป็นของชุมชนในประเทศ การถือตามวิธีการของธรรมสภาแห่งชาติอีกประเทศหนึ่งอาจมีประโยชน์ และไม่มีข้อคัดค้าน แต่ต้องเป็นที่เข้าใจว่า ในวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ประเด็นเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองของธรรมสภาแห่งชาติเอง
ดังนั้น ในเรื่องของหลักการควรเป็นเอกรูป แต่ในเรื่องของรายละเอียดและวิธีการ ไม่เพียงแต่อนุญาตให้มีความหลากหลายได้เท่านั้น แต่ยังเป็นที่สนับสนุนด้วย เนื่องด้วยสภาพการณ์ทั้งหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ และอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละชุมชนในประเทศเดียวกัน ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้แนะนำมิตรสหายอยู่เป็นนิจว่า พวกเขาไม่ควรผ่อนผันในเรื่องของหลักการ แต่ควรยืดหยุ่นในรายละเอียดปลีกย่อย?
- การตัดสิทธิ์เลือกตั้งบาไฮ
?ในปัจจุบัน ธรรมสภาแห่งชาติเท่านั้นที่สามารถตัดสิทธิ์บริหารของบาไฮศาสนิกชน และไม่ควรมอบอำนาจนี้ให้ธรรมสภาท้องถิ่น?
?แม้ว่าศาสนายังเยาว์วัยและบาไฮหลายคนด้อยประสบการณ์ ดังนั้น จึงต้องใช้ความรักและความอดกลั้นแทนมาตรการที่เข้มงวด แต่ก็มิได้หมายความว่า ธรรมสภาแห่งชาติสามารถทนต่อความประพฤติอัปยศที่โจ่งแจ้ง ขัดกับคำสอนของศาสนา…คุณควรเฝ้าระวังและปกป้องชุมชนบาไฮ และเมื่อคุณเห็นบาไฮคนใดกระทำสิ่งที่เสื่อมเสียชื่อเสียงของศาสนา จงเตือนเขา และถ้าจำเป็นควรตัดสิทธิ์เลือกตั้งของเขาทันทีหากเขาปฏิเสธไม่ยอมเปลี่ยนแปลงความประพฤติ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ความบริสุทธิ์ของศาสนาจะได้รับการอภิรักษ์?
แม้ว่าธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นเสมือนพ่อแม่ที่คอยดูแลและช่วยเหลือลูกด้วยความรักและความอดกลั้น ไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดเกินไป แต่ก็มิได้หมายความว่าธรรมสภาแห่งชาติจะหย่อนการควบคุมจนเกิดความเสียหายต่อศาสนา ธรรมสภาแห่งชาติจะเข้มงวดในกรณีที่มีการทำผิดกฎบาไฮอย่างร้ายแรง เช่น เข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองซึ่งอาจมาในรูปของสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือหาเสียงให้นักการเมือง แต่งงานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ ทำผิดศีลธรรมอย่างโจ่งแจ้ง แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ธรรมสภาแห่งชาติก็ยังให้โอกาสบาไฮเสมอ เมื่อทำผิดครั้งแรก ไม่ตัดสินลงโทษทันที เพราะบาไฮหลายคนอาจยังไม่เข้าใจศาสนาเพียงพอ หรือทำไปโดยไม่รู้ตัวว่าผิดกฎของศาสนา ก่อนจะตัดสิทธิ์บริหารซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรงที่สุดรองจากการขับไล่ออกจากศาสนา ธรรมสภาแห่งชาติจะเตือนบาไฮผู้นั้นเพื่อให้เขาเลิกพฤติกรรมดังกล่าว และถ้าหากเขายังไม่เชื่อฟัง จึงตัดสิทธิ์เลือกตั้ง
?เกณฑ์ดีที่สุดที่คุณสามารถใช้วัดระดับจิตใจของธรรมสภาคือ ความรู้สึกรับผิดชอบสมาชิกธรรมสภาที่มีต่อความผาสุกของกลุ่ม และเป็นไปได้ที่พวกเขาคิดว่าจำเป็นต้องตัดสิทธิ์การเลือกตั้งใครคนหนึ่ง ก็เพียงเพื่อคุ้มครองคนอื่นที่เหลือ มิใช่เพียงเพื่อจะลงโทษ?
?ผู้ที่เสียสิทธิ์เลือกตั้งยังถือว่าเป็นบาไฮ แต่มิใช่บาไฮสถานภาพดีและอยู่ภายใต้ข้อห้ามและข้อจำกัดดังต่อไปนี้
เขาไม่สามารถเข้าร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวัน หรือการประชุมอื่นๆ ที่จัดสำหรับบาไฮเท่านั้น รวมทั้งการประชุมนานาชาติและดังนั้นไม่สามารถมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจการต่างๆ ของชุมชน
เขาไม่สามารถบริจาคให้กองทุนบาไฮ
เขาไม่สามารถรับข่าวสารและสิ่งตีพิมพ์ที่แจกจ่ายให้เฉพาะบาไฮเท่านั้น
เขาไม่สามารถเข้าพิธีแต่งงานบาไฮ และดังนั้นไม่สามารถแต่งงานกับบาไฮ
เขาไม่ได้ไปแสวงบุญ
แม้ว่าเขามีอิสระในการสอนศาสนาเป็นการส่วนตัว ไม่ควรใช้เขาเป็นครูหรือผู้บรรยายในรายการที่อุปถัมภ์โดยบาไฮ
เขาถูกห้ามมิให้เข้าร่วมกิจกรรมด้านบริหาร รวมทั้งสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งบาไฮ
เขาไม่สามารถดำรงตำแหน่งในสถาบันบาไฮ หรือได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ
เขาไม่ควรได้รับหนังสือรับรอง(ที่แสดงนัยว่าเขาเป็นบาไฮที่สถานภาพดี)
…กล่าวโดยทั่วไป แม้ว่าบาไฮที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งจะไม่ถูกตัดสิทธิ์อย่างอื่นยกเว้นตามที่กล่าวข้างบนนี้ แต่ตามที่กำหนดเงื่อนไขไว้สิทธิ์ไม่ถูกปฏิเสธคือดังต่อไปนี้
เขาสามารถร่วมงานวันศักดิ์สิทธิ์เก้าวัน
เขาสามารถร่วมงานบาไฮที่เปิดสำหรับผู้ที่ไม่ใช่บาไฮ
เขาสามารถรับสิ่งตีพิมพ์ที่แจกจ่ายให้ผู้ที่มิใช่บาไฮด้วย
เขามีอิสระที่จะสอนศาสนา เพราะบาไฮทุกคนได้รับบัญชาจากพระบาฮาอุลลาห์ให้สอนศาสนา
การสมาคมกับบาไฮคนอื่นไม่เป็นที่ห้าม
เขาสามารถมีพิธีฝังศพบาไฮถ้าเขาหรือครอบครัวขอ และสามารถได้รับการฝังในสุสานบาไฮ
เขาไม่ควรถูกปฏิเสธในการกุศลของบาไฮด้วยเหตุผลว่าเขาสูญเสียสิทธิเลือกตั้ง
สถาบันบาไฮอาจใช้งานเขา แต่ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าควรเป็นงานประเภทไหน
เขาควรมีหนทางติดต่อกับธรรมสภา?
การเสียสิทธิเลือกตั้งบาไฮหรือสิทธิในระบบบริหาร เป็นเงื่อนไขชั่วคราว เพราะเป็นบทลงโทษในส่วนของการบริหารและผู้นั้นยังเรียกตัวเองว่าเป็นบาไฮ และถ้าหากเขาพยายามแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ได้ทำไป เขาควรได้รับการช่วยเหลือให้กลับสู่สถานภาพเดิม และสามารถขอธรรมสภาแห่งชาติให้เขามีสิทธิเหมือนเดิม การเสียสิทธิเลือกตั้งเป็นเรื่องที่ต่างจากการถูกขับไล่ออกจากศาสนา ซึ่งมีผลกระทบถึงวิญญาณด้วยเช่นผู้ละเมิดพระปฏิญญา เพราะผู้นั้นไม่เพียงเสียสิทธิในระบบบริหาร แต่ยังหมดสภาพการเป็นบาไฮด้วยและไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นบาไฮ สภายุติธรรมสากลเท่านั้นที่มีสิทธิในการตัดสินใจขับไล่ใครออกจากศาสนา
- คณะกรรมการแห่งชาติ
?สมาชิกภายในธรรมสภาบาไฮหรือคณะกรรมการ เป็นข้อผูกพันที่ศักดิ์สิทธิ์ และควรเป็นที่ยอมรับอย่างยินดีและมั่นใจสำหรับบาไฮที่ซื่อสัตย์และมีสำนึกผิดชอบทุกคนในชุมชน ไม่ว่าเขาจะต่ำต้อยด้อยประสบการณ์เพียงไหน?
กิจกรรมบางอย่างมิได้อยู่ภายใต้ขอบเขตของธรรมสภาท้องถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงผู้เดียว ธรรมสภาแห่งชาติจะแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อรับผิดชอบกิจการนั้น คณะกรรมการนี้จะได้รับการแต่งตั้งใหม่ทุกปี และอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ ในท้องถิ่นที่มีชุมชนขยายตัวออกมาก ธรรมสภาท้องถิ่นสามารถแต่งตั้งคณะกรรมการท้องถิ่นได้เช่นกัน
?สมาชิกและหน้าที่ของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาโดยธรรมสภาแห่งชาติ ควรได้รับการพิจารณาใหม่แต่ละปีโดยธรรมสภาแห่งชาติชุดใหม่ คณะกรรมการเหล่านี้มีบทบาทในการศึกษาเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายให้ถี่ถ้วนอย่างผู้ชำนาญ ให้คำแนะนำโดยการรายงาน และช่วยดำเนินการตามคำตัดสินใจ ซึ่งสำหรับเรื่องที่สำคัญจะเป็นการตัดสินใจของธรรมสภาแห่งชาติเพียงผู้เดียว สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติต้องเฝ้าระวังเป็นที่สุดและพยายามเต็มที่ หากพวกเขาปรารถนาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมกับงานรับผิดชอบที่สูงส่งนี้ ตามสภาพแวดล้อมที่จำกัดในปัจจุบันพวกเขาควรพยายามค้ำจุนสมดุลในลักษณะที่ ความชั่วร้ายของการรวมอำนาจมากเกินไป ซึ่งจะเป็นอุปสรรคและสับสน และในระยะยาวจะบั่นทอนคุณค่าการรับใช้ของบาไฮจะถูกปัดออกไปโดยสมบูรณ์ และอันตรายของการกระจายอำนาจจนหมดสิ้นพร้อมกับผลที่ตามมาคือ อำนาจปกครองหลุดจากมือของผู้แทนแห่งชาติ จะถูกเบี่ยงออกไปอย่างเด็ดขาด?
ประสบการณ์การรับใช้ในสถาบันบาไฮ จะช่วยให้บาไฮมีความชำนาญมากขึ้นในการรักษาสมดุลระหว่างการรวมอำนาจและการกระจายอำนาจอย่างเหมาะสม สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่าควรกำหนดนโยบาย แผนงาน แนวทางต่างๆ ให้คณะกรรมการแห่งชาติมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้งานดำเนินไปตรงตามวัตถุประสงค์ โดยไม่กำหนดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นที่จะทำให้คณะกรรมการแห่งชาติทำงานไม่คล่องตัว คณะกรรมการแห่งชาติจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่า ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตนอยู่แค่ไหน สิ่งไหนตนสามารถตัดสินใจและปฏิบัติการได้เลย สิ่งไหนตนต้องขอปรึกษากับธรรมสภาแห่งชาติหรือให้ธรรมสภาแห่งชาติเป็นผู้ตัดสินใจ
ถึงแม้คณะกรรมการแห่งชาติแต่ละชุดมีอายุเพียงหนึ่งปี และสมาชิกของคณะกรรมการชุดใหม่อาจเปลี่ยนไป แต่สมาชิกของคณะกรรมการแห่งชาติก็ไม่ควรคิดว่าตนอยู่แค่ปีเดียว แต่ควรทำหน้าที่ในลักษณะที่เป็นสถาบันที่ต้องดำเนินงานตามเป้าหมายต่อไป แม่ว่าเป้าหมายหรือแผนงานจะกินเวลายาวกว่านั้น
?แต่ละคนที่ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการ ควรปฏิบัติตามหน้าที่และวัตถุประสงค์ซึ่งมักกินเวลานานกว่าวาระที่ตนอยู่ในหน้าที่ ดังเช่น ธรรมสภาแห่งชาติสัมพันธ์ตนเองกับเป้าหมายของแผนงานเก้าปี สมาชิกของธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการควรปฏิบัติเหมือนกัน เพื่อว่าพลังที่ต่อเนื่องจะขับเคลื่อนงานสำคัญที่แต่ละธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการแห่งชาติรับผิดชอบอยู่
อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นที่วาระของคณะกรรมการจะหมดอายุตอนเรซวาน เพื่อจะให้มีการต่อเนื่อง อาจเป็นการดีที่จะเริ่มต้นปีของคณะกรรมการในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม ?ยิ่งไปกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงสมาชิกของคณะกรรมการไม่มากนักจะช่วยรักษาความต่อเนื่องของความคิดและการกระทำ?
- คณะกรรมการแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น
?ธรรมสภาท้องถิ่นควรได้รับการสนับสนุนให้ตระหนักว่า คณะกรรมการแห่งชาตินั้นตั้งขึ้นมามิใช่เพื่อบงการ แต่เพื่อสนองความต้องการของธรรมสภาท้องถิ่น และประสานงานของศาสนาซึ่งปัจจุบันกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว…คณะกรรมการที่อยู่ในปัญหาควรใช้ไหวพริบในการทำงานกับธรรมสภาท้องถิ่นที่รู้สึกว่าตนเริ่มจะเป็นงาน เพราะหากว่าความรู้สึกนี้ได้รับการอุ้มชูอย่างเหมาะสม ก็จะกลายเป็นความเข้มแข็งและไม่ต้องการพึ่งใคร มิใช่อ่อนแอและต้องพึ่งพาสถาบันอื่นอยู่เรื่อย อย่างไรก็ตามธรรมสภาท้องถิ่นควรร่วมมือและไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือของคณะกรรมการแห่งชาติ?
สภายุติธรรมสากล
?ดูกร คาร์เมล…ในไม่ช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแล่นเรือแห่งความรอดพ้นบนเจ้า และจะแสดงประชาชนแห่งบาไฮให้ปรากฏ ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์แห่งนาม?
ในช่วงท้ายของชีวิต พระบาฮาอุลลาห์ได้เปิดเผยพระวจนะข้างบนนี้อยู่ในธรรมจารึกคาร์เมล และประมาณ 70 ปีต่อมาหลังจากการเปิดเผยธรรมจารึกนี้ พระวจนะนี้บังเกิดขึ้นเป็นจริงด้วยการสถาปนาสภายุติธรรมสากล โดยการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1963
?เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภายุติธรรมสากลที่จะปรึกษากันในเรื่องที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในคัมภีร์ และบังคับใช้สิ่งที่พวกเขาเห็นสมควร พระผู้เป็นเจ้าจะดลใจพวกเขาในสิ่งที่พระองค์ปรารถนา?
?เรื่องหลักๆ ที่สำคัญและเป็นรากฐานของกฎของพระผู้เป็นเจ้าได้รับจารึกไว้ในพระธรรม แต่กฎปลีกย่อยทั้งหลายจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล ที่เป็นเช่นนี้เพราะยุคสมัยไม้เคยคงอยู่เหมือนเดิม เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นลักษณะของโลกนี้ ซึ่งรวมถึงกาลเวลาและสถานที่ ดังนั้นสภายุติธรรมสากลจะดำเนินการที่เหมาะสมตามความเปลี่ยนแปลง?
?เป็นหน้าที่ของสมาชิกสภายุติธรรมสากลที่จะชุมนุมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งและปรึกษากันเกี่ยวกับปัญหาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ปัญหาที่ยังคลุมเครือ และเรื่องที่มิได้บันทึกไว้แน่ชัดในคัมภีร์ อะไรก็ตามที่พวกเขาตัดสินใจจะมีผลเช่นเดียวกับพระธรรม เนื่องด้วยสภายุติธรรมนี้มีอำนาจในการออกกฎต่างๆ ที่มิได้บันทึกไว้แน่ชัดในคัมภีร์ และมีผลต่อธุรกิจประจำวัน ดังนั้น สภายุติธรรมสากลก็มีอำนาจในการยกเลิกกฎนั้นเช่นกัน ตัวอย่างเช่นในปัจจุบันสภายุติธรรม–สากลออกกฎข้อหนึ่ง และร้อยปีหลังจากนั้นสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพการณ์ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป สภายุติธรรมสากลก็มีอำนาจที่จะเปลี่ยนกฎนั้นตามความจำเป็นของยุคสมัย สภายุติธรรมสากลทำเช่นนี้ได้เพราะว่ากฎนั้นมิได้เป็นส่วนหนึ่งของพระธรรมสวรรค์ สภายุติธรรมสากลเป็นทั้งผู้ออกกฎและยกเลิกกฎของตนเอง?
ทุกห้าปี สมาชิกธรรมสภาแห่งชาติทั่วโลกจะลงคะแนนเลือกตั้งบาไฮ 9 ท่าน เป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล อำนาจในการออกกฎและยกเลิกกฎของตนเองของสภายุติธรรมสากล ทำให้ระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์เป็นระบบที่ยืดหยุ่น สามารถปรับตัวในสภาพการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เป็นการปรับตัวที่ได้รับการประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด ต่างจากในอดีตที่ผู้นำศาสนาทั้งหลายต่างพยายามปรับหรือดัดแปลงกฎบัญญัติของศาสนาตามความเข้าใจของตน เพื่อให้เหมาะกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และลงเอยที่ความสับสน ความขัดแย้งและแตกแยกในศาสนา
?กล่าวโดยย่อ นี้คือข้อดีของการเสนอกฎต่างๆ ของสังคมให้สภายุติธรรมพิจารณา ในศาสนาอิสลามมีลักษณะคล้ายกันคือบัญญัติที่เปิดเผยไว้มิใช่ชัดเจนทุกข้อ…แม้ว่าเรื่องหลักๆ ที่สำคัญจะพาดพิงไว้อย่างเจาะจง แต่ก็มีกฎอีกนับพันที่มิได้ระบุไว้ซึ่งคิดขึ้นมาโดยนักบวชของยุคหลัง ซึ่งเป็นไปตามกฎของธรรมศาสตร์ของอิสลาม นักบวชแต่ละคนต่างก็ใช้เหตุผลของตนสรุปบัญญัติดั้งเดิมออกมาอย่างขัดแย้งกัน แล้วนำกฎเหล่านี้มาใช้ ในปัจจุบันการสรุปนี้เป็นสิทธิ์ของสภายุติธรรมสากล การใช้เหตุผลหาข้อสรุปของผู้แก่วิชาทั้งหลายไม่มีอำนาจ นอกจากจะได้รับการรับรองโดยสภายุติธรรมสากล ความแตกต่างอยู่ที่ตรงนี้คือ โดยการสรุปและรับรองของสภายุติธรรมสากล ซึ่งสมาชิกของสภานี้เป็นที่รู้จักและเลือกตั้งจากชุมชนบาไฮทั่วโลก ความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้น แต่การสรุปของนักบวชและนักวิชาการแต่ละคนย่อมนำไปสู่ความขัดแย้ง ก่อให้เกิดการแตกเป็นนิกาย แบ่งแยกและแตกกระจาย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของโลกย่อมถูกทำลาย เอกภาพของศาสนาย่อมสูญหายไป และสถาบันของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าย่อมสั่นคลอน?
สภายุติธรรมสากลและศาสนภิบาลเป็นสถาบันคู่ที่สืบทอดพระปฏิญญาต่อจากพระอับดุลบาฮา แม้ว่าท่านศาสนภิบาลจะทำหน้าที่นี้ก่อนสภายุติธรรมสากล แต่ทั้งสองสถาบันก็มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตน นั่นคือท่านศาสนภิบาลจะเป็นผู้ตีความหมายของวจนะโดยไม่ออกกฎใหม่ เพราะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของท่าน ท่านนำทางชุมชนบาไฮทั่วโลกโดยการตีความและใช้กฎที่มีอยู่ในคัมภีร์ ในทางกลับกัน สภายุติธรรมสากลมีอำนาจในการออกกฎที่ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนในคัมภีร์ แต่ไม่มีอำนาจในการตีความหมายวจนะ สภายุติธรรมสากลจะไม่ตีความว่า พระวจนะเร้นลับข้อนั้นข้อนี้หมายความว่าอย่างไร แต่จะใช้เหตุผลสรุปจากธรรมนิพนธ์ที่เปิดเผยไว้ รวมทั้งการตีความที่พระอับดุลบาฮาและท่านโชกิ เอฟเฟนดิให้ไว้มากมาย เพื่อนำทางชุมชนบาไฮและออกกฎใหม่ที่ไม่ขัดแย้งกับกฎที่มีอยู่ในคัมภีร์ ซึ่งการใช้เหตุผลสรุปนี้จะได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าและไม่มีผิดพลาด
?…เป็นที่ประจักษ์และชัดเจนอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ท่านศาสนภิบาลถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ตีความหมายของพระวจนะ และสภายุติธรรมสากลได้รับอำนาจในการออกกฎเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในพระธรรมคำสอน การตีความของท่านศาสนภิบาลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ภายในขอบเขตของตน มีอำนาจผูกมัดเช่นเดียวกับการออกกฎของสภายุติธรรมนานาชาติ ผู้ซึ่งมีสิทธิพิเศษเพียงผู้เดียวในการประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับกฎและบัญญัติที่พระบาฮาอุลลาห์มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจน ทั้งคู่ไม่สามารถก้าวก่ายขอบเขตอันศักดิ์สิทธิ์ของกันและกัน จะไม่ลดทอนอำนาจของกันและกันตามที่กำหนดไว้อย่างแน่ชัด ซึ่งต่างก็ได้รับการประสาทจากสวรรค์
แม้ว่าท่านศาสนภิบาลจะถูกแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าที่ถาวรของหมู่คณะผู้สูงสง่า ท่านก็ไม่สามารถถือสิทธิ์ในการออกกฎแม้จะเป็นเพียงชั่วคราว…?
?จุดกำเนิด อำนาจ หน้าที่ ขอบเขตของการปฏิบัติงานของสภายุติธรรมสากล สืบมาจากพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งพร้อมกับการตีความและขยายความของศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญาและของท่านศาสนภิบาลผู้มีอำนาจในการตีความคัมภีร์บาไฮแต่เพียงผู้เดียวต่อจากพระอับดุลบาฮา คือขอบเขตหน้าที่และรากฐานของสภายุติธรรมสากล จนกว่าจะถึงเวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมหิทธานุภาพจะเปิดเผยพระผู้แสดงธรรมองค์ใหม่ ซึ่งอำนาจทั้งหมดจะเป็นของพระองค์?
ด้วยอำนาจสวรรค์ที่ประสาทให้สภายุติธรรมสากลเป็นสถาบันเดียวในโลกที่ไม่มีผิดพลาด เป็นสถาบันสูงสุดของระบบบริหารบาไฮที่จะนำทางไม่เพียงแต่ธรรมสภาแห่งชาติ ธรรมสภาท้องถิ่นและสถาบันทั้งหลายของโลกบาไฮเท่านั้น แต่จะนำทางมวลมนุษยชาติไปสู่การสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ ซึ่งจะเป็นอารยธรรมขั้นสูงสุดของมนุษยชาติบนดาวนพเคราะห์ที่เราอาศัยอยู่นี้ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้กล่าวถึงคร่าวๆ ของสหพันธรัฐว่า จะมีสภานิติบัญญัติแห่งโลก มีคณะบริหารแห่งโลกที่หนุนโดยกองกำลังนานาชาติ มีศาลแห่งโลก มีนครหลวงแห่งโลก มีภาษาแห่งโลก ระบบสากลของเงินตรา หน่วยน้ำหนัก หน่วยการวัด ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันเราไม่สามารถเข้าได้ถ่องแท้ แต่กาลเวลาและสภายุติธรรมสากลจะเป็นผู้คลี่คลายต่อเราทีละน้อยว่า สหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮจะมีขั้นตอนวิวัฒนาการขึ้นมาอย่างไร จะมีรูปโฉมและการปฏิบัติงานอย่างไร
?ไม่เพียงแต่ธรรมสภาทั้งหลายในอนาคตจะมีรูปแบบต่างจากปัจจุบัน แต่ยังจะมีอำนาจ หน้าที่และสิทธิต่างๆ เพิ่มเติมจากหน้าที่ในปัจจุบันด้วย ซึ่งจะเป็นผลมาจากการยอมรับศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ว่า ไม่ใช่เป็นเพียงระบบศาสนาหนึ่งของโลกเท่านั้น แต่เป็นศาสนจักรของอภิรัฐเอกราช และเมื่อศาสนาบาไฮซึมซาบเข้าไปในมวลชนของประเทศตะวันออกและประเทศตะวันตกและสัจธรรมบาไฮเป็นที่ยอมรับโดยประชาชนส่วนใหญ่ของรัฐจำนวนหนึ่ง สภายุติธรรมสากลจะขึ้นถึงขีดสุดของอำนาจ เป็นองค์กรสูงสุดของสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ และจะมีสิทธิและความรับผิดชอบทุกประการตามหน้าที่ของอภิรัฐแห่งโลกในอนาคต?
?ตามกฎมูลฐานที่เราได้เปิดเผยไว้ก่อนหน้าที่ในคัมภีร์คีตาบี อัคคัส และธรรมจารึกอื่นๆ กิจการทั้งหมดจะอยู่ในความดูแลของการกษัตริย์และประธานาธิบดีที่ยุติธรรมทั้งหลายและสมาชิกสภายุติธรรมสากลด้วยการตรึกตรองสิ่งที่เราได้แถลงไว้ มนุษย์ทุกคนที่เที่ยงธรรมและหลักแหลมจะแลเห็นความสว่างไสวที่ส่องมาจากดวงตะวันแห่งความยุติธรรม?
พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผยผ่านมาทางพระบาฮาอุลลาห์ในยุคนี้ มีอานุภาพที่จะบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามที่พระวจนะกล่าวไว้ ในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์มีชีวิตอยู่เมื่อร้อยปีก่อนและทรงเปิดเผยธรรมจารึกเคเมล ซึ่งแสดงนัยไว้ว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้จะเป็นเรือแห่งความรอดพ้น หากเรานึกภาพในเวลานั้นที่ยังไม่มีระบบบริหารบาไฮให้เห็น เพราะไม่มีแม้แต่ธรรมสภาท้องถิ่น บาไฮในสมัยนั้นคงนึกไม่ออกว่า ภูเขาคาเมลที่ว่างเปล่าจะกลายเป็นศูนย์กลางแห่งโลกบาไฮในปัจจุบันได้อย่างไร ซึ่งเริ่มจากการก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่น ต่อมามีธรรมสภแห่งชาติ และในที่สุดมีการสถาปนาสภายุติธรรมสากลในปีค.ศ. 1963 เป็นการบรรลุผลตามพระวจนะในธรรมจารึกคาเมล และตามมาด้วยการก่อสร้างอาคารต่างๆ บนภูเขาคาเมลซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเตรียมเป็นศูนย์กลางอารยธรรมของโลกในอนาคต นำนองคล้ายกัน บาไฮในปัจจุบันจะนึกภาพไม่ออกว่าสภายุติธรรมสากลจะมีขั้นตอนวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นองค์กรสูงสุดของสหพันธรัฐแห่งโลกในอนาคตอย่างไร และจะมีรูปแบบการปฏิบัติงานอย่างไร
?พระบาฮาอุลลาห์ทรงพาดพิงถึงเรือแห่งความรอดพ้น ซึ่งผู้ที่อยู่ในเรือคือสมาชิกสภายุติธรรมสากล และดังที่ต้องตรงกับเงื่อนไขที่อยู่ในพินัยกรรมของปฏิญญาที่ทรงอำนาจ สภานี้จะเป็นองค์กรที่วางกฎต่างๆ ที่มิได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในพระธรรมในยุคศาสนานี้ กฎเหล่านี้ถูกกำหนดให้หลั่งไหลมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ดังเช่นในยุคศาสนาของพระโมเสสที่กฎของพระผู้เป็นเจ้าประกาศออกมาจากไซออน?
พระหัตถ์ศาสนา
ในสมัยพระบาฮาอุลลาห์ พระองค์บัญชาบาไฮที่มีความรู้และมีความสามารถในการอภิปรายเกี่ยวกับข้อพิสูจน์และหลักธรรมของศาสนา ให้เป็นครูเดินทางไปทั่วเปอร์เซีย เพื่อช่วยบาไฮในท้องถิ่นต่างๆ สอนศาสนา ไม่ใช่บาไฮทุกคนที่มีความสามารถในการพูด และพวกเขาจะใช้วิธีอื่นเช่น ดำเนินชีวิตบาไฮเป็นตัวอย่างจนทำให้เพื่อนบ้านประทับใจและเข้ามาสนิทสนม จากนั้นก็จะนัดให้เพื่อนบ้านได้พบปะพูดคุยกับครูบาไฮ หรือเปิดบ้านคอยต้อนรับผู้ที่สนใจ แล้วนัดให้ครูบาไฮมาที่บ้านเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับศาสนา แนวทางปฏิบัติที่สุขุมรอบคอบเช่นนี้ได้ช่วยสอนประชาชนมากมายให้เข้าใจสัจจะและหันมาเป็นบาไฮ และยังคงดำเนินต่อไปในสมัยของพระอับดุลบาฮาและท่านโชกิ เอฟเฟนดิ
พระบาฮาอุลลาห์ได้แต่งตั้งครูบาไฮเหล่านี้ 4 คนให้เป็นพระหัตถ์ศาสนา และทรงกำหนดหน้าที่ให้เผยแพร่ศาสนา อบรมบาไฮทั้งหลายให้ลึกซึ้งในศาสนา และปกป้องศาสนา ความสำคัญของตำแหน่งพระหัตถ์ศาสนาในเวลานั้นยังไม่ค่อยเป็นที่เข้าใจและไม่เด่นชัด เพราะพระบาฮาอุลลาห์มิได้ประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเหมือนในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ และพระหัตถ์ศาสนาก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ตนเคยทำอยู่แล้วก่อนแต่งตั้ง พระหัตถ์ศาสนา 4 คนที่พระบาฮาอุลลาห์แต่งตั้งคือ
- ฮาจิ มุลลา อาลี อัคบาร์ (ฮาจี อาคูนด์)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้พบกับชาวบาบีในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์อยู่ที่แบกแดด หลังจากที่ได้อ่านคัมภีร์คีตาบี อีคาน ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ภายหลังจากมาเป็นบาไฮ ท่านถูกนักศึกษาศาสนศาสตร์ขับไล่ออกจากเมืองมัชฮัด จากนั้นท่านกลับไปบ้านเกิดที่หมู่บ้านในมณฑลคูราซอนและสอนศาสนาที่นั่น และถูกศรัตรูโจมตีอีก หลังจากนั้นท่านจากครอบครัวไปเมืองเตหะราน แล้วถูกนักบวชมุสลิมต่อต้านการสอนศาสนาของท่านอีกเช่นกัน ท่านต้องประสบความทุกข์ทรมานตลอดชีวิตในการรับใช้พระบาฮาอุลลาห์ ?ในวันแต่งงานนั้นท่านมีเพียงห้องเก่าๆ ที่พุพังและแทบไม่มีเครื่องใช้อะไรเลยในห้อง หลังจากแต่งงานได้ 3 วันท่านก็ถูกจับตัวไปเข้าคุก ท่านถูกจำคุกรวมทั้งหมด 6 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นในราวปี ค.ศ.1868 โดยคำสั่งของนักบวชเมืองเตหะราน ท่านถึงแก่กรรมในปีค.ศ.1910
- มีร์ซา อาลี โมฮัมหมัด (อิบเน อัสดัค)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้เป็นบุตรของบาไฮที่เรืองนามที่สุดคนหนึ่ง ในวัยเด็กท่านได้ติดตามบิดาไปพบพระบาฮาอุลลาห์ที่แบกแดด หลังจากกลับมาที่เมืองเตหะราน ท่านกับบิดาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 4 เดือนในฐานะที่เป็นบาไฮ ท่านล้มป่วยอย่างหนักในคุกนี้และไม่มีแพทย์ผู้ใดเต็มใจจะรักษาชาวบาบี จนในที่สุดแพทย์ชาวยิวผู้มีชื่อเสียงและเป็นแพทย์ประจำราชสำนักของกษัตริย์ชาห์ชื่อ ฮาคิม มาซิห์ มารักษาท่านถึงในคุก แพทย์ผู้นี้จึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาบาไฮและเปลี่ยนเป็นบาไฮ นับเป็นชาวยิวรุ่นแรกที่เป็นบาไฮ
ก่อนหน้านี้แพทย์ผู้นี้เคยติดตามกษัตริย์ชาห์ไปแบกแดดและมีโอกาสเข้าฟังทอเฮเรย์อภิปรายธรรมะต้อนหมู่นักบวชมุสลิมจนมุม เขาจึงอยากรู้มากว่าทอเฮเรย์เรียนวิชามาจากไหนจึงเก่งเช่นนั้น และเขาได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสนาบาไฮเมื่อมารักษาพระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ในคุกเมื่อท่านยังเป็นเด็กน้อยอยู่ คนหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากแพทย์ผู้นี้คือ ดร.ลุทฟุลลา ฮาคิม ซึ่งได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากลปี ค.ศ.1963
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงผู้เป็นเหลนของกษัตริย์ชาห์ จึงทำให้ท่านได้มีโอกาสใกล้ชิดและสอนศาสนาให้กับบุคคลระดับสูง ในปี ค.ศ.1919 ท่านได้เดินทางไปยุโรปเพื่อนำธรรมจารึกของพระอับดุลบาฮาที่ตรัสถึง Central Organization for a Durable Peace ไปให้ที่กรุงเฮก นอกจากนี้ท่านยังมีบทบาทการรับใช้ที่สำคัญในด้านวรรณกรรมบาไฮ การจัดอบรมสตรีบาไฮในเมืองเตหะราน และได้นำตำราศิลปะการปกครองที่เขียนโดยพระอับดุลบาฮาไปมอบให้กษัตริย์ชาห์ในสมัยที่พระบาฮาอุลลาห์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1928
- มีร์ซา โมฮัมหมัด ตาคี (อิบเน อับฮัร)
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายเช่นกัน ท่านถูกต่อต้านในหมู่บ้านของท่านเองและต้องย้ายไปอยู่ที่ซานจอน ซึ่งนักบวชที่นั่นก็ลุกขึ้นต่อต้านและจับท่านขังคุกอย่างทรมานแสนสาหัส อีกครั้งหนึ่งในปี 1891 ท่านถูกจับเข้าคุกในเมืองเตหะรานและถูกทรมานในคุกอย่างหนัก ท่านถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณในคุกจนท่านไม่ยอมออกมาพบสตรีบาไฮที่มาเยี่ยมท่าน เพราะไม่อยากให้พวกเธอเห็นสภาพร่างกายของท่าน แต่ท่านภูมิใจที่สุดที่ถูกล่ามโซ่ที่คอด้วยโซ่เดียวกันที่เคยใช่ล่ามพระบาฮาอุลลาห์ เมื่อรูปถ่ายที่ท่านยืนพร้อมกับมีโซ่ล่ามคอและมีผู้คุมคุกอยู่ข้างๆ ไปถึงพระอับดุลบาฮา พระอับดุลบาฮาทรงปลื้มใจมากที่ได้เห็นรูปท่านยืนอยู่อย่างองอาจไม่สะทกสะท้านต่อการถูกทรมาน เมื่อพระบาฮาอุลลาห์เสด็จปรินิพพาน ท่านยังอยู่ในคุกและเศร้าโศกมาก พระอับดุลบาฮาได้ลิขิตธรรมจารึกถึงท่านเพื่อช่วยปลอบโยน และแนะนำให้ท่านอ่านคัมภีร์กุรอ่าน ซึ่งเป็นคัมภีร์เดียวที่มีให้อ่านในคุก ในปี ค.ศ.1907 ท่านได้เดินทางไปอินเดียพร้อมกับบาไฮชาวอเมริกันอีกสองคนเพื่อส่งเสริมงานศาสนาต่อจากบาไฮคนก่อนๆ เคยทำไว้
การแต่งงานของท่านเป็นเรื่องที่น่าสนใจ พระอับดุลบาฮาต้องการให้ท่านแต่งงานกับลูกสาวของพระหัตถ์ศาสนา มุลลา อาลี อัคบาร์ ครั้งที่พระบาฮาอุลลาห์เสด็จปรินิพพานและท่านยังอยู่ในคุก ท่านได้สาบานตนว่าจะอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้ศาสนา ท่านจึงยืนกรานอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมแต่งงาน เพราะกลัวว่าจะต้องมีภาระรับผิดชอบต่อครอบครัว และจะไม่สามารถอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อรับใช้ศาสนา และจะเป็นการผิดคำสาบานจนในที่สุดพระอับดุลบาฮาเรียกท่านไปพบและทรงกล่าวต่อท่านว่า ?คนดีของเรา เราเป็นศูนย์กลางของพระปฏิญญา ถ้าเราบอกว่าเจ้าจะไม่ผิดคำสาบานเพราะการแต่งงาน เจ้าก็ต้องไม่ผิดซิ?
การรับใช้พิเศษอีกอย่างหนึ่งของท่านคือท่านและภรรยาได้รับใช้คณะกรรมการเพื่อปลดแอกสตรีในเตหะรานที่ตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1909 และท่านได้สนับสนุนภรรยาให้ก่อตั้งโรงเรียนบาไฮสำหรับเด็กหญิงเป็นครั้งแรกในเตหะราน ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1917
- ฮาจี มีร์ซา ฮาซาเน อาดิบ
พระหัตถ์ศาสนาท่านนี้เคยเป็นนักบวชมุสลิมที่เป็นเอกและมีความรู้สูง การได้พบปะกับครูบาไฮทำให้ท่านยอมรับศาสนาใหม่นี้ในปี ค.ศ.1889 เมื่ออายุ 40 กว่าปี ภูมิความรู้เดิมในศาสนาอิสลามของท่านได้รับการปรับทิศทางใหม่และทำให้ท่านซาบซึ้งในหลักธรรมได้รวดเร็ว พระบาฮาอุลลาห์ทรงแต่งตั้งท่านเป็นพระหัตถ์ศาสนาภายหลังจากที่ท่านมาเป็นบาไฮได้ไม่นาน ท่านเป็นพระหัตถ์ศาสนาคนสุดท้ายที่ได้รับการแต่งตั้งในช่วงชีวิตของพระบาฮาอุลลาห์ และเป็นพระหัตถ์ศาสนาคนเดียวที่ไม่มีโอกาสได้พบพระบาฮาอุลลาห์
ท่านมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งธรรมสภาเตหะรานและเป็นประธานของธรรมสภานั้น และมีบทบาทสำคัญในการจัดชั้นเรียนเยาวชนบาไฮในเมืองเตหะราน ผลงานชิ้นสำคัญอีกอย่างของท่านคือ การก่อตั้งโรงเรียนทาบียาทในเตหะรานซึ่งเป็นโรงเรียนเด็กชาย และเป็นการเริ่มต้นไปสู่การก่อตั้งโรงเรียนบาไฮอีกหลายแห่งในเปอร์เซีย แต่ต่อมาโรงเรียนบาไฮเหล่านี้ถูกรัฐบาลสั่งปิดในปี ค.ศ.1934 ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1919 และได้รับการบรรจุศพไว้ในเมืองเตหะรานที่เดียวกับพระหัตถ์ศาสนาอีกสามท่าน
ภายหลังปรินิพพานของพระบาฮาอุลลาห์ พระหัตถ์ศาสนาทั้ง 4 ท่านมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้อารักขาชุมชนบาไฮและช่วยปกป้องบาไฮจากการโจมตีของพวกละเมิดพระปฏิญญา พระอับดุลบาฮามิได้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาเพิ่ม แต่คอยกำกับพระหัตถ์ศาสนาทั้ง 4 นี้ พระองค์ทรงระบุให้ท่านศาสนภิบาลเป็นผู้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนา และกำหนดหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาไว้ในพินัยกรรมของพระองค์
?ดูกร มิตรสหาย พระหัตถ์ศาสนาต้องได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยท่านศาสนภิบาล ทุกคนจะต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาและเชื่อฟังบัญชาของท่านศาสนภิบาล หากใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นพระหัตถ์ศาสนาหรือไม่ ไม่เชื่อฟังและพยายามแบ่งแยกศาสนาความพิโรธของพระผู้เป็นเจ้าจะตามพยาบาทเขา เพราะเขาเป็นผู้ก่อให้เกิดรอยร้าวในศาสนาที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้า?
?หน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาคือการแพร่กระจายสุคนธรสสวรรค์ อบรมวิญญาณของมนุษย์ ส่งเสริมวิชา ปรับปรุงอุปนิสัยใจคอของมนุษย์ทั้งปวง ธำรงความบริสุทธิ์และตัดความผูกพันทางโลกในทุกเวลาและทุกสภาพการณ์ ความประพฤติ กิริยา การกระทำและคำพูดของพวกเขาต้องแสดงถึงความกลัวพระผู้เป็นเจ้า คณะพระหัตถ์ศาสนานี้อยู่ภายใต้การชี้แนะของท่านศาสนภิบาล?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาตามข้อกำหนดในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ท่านได้แต่งตั้งไว้ 3 ครั้งคือ
ครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ.1951 จำนวน 12 คน
ครั้งที่สองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1952 จำนวน 7 คน
ครั้งที่สามเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ.1957 จำนวน 8 คน
ในระหว่างนี้พระหัตถ์ศาสนา 5 ท่านได้เสียชีวิตก่อนท่านโชกิ เอฟเฟนดิ และท่านได้แต่งตั้งทดแทนเป็นจำนวนเท่ากัน เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรม จึงมีกระหัตถ์ศาสนา 27 คน
ตำแหน่งและฐานะของพระหัตถ์ศาสนา
?ตำแหน่งและฐานะของพระหัตถ์ศาสนาอยู่สูงกว่าธรรมสภาแห่งชาติ…ดังนั้นในการเขียนเกี่ยวกับพระหัตถ์ศาสนา เมื่อมีการพาดพิงถึงสถาบันของศาสนาถัดจากท่านศาสนภิบาล ควรกล่าวถึงพระหัตถ์ศาสนาก่อน แล้วจึงตามด้วยสถาบันระดับชาติ?
?ด้วยตำแหน่งอันประเสริฐและหน้าที่เฉพาะเจาะจงของพระหัตถ์ศาสนา จึงไม่เหมาะสมที่จะเลือกตั้งหรือแต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาให้อยู่ในสถาบันบริหาร หรือเลือกตั้งให้เป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ ยิ่งไปกว่านั้น สภายุติธรรมสากลก็ต้องการให้พระหัตถ์ศาสนามีเวลาสำหรับอุทิศพลังงานทั้งหมดต่อหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่กำหนดไว้ในธรรมนิพนธ์ และพระหัตถ์ศาสนาเองก็ต้องการเช่นนี้เช่นกัน?
บทบาทหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนา
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนาซึ่งแต่งตั้งจากสวรรค์ ได้รับการประสาทด้วยอำนาจที่กำหนดไว้ในพินัยกรรมของพระผู้เป็นศูนย์กลางของพระปฏิญญา ให้มีบทบาทสองประการคือ การปกป้องและเผยแพร่ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์?
?วัตถุประสงค์ของเราคือเพื่อแสดงให้เห็นว่า พระหัตถ์ศาสนาต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอ และทันใดที่พบว่าผู้ใดเริ่มต่อต้านและประท้วงท่านศาสนภิบาล จงขจัดเขาออกจากชุมชนของประชาชนแห่งบาไฮโดยไม่ยอมรับข้อแก้ตัวใดๆ จากเขา บ่อยแค่ไหนที่ความผิดพลาดที่ร้ายกาจได้ปลอมแปลงอยู่ในรูปของสัจจะ เพื่อจะหว่านเมล็ดแห่งความสงสัยในหัวใจของมนุษย์?
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนาซึ่งมีหน้าที่ตามที่ระบุไว้ในพระธรรมให้ปกป้องและเผยแพร่ศาสนา มีความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งเป็นพิเศษ ในฐานะที่เป็นผู้ปกป้องศาสนา พระหัตถ์ศาสนาจะทำการขับไล่ผู้ละเมิดพระปฏิญญา และคืนสถานภาพให้เมื่อเขาสำนึกผิดอย่างจริงใจ ซึ่งในแต่ละกรณีจะขึ้นอยู่กับการรับรองของสภายุติธรรมสากล?
บทบาทระหว่างพระหัตถ์ศาสนาและธรรมสภาแห่งชาติ
(ก่อนการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป)
?พระหัตถ์ศาสนาเองจะโต้ตอบจดหมายกับธรรมสภาแห่งชาติที่เกี่ยวข้อง ชี้ให้ธรรมสภาแห่งชาติเห็นปัญหา เพื่อว่าธรรมสภาแห่งชาติจะได้ดำเนินการที่เหมาะสม?
?เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่พระหัตถ์ศาสนาและธรรมสภาแห่งชาติต้องได้รับทราบสถานการณ์ของศาสนาอย่างบริบูรณ์ในพื้นที่รับผิดชอบของตน ดังนั้นเราขอให้คุณตกลงกับพระหัตถ์ศาสนาในทวีปเกี่ยวกับวิธีติดต่อสื่อสารกันที่ง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า การแบ่งปันบันทึกการประชุมของธรรมสภาแห่งชาติให้กับพระหัตถ์ศาสนาเป็นเรื่องที่แต่ละธรรมสภาแห่งชาติจะตัดสินใจเอง แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณที่จะป้อนข้อมูลทั้งหมดให้พระหัตถ์ศาสนาทราบอย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่องานของพระหัตถ์ศาสนารวมทั้งรายงานของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง?
?ในการปฏิบัติหน้าที่เผยแพร่ศาสนา พระหัตถ์ศาสนาจะดลใจแนะนำและช่วยเหลืองานของธรรมสภาแห่งชาติดังที่เคยทำในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ โดยได้รับความช่วยเหลือจากอนุกรผู้ซึ่งจะยังคงปฏิบัติหน้าที่ตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ วางไว้เช่นกัน?
บทบาทของพระหัตถ์ศาสนาภายหลังการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
ท่านศาสนภิบาลได้ให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งคณะอนุกรครั้งแรกในปี ค.ศ.1954 จำนวน 36 คน และในปีค.ศ.1957 ท่านให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งอนุกรเพิ่มขึ้นอีก 36 คน รวมเป็น 72 คน พระหัตถ์ศาสนามีหน้าที่เป็นผู้ชี้แนะและกำกับคณะอนุกรเพื่อรับผิดชอบการปกป้องและเผยแพร่ศาสนา รวมทั้งแนะนำและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ เมื่อสภายุติธรรมสากลแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีปในปีค.ศ.1968 ภาระเหล่านี้จึงเปลี่ยนมาอยู่กับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป แล้วบทบาทของพระหัตถ์ศาสนาจึงเปลี่ยนไปเป็นระดับข้ามทวีป เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและสภายุติธรรมสากล และเป็นตัวแทนของสภายุติธรรมสากลในงานสำคัญต่างๆ
?พระหัตถ์ศาสนายุติการรับผิดชอบในการชี้แนะคณะอนุกร ซึ่งกลายมาเป็นสถาบันที่คอยสนับสนุนคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?พระหัตถ์ศาสนาคือทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งที่โลกบาไฮมีอยู่ เมื่อพ้นจากการบริหารงานของคณะอนุกร พระหัตถ์ศาสนาจะสามารถทุ่มเทพลังงานให้กับความรับผิดชอบเบื้องต้นได้มากกว่าคือ การปกป้องและเผยแพร่ อภิรักษ์สุขภาพจิตใจของชุมชนบาไฮและพลังความศรัทธาของบาไฮทั่วโลก สภายุติธรรมสากลจะขอให้พระหัตถ์ศาสนารับบทบาทพิเศษในนามของตน คือเป็นตัวแทนของธรรมสภายุติธรรมสากลทั้งในงานบาไฮและโอกาสอื่นๆ และคอยแจ้งให้ธรรมสภายุติธรรมสากลรับทราบความผาสุกของศาสนา แม้โดยธรรมดาแล้วพระหัตถ์ศาสนาจะสนใจกิจการศาสนาในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่เป็นพิเศษ แต่พระหัตถ์ศาสนาจะปฏิบัติการในระดับระหว่างทวีปมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนนำอย่างมหาศาลต่อการแพร่กระจายแรงดลใจให้บาไฮทั่วโลก เป็นหัวหน้าผู้อารักขาของสหพันธรัฐแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ที่ยังเป็นตัวอ่อนอยู่?
?พระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างสภายุติธรรมสากลและคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?พระหัตถ์ศาสนามีสิทธิพิเศษและหน้าที่ในการปรึกษากับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องที่ตนคิดว่ามีผลกระทบต่อศาสนา?
?ด้วยฐานะที่สูงส่งและกิจกรรมที่หลากหลายของพระหัตถ์ศาสนาซึ่งกินขอบเขตข้ามทวีป จำเป็นที่คณะที่ปรึกษาข้ามทวีปต้องให้ความร่วมมือเต็มที่กับพระหัตถ์ศาสนาแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ที่นั่นหรือเดินทางผ่านมา และต้องให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนที่พระหัตถ์ศาสนาจำเป็นต้องทราบเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาเอง คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรเสนอตนรับใช้หรือเสนอการรับใช้ของอนุกรให้กับพระหัตถ์ศาสนา?
?ขอให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปส่งสำเนาบันทึกการประชุมของตนและรายงานอื่นๆ ให้กับพระหัตถ์ศาสนาในพื้นที่นั้น…คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรต้อนรับพระหัตถ์ศาสนาให้เข้าร่วมประชุมและร่วมปรึกษาหารือ?
บทบาทในการเป็นหัวหน้าผู้อารักขานำโลกบาไฮไปสู่การสถาปนาสภายุติธรรมสากล
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้เริ่มแผนงานครูเสดสิบปีเมื่อปี ค.ศ.1953 แต่ท่านถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1957 ซึ่งแผนงานดำเนินได้เพียงครึ่งทาง พระหัตถ์ศาสนาได้นำทางโลกบาไฮให้ดำเนินแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ต่อไปให้บรรลุเป้าหมายจนสิ้นสุดแผนงานในปี ค.ศ.1963 ในแผนงานเหลือธรรมสภาแห่งชาติที่จะต้องก่อตั้งอีก 16 แห่งเพื่อให้ครบ 48 แห่ง เมื่อสิ้นสุดแผนงานปรากฏว่าทำได้เกินเป้าหมายคือมีธรรมสภาแห่งชาติทั้งหมด 56 ประเทศเป็นฐานของการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากลครั้งแรกในปี ค.ศ.1963
หากพิจารณาเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดกับศาสนาในอดีตจะเห็นได้ว่าช่วงเวลา 6 ปี ระหว่างที่ท่าน โชกิ เอฟเฟนดิ ถึงแก่กรรมจนถึงการสถาปนาสภายุติธรรมสากล เป็นช่วงเวลาที่ล่อแหลมมากช่วงหนึ่ง ในช่วง 6 ปีนี้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของศาสนาคือพระหัตถ์ศาสนา 27 ท่าน อีกทั้งชุมชนบาไฮก็กระจายกันอยู่ในหลายประเทศทุกทวีป หากพระหัตถ์ศาสนาไม่ซื่อสัตย์อยากเป็นผู้นำแล้วแย่งอำนาจกัน ก็อาจทำให้ศาสนาบาไฮแตกกออกเป็นนับสิบนิกาย ดังที่ผู้นำศาสนาในอดีตเคยทำมาแล้ว และธรรมสภาแห่งชาติที่กระจายกันอยู่ทั่วโลกก็อาจตั้งตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับใครแล้วตั้งนิกายใหม่ แต่ด้วยอำนาจพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ที่คอยปกป้องเอกภาพของศาสนา พระหัตถ์ศาสนาได้ร่วมใจกันคอยชี้แนะธรรมสภาแห่งชาติและบาไฮทั่วโลกให้ดำเนินงานต่อตามแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิให้สำเร็จ และทำการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากลในปี ค.ศ.1963 ยกเว้นแต่มีเรื่องน่าเศร้าคือ พระหัตถ์ศาสนาคนหนึ่งได้หลงอำนาจแล้วอวดอ้างตนเป็นผู้นำศาสนาต่อจากท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งก็ต้องพบชะตาเดียวกันกับบรรดาผู้ละเมิดพระปฏิญญาทั้งหลายที่มีมาตลอดตั้งแต่เริ่มศาสนา
ถึงแม้จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุดขณะนั้น และแม้ว่าตนจะได้รับการยกย่องจากพระบาฮาอุลลาห์ว่ามีคุณธรรมสูงส่ง แต่พระหัตถ์ศาสนาทั้ง 26 ท่านก็ตระหนักว่า พระบาฮาอุลลาห์มิได้รับประกันว่า พวกตนจะนำทางโลกบาไฮได้อย่างไม่มีผิดพลาดซึ่งเป็นการประกันที่ให้สำหรับสภายุติธรรมสากลเท่านั้น ดังนั้นพระหัตถ์ศาสนาจึงดำเนินแผนงานของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ต่อด้วยความซื่อสัตย์ เพื่อไปสู่การสถาปนาสภายุติธรรมสากล และเมื่อถึงการเลือกตั้งสภายุติธรรมสากล พระหัตถ์ศาสนาก็ประกาศขอให้บาไฮอย่าลงคะแนนเลือกพวกตนเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล สภายุติธรรมสากลได้สรรเสริญบทบาทอันสูงส่งครั้งนี้ของพระหัตถ์ศาสนาว่า
?ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นผู้อารักขาศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า พระหัตถ์ศาสนาตระหนักว่า เนื่องด้วยพวกตนไม่ได้รับการนำทางจากสวรรค์ที่แน่นนอนดังที่รับประกันให้กับท่านศาสนภิบาลและสภายุติธรรมสากล แนวทางที่ปลอดภัยของพวกตนคือ การปฏิบัติตามคำสั่งและนโยบายของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ด้วยความมั่นคงแน่วแน่ ตลอดประวัติศาสนาไม่เคยมีบันทึกที่เปรียบได้กับการควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัด ความซื่อสัตย์อย่างแท้จริงและความเสียสละเช่นนี้ ที่บรรดาผู้นำของศาสนาหนึ่งพบว่าตนเองถูกพรากจากการนำทางของสวรรค์โดยฉับพลัน หนี้บุญคุณที่มนุษยชาติหลายชั่วอายุคนและหลายยุคข้างหน้ามีต่อดวงวิญญาณผู้เป็นวีรชน มั่นคงและทุกข์ระทมจำนวนหยิบมือนี้ ไม่สามารถประเมินได้?
คณะที่ปรึกษาประทวีป
ตามพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ เท่านั้นที่มีสิทธิ์แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนา สภายุติธรรมสากลไม่มีสิทธิ์นี้ ดังนั้นพระหัตถ์ศาสนา 27 ท่านที่มีอยู่เมื่อท่านโชกิ เอฟเฟนดิถึงแก่กรรม จะต้องชราภาพและเสียชีวิตหมดในอนาคตโดยที่แต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนาคนใหม่มาทดแทนไม่ได้ เพื่อเป็นการสืบทอดหน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาให้คงอยู่ต่อไปในอนาคตสภายุติธรรมสากลจึงสถาปนาคณะที่ปรึกษาประจำทวีปในปี ค.ศ.1968 ให้เข้ามารับบทบาทแทนพระหัตถ์ศาสนา กำกับคณะอนุกรและให้คำแนะนำธรรมสภา
?ภายหลังอสัญกรรมของท่านศาสนภิบาล เป็นหน้าที่ของสภายุติธรรมสากลที่จะคิดวิธีในระบบบริหาร เพื่อพัฒนาสถาบันพระหัตถ์ศาสนา เพื่อให้หน้าที่ของพระหัตถ์ศาสนาคงอยู่ต่อไปในอนาคตคือการปกป้องและเผยแพร่ และสิ่งนี้คือเป้าหมายหนึ่งในแผนงานเก้าปี…สภายุติธรรมสกลจึงได้ตัดสินใจดังที่ประกาศไว้ในโทรเลขเมื่อเร็วๆ นี้ คือสถาปนาคณะที่ปรึกษาประจำทวีปสำหรับปกป้องและเผยแพร่ศาสนา?
?พระหัตถ์ศาสนามีหน้าที่สำคัญคือเผยแพร่และปกป้องศาสนาแม้ว่าท่านที่ปรึกษาจะดำรงตำแหน่งที่ต่ำกว่าพระหัตถ์ศาสนาแต่ก็มีหน้าที่รับผิดชอบสองประการนี้เช่นเดียวกัน และเจริญรอยตามพระหัตถ์ศาสนา?
?นับแต่นี้ไป คณะอนุกรฝ่ายปกป้องและเผยแพร่ศาสนาจะรายงานไปยังคณะที่ปรึกษาศาสนา ผู้ซึ่งจะแต่งตั้งอนุกรตามความจำเป็นของสภาพแวดล้อม การแต่งตั้งดังกล่าวซึ่งอาจจำเป็นในระยะเริ่มต้น จะกระทำภายหลังจากปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาที่เคยรับผิดชอบทวีปหรือเขตนั้นๆ?
?การแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีป เป็นการปลดปล่อยพระหัตถ์ศาสนาจากหน้าที่บริหารที่เกี่ยวกับการกำกับคณะอนุกร ช่วยให้พระหัตถ์ศาสนาสามารถเดินทางระหว่างประเทศและข้ามทวีปและเปิดโอกาสให้ท่านที่ปรึกษาได้รับประโยชน์จากคำแนะนำและประสบการณ์ของพระหัตถ์ศาสนา?
การแต่งตั้ง พื้นที่รับผิดชอบ และวาระของการเป็นท่านทีปรึกษา
?สมาชิกของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะได้รับการแต่งตั้งโดยสภายุติธรรมสากล จำนวนท่านที่ปรึกษาในแต่ละคณะ…จะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?วาระของการเป็นท่านที่ปรึกษา…จะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?ท่านที่ปรึกษาปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวภายในขอบเขตงานของตนเท่านั้น หากท่านที่ปรึกษาย้ายที่อยู่ออกไปนอกเขตที่ตนได้รับแต่งตั้ง เท่ากับว่าเขาหมดสถานภาพการเป็นท่านที่ปรึกษา?
?ขอบเขตพื้นที่สำหรับปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคณะที่ปรึกษาศาสนาจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
สภายุติธรรมสากลแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประจำทวีปครั้งแรกในปี ค.ศ.1968 ประกอบด้วยท่านที่ปรึกษาศาสนา 36 คน ห้าปีต่อมาจำนวนท่านที่ปรึกษาเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 57 คน และในปี ค.ศ.1980 สภายุติธรรมได้กำหนดวาระของการเป็นท่านที่ปรึกษาคราวละ 5 ปี เริ่มนับตั้งแต่วันพระปฏิญญา คือ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1980 ซึ่งครั้งนั้นได้แต่งตั้งคณะท่านที่ปรึกษาไว้ทั้งหมด 71 คน ครั้งล่าสุดสภายุติธรรมได้แต่งตั้งคณะท่านที่ปรึกษา 5 ทวีปประกอบด้วยท่านที่ปรึกษา 72 คน เริ่มต้นวาระวันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1990
ฐานะและตำแหน่งของคณะท่านที่ปรึกษาประจำทวีป
?ท่านที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าพระหัตถ์ศาสนา?
?แม้บทบาทของท่านที่ปรึกษาคือการแนะนำ สนับสนุนส่งเสริมและไม่มีอำนาจทางนิติ–บัญญัติหรือบริหาร กระนั้นก็ตามท่านที่ปรึกษาอยู่ในตำแหน่งสูงกว่าธรรมสภาแห่งชาติหรือสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติ?
?คำแถลงที่ว่าคณะที่ปรึกษาประจำทวีปอยู่สูงกว่าสถาบันระดับชาติของศาสนานั้นมีหลายความหมาย คณะที่ปรึกษาประจำทวีปมีความรับผิดชอบพิเศษในการปกป้องและเผยแพร่ศาสนาทั่วทั้งทวีป ซึ่งประกอบด้วยชุมชนบาไฮระดับชาติหลายชุมชน ในการปฏิบัติหน้าที่นี้ คณะที่ปรึกษาประจำทวีปได้กำกับหรือสั่งการธรรมสภาหรือบาไฮแต่ละบุคล แต่อยู่ในตำแหน่งที่รับประกันว่า ตนจะได้รับการให้ข้อมูลอย่างเหมาะสม และธรรมสภาจะให้ความสำคัญต่อคำแนะนำของตน อย่างไรก็ตามแก่นของความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันบาไฮทั้งหลายคือการปรึกษาหารือด้วยความรัก และความปรารถนาร่วมกันที่จะรับใช้ศาสนาหาใช่เรื่องของตำแหน่งหรือฐานะไม่?
?เป็นที่ชัดเจนจากธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา รวมทั้งการตีความของท่าศาสนภิบาล นั่นคือ การปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมในสังคมมนุษย์ จำเป็นต้องมีตำแหน่งและชั้นในหมู่สมาชิกในสังคม มิตรสหายควรยอมรับสิ่งนี้โดยไม่อิจฉาริษยา?
?และหนึ่งในอาณาจักรของเอกภาพคือเอกภาพของตำแหน่งและฐานะ เป็นเอกภาพที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองของศาสนา และสดุดีศาสนาต่อประชาชนทั้งปวง ตั้งแต่เริ่มมีความอยากเด่นและเหนือหน้าคนอื่น โลกได้สิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์ กลายเป็นที่อ้างว้าง บรรดาผู้ที่ได้ดื่มสุธารสแห่งพจนาสวรรค์ และตั้งจิตสู่อาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ ควรพิจารณาตนเองว่าเป็นชีวิตหนึ่งที่อยู่ในระดับเดียวกันกับชีวิตอื่นและอยู่ในฐานะเดียวกัน หากเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์และสาธิตเป็นที่แน่นอนโดยอานุภาพและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า โลกจะกลายเป็นสวรรค์อับ–ฮา
ที่จริงแล้วมนุษย์นั้นประเสริฐ เนื่องด้วยแต่ละคนเป็นที่ฝากสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า กระนั้นก็ตามการพิจารณาว่าตนเองเหนือกว่าในด้านความรู้ วิชา คุณธรรม ยกตัวเองหรือพยายามเหนือหน้าคนอื่น เป็นการละเมิดที่ร้ายแรง พระพรที่ยิ่งใหญ่จงมีแด่ผู้ที่ประดับด้วยอลงกรณ์แห่งเอกภาพนี้ และได้รับพลังจากพระผู้เป็นเจ้า?
?สภายุติธรรมสากลหวังว่า มิตรสหายทุกคนจะระลึกได้ว่า จุดมุ่งหมายสุดท้ายของชีวิตสำหรับทุกวิญญาณควรเป็นการบรรลุความสมบูรณ์เลิศด้านคุณธรรม เพื่อให้เป็นที่ยินดีของพระผู้เป็นเจ้า ฐานะที่แท้จริงของวิญญาณดวงใดก็ตาม พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่รู้ ซึ่งแตกต่างจากตำแหน่งฐานะที่บุรุษและสตรีทั้งหลายดำรงอยู่ในสังคม ใครก็ตามที่ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุความยินดีของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะยอมรับงานหรือฐานะใดก็ตามของศาสนาที่มอบหมายให้กับเขาอย่างเบิกบานหรรษา และจะปิติในการรับใช้พระองค์ในทุกสภาพการณ์?
?ด้วยตำแหน่งและหน้าที่เฉพาะเจาะจง ท่านที่ปรึกษาจึงไม่มีสิทธิ์จะรับใช้ในสถาบันบริหารระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติ หากได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล ผู้นั้นจะสิ้นสุดการเป็นท่านที่ปรึกษา?
บทบาทหน้าที่ของคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะติดต่อกับสภายุติธรรมสากลโดยอาศัยพระหัตถ์ศาสนาเป็นตัวกลาง และเมื่อมีการสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติในปี ค.ศ.1973 ศูนย์กลางการเผยแพร่นานาชาติจึงทำหน้าที่เป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและสภา–ยุติธรรมสากล คณะที่ปรึกษาประจำทวีปเข้ารับบทบาทหน้าที่ที่เคยเป็นของพระหัตถ์ศาสนามาก่อน คือการชี้แนะและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ กำกับและชี้แนะคณะอนุกร
?หน้าที่ของท่านที่ปรึกษารวมถึงการกำกับอนุกรในพื้นที่ของตน ปรึกษาและร่วมมือกับธรรมสภาแห่งชาติ คอยแจ้งให้พระหัตถ์ศาสนาและสภายุติธรรมสากลรับทราบสภาพการณ์ของศาสนาในพื้นที่ของตน?
?ท่านที่ปรึกษามีความรับผิดชอบในการกระตุ้น ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ ทำงานร่วมกับบาไฮบางคน กลุ่มบาไฮ และธรรมสภาท้องถิ่น?
?อำนาจในการขับไล่และคืนสภาพให้ผู้ละเมิดพระปฏิญญายังคงอยู่กับพระหัตถ์ศาสนา ทุกกรณีดังกล่าวจะไต่สวนในระดับท้องถิ่นโดยคณะที่ปรึกษาประจำทวีปด้วยการปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาที่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและพระหัตถ์ศาสนาที่เกี่ยวข้อง จะส่งรายงานไปยังศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพื่อพิจารณา?
ในจดหมายลงวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ.1981 ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติได้แจ้งให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปรับทราบเป้าหมายหนึ่งของแผนงานเจ็ดปี คือการรับบทบาทหน้าที่กว้างขึ้นกว่าเดิมคือ เกื้อกูลศีลธรรมของบาไฮและชุมชน ส่งเสริมรากฐานของชีวิตครอบครัว จัดอบรม กระตุ้นและสนับสนุนงานสอนศาสนา พิจารณาช่วยเหลือด้านการเงินในเรื่องการพิมพ์หนังสือบาไฮ ส่งเสริมให้บาไฮเป็นนักวิชาการ สนับสนุนการเงินสำหรับโครงการสอนศาสนาพิเศษ
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปและคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป
?การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป ได้รับการทบทวนและปรับปรุงเพื่อช่วยให้พวกเขาร่วมมือกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติได้ใกล้ชิดมากขึ้น…นับแต่นี้ไป สมาชิกของคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปจะได้รับการแต่งตั้งโดยสภายุติธรรมสากล?
?คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปขึ้นโดยตรงต่อสภายุติธรรมสากล มิได้เป็นประเภทเดียวกับคณะกรรมการแห่งชาติ และควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดโดยตรงกับคณะที่ปรึกษาในพื้นที่นั้น การร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดนี้ออกแบบไว้เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนกันและรับประกันการส่งข้อมูลที่ถูกต้อง?
?ในทุกกรณี คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปควรขอความเห็นและคำแนะนำจากท่านที่ปรึกษาที่เหมาะสม เมื่อตนคิดว่าจะเป็นการช่วยตัดสินใจว่า จะแนะนำอะไรให้กับอาสาสมัครหรือธรรมสภาแห่งชาติ
ในการจัดวงจรสำหรับครูเดินทาง คณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปจะอาศัยข้อมูลล่าสุดในปัจจุบันที่ได้มาจากคณะที่ปรึกษาประจำทวีป และคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปไม่ควรลังเลที่จะเสนอเรื่องไปยังท่านที่ปรึกษาเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับบาไฮที่อาสาสมัครจะเดินทาง?
?นอกเหนือจากโควตาที่สภายุติธรรมสากลกำหนดไว้ให้แล้วก็ยังมักจะมีความต้องการอาสาสมัครเพิ่มอีก เช่น เมื่อมีอาสาสมัครย้ายออกจากท้องถิ่นเป้าหมาย ก็ต้องหาคนไปแทน ความต้องการดังกล่าวไม่ต้องเสนอเรื่องมายังสภายุติธรรมสากล แต่จัดทำได้เลยโดยธรรมสภาแห่งชาติขอไปยังคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีป และ หรือ โดยการปรึกษาหารือกับคณะกรรมการอาสาสมัครประจำทวีปและท่านที่ปรึกษา?
ในจดหมายลงวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ.1974 ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติกล่าวไว้ว่า
?ความต้องการอาสาสมัครที่คาดการณ์ไว้ควรบอกจำนวนอาสาสมัครที่ต้องการ ชื่อของประเทศที่จะส่งอาสาสมัคร ระบุสัญชาติที่ควรส่งไปและไม่ควรส่งไป สภายุติธรรมสากลคิดว่า คณะที่ปรึกษาประจำทวีปควรปรึกษาหารือกับคณะกรรมการอาสาสมัครในเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะส่งข้อเสนอแนะไปยังศูนย์กลางแห่งโลก?
ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติ
หนึ่งในสถาบันที่สะเทือนพิภพ โอบอ้อมพิภพและอำนวยการพิภพ
?ต้องเป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน…ว่าการที่สุสานของใบไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ใกล้ชิดกับสุสานของอนุชาและพระมารดา เป็นการเสริมอำนาจธรรมสุดคณนาให้กับบริเวณศักดิ์สิทธิ์นั้น ซึ่งอยู่ภายใต้รัศมีของสุสานของพระบ๊อบและใกล้ชิดกับมัชชริคุล อัคคาร์ ในอนาคตซึ่งจะสร้างขึ้นมาขนาบข้าง บริเวณดังกล่าวนี้ถูกกำหนดให้วัฒนาขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของสถาบันบริหารต่างๆ ที่สะเทือนพิภพ โอบล้อมพิภพและอำนวยการพิภพ ตามที่พระบาฮาอุลลาห์บัญญัติไว้ และพระอับดุลบาฮาคาดหวังไว้ ซึ่งจะปฏิบัติหน้าที่อย่างสอดคล้องกับหลักธรรมที่กำกับสถาบันคู่คือศาสนาภิบาลและสภายุติธรรมสากล เมื่อนั้นและเพียงเมื่อนั้น คำพยากรณ์ที่เรืองรองอยู่ในวรรคปิดท้ายของธรรมจารึกคาร์เมลจะบรรลุผล: ในไม่ช้าพระผู้เป็นเจ้าจะแล่นเรือแห่งความรอดพ้นบนเจ้า และจะแสดงประชาชนแห่งบาฮาให้ปรากฏ ผู้ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์แห่งนาม?
ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเป็นหนึ่งในสถาบันที่ ?สะเทือนพิภพ โอบล้อมพิภพและอำนวยการพิภพ? ตามที่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิกล่าวไว้ สภายุติธรรมสากลได้ปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาอยู่หลายปี จนในที่สุดได้ตัดสินใจสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติในปี ค.ศ.1973 เป็นเวลาครบรอบ 100 ปีนับจากการเปิดเผยคัมภีร์ตาบี อัคดัส เพื่อเป็นการสืบทอดสถาบันพระหัตถ์ศาสนาต่อไปในอนาคต สมาชิกของสถาบันนี้ประกอบด้วยพระหัตถ์ศาสนาทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ขณะนั้น 17 ท่าน แต่สมาชิกที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ศูนย์กลางแห่งโลกมี 7 ท่าน คือ พระหัตถ์ศาสนา 4 ท่าน ที่อาศัยอยู่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และท่านที่ปรึกษาอีก 3 คน สภายุติธรรมสากลได้ประกาศการสถาปนาไว้ว่า
?เวลานี้ได้ฤกษ์แล้วสำหรับการสถาปนาศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติ เป็นพัฒนาการที่งอกเงยมาจากผลงานของพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งเป็นการสืบทอดงานของพระหัตถ์ศาสนาต่อไปในอนาคต เชื่อมสถาบันคณะที่ปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม และเสริมกำลังให้กับการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของสภายุติธรรมสากลที่เพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว?
?หน้าที่ที่มอบหมายให้กับสถาบันที่เกิดใหม่นี้คือ ประสานงาน กระตุ้นและกำกับกิจกรรมทั้งหลายของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและเป็นตัวกลางติดต่อระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปกับสภายุติธรรมสากล
รับทราบสถานการณ์ของศาสนาในทุกดินแดน และด้วยความรู้ที่ทราบมานี้ จะสามารถส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังสภายุติธรรมสากล และให้คำแนะนำต่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ตื่นตัวต่อความเป็นไปได้ทั้งภายในและภายนอกชุมชนบาไฮ เพื่อที่จะขยายงานสอนศาสนาไปยังพื้นที่ที่ตอบสนองและขัดสน และแจ้งให้สภายุติธรรมสากลและคณะที่ปรึกษาประจำทวีปทราบถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว พร้อมกับให้ข้อเสนอแนะ
คาดการณ์และกำหนดความต้องการด้านวรรณกรรม อาสาสมัคร ครูเดินทาง และวางแผนงานสอนศาสนาทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกเพื่อให้สภายุติธรรมสากลรับรอง?
?อำนาจในการขับไล่และคืนสภาพให้กับผู้ละเมิดพระปฏิญญายังคงอยู่กับพระหัตถ์ศาสนา ทุกกรณีดังกล่าวคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะไต่สวนในระดับท้องถิ่น และปรึกษาหารือกับพระหัตถ์ศาสนาที่อยู่ในพื้นที่ จากนั้นคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและพระหัตถ์ศาสนาที่เกี่ยวข้องจะรายงานไปยังศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพื่อพิจารณา การตัดสินใจว่าจะขับไล่หรือคืนสถานภาพให้หรือไม่จะกระทำโดยพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งจะเสนอคำตัดสินใจนั้นไปให้สภายุติธรรมสากลเพื่อขอการรับรอง?
10 ปีต่อมาคือปี ค.ศ.1983 พระหัตถ์ศาสนาที่ยังมีชีวิตอยู่เหลือเพียง 10 ท่านและอาศัยอยู่ที่ศูนย์กลางแห่งโลกมีเพียง 2 ท่าน สภายุติธรรมสากลได้เริ่มขั้นตอนใหม่ของสถาบันนี้ โดยการแต่งตั้งสมาชิกศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติเพิ่มเป็น 9 ท่าน ประกอบด้วยพระหัตถ์ศาสนา 2 ท่าน และท่านที่ปรึกษาอีก 7 ท่าน และกำหนดวาระของสมาชิกภาพไว้คราวละ 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม ซึ่งจะมีการแต่งตั้งใหม่ทุก 5 ปีภายหลังการประชุมนานาชาติที่เลือกตั้งสภายุติธรรมสากล
ท่านที่ปรึกษาที่เป็นสมาชิกของศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติจะมีบทบาทเป็นท่านที่ปรึกษาเสมอไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ซึ่งควรได้ประชุมกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปที่ตนเดินทางไป ต่างจากท่านที่ปรึกษาประจำทวีปซึ่งจะมีบทบาทเฉพาะในทวีปของตน หากออกจากทวีปนั้นตนจะหมดบทบาทการเป็นท่านที่ปรึกษา
คณะอนุกร
การแต่งตั้งและสถานภาพ
คณะอนุกรเป็นสถาบันที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาครั้งแรก 36 คน โดยท่านโชกิ เอฟเฟนดิ มอบหมายให้พระหัตถ์ศาสนาเป็นผู้แต่งตั้งในปี ค.ศ.1954 ต่อมาปี ค.ศ.1957 ท่านศาสนภิบาลได้ให้พระหัตถ์ศาสนาแต่งตั้งเพิ่มอีกเท่าตัวคือ 36 คนให้เป็นอนุกรฝ่ายปกป้อง รวมเป็น 72 คน คณะอนุกรเป็นผู้ช่วยของพระหัตถ์ศาสนาจนกระทั่งปี ค.ศ.1968 เมื่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีปได้รับการสถาปนาขึ้นและเข้ามารับบทบาทแทนพระหัตถ์ศาสนาในการกำกับและชี้แนะคณะอนุกร คณะอนุกรจึงเปลี่ยนมาขึ้นกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีปโดยตรง ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วย เป็นตัวแทนและให้ข้อเสนอแนะต่อคณะที่ปรึกษาประจำทวีป
มาถึงปี ค.ศ.1973 จำนวนอนุกรได้เพิ่มขึ้นเป็น 270 คน ซึ่งในปีเดียวกันนี้สภายุติธรรมสากลได้มอบหมายให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปพิจารณาให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยของตนได้ สภายุติธรรมสากลได้กำหนดจำนวนอนุกรครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.1991 เป็น 846 คนทั่วโลก มีวาระ 5 ปีนับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน ค.ศ.1991
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะแต่งตั้งใครเป็นอนุกรให้ครบตามจำนวนที่สภายุติธรรมสากลกำหนด จะกำหนดพื้นที่รับผิดชอบให้อนุกรแต่ละคน และในแต่ละเขตควรมีทั้งอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ อนุกรจะหมดบทบาทการเป็นอนุกรเช่นกันเมื่อออกนอกพื้นที่ของตน
?ในแต่ละเขตจะมีอนุกรสองคน คนหนึ่งสำหรับปกป้อง อีกคนหนึ่งสำหรับเผยแพร่ จำนวนอนุกรจะกำหนดโดยสภายุติธรรมสากล?
?สมาชิกคณะอนุกรจะมาจากบาไฮในเขตนั้นที่ได้รับการแต่งตั้งโดยคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?อนุกรแต่ละคนจะได้รับมอบพื้นที่เฉพาะในการรับใช้ และจะไม่มีหน้าที่ในฐานะอนุกรนอกพื้นที่นั้น นอกจากว่าท่านที่ปรึกษาแต่งตั้งให้เป็นตัวแทน?
?ดังที่คุณทราบแล้ว ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เน้นย้ำความสำคัญที่อนุกรจะต้องไปเยี่ยมธรรมสภาและกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของตน แม้ว่ารายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งตั้งและการปฏิบัติงานของอนุกรจะขึ้นอยู่กับท่านที่ปรึกษา แต่เมื่อคำนึงถึงคำแนะนำของท่านศาสนภิบาลที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ ในการแต่งตั้งอนุกรคนใหม่ ท่านที่ปรึกษาควรพิจารณาถึงความเหมาะสมที่ว่า ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งควรอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เขารับใช้?
?รายละเอียดเกี่ยวกับว่าคณะอนุกรจะปฏิบัติงานอย่างไรขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของพระหัตถ์ศาสนา คณะอนุกรขึ้นต่อพระหัตถ์ศาสนาและมิได้เป็นคณะกรรมการ จึงมีอิสระที่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คณะอนุกรไม่จำเป็นต้องมีสำนักงาน สมาชิกของคณะอนุกรต้องได้รับมอบพื้นที่ต่างๆ สำหรับปฏิบัติงาน?
?คณะอนุกรจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน ผู้ช่วยและผู้ให้คำแนะนำกับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?อนุกรควรส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังท่านที่ปรึกษาอย่างสม่ำเสมอ?
?แต่ละเขตควรแบ่งสำหรับอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ เพื่อว่าบาไฮในทุกท้องถิ่นจะมีอนุกรทั้งสองฝ่ายที่พวกเขาจะไปหาได้?
?เป็นที่น่าปรารถนาหากท้องถิ่นในแต่ละเขตมีทั้งอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่รับผิดชอบอยู่ กระนั้นก็ตาม ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปที่จะมอบให้อนุกรเพียงคนเดียวรับผิดชอบพื้นที่หนึ่ง หากเชื่อว่าเป็นการดีกว่าตามสภาพการณ์ของพื้นที่นั้น?
?อย่างไรก็ตามพื้นที่รับผิดชอบของอนุกรฝ่ายปกป้องและฝ่ายเผยแพร่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่อาจซ้อนกันได้?
?เราได้ทบทวนหลายคำถามที่คุณยกขึ้นมาในจดหมายลงวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ.1966 เกี่ยวกับว่า อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น เป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ หรือเป็นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่
ในการเลือกตั้งทั้งสามนี้ อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้ง ดังนั้นบัตรเลือกตั้งไม่ควรถือเป็นโมฆะเพราะว่ามีชื่อของอนุกรอยู่ หลักการคืออนุกรผู้นั้นต้องตัดสินเองว่า ตนจะเข้ารับตำแหน่งที่ได้รับเลือกหรือไม่?
?อนุกรมีสิทธิ์ได้รับเลือกตั้ง แต่ถ้าท่านได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งบริหารในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น อนุกรต้องตัดสินใจว่า จะเป็นสมาชิกคณะอนุกรต่อไปหรือเข้ารับตำแหน่งบริหารนั้น เพราะเขาจะรับใช้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันไม่ได้ ถ้าได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุติธรรมสากล เขาจะสิ้นสุดการเป็นอนุกร?
?สมาชิกคณะอนุกรควรเป็นอิสระจากความรับผิดชอบด้านงานบริหาร รวมทั้งการรับใช้ในคณะกรรมการหรือเป็นผู้แทนไปประชุมแห่งชาติ?
?หากจำนวนสมาชิกในชุมชนบาไฮลดลงเหลือ 9 คนเมื่อนับอนุกรด้วย อนุกรสามารถเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นชั่วคราวเพื่อรักษาสถานภาพของธรรมสภาท้องถิ่น?
?บาไฮผู้ใหญ่ทุกคนรวมทั้งอนุกรมีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนและธรรมสภาท้องถิ่น?
ปฏิบัติงานในระดับรากหญ้าของชุมชน
ธรรมสภาท้องถิ่นมีอำนาจบริหารและเป็นผู้ปกครองบาไฮในท้องถิ่น เปรียบเสมือนพ่อแม่ที่บาไฮในท้องถิ่นควรเข้าหา อนุกรอาจเปรียบได้กับ พี่ ป้า น้า อา บางครั้งบาไฮอาจอยากปรึกษากับ พี่ ป้า น้า อา ก่อนเข้าหาพ่อแม่ อนุกรเหมือนกับเป็นหูเป็นตาที่คอยช่วยธรรมสภาท้องถิ่นสอดส่องดูแล และกระตุ้นบาไฮในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ตามแผนงาน ธรรมสภาท้องถิ่นควรรู้คุณค่า ของการช่วยเหลือและปรึกษาหารือกับอนุกร อนุกรจะปฏิบัติงานในระดับรากหญ้าของชุมชน เพื่อช่วยพัฒนาบาไฮในท้องถิ่นให้เป็นรากฐานที่แข็งแรงของระบบบริหารบาไฮ
?อิทธิพลของคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและงานของคณะอนุกรต้องพัฒนาและแพร่กระจายไปทั่วโครงสร้างของชุมชนบาไฮ?
?กิจกรรมสำคัญที่ประเทืองคุณภาพชีวิของบาไฮคือการพัฒนาธรรมสภาท้องถิ่น เพราะสถาบันนี้ปฏิบัติการในระดับพื้นฐานของสังคมมนุษย์ จึงมีศักยภาพที่จะทำนุบำรุงการเจริญเติบโตของชุมชนบาไฮอย่างสมบูรณ์พูนสุข กล่าวคือไม่ว่าธรรมสภาแห่งชาติและทีมงานจะมีประสิทธิภาพเพียงไร ไม่ว่าคณะกรรมการแห่งชาติจะทำหน้าที่อย่างแข็งขันเพียงไร ฐานที่มั่นคงสำหรับการแพร่ข่าวสารออกไปกว้างไกลจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อธรรมสภาท้องถิ่นเริ่มปฏิบัติงานอย่างแข็งขัน?
?ในระดับท้องถิ่นของชุมชนบาไฮซึ่งเป็นรากฐานของโครงสร้างบริหารของศาสนานี้เอง ที่เรามักพบว่ายังขาดประสิทธิภาพและความเข้มแข็ง ในระดับนี้เองที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เร่งเร้าอนุกรให้ติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ ศูนย์ที่โดดเดี่ยวและบาไฮแต่ละคน และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของแผนงาน ช่วยการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รีรอ เฝ้าระวังความปลอดภัยของศาสนา กระตุ้นส่งเสริมงานการสอนศาสนาและอาสาสมัคร ทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและความเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม โดยการไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะอย่างเป็นระบบและโดยอาศัยจดหมาย
งานที่ขยายตัวอยู่เสมออย่างเหลือล้นดังกล่าวตามที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้คาดการณ์ไว้ จะดำเนินไปได้อย่างเหมาะสมก็ต่อเมื่ออนุกรสามารถติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบหมาย?
?อนุกรแต่ละคนที่ได้รับมอบพื้นที่รับผิดชอบ ควรติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮในท้องถิ่นอื่นๆ ในพื้นที่ของตน สนับสนุนและชี้แนะศูนย์กลางเหล่านั้นในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายและรับทราบความเข้มแข็งและจุดอ่อนของบาไฮแต่ละท้องถิ่น?
?เหนืออื่นใดอนุกรควรสร้างสัมพันธภาพที่อบอุ่นรักใคร่กับบาไฮในพื้นที่ เพื่อว่าธรรมสภาท้องถิ่นจะอยากหันมาหาพวกเขาเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ?
?เป็นความรับผิดชอบของธรรมสภาโดยมีคณะกรรมการคอยช่วยเหลือ ที่จะวางแผนและกำกับงานการสอนศาสนา และดังนั้นพวกเขาจึงต้องกระตุ้นและดลใจบาไฮเต็มความสามารถ อย่างไรก็ตาม ธรรมสภาและคณะกรรมการต้องมีภาระในการบริหารงาน การสอนศาสนาและภาระอื่นๆ ในทุกแง่ชีวิตของชุมชนบาไฮพวกเขาจึงไม่มีเวลามากตามที่ตนอยากกระตุ้นบาไฮทั้งหลาย
อำนาจและการอำนวยการมาจากธรรมสภา แต่พลังที่จะปฏิบัติงานให้สำเร็จอยู่กับบาไฮทั้งหลาย งานหลักของอนุกรคือการช่วยกระตุ้นและปลดปล่อยพลังนี้?
บทบาทหน้าที่ร่วมกันของอนุกรฝ่ายปกป้องและเผยแพร่
?ต้องระลึกไว้ด้วยว่า อนุกรทั้งสองฝ่ายนี้มีหน้าที่เสริมกันและกันที่สืบมากจากแหล่งเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน และปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวแทน ผู้ช่วย และผู้ให้คำแนะนำของพระหัตถ์ศาสนาซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคณะที่ปรึกษาประจำทวีป?
?ในการปฏิบัติหน้าที่ของตน อนุกรทั้งสองฝ่ายมักจะส่งเสริมเรื่องเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นหน้าที่หลายอย่างของทั้งสองเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการสร้างความมั่นคง การอบรมให้ลึกซึ้ง ขึ้นอยู่กับคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีปที่จะกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบให้กับอนุกรแต่ละฝ่าย เพื่อให้บังเกิดความร่วมมือกันได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมของทั้งสองฝ่าย ประสบการณ์แสดงให้เห็นว่า มักจะเป็นการดีเมื่อท่านที่ปรึกษา ปรึกษาหารือเรื่องเหล่านี้กับอนุกร
ยิ่งไปกว่านั้นควรระลึกไว้ด้วยว่า หน้าที่เดียวกันเหล่านี้เป็นของธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติ และคณะกรรมการต่างๆ ด้วย ซึ่งในเวลานี้มีความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงในการดำเนินแผนงานสอนศาสนา บริหารงาน สร้างความมั่นคงและปกป้องชุมชนบาไฮ ดังนั้นอนุกรควรดูด้วยว่างานของตนเสริมงานของสถาบันบริหาร?
?งานของคณะอนุกรจะอยู่ภายใต้การกำกับของพระหัตถ์ศาสนาในพื้นที่นั้น และโดยการร่วมมือกับสถาบันบริหาร อนุกรจะสามารถช่วยกระตุ้นกลุ่มบาไฮและธรรมสภาที่อ่อนแอโดยการไปเยี่ยม?
?แน่นอนอนุกรฝ่ายปกป้องสามารถช่วยการเผยแพร่ศาสนา แต่หน้าที่เบื้องต้นของเขาคือการปกป้อง?
?ในกรณียกเว้น คณะที่ปรึกษาประจำทวีปอาจพบว่าจำเป็นที่จะต้องมอบหมายเรื่องการปกป้องให้อนุกรฝ่ายเผยแพร่?
?มีคำถามหยิบยกขึ้นมาว่า ธรรมสภาท้องถิ่นและบาไฮแต่ละคนจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาควรเสนอเรื่องไปให้อนุกรฝ่ายไหน เราคิดว่าเรื่องนี้ควรจัดการในระดับท้องถิ่นโดยอาศัยประสบการณ์และในระหว่างนี้ธรรมสภาและบาไฮทั้งหลายไม่ควรเป็นห่วงเรื่องนี้มากเกินไป พวกเขาควรรู้สึกมีอิสระที่จะเสนอให้อนุกรฝ่ายไหนก็ได้ และหากอนุกรคิดว่าเรื่องนั้นควรเสนอไปยังอนุกรอีกฝ่าย เขาสามารถผ่านเรื่องนั้นต่อไปได้ หรือแนะนำธรรมสภาหรือบาไฮให้ใช้วิธีใหม่ ซึ่งคล้ายกับสถานการณ์ที่อนุกรคุ้นเคยดีเมื่อพวกเขาเสนอเรื่องมาให้อนุกร ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะจัดการโดยธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการแห่งชาติ?
?อนุกรควรสนับสนุนบาไฮทั้งส่วนบุคคลและธรรมสภาโดยอาศัยจดหมายและการเยี่ยมเยียน และให้พวกเขารู้ว่ารากฐานของกิจกรรมทั้งหมดของเราคือความสามัคคี อนุกรควรสนับสนุนให้เพื่อนบาไฮสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม เพื่อว่างานจะรุดหน้าไปด้วยการเสริมพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์?
?…ควรทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและการเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม?
?เรามั่นใจว่า คณะที่ปรึกษาจะให้การสนับสนุนและหล่อเลี้ยงรากของชุมชนแต่ละท้องถิ่น โดยการติดต่อกับเพื่อนบาไฮด้วยตนเอง หรือติดต่อผ่านทางอนุกรและผู้ช่วยอนุกร เพาะปลูกและบำรุงดินแห่งความรู้ในพระธรรมคำสอน และรดด้วยน้ำแห่งความรักในพระบาฮาอุลลาห์ ดังนี้แล้ว ต้นอ่อนจะเติบโตเป็นพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ และออกผลล้ำค่า?
?อนุกรควรสนับสนุนบาไฮให้บริจาคให้กองทุนต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นเพราะเงินทุนคือโลหิตของชุมชน และงานไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ นอกจากโลหิตจะไหลเวียนอยู่ตลอด?
?ท่านศานภิบาลแน่ใจว่า คณะอนุกรที่แต่งตั้งโดยพระหัตถ์เมื่อเร็วๆนี้ จะกระตุ้นและช่วยงานสอน ซึ่งรวมถึงงานอาสาสมัครและเป็นผู้ค้ำจุนและหัวเรี่ยวหัวแรงของธรรมสภาแห่งชาติที่มักมีงานล้นมือและพระหัตถ์ศาสนาที่รับภาระงานบริหารแถมเข้ามากับตำแหน่งอันสูงส่งในฐานะที่เป็นพระหัตถ์ศาสนา?
?เรามีคำแนะนำสำหรับคุณ นั่นคือ คุณควรทำให้อนุกรของคุณตระหนักในความสำคัญยิ่งที่ท่านศาสนภิบาลให้กับความพากเพียรของอาสาสมัครที่จะทำงานในประเทศเป้าหมายที่ศาสนาพึ่งเข้าไปตั้งรกรากใหม่ๆ เรารู้สึกว่าอาสาสมัครบางคนยังไม่ตระหนักในการรับใช้อันยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเป็นตัวแทนของศาสนาในพื้นที่ที่ศาสนาพึ่งเข้าไปถึง
เราต้องการให้คุณสนใจเรื่องนี้ เพื่อว่าหากคุณคิดว่าสมควรคุณจะทำให้อนุกรที่คุณแต่งตั้งตระหนักในความสำคัญยิ่งในการติดต่อกับอาสาสมัคร ช่วยให้อาสาสมัครพากเพียรต่อไป และชี้ให้อาสาสมัครเห็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา และพวกเขาสามารถทำอะไรได้หากอยู่ที่นั่นต่อไป?
ในจดหมายลงวันที่ 15 เมษายน ค.ศ.1980 ศูนย์กลางศาสนานานาชาติกล่าวไว้ว่า
?ดังที่คุณทราบแล้ว ปัญหาในการปรับความเข้าใจของอาสาสมัครให้เข้ากับที่ตนเข้าไปอยู่ใหม่ บางครั้งเป็นเรื่องยาก และถ้าไม่มีการปรับความเข้าใจที่เหมาะสม ก็อาจก่อให้เกิดความยุ่งยากอย่างมากสำหรับตัวอาสาสมัครเอง และชุมชนที่อาสาสมัครนั้นเข้าไปรับใช้
สภายุติธรรมสากล…เชื่อว่าในหลายประเทศ ท่านที่ปรึกษาและอนุกรสามารถช่วยเหลืออาสาสมัครที่พึ่งเข้ามาในพื้นที่ของตนได้อย่างมาก งานสร้างสรรค์มากมายประเภทนี้ คณะที่ปรึกษาและท่านที่ปรึกษาแต่ละคนในส่วนต่างๆ ของโลกได้ทำมาแล้ว?
บทบาทของอนุกรฝ่ายเผยแพร่
?งานเบื้องต้นของอนุกรฝ่ายเผยแพร่คือการดึงความสนใจของบาไฮมาที่เป้าหมายของแผนงานใดๆ ก็ตามที่วางไว้สำหรับพวกเขา กระตุ้นและช่วยเหลือพวกเขาให้ส่งเสริมงานสอนศาสนาทั้งในวงของการประกาศศาสนา การขยายศาสนา การสร้างความมั่นคง และการอาสาสมัคร สนับสนุนเงินบริจาคให้กองทุนต่างๆ และปฏิบัติตนเป็นเสมือนผู้ชูธงนำขบวนครูของศาสนา นำบรรดาครูไปสู่ความสำเร็จใหม่ๆ ของการแพร่กระจายพระธรรมของพระผู้เป็นเจ้าให้กับเพื่อนมนุษย์?
บทบาทของอนุกรฝ่ายปกป้อง
?ความจำเป็นในการปกป้องศาสนาให้พ้นจากการโจมตีของศัตรูนั้น บาไฮส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเห็นคุณค่า…อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น จะเกิดขึ้นทุกแห่งหน และจะมีการร่วมมือกันโจมตี ธรรมนิพนธ์ของศาสนาของเราบอกเป็นลางไม่เพียงแต่การวางแผนร้ายของศัตรูภายในที่จะเข้มแข็งขึ้น แต่ยังบอกถึงความเป็นอริและการต่อต้านที่จะมาจากศัตรูภายนอกศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อศาสนาที่รักยิ่งของเราเคลื่อนทัพไปข้างหน้าจนได้ชัยชนะในที่สุด ดังนั้นเมื่อพิจารณาถึงคำเตือนของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คณะอนุกรฝ่ายปกป้องควรเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา คอยจับตาดูบรรดาผู้ที่เรารู้ว่าเป็นศัตรูหรือถูกขับไล่ออกจากศาสนา ไต่สวนกิจกรรมของพวกเขาอย่างรอบคอบ เตือนเพื่อนบาไฮด้วยวิธีที่ฉลาดเกี่ยวกับการต่อต้านศาสนาที่จะมาถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้ อธิบายถึงว่าความวิกฤติที่เกิดขึ้นในศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าคือพระพรที่แอบแฝงมาเสมอ ตระเตรียมเพื่อนบาไฮสำหรับการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวที่ถูกกำหนดให้กรีธากองทัพแห่งแสงสว่างเข้าสู้กับอำนาจมืด และเมื่ออิทธิพลของศัตรูแพร่กระจายมาถึงหมู่บาไฮ อนุกรเหล่านี้ต้องเฝ้าระวังแผนการของศัตรูที่จะดับความศรัทธาและบั่นทอนความจงรักภักดีของบาไฮทั้งหลาย ต่อกรกับแผนการเหล่านี้มิให้แพร่อิทธิพลต่อไป โดยการใช้มาตรการที่สุขุมและมีประสิทธิภาพเหนืออื่นใด อนุกรฝ่ายปกป้องควรเอาใจใส่ต่อการอบรมบาไฮให้มีความรู้ลึกซึ้งในพระปฏิญญา ให้มีความรักและซื่อสัตย์ต่อพระปฏิญญามากขึ้น คอยตอบคำถามต่างๆ ที่กวนใจเพื่อนบาไฮให้เป็นที่ชัดเจนและเปิดเผยตรงตามคำสอน ทำนุบำรุงความศรัทธาและความมั่นใจของพวกเขาให้ลึกซึ้งและเข้มแข็ง ส่งเสริมอะไรก็ตามที่จะช่วยเพิ่มบรรยากาศของความรักและสามัคคีในชุมชนบาไฮ?
ความซื่อสัตย์ต่อพระปฏิญญารวมถึงการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ด้วย อนุกรฝ่ายปกป้องจึงมีบทบาทในการทำนุบำรุงบาไฮให้มีจิตใจเข้มแข็งอยู่ในศีลธรรม ไม่ดำเนินชีวิตออกนอกทำนองคลองธรรม เมื่อบาไฮคนใดมีปัญหาทางด้านนี้ นอกจากอยู่ในความรับผิดชอบของธรรมสภาแล้ว เป็นหน้าที่ของอนุกรฝ่ายปกป้องที่จะคอยช่วยเหลือประคับประคองบาไฮผู้นั้นและปกป้องชุมชนบาไฮ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความประพฤตินั้นเป็นภัยต่อชื่อเสียงของศาสนา บทบาทนี้อาจทำให้บาไฮในชุมชนระแวงคิดว่า อนุกรเป็นผู้คอยจับผิดความประพฤติของตน อาจทำให้เกิดความไม่ไว้ใจและจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอนุกร อนุกรฝ่ายปกป้องควรระวังปัญหานี้
?…เราคิดว่า แทนที่จะให้คณะอนุกรไต่สวนชีวิตส่วนตัวของเพื่อนบาไฮ ควรให้คณะอนุกรอบรมบาไฮในหลักธรรมของศาสนา คำกล่าวหาเกี่ยวกับความผิดศีลธรรมหรือไม่ชอบมาพากลในสถานภาพการสมรส ควรจัดการเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ควรเสาะหาปัญหา?
การเดินทางไปเยี่ยมท้องถิ่นต่างๆ
?ท่านศาสนภิบาลได้ชี้แจงว่า อนุกรไม่มีข้อบังคับที่จะต้องเดินทางตลอดเวลา อนุกรควรเดินทางเมื่อทำได้ แต่งานที่เหลือควรใช้จดหมาย?
?จดหมายควรเป็นงานส่วนใหญ่ของคุณ เวลาหรือเงินนั้นมีไม่พอที่จะให้อนุกรเดินทางอยู่ตลอดและก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น จดหมายสามารถเร่งการดำเนินแผนงานได้อย่างมาก?
?ท่านศาสนภิบาลให้ขึ้นอยู่กับการไตร่ตรองของพระหัตถ์ศาสนาว่า อนุกรควรไปเยี่ยมท้องถิ่นต่างๆ กี่ครั้ง ซึ่งย่อมขึ้นกับว่าเมืองนั้นอยู่ที่ไหนและมีเงินทุนเท่าไหร่ และขึ้นกับความแข็งแรงของชุมชนนั้นด้วย?
?ธรรมสภาแห่งชาติเมื่อปรึกษากับพระหัตถ์ศาสนาผู้เป็นธงประจำแผนงานเก้าปี ควรใช้ความช่วยเหลือของอนุกรให้เป็นประโยชน์ อนุกรพร้อมครูเดินทางที่คัดเลือกโดยธรรมสภาหรือคณะกรรมการสอนศาสนา ควรได้รับการสนับสนุนอยู่ตลอดให้จัดอบรมที่ศูนย์อบรม และไปเยี่ยมธรรมสภาท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอในโอกาสดังกล่าว ผู้เยี่ยมเยียนไม่ว่าจะเป็นอนุกรหรือครูเดินทางไม่เพียงแต่จะพบกับธรรมสภาท้องถิ่น แต่ควรพบกับบาไฮในชุมชนด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพบพร้อมหน้ากันในที่ประชุม หรือพบกับบาไฮบางคนเป็นการส่วนตัวที่บ้านของเขาหากจำเป็น
หัวข้อที่ควรอภิปรายในการประชุมกับธรรมสภาท้องถิ่นและเพื่อนบาไฮควรมีเรื่องเหล่านี้ด้วย
- การแพร่กระจายและความเจริญของศาสนาในปัจจุบัน
- ความสำคัญของบทอธิษฐานบังคับ(อย่างน้อยบทสั้น)
- ความจำเป็นในการอบรมเด็กบาไฮในคำสอนของศาสนาและสนับสนุนเด็กๆให้ท่องจำบทอธิษฐานบางบท
- กระตุ้นเยาวชนให้มีส่วนร่วมในชีวิตของชุมชน โดยให้ออกมาพูดเรื่องต่างๆ ฯลฯ และมีกิจกรรมของตนเองถ้าเป็นไปได้
- ความจำเป็นในการยึดถือกฎของการแต่งงาน กล่าวคือต้องมีพิธีแต่งงานบาไฮ ต้องได้รับความยินยอมจากพ่อแม่ ต้องมีสามีหรือภรรยาคนเดียว ความซื่อสัตย์ภายหลังแต่งงาน ความสำคัญของการละเว้นจากเครื่องดื่มมึนเมาและยาเสพติด
- กองทุนท้องถิ่นและความจำเป็นที่บาไฮต้องเข้าใจว่า การบริจาคให้กองทุนโดยสมัครใจเป็นทั้งสิทธิพิเศษและข้อผูกมัดทางจิตใจ ควรมีการอภิปรายเกี่ยวกับวิธีต่างๆที่บาไฮสามารถทำได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการบริจาค และหนทางที่ธรรมสภาท้องถิ่นจะใช้กองทุนของตนเพื่อส่งเสริมประโยชน์ของชุมชนและศาสนา
- ความสำคัญของงานฉลองบุญสิบเก้าวัน และความจริงที่ว่างานนี้ควรเป็นโอกาสสำหรับความเบิกบานหรรษา และเป็นศูนย์รวมของชุมชน
- ลักษณะการเลือกตั้งและการลองปฏิบัติเท่าที่จำเป็น รวมทั้งการสอนวิธีง่ายๆ ในการลงคะแนนสำหรับผู้ที่ไม่รู้หนังสือ เช่น ใช้บ้านหนึ่งเป็นสถานที่สำหรับลงคะแนน และจัดให้บุคคลที่รู้หนังสือคนหนึ่งแม้ว่าจะเป็นเด็กก็ตาม ให้อยู่ที่บ้านนั้นตลอดวันหากจำเป็น และ
- สุดท้ายแต่สำคัญไม่น้อยคือ งานสอนศาสนาซึ่งสำคัญที่สุดทั้งในท้องถิ่นและชุมชนใกล้เคียง รวมทั้งความจำเป็นในการอบรมบาไฮอย่างต่อเนื่องให้ลึกซึ้งในแก่นของศาสนา ควรทำให้บาไฮตระหนักว่าในการสอนศาสนาผู้อื่น พวกเขาไม่ควรมุ่งเพียงจะหาผู้ที่จะมาร่วมศาสนา แต่ควรทำให้พวกเขาเป็นครูและผู้สนับสนุนศาสนาที่กระตือรือร้นด้วย
ประเด็นที่กล่าวมาข้างบนนี้ควรเน้นย้ำมาที่ความสำคัญของธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนให้หันมาสนใจหน้าที่ที่สำคัญเหล่านี้ และกลายเป็นหัวใจของชีวิตชุมชนในท้องถิ่นของตน แม้ว่าการประชุมของธรรมสภาท้องถิ่นจะหนักไปด้วยปัญหาต่างๆของชุมชน บาไฮในท้องถิ่นควรเข้าใจความสำคัญของการปรึกษาหารือ และตระหนักว่าพวกเขาต้องกันไปหาธรรมสภาท้องถิ่น ยึดถือคำตัดสินใจและสนับสนุนโครงการของธรรมสภาท้องถิ่น ร่วมมือกับธรรมสภาท้องถิ่นอย่างจริงใจในงานส่งเสริมประโยชน์ของศาสนา ขอคำแนะนำและการชี้ทางจากธรรมสภาท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาส่วนตัว ขอให้ธรรมสภาท้องถิ่นตัดสินหากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างบาไฮในชุมชน?
อิสระในการทำงานของอนุกร
?ท่านที่ปรึกษาในแต่ละเขตประจำทวีปของตนมีอิสระกว้างขวางในวิธีการทำงานของตน ทำนองเดียวกันพวกเขาควรให้อนุกรมีอิสระในการปฏิบัติงานภายในพื้นที่ของตน ถึงแม้ท่านที่ปรึกษาควรกำกับงานของอนุกรอย่างสม่ำเสมอ อนุกรก็ควรตระหนักว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรอท่านที่ปรึกษากำกับ ลักษณะงานของอนุกรคือพวกเขาควรปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องตามวิจารณญาณของตน แม้ว่าจะไม่ได้รับมอบหมายงานที่เฉพาะเจาะจง?
?หากอนุกรติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นหรือบาไฮในท้องถิ่นใดไม่ได้ เขาควรหาวิธีของตนเองเพื่อแก้ปัญหานี้?
?หากบาไฮเข้าหาผู้ช่วยอนุกรหรืออนุกรเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ผู้ช่วยอนุกรหรืออนุกรต้องตัดสินใจว่า ตนจะแนะนำบาไฮคนนั้นให้เข้าหาธรรมสภา หรือตนจะให้คำแนะนำเอง และตนควรจะรายงานไปยังท่านที่ปรึกษาหรือธรรมสภาท้องถิ่นหรือไม่ ซึ่งย่อมขึ้นกับว่าเรื่องนั้นเป็นความลับส่วนตัวแค่ไหน ทำนองเดียวกัน ท่านที่ปรึกษาต้องตัดสินใจว่า เรื่องนั้นธรรมสภาแห่งชาติควรรับทราบหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วนอกเหนือจากเรื่องที่ควรเป็นความลับส่วนบุคคล การแบ่งปันข้อมูลระหว่างสถาบันของศาสนายิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี?
?หากอนุกรพบปัญหาใดที่เขารู้สึกว่าต้องมีการแก้ไข เขาต้องรายงานไปยังพระหัตถ์ศาสนา และหากพระหัตถ์ศาสนาเห็นด้วยก็จะจัดการเรื่องนั้นกับธรรมสภาแห่งชาติ?
ในจดหมายเดือนธันวาคม ค.ศ.1971 คณะพระหัตถ์ศาสนาที่อาศัยอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้แนะนำว่า ?เมื่อมีปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ในระดับท้องถิ่น อนุกรควรเสนอเรื่องไปยังท่านที่ปรึกษาเพื่อว่าท่านที่ปรึกษาอาจจะปรึกษากับธรรมสภาแห่งชาติ?
เนื่องด้วยการรับใช้ของอนุกรมีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น ต้องไม่รับงานบริหารซึ่งเป็นหน้าที่ของธรรมสภาและคณะกรรมการ บางครั้งจึงมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของอนุกร ซึ่งอนุกรสามารถรับใช้ศาสนาได้ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ศูนย์กลางเผยแพร่นานาชาติได้ชี้แจงไว้ในจดหมายลงวันที่ 5 เมษายน ค.ศ.1981 ดังนี้
?ดังเช่นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติซึ่งมีภาระหนักอยู่แล้วตามหน้าที่ของตน แต่ก็ยังรับใช้ศาสนาในรูปแบบอื่นนานัปการ ไม่มีเหตุผลว่าทำไมการรับใช้ของอนุกรควรอยู่ภายใต้ข้อจำกัดพิเศษ ซึ่งอนุกรสามารถรับใช้ศาสนาได้นอกเหนือจากที่กล่าวไว้ข้างบน
อนุกรสามารถรับใช้ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของตน แต่มีกิจกรรมอื่นมากมายที่เขาสามารถทำได้ทั้งภายในและภายนอกพื้นที่ของเขาในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ตัวอย่างการรับใช้ที่เรานึกได้ ได้แก่
- เขียนบทความเกี่ยวกับศาสนา
- เป็นวิทยากรที่โรงเรียนฤดูร้อน ที่ประชุม ที่บ้านบาไฮที่จัดสนทนาธรรมะ ที่การพบปะกับสาธารณชน หรือพูดออกรายการวิทยุโทรทัศน์
- เดินทางไปสอนศาสนาไปเยี่ยมเยียนนอกพื้นที่ของตน
- เป็นตัวแทนบาไฮไปเข้าร่วมงานสำคัญที่จัดโดยคนอื่น
- ให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพในเรื่องที่ตนเป็นผู้ชำนาญ
กิจกรรมเหล่านี้และอื่นๆ สามารถเป็นประโยชน์สำหรับงานของคณะอนุกร แต่มิใช่เป็นงานที่เจาะจงสำหรับอนุกรเท่านั้นบาไฮทุกคนสามารถทำได้ และไม่มีเหตุผลว่าทำไมอนุกรจะทำไม่ได้ หรือธรรมสภาและคณะกรรมการจะขอให้อนุกรรับใช้ในงานดังกล่าวไม่ได้ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง ทุกกรณีดังกล่าวอนุกรควรพิจารณาว่า การรับงานนั้นๆ จะเป็นอุปสรรคต่องานของคณะอนุกรหรือไม่ และหากมีข้อสงสัย ขอให้ปรึกษากับท่านที่ปรึกษา?
ผู้ช่วยอนุกร
การแต่งตั้ง
?ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เร่งเร้าอนุกรให้ติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ ศูนย์ที่โดดเดี่ยวและบาไฮแต่ละคน และช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของแผนงาน ช่วยการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รีรอ เฝ้าระวังความปลอดภัยของศาสนา กระตุ้นส่งเสริมงานการสอนศาสนาและอาสาสมัคร ทำให้บาไฮรู้สึกถึงความสำคัญของความพยายาม การริเริ่มและความเสียสละของแต่ละบุคคล และสนับสนุนให้พวกเขาเข้าร่วมกิจกรรมบาไฮและสามัคคีกันในทุกสภาพแวดล้อม โดยการไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะอย่างเป็นระบบและโดยอาศัยจดหมาย
งานที่ขยายตัวอยู่เสมออย่างเหลือล้นดังกล่าวตามที่ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้คาดการณ์ไว้ จะดำเนินไปได้อย่างเหมาะสมก็ต่อเมื่ออนุกรสามารถติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่นและคณะกรรมการต่างๆ ในพื้นที่ที่ตนได้รับมอบหมาย แต่อนิจจา ในหลายกรณีสิ่งนี้เป็นไปไม่ได้ มิใช่เพราะว่าอนุกรไม่เต็มใจปฏิบัติงานแต่เป็นเพราะว่าจำนวนท้องถิ่นบาไฮที่พวกเขารับผิดชอบอยู่นั้นมากมายเกินกว่าที่จะติดต่อได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว?
ข้างบนนี้คือคำกล่าวของสภายุติธรรมสากลในปี ค.ศ.1971 ซึ่งชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่อนุกรเผชิญอยู่ ซึ่งมาจากจำนวนท้องถิ่นบาไฮที่เพิ่มจำนวนมากจนรับไม่ไหว ต่อมาในปี ค.ศ.1973 สภายุติธรรมสากลได้ประกาศถึงการแก้ปัญหานี้ไว้ว่า
?ดังนั้นเราได้ตัดสินใจเริ่มก้าวต่อไปของการพัฒนาสถาบันนี้และคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีปพิจารณาให้อำนาจอนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยได้…หน้าที่และวาระของผู้ช่วยอนุกรขึ้นอยู่กับแต่ละคณะที่ปรึกษาตัดสินใจ?
ต่างจากวาระของการเป็นอนุกรหรือท่านที่ปรึกษาซึ่งกำหนดไว้คราวละ 5 ปี วาระของการเป็นผู้ช่วยอนุกรไม่มีกำหนดตายตัวเป็นมาตรฐาน แต่อนุกรต้องให้ผู้ช่วยของตนทราบว่าวาระของการเป็นผู้ช่วยนั้นสิ้นสุดเมื่อไร ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ช่วยเกิดความไม่แน่ใจว่าตนยังเป็นผู้ช่วยอยู่หรือเปล่า
?วาระของการแต่งตั้งควรเป็นช่วงเวลาจำกัดเช่นหนึ่งหรือสองปีและอาจแต่งตั้งต่อได้?
?เราคิดว่าวาระของการเป็นผู้ช่วยไม่ควรเป็นมาตรฐานเหมือนกันหมด ควรมีความยืดหยุ่น บางคณะที่ปรึกษาอาจต้องการแต่งตั้งผู้ช่วยเป็นวาระที่แน่นอน บางคณะที่ปรึกษาอาจไม่ต้องการ คณะที่ปรึกษาหนึ่งอาจต้องการกำหนดวาระที่แน่นอนในบางพื้นที่เท่านั้น ไม่ใช่ทุกพื้นที่ ในบางกรณีคณะที่ปรึกษาอาจต้องการแต่งตั้งผู้ช่วยสำหรับโครงการบางอย่าง ซึ่งบางโครงการอาจมีระยะเวลาสั้นมาก พวกเขามีอิสระในเรื่องนี้?
คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะเป็นผู้กำหนดว่า พื้นที่ไหนควรมีผู้ช่วยเมื่อไรและจำนวนเท่าไร โดยอนุกรเป็นผู้เสนอชื่อผู้ที่ตนอยากแต่งตั้ง เมื่อคณะที่ปรึกษารับรองแล้ว อนุกรจึงแต่งตั้งได้ ยกเว้นในพื้นที่ห่างไกลที่ท่านที่ปรึกษาไม่มีโอกาสได้พบคนที่ถูกเสนอชื่อ ซึ่งท่านที่ปรึกษาอาจให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วยได้โดยไม่ต้องขอรับการรับรอง
?เมื่ออนุกรคนใดตัดสินใจแล้วว่าเขาอยากแต่งตั้งใคร เขาควรเสนอชื่อไปยังท่านที่ปรึกษาคนหนึ่งเพื่อขอรับการรับรอง เมื่อได้รับรองแล้ว เขาจึงให้ผู้นั้นมาเป็นผู้ช่วยได้?
?…เพราะว่าในทางปฏิบัติ เมื่อคำนึงถึงเวลาและระยะทาง จึงอนุญาตให้ท่านที่ปรึกษาที่รับผิดชอบให้อนุกรที่อยู่ที่นั่นแต่งตั้งผู้ช่วยตามที่ท่านที่ปรึกษาจัดหาให้ โดยไม่ต้องเสนอชื่อมาให้ท่านที่ปรึกษารับรองเป็นรายๆ?
?การมอบอำนาจไม่จำเป็นต้องให้อนุกรทุกคนในเขต จำนวนผู้ช่วยที่กำหนดให้อนุกรแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเท่ากัน ที่จริงแล้วบางคณะที่ปรึกษาอาจตัดสินใจว่า ในสภาพแวดล้อมในปัจจุบันขอบเขตของตนยังไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ช่วย เรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะที่ปรึกษาแต่ละทวีป อย่างไรก็ตามเราขอแนะนำให้คุณเริ่มต้นทีละน้อย เพื่อว่าคุณจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ว่า จะให้มีผู้ช่วยเท่าไหร่ที่เหมาะสมทั้งในแง่ของการดูแลชุมชนได้ทั่วถึง และความสามารถของอนุกรที่จะกำกับผู้ช่วยของตน?
บาไฮอาจได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยของอนุกรฝ่ายปกป้องและอนุกรฝ่ายเผยแพร่ในเวลาเดียวกัน การแต่งตั้งผู้ช่วยไม่จำเป็นต้องแต่งตั้งในท้องถิ่นที่มีธรรมสภาเท่านั้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ห่างไกลที่อนุกรติดต่อได้ยาก หากมีผู้ช่วยก็จะช่วยงานอนุกรได้มาก พื้นที่รับผิดชอบของผู้ช่วยควรจำกัดอยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ เพื่อว่าผู้ช่วยจะรับผิดชอบหน้าที่ของตนได้ เช่นกันกับอนุกรผู้ช่วยจะไม่มีบทบาทนอกพื้นที่ของตน
?เป็นที่ประจักษ์ว่าอนุกรฝ่ายเผยแพร่มีความต้องการผู้ช่วยมากกว่า อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ควรยับยั้งอนุกรฝ่ายปกป้องมิให้แต่งตั้งผู้ช่วย อาจพบได้ในหลายพื้นที่ว่า การแต่งตั้งผู้ช่วยคนหนึ่งให้รับผิดชอบทั้งสองหน้าที่อาจเพียงพอสำหรับปัจจุบัน แต่เรามองเห็นได้ในวันข้างหน้าที่สถานการณ์นี้จะเปลี่ยนไป เช่นกันการวางรูปแบบและประสานงานความสัมพันธ์นี้ต้องยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับสภาพการณ์ของท้องถิ่น?
?ท่านที่ปรึกษาอาจพิจารณาขอให้อนุกรมอบหมายให้ผู้ช่วยทำงานในพื้นที่เป้าหมายที่จะก่อตั้งธรรมสภา?
?โดยปกติแล้ว ลักษณะงานของผู้ช่วยที่จำกัดอยู่ในท้องถิ่น ควรช่วยให้ผู้ช่วยทำงานได้โดยไม่ต้องรับเงินทุนช่วยเหลือ?
?ดังที่เรากล่าวไว้ในจดหมายลงวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.1973 เราหวังว่างานของผู้ช่วยส่วนใหญ่ไม่ต้องอาศัยเงินทุนช่วยเหลือ แต่ถ้าหากจำเป็น น่าจะชัดเจนว่าเมื่อทำงานให้กับธรรมสภาท้องถิ่น เขาควรได้รับเงินคืนจากกองทุนท้องถิ่น และเมื่อดำเนินโครงการให้กับอนุกร เขาควรได้รับเงินคืนจากกองทุนประจำทวีป?
?ผู้ช่วยได้รับการแต่งตั้งโดยอนุกรให้คอยช่วยเหลืองานในพื้นที่เฉพาะ และเขาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้ช่วยเฉพาะในพื้นที่นั่นเท่านั้น เช่นเดียวกับอนุกร ผู้ช่วยปฏิบัติงานโดยตัวคนเดียวมิใช่กลุ่มที่ปรึกษาหารือกัน?
อนุกรมีความรับผิดชอบที่จะฝึกผู้ช่วยของตน และสามารถแต่งตั้งเยาวชนให้เป็นผู้ช่วยได้ แม้บาไฮที่ยังไม่ลึกซึ้งในศาสนา อนุกรก็อาจแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยได้ โดยหวังว่าจะฝึกให้เขามีความสามารถภายหลัง
?เป็นที่ชัดเจนว่า ขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนบาไฮคือ การทำให้ธรรมสภาท้องถิ่นทั้งหมดแข็งขันเต็มที่ ซึ่งทำได้หลายทาง หนึ่งคือที่ปรึกษาประจำทวีปให้อนุกรแต่งตั้งผู้ช่วย และจากนั้นรับประกันว่า ผู้ช่วยเหล่านี้จะได้รับการฝึกฝนในคำสอนของศาสนาและทำงานของระบบบริหาร เพื่อว่าพวกเขาจะช่วยเหลือธรรมสภาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
สถานภาพ
?พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา อนุกร จัดอยู่ใน ?ผู้รู้? ที่นิยามไว้โดยท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่ง ดังนั้นทั้งสามสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น และไม่ผิดที่จะอ้างถึงตำแหน่งทั้งสามว่าเป็นสถาบันเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสามต่างก็เป็นสถาบันต่างหาก?
?ผู้ช่วยอนุกรเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันคณะอนุกร?
พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษาและอนุกร ต่างก็เป็นสถาบันหนึ่ง ส่วนผู้ช่วยอนุกรมิใช่สถาบันต่างหากแต่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอนุกร และผู้ช่วยมีสิทธิ์จะดำรงตำแหน่งบริหารควบคู่กันไปด้วย เช่น อยู่ในธรรมสภาท้องถิ่นหรือคณะกรรมการ ในกรณีที่บาไฮที่อยู่ในสถาบันบริหารได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยอนุกร สภายุติธรรมสากลสนับสนุนให้ผู้ช่วยอยู่ในสสถาบันบริหารต่อไป ไม่ต้องลาออก
?ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งสามารถรับใช้ในเวลาเดียวกันเป็นทั้งผู้ช่วยอนุกรและสมาชิกในสถาบันบริหาร บาไฮที่มีความรู้ในคำสอนและอุทิศตนต่อศาสนาซึ่งทำให้เขาหรือเธอได้เป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น มักจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยอนุกรด้วย สภายุติธรรมสากลคิดว่า ผู้ช่วยอนุกรไม่น่าจะวางมือจากงานบริหาร อย่างไรก็ตามเมื่อปรึกษากับคณะธรรมสภาท้องถิ่นของตนแล้วคิดว่าน่าจะวางมือ ความคิดนั้นควรจะมาจากผู้ช่วยเอง มิใช่ธรรมสภาขอให้ผู้ช่วยวางมือ?
?การแต่งตั้งบาไฮเป็นผู้ช่วยอนุกร มิได้เป็นเหตุผลที่จะยอมรับการขอลาจากธรรมสภาท้องถิ่นของบาไฮผู้นั้น?
บทบาทหน้าที่
?จุดมุ่งหมายของผู้ช่วยควรเป็นการกระตุ้นและสนับสนุนธรรมสภาท้องถิ่น เรียกสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นให้หันมาสนใจความสำคัญของการประชุมอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนชุมชนให้มาร่วมงานฉลองบุญสิบเก้าวันและวันศักดิ์สิทธิ์ ช่วยอบรมเพื่อนบาไฮให้เข้าใจคำสอนอย่างลึกซึ้ง และช่วยการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกร?
?ในสถาบันของศาสนา (อนุกรและผู้ช่วย) ที่เข้าถึงทุกท้องถิ่นประกอบด้วยบาไฮที่มั่นคงที่รู้จักพื้นที่ที่ตนรับใช้ และคุ้นเคยกับปัญหาและศักยภาพในพื้นที่…เป็นสถาบันที่ออกแบบไว้สำหรับกระตุ้นบาไฮให้ศึกษาพระธรรมคำสอน และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิต?
?เกี่ยวกับหน้าที่ในการกระตุ้นกลุ่มบาไฮ บาไฮที่อยู่โดดเดี่ยว รวมทั้งธรรมสภาท้องถิ่น ไม่เพียงแต่คณะกรรมการแห่งชาติดูแลเรื่องนี้อยู่เท่านั้น แต่เมื่อเร็วๆ นี้ อนุกรและผู้ช่วยในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกเข้ามารับผิดชอบอย่างมากในการสนับสนุนบาไฮเป็นการส่วนตัว กระตุ้นความพยายามของบาไฮที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นเหล่านี้?
ในการช่วยเหลือการปฏิบัติหน้าที่ของอนุกร ผู้ช่วยสามารถมีบทบาทหลากหลายและสร้างสรรค์ ผู้ช่วยอาจได้รับมอบความรับผิดชอบให้ช่วยงานของอนุกรโดยทั่วๆ ไป หรือได้รับเฉพาะงานเจาะจง เช่น การกระตุ้นความสนใจมากขึ้นที่ชั้นเรียนเด็ก การพัฒนากิจกรรมเยาวชน การส่งเสริมสตรีให้มีส่วนร่วมในชุมชนมากขึ้น การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ดังนั้นอนุกรมีแนวทางมากมายที่จะให้ผู้ช่วยช่วยงานเพื่อรับประกันว่า ชุมชนบาไฮพัฒนาไปด้วยดีและเป้าหมายของแผนงานได้รับการเอาใจใส่ อนุกรมีความรับผิดชอบในการดูแลงานของผู้ช่วย และบางโอกาสอาจขอให้ผู้ช่วยทำงานบางอย่างในนามของเขา เช่นประชุมกับธรรมสภาท้องถิ่นเพื่อแจ้งข้อมูลบางอย่างให้ชุมชน อย่างไรก็ตามผู้ช่วยควรมีอิสระในการทำงานและการริเริ่มของตัวเอง และที่จริงแล้วบทบาทของผู้ช่วยต้องใช้ความคิดริเริ่มอย่างมากที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวไว้ข้างบน
?ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นพิเศษที่อนุกรจะให้ผู้ช่วยประชุมกับธรรมสภาในนามของตน เพราะการประชุมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของงานผู้ช่วยอยู่แล้ว ผู้ช่วยควรพบกับธรรมสภาท้องถิ่นตามหน้าที่ปกติแต่ละครั้งโดยไม่ต้องมีคำสั่งพิเศษจากอนุกร แต่แน่นอน หากอนุกรขอให้เขาประชุมกับธรรมสภาเกี่ยวกับบางเรื่อง เขาจะทำตามนั้น
เราหวังว่าคำวิจารณ์เหล่านี้จะมีส่วนช่วยคณะที่ปรึกษา และเราคิดว่าเราควรเน้นว่า งานในระดับนั้นควรเป็นแบบกันเองเท่าที่เป็นไปได้ การกำหนดขอบเขตรับผิดชอบและอำนาจที่ตายตัวหรือการเน้นข้อแตกต่างมากเกินไประหว่างสถาบันนี้กับสถาบันนั้น ไม่เพียงแต่ไม่จำเป็น แต่ยังเป็นภัยต่อบรรยากาศของการร่วมมือและสนับสนุนกัน ซึ่งจำเป็นต่อความก้าวหน้าของงาน?
ผู้ช่วยจะเป็นผู้ที่ให้ข้อมูลในท้องถิ่นของตนกับอนุกรได้อย่างดี โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อนุกรเข้าไปหาได้ยาก แต่ลักษณะและความถี่ที่ผู้ช่วยจะรายงานไปยังอนุกร ขึ้นอยู่กับอนุกรแต่ละคนว่าตนจำเป็นต้องรายงานไปยังท่านที่ปรึกษาแค่ไหน ดังที่สภายุติธรรมสากลกล่าวไว้ว่า
?อนุกรยิ่งรายงานไปยังท่านที่ปรึกษามากแค่ไหน ท่านที่ปรึกษาก็จะคุ้นเคยกับสถานการณ์ของศาสนามากเท่านั้นเวลาที่ปรึกษาหารือกับธรรมสภาแห่งชาติ?
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ช่วยอนุกรกับธรรมสภาท้องถิ่น
?จุดมุ่งหมายหลักของการรับใช้ของผู้ช่วยคือ การทำนุบำรุงสัมพันธภาพที่รักใคร่ บรรยากาศของความไว้ใจกัน และการนับถือกันและกันกับธรรมสภาท้องถิ่นในพื้นที่ของตน?
?ผู้ช่วยที่เป็นสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการ มิได้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสถาบันนั้น และเขามีหน้าที่ที่เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ คือรักษาความลับของการปรึกษาหารือของสถาบันและเรื่องที่ธรรมสภาถือว่าเป็นความลับ แน่นอนผู้ช่วยสามารถเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่น แต่งานของเขาในฐานะที่เป็นผู้ช่วยคือ การช่วยให้ธรรมสภาปฏิบัติหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพและกลมกลืน ซึ่งจะสำเร็จได้ยากหากเขาทำให้ธรรมสภารู้สึกว่าเขากำลังรายงานเรื่องที่เป็นความลับทุกเรื่องให้อนุกร ในทางตรงข้าม เขาควรทำทุกอย่างเพื่อทำนุบำรุงบรรยากาศของการร่วมมือด้วยความรักและอบอุ่นระหว่างธรรมสภาท้องถิ่นและอนุกร?
ผู้ช่วยควรได้รับการชี้แจงให้เข้าใจบทบาทของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ช่วยคนนั้นเป็นสมาชิกธรรมสภาท้องถิ่นด้วยเรื่องส่วนใหญ่ที่ปรึกษาหารือกันในที่ประชุมของธรรมสภาจะเป็นงานของศาสนาทั่วไปที่ผู้ช่วยสามารถบอกกับอนุกรและบาไฮคนอื่นได้ มีส่วนน้อยที่เป็นความลับที่ไม่ควรออกไปนอกธรรมสภา ผู้ช่วยควรแยกบทบาทของตนให้ออกว่า งานไหนเป็นของผู้ช่วยหรือเป็นของสมาชิกธรรมสภา
?ผู้ช่วยสามารถปฏิบัติหน้าที่พร้อมกันในทั้งสองแขนของระบบบริหาร ดังนั้นหากธรรมสภาแห่งชาติหรือธรรมสภาท้องถิ่นขอบาไฮที่เป็นผู้ช่วยให้ทำงานเฉพาะอย่างหนึ่ง ธรรมสภากำลังขอเขาในฐานะที่เขาเป็นบาไฮคนหนึ่ง มิใช่ในฐานะที่เป็นผู้ช่วย?
บทบาทระหว่าง
สถาบันแขนขวา (ผู้รู้)
และแขนซ้าย (ผู้ปกครอง)
?ในคีตาบี อัดห์ (คัมภีร์แห่งพระปฏิญญา) พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า ขอพรจงมีแด่ผู้ปกครองและผู้รู้ในอัลบาฮา และในการพาดพิงถึงวรรคนี้ท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่งได้เขียนไว้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ.1931 ในวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์นี้ ผู้รู้คือพระหัตถ์ศาสนา คือครูและผู้แพร่กระจายพระธรรมคำสอนของพระองค์ที่มิได้ดำรงตำแหน่งพระหัตถ์ศาสนา แต่ก็ได้บรรลุถึงความเป็นเอกในงานสอน สำหรับผู้ปกครองหมายถึง สมาชิกสภายุติธรรมท้องถิ่น สภายุติธรรมแห่งชาติ และสภายุติธรรมนานาชาติ หน้าที่ของแต่ละดวงวิญญาณเหล่านี้จะถูกกำหนดในอนาคต
พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา อนุกร จัดอยู่ในผู้รู้ที่นิยามไว้โดยท่านศาสนภิบาลที่รักยิ่ง?
?เราได้สังเกตว่า พระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษา และคณะอนุกรบางครั้งถูกพาดพิงโดยมิตรสหายว่าเป็น แขนแต่งตั้งของระบบบริหาร ต่างจากสภายุติธรรมสากล ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น ซึ่งเป็นแขนเลือกตั้ง แม้คำอธิบายนี้จะเป็นจริงเมื่อคำนึงถึงวิธีการก่อตั้งสถาบันเหล่านี้ มิตรสหายก็ควรเข้าใจว่า มิใช่เพียงแต่การแต่งตั้งเท่านั้นที่ทำให้สถาบันพระหัตถ์ศาสนา ท่านที่ปรึกษาและคณะอนุกร แตกต่างออกไป ตัวอย่างเช่น มีบาไฮมากมายที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการในแขนเลือกตั้ง
ความแตกต่างที่เด่นกว่าคือ ผู้ปกครองในศาสนาปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะ แต่ผู้รู้ปฏิบัติการเบื้องต้นโดยตัวคนเดียว?
การร่วมมือกันระหว่างแขนขวาและแขนซ้าย
?การปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมและสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนระหว่างสถาบันที่เป็นผู้ปกครองและผู้รู้ในหมู่ประชาชนแห่งบาฮา คือ การบรรลุอำนาจหน้าที่ที่มอบหมายจากพระผู้เป็นเจ้าโดยสมบูรณ์?
?ท่านที่ปรึกษา คณะอนุกรและผู้ช่วยในด้านหนึ่ง ธรรมสภาแห่งชาติและธรรมสภาท้องถิ่น และคณะกรรมการในอีกด้านหนึ่ง ล้วนเป็นเครื่องมือที่ทรงอำนาจสำหรับงานสอน ด้วยการร่วมมือกันอย่างเต็มที่ระหว่างพวกเขาและด้วยความสามัคคีในการปฏิบัติงาน สถาบันเหล่านี้จะได้รับพรและอำนาจอย่างอุดม การร่วมมือและอุทิศตนด้วยความรักที่หน่วยงานเหล่านี้แสดงเป็นตัวอย่างและความสามัคคีที่พวกเขาแสดงให้ประจักษ์ในการเสริมและกำกับความพยายามของมิตรสหายอย่างมีประสิทธิภาพ จะปลดปล่อยพลังธรรมอย่างล้นหลามซึ่งจะเติมพลังให้บาไฮทั้งหลายที่เสนอการรับใช้อันมีค่าที่สุดให้กับศาสนาที่พวกเขาอุทิศตนให้?
?ในการดำเนินแผนงานนั้น ควรมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างธรรมสภาแห่งชาติ คณะกรรมการและธรรมสภาท้องถิ่นในด้านหนึ่ง ท่านที่ปรึกษา อนุกรและผู้ช่วยในอีกด้านหนึ่งหากสถาพแวดล้อมอำนวย แง่หนึ่งของการ่วมมือนี้อาจเป็นการชุมนุมกันระหว่างท่านที่ปรึกษา อนุกร ธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการ เพราะทุกคนเหล่านี้จะต้องมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานตามแผน ทุกคนจะได้คุ้นเคยกับรายละเอียดของแผนงาน และในเวลาเดียวกันก่อให้เกิดบรรยากาศของความอุทิศร่วมกัน ซึ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินงานให้สำเร็จ?
?ปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสองสถาบัน ควรปรึกษาหารือกันและไม่ควรปล่อยไว้?
การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแขนขวาและแขนซ้าย
?การแบ่งปันบันทึกการประชุมของธรรมสภาแห่งชาติให้กับคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ขึ้นอยู่กับธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติอาจแบ่งปันบันทึกการประชุมทั้งหมดหรือบางส่วน อย่างไรก็ตามไม่เหมาะสมที่คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะแบ่งปันบันทึกการประชุมของตนให้กับธรรมสภาแห่งชาติ รายงานเฉพาะเรื่องจากคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและคณะอนุกรควรจะเพียงพอสำหรับธรรมสภาแห่งชาติ?
?สภายุติธรรมสากลหวังว่า ความร่วมมือกันอย่างสนิทสนมระหว่างท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติจะเป็นพันธะที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เปิดโอกาสให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างทั้งสองโดยการแลกเปลี่ยนรายงานอย่างสม่ำเสมอ แลกเปลี่ยนรายงานที่ส่งมาจากอนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ…และโดยปรึกษาหารือกันอย่างอิสระ เปิดเผยและด้วยความรักระหว่างสถาบันทั้งสองนี้ซึ่งขาดไม่ได้สำหรับระบบบริหารบาไฮ เราแน่ใจว่าพระพรจะหลั่งไหลมาและเป้าหมายจะสำเร็จลุล่วง?
?เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องแบ่งปันข้อมูลกันอย่างบริบูรณ์โดยไม่รีรอดังที่อธิบายไว้ในประมวลการทำงานของอนุกรที่แจกจ่ายในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1969 วิธีจะรับประกันการแบ่งปันข้อมูลนี้ควรตกลงกันระหว่างท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งวิธีอาจแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่?
?การแลกเปลี่ยนรายงานระหว่างสองสถาบันนั้นสำคัญ และรายงานเหล่านี้ควรเป็นฐานที่มั่นคงและแน่นอนสำหรับการปรึกษาหารือ โดยวิธีนี้ธรรมสภาแห่งชาติจะคุ้นเคยกับความรู้สึกและทรรศนะของอนุกรในแต่ละพื้นที่ และสามารถเสนอไปยังท่านที่ปรึกษาว่า ตนต้องการการรับใช้และความช่วยเหลืออะไรจากอนุกรในพื้นที่นั้น?
?ธรรมสภาเป็นผู้วางแผนงานและอำนวยการ แต่แผนงานเหล่านี้ควรให้ท่านที่ปรึกษาและอนุกรทราบอย่างดี เพราะหนทางหนึ่งที่พวกเขาจะช่วยธรรมสภาได้คือ การเร่งเร้าบาไฮอย่างต่อเนื่องให้สนับสนุนแผนงานของธรรมสภา หากธรรมสภาแห่งชาติกำหนดเป้าหมายหนึ่งให้สำคัญที่สุดสำหรับปีนั้น อนุกรควรระลึกเป้าหมายนี้ไว้เสมอเมื่อติดต่อกับบาไฮทั้งหลาย และควรกระตุ้นให้บาไฮสนใจและสนับสนุนแผนงานของธรรมสภาแห่งชาติอย่างกระตือรือร้น?
?แม้ว่าอนุกรสามารถได้รับข้อมูลจากธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการแห่งชาติ แหล่งข้อมูลเบื้องต้นของเขาเกี่ยวกับชุมชนควรมาจากการที่เขาติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น กลุ่มบาไฮ และบาไฮแต่ละคนโดยตรง ด้วยวิธีนี้ท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติจะได้รับประโยชน์จากข้อมูลสองแหล่งเกี่ยวกับชุมชน คือจากอนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ?
?เป็นหน้าที่ของธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติที่จะเสนอเรื่องเกี่ยวกับการปกป้องศาสนาไปยังอนุกร ซึ่งมิใช่เพียงเรื่องของการละเมิดพระปฏิญญาที่อาจเกิดขึ้น แต่รวมถึงปัญหาความแตกสามัคคีในชุมชน การตัดสิทธิ์เลือกตั้ง หรือเรื่องอื่นๆ ที่คุณคิดว่า การชี้แนะและคำแนะนำของอนุกรฝ่ายปกป้องจะช่วยสถาบันของศาสนาได้ อนุกรจะแจ้งให้คณะที่ปรึกษาประจำทวีปรับทราบ และจากนั้นท่านที่ปรึกษาจะดำเนินการที่คิดว่าจำเป็น?
?แนวทางที่นโยบายในปัจจุบัน (ค.ศ.1977) กำหนดไว้ให้นั้นเพียงพอ และเมื่อมีความรู้สึกว่าขาดการร่วมมือกัน ก็เป็นเพราะว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างสถาบันยังไม่เพียงพอ?
ท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ
?แต่ละประเทศที่มีท่านที่ปรึกษาอาศัยอยู่ ควรตระหนักในคุณค่าพิเศษนี้ แต่ละธรรมสภาแห่งชาติที่มีท่านที่ปรึกษาพร้อมที่จะปรึกษาด้วยได้เสมอ ควรขอความคิดเห็นจากท่านบ่อยๆ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อคำแนะนำของท่าน โดยที่ไม่สละอำนาจส่วนไหนของธรรมสภาแห่งชาติเอง เราหวังว่าธรรมสภาแห่งชาติและสมาชิกธรรมสภาแห่งชาติแต่ละคน จะเอาใจใส่ต่อคำพูดของท่านที่ปรึกษาอย่างจริงจัง?
?ในทุกกรณี การตัดสินใจที่จะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อศาสนา ควรปรึกษาหารือกับท่านที่ปรึกษาอย่างถ้วนทั่วด้วยน้ำใสใจจริงเสียก่อน?
?ท่านที่ปรึกษาศาสนาไม่ควรถูกยับยั้งมิให้แสดงทรรศนะต่อธรรมสภาแห่งชาติในเรื่องที่ท่านถือว่าสัมพันธ์กับความได้เสียอย่างมหันต์ของศาสนา?
?คณะท่านที่ปรึกษาประจำทวีปและอนุกร มิได้บริหารกิจการของชุมชน การตัดสินใจในเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับธรรมสภา และทุกคนต้องเชื่อฟัง อย่างไรก็ตามเมื่อคำตัดสินใจเหล่านั้นจะมีผลกระทบต่อความผาสุกของอนุกรหรือมีผลได้เสียอย่างมหันต์ต่อศาสนา ควรปรึกษากับท่านที่ปรึกษาอย่างเต็มที่ด้วยน้ำใสใจจริง หลังจากตัดสินใจไปแล้ว หากท่านที่ปรึกษารู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ร้ายแรง และเกิดความเสี่ยงต่อศาสนา ท่านที่ปรึกษาอาจขอให้ธรรมสภาแห่งชาติพิจารณาการตัดสินใจนั้นใหม่ หรืออาจรายงานเรื่องนั้นไปยังพระหัตถ์ศาสนาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ท่านที่ปรึกษาสามารถเลือกทางใดทางหนึ่งหรือทั้งสองทาง?
?หากมีการขอร้องจากท่านที่ปรึกษาให้พิจารณาใหม่ ธรรมสภาแห่งชาติควรเปิดการอภิปรายเรื่องนั้นอีกครั้ง และหลังจากปรึกษาหารือกันเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งน่าจะปรึกษากับท่านที่ปรึกษาด้วย ธรรมสภาแห่งชาติอาจจะยกเลิก ดัดแปลงหรือยืนยันคำตัดสินเดิม?
?ผู้ที่ไม่ใช่สมาชิกธรรมสภาไม่ควรอยู่ในที่ประชุมเมื่อธรรมสภาจะทำการตัดสินใจ ดังนั้นไม่เหมาะสมที่อนุกรหรือท่านที่ปรึกษาจะอยู่เฝ้าสังเกตการณ์ตลอดการประชุมของธรรมสภา?
ธรรมสภาแห่งชาติและอนุกร
ในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง อนุกรก็ต้องเชื่อฟังและอยู่ภายใต้การปกครองของธรรมสภาแห่งชาติ แต่ในแง่การทำงานในฐานะที่เป็นอนุกร อนุกรจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ โดยมิได้ขึ้นกับธรรมสภาแห่งชาติ แต่ขึ้นกับท่านที่ปรึกษา อนุกรควรแลกเปลี่ยนข้อมูลกับธรรมสภาแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอโดยไม่เสนอคำแนะนำ แต่จะเสนอคำแนะนำนั้นไปยังท่านที่ปรึกษา และในทางกลับกัน ธรรมสภาแห่งชาติจะไม่ขออนุกรให้รับงานบางอย่างในฐานะที่เป็นอนุกร แต่อาจขอผ่านทางท่านที่ปรึกษา ยกเว้นงานบางอย่างที่ธรรมสภาสามารถขอให้อนุกรทำได้โดยตรงในฐานะที่เขาเป็นบาไฮคนหนึ่ง ดังที่กล่าวไว้ท้ายบทที่ 11 ตอนท้ายของหัวข้อ ?อิสระในการทำงานของอนุกร?
?อนุกรควรส่งรายงานและข้อเสนอแนะไปยังท่านที่ปรึกษา มิใช่ส่งไปให้ธรรมสภาแห่งชาติหรือคณะกรรมการแห่งชาติโดยตรง เป็นไปได้ที่ท่านที่ปรึกษาอาจปฏิเสธหรือดัดแปลงข้อเสนอแนะนั้น หรือถ้าท่านที่ปรึกษายอมรับก็จะส่งต่อไปให้ธรรมสภาแห่งชาติ ซึ่งธรรมสภาแห่งชาติอาจตัดสินใจปฏิเสธข้อเสนอนั้นก็ได้ เพราะถ้าอนุกรให้ข้อเสนอแนะโดยตรงต่อคณะกรรมการแห่งชาติ ก็จะไม่ได้ประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์ในวงกว้างกว่าที่อนุกรรู้ และจะเป็นการลัดวงจรและบั่นทอนอำนาจของทั้งท่านที่ปรึกษาและธรรมสภาแห่งชาติ?
?ธรรมสภาแห่งชาติสามารถเสนอไปยังท่านที่ปรึกษาว่าตนต้องการการรับใช้และความช่วยเหลือจากอนุกรในพื้นที่นั้น?
?หากเกิดเหตุการณ์ที่ว่า ธรรมสภาแห่งชาติพิจารณาว่า การกระทำของอนุกรคนหนึ่งเป็นอันตรายต่อศาสนาในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ก็ควรเสนอเรื่องนั้นไปยังท่านที่ปรึกษาทันทีเพื่อให้ท่านที่ปรึกษาตัดสินใจหรือทำอะไรบางอย่าง ไม่ควรให้เรื่องนั้นข้ามท่านที่ปรึกษาไป การไม่รู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับงานของอนุกรคนนั้น ธรรมสภาแห่งชาติอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และอาจทำสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหามากขึ้นในพื้นที่นั้น?
?ธรรมสภาแห่งชาติไม่ควรตัดสิทธิ์เลือกตั้งของอนุกรเพียงเพราะว่าตนสงสัยในความเหมาะสมและประสิทธิภาพของผู้นั้นในฐานะที่เป็นอนุกร การลงความเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอนุกรอยู่ในความรับผิดชอบของท่านที่ปรึกษาโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม อนุกรสามารถถูกลงโทษเหมือนบาไฮคนอื่นเกี่ยวกับการกระทำของเขาในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง รวมทั้งการถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งหากมีเหตุผลสมควรที่จะลงโทษรุนแรงถึงขั้นนี้ อย่างไรก็ตาม การใช้การลงโทษนี้เป็นทางออกสุดท้าย และจะใช้ก็ต่อเมื่อได้ปรึกษาหารืออย่างเต็มที่กับท่านที่ปรึกษาแล้วเท่านั้น?
อนุกรและคณะกรรมการแห่งชาติ
?มีปัญหาจำนวนหนึ่งถามมาเกี่ยวกับงานของท่านที่ปรึกษาและอนุกร และมีการเสนอแนะว่าอนุกรควรได้รับอนุญาตให้ทำงานกับธรรมสภาแห่งชาติและคณะกรรมการแห่งชาติอย่างสม่ำเสมอ เราได้พิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบอีกครั้งและขอตัดสินว่าเรายังต้องยึดถือหลักการที่ว่า การปรึกษาหารือโดยตรงดังกล่าวควรมีได้เฉพาะในกรณียกเว้น มิใช่ทำได้ตามปกติ?
?หากธรรมสภาแห่งชาติตกลงด้วย อาจเป็นการดีถ้าอนุกรจะประชุมกับคณะกรรมการแห่งชาติเป็นบางโอกาส เพื่อชี้แจงสถานการณ์ในพื้นที่ให้ชัดเจน และเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดอย่างถ้วนทั่วแต่ไม่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ
…หากทำเช่นนั้นจะเป็นภัยอย่างร้ายแรงต่อการทำงานของสองสถาบันนี้ และเป็นการบั่นทอนการร่วมมือกันที่สำคัญยิ่งระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติ อีกทั้งเป็นการกระจายพลังงานและเวลาของอนุกรที่เข้ามากำกับคณะกรรมการแห่งชาติทีละน้อย เป็นการแย่งหน้าที่ของธรรมสภาแห่งชาติ หรืออนุกรอาจกลายเป็นเพียงครูเดินทางที่ถูกส่งไปมาภายใต้การกำกับของคณะกรรมการหรือธรรมสภาแห่งชาติ?
?เป็นที่อนุญาตและน่าปรารถนาอย่างยิ่ง หากมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยตรงอย่างสม่ำเสมอระหว่างคณะกรรมการและอนุกร?
?คณะกรรมการแห่งชาติไม่ควรโต้ตอบจดหมายกับอนุกรโดยตรงอย่างเป็นทางการในฐานะที่เขาเป็นอนุกร เนื่องด้วยคุณอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ…การขออนุกรให้รับใช้เรื่องใดควรส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ พร้อมกับขอให้ธรรมสภาแห่งชาติเสนอเรื่องไปยังพระหัตถ์ศาสนา (ปัจจุบันเป็นท่านที่ปรึกษา) ในทวีปนั้น?
?ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเริ่มต้นงานในแต่ละปี หรือเวลาอื่นในปีนั้น เมื่อจะมีการวางแผนงานใหม่ มักมีประโยชน์หากจัดให้มีการปรึกษาหารือระหว่างอนุกร ธรรมสภาแห่งชาติ คณะกรรมการสอนศาสนาแห่งชาติและแห่งภาค ก่อนแผนงานนั้นจะคลอดออกมา?
?หากอนุกรทำงานกับชุมชนแล้วพบว่า งานสอนศาสนาคั่งค้างเพราะคณะกรรมการแห่งชาติไร้ประสิทธิภาพ เขาควรรายงานรายละเอียดไปยังท่านที่ปรึกษา ผู้ซึ่งจะตัดสินใจว่าจะเสนอเรื่องให้ธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่?
อนุกรและธรรมสภาท้องถิ่น
?ธรรมสภาแห่งชาติควรสนับสนุนทุกวิถีทางให้อนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่จำเป็นว่าอนุกรจะต้องมาเข้าร่วมการประชุมธรรมสภาท้องถิ่นทุกครั้ง การประชุมบางโอกาส ตัวอย่างเช่น ธรรมสภาท้องถิ่นต้องการอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับความก้าวหน้าของศาสนาในบางพื้นที่ การมาร่วมประชุมของอนุกรจะมีส่วนช่วย แต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของธรรมสภาท้องถิ่นว่าจะให้อนุกรมาร่วมประชุมหรือไม่ แน่นอนเมื่อไหร่ก็ตามที่อนุกรรู้สึกว่าจำเป็นต้องปรึกษาหารือกับธรรมสภาท้องถิ่น เขาสามารถขอธรรมสภาท้องถิ่นให้ประชุมเกี่ยวกับเรื่องนั้นโดยเฉพาะโดยมีเขาร่วมประชุมด้วย?
?สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งมีความรับผิดชอบและอำนาจในการตัดสินใจดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารของศาสนา ท่านที่ปรึกษาและอนุกรมีความรับผิดชอบเบื้องต้นในการปกป้องและเผยแพร่ อย่างไรก็ตาม สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งควรขยันขอความช่วยเหลือและคำแนะนำจากท่านที่ปรึกษาและอนุกร?
?เมื่อธรรมสภาท้องถิ่นเริ่มต้นทำงานได้อย่างเหมาะสม มิได้หมายความว่าธรรมสภาท้องถิ่นนั้นไม่ต้องการพึ่งการรับใช้และงานของอนุกรและผู้ช่วยอนุกร ผู้ซึ่งจะใช้แรงกระตุ้นและดลใจต่อไปแก่ธรรมสภา แก่กิจกรรมบาไฮต่างๆ ในท้องถิ่นและบาไฮแต่ละคนด้วย?
?ไม่จำเป็นที่ท่านที่ปรึกษาหรืออนุกรจะต้องได้รับความยินยอมจากธรรมสภาแห่งชาติก่อนที่จะติดต่อกับธรรมสภาท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันบริหารและท่านที่ปรึกษาและอนุกร ควรเป็นไปด้วยเจตคติของมารยาท ความนับถือและความเข้าใจ ดังนั้นเมื่ออนุกรต้องการพบกับธรรมสภาท้องถิ่นทั้งอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นควรพยายามกำหนดเวลาประชุมล่วงหน้าให้เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย ไม่จำเป็นที่คณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะต้องแจ้งให้ธรรมสภาแห่งชาติทราบว่า เมื่อไรอนุกรกำลังทำงานกับธรรมสภาท้องถิ่นในพื้นที่ของพวกเขา อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดหวังว่า สัมพันธภาพด้วยน้ำใสใจจริงระหว่างคณะที่ปรึกษาประจำทวีปและธรรมสภาแห่งชาติจะคงอยู่ และคณะที่ปรึกษาประจำทวีปจะแบ่งปันข้อมูลให้ธรรมสภาแห่งชาติที่ตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของธรรมสภาแห่งชาติ?
?เราคิดว่าสำคัญที่จะต้องเน้นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรติดขัดเพราะข้อบังคับ วิธีการให้ข้อมูลไม่ว่าจะเป็นบันทึกการประชุมหรืออื่นๆ ไม่ใช่เรื่องบังคับ…ความสัมพันธ์ระหว่างอนุกรและธรรมสภาท้องถิ่นไม่ควรเป็นเรื่องของสิทธิใดๆ แต่ควรเป็นการร่วมมือกันอย่างจริงใจด้วยความรัก ดังที่ท่านศาสนภิบาลกล่าวไว้ว่า หลักการของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่บงการแต่เป็นมิตรภาพที่ถ่อมตน มิใช่เผด็จการแต่เป็นการปรึกษาหารืออย่างเปิดเผยด้วยความรัก?
?อำนาจและการอำนวยการมาจากธรรมสภา แต่พลังที่จะทำงานให้สำเร็จอยู่กับบาไฮทั้งหลาย งานหลักของอนุกรคือการช่วยกระตุ้นและปลดปล่อยพลังนี้ นี้คือกิจกรรมสำคัญและหากอนุกรจะปฏิบัติงานนี้ให้ได้ดี พวกเขาต้องไม่เข้าไปยุ่งกับงานบริหาร ตัวอย่างเช่น เมื่ออนุกรกระตุ้นบาไฮให้เป็นอาสาสมัคร เขาควรให้บาไฮที่ต้องการไปอาสาสมัครเข้าหาคณะกรรมการที่เหมาะสมที่จะวางโครงการให้ ท่านที่ปรึกษาอนุกรไม่ควรวางโครงการอาสาสมัครและการเดินทางสอนศาสนาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า คณะอนุกรควรทำงานอย่างใกล้ชิดในระดับรากของชุมชน โดยการแนะนำ กระตุ้นและช่วยเหลือบาไฮแต่ละคน กลุ่มบาไฮและธรรมสภาท้องถิ่น ท่านที่ปรึกษารับผิดชอบในการกระตุ้น ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือธรรมสภาแห่งชาติ และยังทำงานกับบาไฮแต่ละคน กลุ่มบาไฮและธรรมสภาท้องถิ่นด้วย?
?บางครั้งธรรมสภาเข้าใจคำแถลงผิดไปที่ว่า ท่านที่ปรึกษาและอนุกรเกี่ยวข้องกับงานสอนศาสนา ไม่เกี่ยวกับการบริหาร โดยหมายความว่า พวกเขาจะไม่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการบริหารนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดทีเดียว สิ่งหนึ่งที่ท่านที่ปรึกษาและอนุกรควรเฝ้าดูและรายงานคือ การปฏิบัติงานอย่างเหมาะสมของสถาบันบริหารต่างๆ คำแถลงที่ว่าพวกเขาไม่ต้องเกี่ยวข้องกับการบริหาร หมายความว่าพวกเขาไม่บริหารงาน พวกเขาไม่กำกับหรือจัดระบบงานการสอนศาสนา ไม่ตัดสินเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับความขัดแย้งหรือปัญหาส่วนบุคคล ความรับผิดชอบทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในขอบเขตรับผิดชอบของธรรมสภาต่างๆ แต่ถ้าอนุกรพบว่าธรรมสภาท้องถิ่นปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้อง เขาควรบอกธรรมสภาท้องถิ่นให้ดูที่พระทำคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ทำนองเดียวกัน หากอนุกรทำงานกับชุมชนแล้วพบว่า งานสอนศาสนาคั่งค้างเพราะคณะกรรมการแห่งชาติไร้ประสิทธิภาพ เขาควรรายงานรายละเอียดไปยังท่านที่ปรึกษาผู้ซึ่งจะตัดสินใจว่าจะเสนอเรื่องให้กับธรรมสภาแห่งชาติหรือไม่หากธรรมสภาแห่งชาติปฏิบัติงานไม่เหมาะสม ท่านที่ปรึกษาไม่ควรลังเลที่จะปรึกษาหารือกับธรรมสภาแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเปิดเผยด้วยความรัก?
วิวัฒนาการของระบบบริหารบาไฮ
ในสมัยของพระบาฮาอุลลาห์ ภายหลังการเปิดเผยพระคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ซึ่งระบุถึงการก่อตั้งธรรมสภา มีบาไฮในอิหร่านขอทำตามข้อกำหนดในคัมภีร์นี้ แต่พระบาฮาอุลลาห์ไม่อนุญาตเพราะถือว่ายังไม่ถึงเวลาอันควรที่จะก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเพราะจะก่อให้เกิดความโกลาหลที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของบาไฮ ถึงแม้ระบบแห่งโลกที่พระบาฮาอุลลาห์ระบุไว้ในคัมภีร์อัคดัสยังไม่ได้เริ่มต้นในตอนนั้น แต่ดูเหมือนว่าพระองค์ได้เริ่มอบรมหลักการบางอย่างของระบบแห่งโลกนี้เช่นการปรึกษาหารือ ซึ่งเห็นได้จากบางครั้งที่พระองค์บ่ายเบี่ยงไม่ยอมชี้แนะเมื่อถูกถาม แต่กลับบอกให้สาวกปรึกษาหารือกันในเรื่องนั้นๆ เช่นครั้งหนึ่งพระหัตถ์ศาสนาเคยถามพระองค์ว่า ตนควรอาศัยอยู่ที่ไหนในเปอร์เซีย คำตอบคือ ให้พระหัตถ์ศาสนาปรึกษากับบาไฮบางคนที่มั่นคงในศาสนา และถือตามคำตัดสินใจนั้น
มาถึงสมัยของพระอับดุลบาฮา พระองค์ได้เริ่มให้บาไฮก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเป็นขั้นตอนฝึกหัด ซึ่งยังไม่สมบูรณ์แบบตามหลักการ พระอับดุลบาฮาได้สั่งการให้พระหัตถ์ศาสนาก่อตั้งธรรมสภาท้องถิ่นเตหะรานซึ่งเป็นธรรมสภาแห่งแรกของโลก ครั้งนั้นพระหัตถ์ศาสนามิได้ประกาศบอกบาไฮทุกคน แต่เชิญบาไฮผู้เป็นที่รู้จักดีจำนวนหนึ่งในเมืองเตหะรานมาลงคะแนนซึ่งพระหัตถ์ศาสนาเป็นสมาชิกถาวรของธรรมสภาและมีสิทธิออกเสียง 2 เสียงในการปรึกษาหารือ ต่อมาภายหลังพระอับดุลบาฮาได้เปลี่ยนให้ทุกคนมีสิทธิออกเสียงเดียว
ครั้งหนึ่งบาไฮชาวเคิร์ดได้แปลธรรมนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์เป็นภาษาอาหรับ พระอับดุลบาฮาทรงแก้ไขบทแปลนั้นด้วยพระองค์เอง และจากนั้นทรงกำชับให้บาไฮผู้แปลนำไปให้ธรรมสภาให้การรับรองก่อนจะตีพิมพ์ ซึ่งเป็นการอบรมให้บาไฮเห็นความสำคัญและอำนาจของธรรมสภา
ธรรมนิพนธ์สำคัญที่พระอับดุลบาฮาให้ไว้เป็นมรดกสำหรับระบบแห่งโลกในอนาคตคือ พินัยกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากการปะทะสัมพันธ์กันทางวิญญาณระหว่างพระองค์และพระบาฮาอุลลาห์ พินัยกรรมนี้กับคัมภีร์คีตาบี อัคดัส คือคลังที่เก็บรักษาองค์ประกอบของอารยธรรมสวรรค์ และเป็นกฏบัตรของระบบแห่งโลกใหม่ซึ่งได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการในสมัยของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ
?พลังงานสร้างสรรค์ที่ปลดปล่อยมาจากกฎของพระบาฮาอุลลาห์ซึมซาบและดำริอยู่ในปัญญาของพระอับดุลบาฮา ผลจากปฏิกิริยาทางจิตนี้ได้ให้กำเนิดเครื่องมือที่พิจารณาได้ว่าเป็นกฎบัตรของระบบแห่งโลกใหม่ ซึ่งเป็นทั้งความรุ่งโรจน์และพันธสัญญาของยุคศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ ดังนั้นพินัยกรรม (ของพระอับดุลบาฮา) อาจได้รับการแซ่ซ้องว่า เป็นผลของการปะทะสัมพันธ์กันอย่างลึกลับระหว่างพระผู้ถ่ายทอดพลานุภาพตามเจตนาสวรรค์กับพระผู้เป็นพาหนะที่รับพลานุภาพนั้น…เราต้องระลึกไว้เสมอว่าเจตนาที่หยั่งไม่ถึงของพระบาฮาอุลลาห์ได้ซึมซาบอยู่ในความประพฤติของพระอับดุลบาฮา และแรงจูงใจของทั้งสองพระองค์สมัครสมานกันอย่างแน่นแฟ้นอย่างที่ การพยายามแยกคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ออกจากระบบใดๆ ที่พระผู้เป็นแบบอย่างของคำสอนเดียวกันนี้ได้สถาปนา เท่ากับเป็นการปฏิเสธหนึ่งในหลักธรรมมูลฐานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของศาสนา?
?พินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาและคัมภีร์คีตาบี อัคดัส คือคลังสำคัญที่เก็บรักษาองค์ประกอบอันประเมิณค่ามิได้ของอารยธรรมสวรรค์ ซึ่งการสถาปนาอารยธรรมนี้คือบทบาทหน้าที่เบื้องต้นของศาสนาบาไฮ การศึกษาข้อกำหนดในเอกสารที่ศักดิ์สิทธิ์นี้จะเปิดเผยสัมพันธภาพอันใกล้ชิดระหว่างทั้งสอง รวมทั้งจุดประสงค์และวิธีการที่พร่ำสอนไว้เหมือนกัน…ที่จริงแล้วผู้ที่อ่านคัมภีร์อัคดัสอย่างรอบคอบและบากบั่นจะค้นพบได้ไม่ยากว่า บางวรรคในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้คาดการณ์ถึงสถาบันต่างๆ ที่พระอับดุลบาฮาบัญญัติไว้ในพินัยกรรมของพระองค์ โดยการปล่อยบางเรื่องโดยไม่ระบุหรือกำหนดข้อบังคับไว้ในคัมภีร์ตแห่งกฎดูเหมือนว่าพระบาฮาอุลลาห์ได้จงใจเหลือช่องว่างไว้ในแผนงานของยุคศาสนาของพระองค์ ซึ่งข้อกำหนดที่ชัดเจนในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮาได้เติมเต็มช่องว่างนั้น?
?เนื้อหาในพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮานั้นมากมายเกินกว่าบาไฮรุ่นปัจจุบัน (ค.ศ.1930) จะเข้าใจได้ และต้องอาศัยเวลาอย่างน้อยหนึ่งศตวรรษเมื่อนำมาปฏิบัติจริง ก่อนที่ขุมทรัพย์ปัญญาที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้นจะเปิดเผยออกมาได้?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้นำทางการปฏิบัติงานของบาไฮให้ตรงกับแนวทางที่ให้ไว้ในพระธรรม ซึ่งท่านได้ชี้แจงไว้ในปี ค.ศ.1929 แนวทางที่ท่านชี้แนะบาไฮทั่วโลกให้พัฒนาระบบบริหารนั้น มิใช่เป็นสิ่งที่ท่านคิดขึ้นมาเอง แต่ยึดถือตามพินัยกรรมและคัมภีร์อัคดัส
?บาไฮทุกคนควรระลึกไว้ว่า ระบบบริหารบาไฮมิใช่สิ่งที่คิดขึ้นมาเองแล้วนำมายัดเยียดให้กับบาไฮทั่วโลกหลังจากมรณภาพของพระอับดุลบาฮา แต่เป็นระบบที่สืบอำนาจมาจากพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา และได้รับการบัญญัติไว้อย่างเจาะจงในธรรมจารึกจำนวนนับไม่ถ้วน และลักษณะสำคัญบางอย่างของระบบอิงอยู่กับข้อกำหนดในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ดังนั้นระบบนี้จึงประสานสัมพันธ์หลักการที่วางไว้โดยพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา และเชื่อมอยู่กับหลักธรรมของศาสนาอย่างสลายออกไม่ได้?
ในสมัยของท่านศาสนภิบาล ระบบบริหารบาไฮได้พัฒนามาจนมีสถาบันแขนขวาและสถาบันแขนซ้ายให้เห็น นั่นคือมีธรรมสภาท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติ มีพระหัตถ์ศาสนาและคณะอนุกรภายหลังจากที่สภายุติธรรมได้นำทางโลกบาไฮ สถาบันแขนขวาและสถาบันแขนซ้ายได้เติบโตและแตกกิ่งก้านมากขึ้น ในปีค.ศ.1972 สภายุติธรรมสากลได้ชี้ให้โลกบาไฮเข้าใจว่า สถาบันแขนขวาและแขนซ้ายมีฐานะอันสูงส่งที่ถูกกำหนดให้เป็นสถาบันที่จะสถาปนาสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด สถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลก เป็นระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งบาไฮต้องพยายามปฏิบัติงานให้ตรงตามหลักการของระบบ ดังนั้นบาไฮควรตระหนักในความสำคัญนี้ และต้องไม่คิดว่าสถาบันต่างๆ ของศาสนา เช่น ธรรมสภาท้องถิ่นเป็นเหมือนกับการก่อตั้งสมาคมหรือชมรมที่มีอยู่ทั่วไปในสังคม
?สถาบันพระหัตถ์ศาสนา คณะที่ปรึกษา พร้อมกับสถาบันบริหารของศาสนาถูกกำหนดให้เป็นบ่อเกิดของความเข้มแข็งและเกื้อกูลสำหรับกันและกัน และสำหรับโลกบาไฮ เพื่อก่อกำเนิดสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ก่อตั้งศาสนาของเราใฝ่ปรารถนาอย่างแรงกล้าและได้ทนทุกข์ทรมานความโหดร้ายตลอดชีวิตของพระองค์เพื่อให้ได้มา สิ่งท้าทายสำหรับเราในฐานะที่เป็นสมาชิกของสถาบันเหล่านี้คือ การพยายามสุดชีวิตโดยอาศัยความช่วยเหลือที่พระบาฮาอุลลาห์สัญญาไว้ เพื่อแสดงความรักและสามัคคีที่พระองค์ตั้งความหวังไว้อย่างสูง และขาดไม่ได้สำหรับการสถาปนาระบบแห่งโลกของพระองค์?
?เมื่อองค์ประกอบและสถาบันของระบบเริ่มปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีชีวิตชีวา ระบบนี้ยืนยันคำกล่าวอ้างและสาธิตความสามารถของตนจนได้รับการพิจารณาว่า ไม่เป็นแต่เพียงแกน แต่เป็นแบบแผนของระบบแห่งโลกใหม่ที่ถูกกำหนดให้โอบล้อมมนุษยชาติทั้งปวงเมื่อครบกำหนดเวลา?
หาที่เปรียบมิได้ในประวัติการณ์ศาสนาของโลก
ระบบบริหารบาไฮต่างจากทุกสิ่งที่พระศาสดาองค์ใดในอดีตเคยสถาปนาไว้ เนื่องด้วยพระบาฮาอุลลาห์ทรงเปิดเผยหลักธรรมสถาปนาสถาบันต่างๆ ของระบบ แต่งตั้งผู้ตีความหมายพระธรรมคำสอนของพระองค์ และทรงประสาทอำนาจให้กับองค์กรที่จะนำบทบัญญัติของพระองค์มาใช้ นั่นคือสภายุติธรรมสากลซึ่งจะเป็นสถาบันที่รับประกันเอกภาพของศาสนาไม่ให้แตกออกเป็นนิกาย และป้องกันความเสื่อมของสถาบัน ไม่มีคัมภีร์ของศาสนาใดอีกในอดีตที่มีข้อกำหนดที่เปรียบได้กับพระปฏิญญาที่สืบทอดระบบบริหารต่อไปในอนาคต แม้ศาสนาที่เด่นๆ ของโลกอย่างเช่น ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ หรือศาสนาพุทธ ก็ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับคัมภีร์แห่งพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ หรือพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา ไม่มีคัมภีร์ใดของศาสนาในอดีตที่ประสาทอำนาจให้ผู้ใดหรือสถาบันใดอย่างเพียงพอที่จะอ้างว่า ตนมีสิทธิ์ตีความพระคัมภีร์อย่างไม่มีใครโต้แย้งได้ หรือมีอำนาจพอที่จะสยบผู้ที่คอยโต้แย้งจนแตกแยกออกเป็นนิกายมากมายตราบจนปัจจุบันนี้
ต่างจากศาสนาทั้งหลายในอดีตที่แตกออกเป็นนิกายภายในเวลาไม่กี่สิบปีภายหลังจากพระศาสดาล่วงลับไป แม้ว่าศาสนาบาไฮตะเผชิญความวิกฤติมากมายตั้งแต่เริ่มต้นศาสนาทั้งจากศัตรูภายนอกและศัตรูภายใน ซึ่งบัดนี้เวลาผ่านมากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว เอกภาพของศาสนาก็ยังมั่นคงอยู่ไม่แตกเป็นนิกาย ชุมชนบาไฮประกอบด้วยสมาชิกที่มีภูมิหลังที่หลากหลาย มาจากทุกเชื้อชาติ ทุกชนชั้น ทุกวัฒนธรรม และทุกศาสนา ซึ่งบางศาสนามีภูมิหลังที่เป็นปรปักษ์กันมานับพันปี อย่างที่ไม่มีอำนาจใดในโลกที่จะเปลี่ยนความเกลียดชังระหว่างพวกเขาให้เป็นความรักได้ แต่บุคคลเหล่านี้สามารถรวมตัวสามัคคีกันได้ ปรับตัวเข้าหากันและทำงานร่วมกันได้ด้วยอำนาจของพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ เพื่อจะก่อสร้างระบบบริหารบาไฮให้เติบโตขึ้นเป็นอารยธรรมใหม่ของโลก
เป็นระบบที่ประสานธรรมะและการบริหารเข้าด้วยกัน
?การแยกหลักการบริหารของศาสนาออกจากคำสอนด้านศีลธรรมและมนุษยธรรม เท่ากับเป็นการทำลายแกนร่างของศาสนา เป็นการแยกที่จะก่อให้เกิดการแตกสลายขององค์ประกอบและการดับสิ้นของศาสนา?
ต่างจากความรู้สึกทั่วไปของประชาชนที่ว่า สถาบันศาสนามีหน้าที่อบรมธรรมะให้ประชาชนและไม่มีอะไรต้องยุ่งเกี่ยวกับสถาบันทางโลก หรือการดำเนินศาสนกิจเป็นเรื่องต่างหากจากการบริหารกิจการทางโลก ระบบบริหารบาไฮสาธิตให้เห็นว่าทั้งสองส่วนจำเป็นต้องประสานเข้าด้วยกันเป็นปฏิบัติการที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ จึงจะสามารถก่อสร้างอารยธรรมขั้นสูงสุดบนพิภพนี้ได้ นั่นคือการสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ ในการดำเนินงานบริหารของบาไฮ เราเห็นได้ว่างานฉลองบุญสิบเก้าวันเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์อธิษฐานเพื่อรับแรงดลใจที่จะเกื้อหนุนการปรึกษาหารือในภาคต่อไป การประชุมบาไฮทุกครั้งเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์ทำสมาธิ เพื่อวิงวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสริมพลังปัญญาของผู้ร่วมปรึกษาหารือ ต่อจากนั้นก็ใช้ปัญญานี้ปรึกษาหารือกันตามหลักบาไฮ ซึ่งผู้ร่วมปรึกษาหารือจะต้องฝึกฝนความสามารถและคุณธรรมอย่างสูง เช่น เจตนาอันบริสุทธิ์ จิตใจอันผ่องใส ไม่ยึดมั่นถือมั่น ถ่อมตน อดทนต่อความยากลำบาก ความรักใคร่ปรองดอง มารยาท เกียรติ ความรอบคอบ ความพอประมาณ การเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดีฯลฯ ดังที่กล่าวไว้ในบทที่ 4 เพื่อจะดำเนินการปรึกษาหารือและบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำสมาธิมิใช่เป็นเพียงการแยกตัวอยู่คนเดียว แต่มีบทบาทสำคัญในการบริหารกิจการต่างๆ ในระบบบริหารบาไฮ ซึ่งจะเติบโตเป็นระบบแห่งโลกในอนาคต
?โดยสมาธิสิ่งประดิษฐ์จึงเกิดขึ้นได้ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ดำเนินไปได้โดยอาศัยสมาธิ การปกครองดำเนินไปได้อย่างราบรื่นโดยอาศัยสมาธิ มนุษย์เข้าไปสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าโดยอาศัยสมาธิ?
หาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์การปกครองของโลก
ระบบบริหารบาไฮไม่เพียงแต่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติการณ์ของศาสนา แต่ยังหาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์การปกครองของโลกด้วย ระบบบริหารบาไฮผสมผสานข้อดีของระบอบการปกครองสามระบบอันเป็นที่ยอมรับของโลก โดยขจัดข้อเสียในระบบเหล่านั้นออกไป
ข้อดีของประชาธิปไตยที่เด่นอยู่ในระบบบริหารบาไฮคือการเลือกตั้งบาไฮกำหนดให้ไม่มีการสมัครรับเลือกตั้ง จึงทำให้ประชาชนมีอิสระเต็มที่ที่จะเลือกใครก็ได้ การสมัครรับเลือกตั้งหรือการเสนอชื่อเป็นการจำกัดอิสรภาพของผู้ลงคะแนน สมมติว่าในท้องถิ่นหนึ่งมีผู้แทนได้ 1 คน และมีผู้สมัครเป็นผู้แทน 5 คน ในกรณีนี้ประชาชนถูกบังคับให้เลือกใครคนหนึ่งใน 5 คนนั้น ซึ่งพวกเขาอาจจะอยากเลือกคนอื่นที่ไม่อยู่ใน 5 คนนั้นก็ได้ เพราะพวกเขาคิดว่า 5 คนนั้นไม่มีใครเลยที่จะเป็นผู้นำที่ดีแต่ก็ต้องจำใจเลือกหรือไม่ก็ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง หลังจากมีการเลือกตั้งธรรมสภาขึ้นมาเป็นผู้ปกครองแล้ว บาไฮทุกคนก็มีโอกาสอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาจะเป็นคนใหญ่โตหรือต่ำต้อยในการเสนอความคิดเห็นหรือร้องทุกข์ต่อธรรมสภา ซึ่งโอกาสพิเศษที่จัดไว้สำหรับการนี้คืองานฉลองบุญสิบเก้าวัน นอกจากโอกาสพิเศษนี้แล้ว บาไฮทุกคนก็สามารถเข้าหาธรรมสภาในเวลาอื่นได้หากมีเรื่องรีบด่วนจำเป็น
ข้อเสียของประชาธิปไตยคือ การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งต้องขึ้นอยู่กับประชาชน เพราะถ้าหากผู้ปกครองไม่ทำให้ประชาชนกลุ่มที่เลือกตนขึ้นมาพอใจ ตนก็เกรงว่าคราวหน้าจะไม่ได้รับเลือก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความไม่ยุติธรรมในสังคมได้ เพราะผู้แทนราษฎรมีแนวโน้มจะถือว่าประโยชน์ของประชาชนกลุ่มนั้นสำคัญกว่าประโยชน์ของส่วนรวม นอกจากนี้ยังเปิดช่องให้กลุ่มที่แย่งอำนาจกันใช้วิธีปลุกระดมประชาชนมากดดันผู้ปกครองที่เป็นฝ่ายปรปักษ์กับตน ระบบบริหารบาไฮกันข้อเสียเหล่านี้ออกไป เพราะธรรมสภาปฏิบัติหน้าที่ตามมโนธรรมของตนเป็นหลัก และมิได้ขึ้นอยู่กับประชาชน เช่นบาไฮคนหนึ่งมีข้อเสนออย่างหนึ่งต่อธรรมสภา ?และมีบาไฮอีก 20 คน เสนออีกอย่างหนึ่งต่อธรรมสภา ธรรมสภาไม่จำเป็นต้องเอาตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเสมอไป ธรรมสภาอาจตัดสินใจตามที่คนเดียวนั้นเสนอ ตามที่ 20 คนเสนอ หรือเอาทั้งสองอย่างมาผสมกัน หรือไม่เอาทั้งสองอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับมโนธรรมของธรรมสภาว่าเห็นอะไรเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยลักษณะเช่นนี้ การใช้วิธีปลุกระดมคนหมู่มากมาเรียกร้องหรือกดดันผู้ปกครองจึงไม่มีในระบบบริหารบาไฮ
แม้ว่าธรรมสภามีอำนาจเช่นนี้ มีอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องเอาตามเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ก็มิได้หมายความว่าเป็นเผด็จการหรือจะเสื่อมไปเป็นเผด็จการ เนื่องด้วยบาไฮแต่ละคนที่เป็นสมาชิกธรรมสภาไม่มีอำนาจหรือสิทธิพิเศษอะไรเหนือกว่าบาไฮคนอื่น เพราะอำนาจอยู่ที่สถาบันธรรมสภา มิได้อยู่ที่สมาชิกคนใดของธรรมสภา ซึ่งจะมีการเลือกตั้งธรรมสภาใหม่ทุกปี และก็ไม่มีบาไฮ 9 คนใดสามารถรวมทีมกันเข้ามาเพื่อกุมอำนาจของธรรมสภา เพราะการเลือกตั้งบาไฮไม่มีการสมัครรับเลือกตั้งหรือเสนอชื่อ นอกจากนี้ธรรมสภาทั้งหลายก็ไม่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับสภายุติธรรมสากลเดียวกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ได้รับประกันจากพระผู้เป็นเจ้าว่าจะไม่มีผิดพลาด
ส่วนบาไฮ ?ผู้รู้? ที่อยู่ในสถาบันแขนขวาซึ่งมักจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเด่นในชุมชนบาไฮ ก็ไม่ควรเป็นที่เข้าใจผิดหรือสับสนกับพระหรือนักบวชของศาสนาในอดีต บรรดานักบวชทั้งหลายมีอำนาจหน้าที่หลายอย่างเช่น การบริหารศาสนกิจ การตีความในคัมภีร์ การออกกฎ การตัดสินคดี ทำพิธีทางศาสนา ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นภาระหน้าที่ที่ล้นมือเกินกว่าบุคคลใดจะแบกรับได้หมด แม้แต่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ผู้ได้รับการประสาทอำนาจจากสวรรค์ยังไม่มีหน้าที่ในการออกกฎ เพราะหน้าที่นี้เป็นของสภายุติธรรมสากล การมีบทบาทหน้าที่มากมายเหล่านี้ของนักบวชทำให้เลยเถิดกลายเป็นการรวบอำนาจ เผด็จการ และนักบวชเหล่านี้เองที่เป็นต้นเหตุทำให้ศาสนาแตกแยกออกเป็นนิกายเพราะต่างก็ตีความหมายในคัมภีร์ต่างกัน แต่สำหรับท่านที่ปรึกษาและอนุกร แม้จะเป็นผู้รู้ และเป็นที่เคารพนับถือของธรรมสภา ซึ่งธรรมสภาจะขอความช่วยเหลือและคำปรึกษาแนะนำจากพวกเขา แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีอำนาจในการบริหาร ไม่มีอำนาจในการตีความพระวจนะ ไม่มีอำนาจในการออกกฎหรือตัดสินคดี และเมื่อธรรมสภาตัดสินอะไรไป พวกเขาก็ต้องเชื่อฟังธรรมสภาเหมือนบาไฮคนอื่นๆ
สภายุติธรรมได้อธิบายลักษณะเด่นนี้ของระบบบาไฮไว้ในปี ค.ศ.1972 ว่า
?ในจดหมายลงวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1927 ถึงธรรมสภาอิสตันบูล เลขานุการของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้อธิบายในนามของท่านเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของศาสนาโดยอาศัยเสียงส่วนใหญ่ ท่านได้ชี้ให้เห็นว่า ?บุคคลบางคนที่ถือว่าตัวเองมีความรู้เหนือกว่าและมีตำแหน่งสูงกว่า ได้ก่อให้เกิดความแตกแยกอย่างไร? และ ?บุคคลที่ทำเป็นว่าตนเก่งกว่าคนอื่นทั้งหมดและมักจะเป็นเหตุของการพิพาทอะไร? ท่านกล่าวต่อไปว่า ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่ พระผู้เป็นเจ้าที่ปากกาแห่งความรุ่งโรจน์ได้ขจัดทรรศนะที่บงการและไม่ยอมใครของผู้รู้และผู้ชาญลาด ได้ปัดเป่าการอ้างของบุคคลใดว่าเกณฑ์ของตนนั้นถูกต้อง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นที่ยอมรับว่าประสบความสำเร็จและรอบรู้ที่สุดในหมู่มนุษย์ และได้บัญญัติว่าทุกเรื่องต้องเสนอไปยังศูนย์อำนาจและธรรมสภาทั้งหลายแม้กระนั้นก็ตาม ไม่มีธรรมสภาใดที่ได้รับอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะจัดการเรื่องของส่วนรวมที่มีผลกระทบต่อประโยชน์ของชาติ แต่พระองค์ได้วางธรรมสภาทั้งหมดไว้ภายใต้ร่มเงาของสภายุติธรรมสากลเดียวกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่แต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อว่าจะมีเพียงศูนย์กลางเดียว และที่เหลือทั้งหมดรวมตัวกันเข้าเป็นร่างกายเดียวกัน และโคจรรอบศูนย์กลางที่ระบุไว้ชัดเจนนี้เป็นการป้องกันการแตกแยกออกเป็นนิกาย…?
การมีสถาบันที่สูงส่งซึ่งประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญดังกล่าว แต่กระนั้นพวกเขาก็ไม่มีอำนาจนิติบัญญัติ ไม่มีอำนาจบริหารหรือตุลาการ ไม่มีหน้าที่แบบนักบวช ไม่มีสิทธิ์จะตีความหมายพระธรรม คือลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของระบบบริหารบาไฮ ซึ่งหาที่เปรียบไม่ได้ในศาสนาในอดีต?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้นำทางบาไฮทั่วโลกและอบรมให้พวกเขาเข้าใจสิ่งที่ยากจะเข้าใจ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก นั่นคือระบบบริหารบาไฮที่พระผู้เป็นเจ้าออกแบบไว้ให้สำหรับโลกยุคใหม่ ในปีค.ศ.1934 นับได้สิบกว่าปีของการเป็นศาสนภิบาล ท่านได้อธิบายไว้ด้วยความหมายที่กว้างไกลดังนั้น
?สหพันธรัฐบาไฮในอนาคตซึ่งมีระบบบริหารที่ไพศาลนี้เป็นโครงร่างในทางทฤษฎีและปฏิบัติ มิใช่เพียงแต่หาที่เปรียบไม่ได้ในประวัติศาสตร์ของสถาบันการปกครองทั้งหลาย แต่ยังหาที่เปรียบไม่ได้ในประวัตศาสตร์ของระบบศาสนาใดๆ ของโลกด้วย ไม่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่มีระบอบเอกาธิปไตยหรือเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นราชาธิปไตยหรือสาธารณรัฐ ไม่มีแผนคนกลางของระบบชนชั้นสูง ไม่มีแม้แต่รูปแบบของการปกครองโดยนักบวช ไม่ว่าจะเป็นสหพันธรัฐฮิบรู องค์กรนักบวชของคริสเตียน อิหม่ามหรือกาหลิบของอิสลาม สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถแสดงหรือกล่าวได้ว่า ตรงกับระบบบริหารที่ออกแบบไว้ด้วยความชำนาญของพระผู้ทรงเป็นสถาปนิกที่สมบูรณ์เลิศ
ระบบบริหารที่เกิดใหม่นี้มีโครงสร้างที่รวมองค์ประกอบที่พบได้ในแต่ละระบอบการปกครองทั้งสามระบอบที่เป็นที่ยอมรับของโลก แต่มิใช่เป็นเพียงการถอดแบบจากระบอบใดๆ เหล่านั้นและมิได้นำลักษณะที่ไม่พึงประสงค์ในระบอบเหล่านั้นเข้ามาในกลไกของตน ผสมผสานและกลมกลืนสัจจะที่เป็นข้อดีของแต่ละระบบอย่างที่ไม่มีการปกครองใดที่มนุษย์ออกแบบไว้เคยทำได้และมิได้ลดทอนบูรณภาพของหลักธรรมที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ ซึ่งจะเป็นที่ตั้งของระบบเองในที่สุด
ระบบบริหารของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ มิได้มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยแท้ เนื่องด้วยสมมุติฐานที่ทำให้ประชาธิปไตยต้องขึ้นกับการได้รับมอบอำนาจจากประชาชน ไม่มีในยุคศาสนานี้ ในการบริหารกิจการของศาสนา ในการออกกฎหมายที่จำเป็นเพื่อเสริมกับกฎในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ควรระลึกไว้ตามที่วจนะของพระบาฮาอุลลาห์แสดงนัยอย่างชัดเจนว่า สมาชิกสภายุติธรรมสากลไม่ขึ้นกับบรรดาผู้ที่พวกเขาเป็นตัวแทนอยู่พวกเขาไม่ถูกควบคุมด้วยความรู้สึก ความคิดเห็นทั่วไป และแม้แต่ความเชื่อมั่นของมวลชนผู้ซื่อสัตย์หรือบรรดาผู้ที่เลือกพวกเขาขึ้นมาโดยตรง พวกเขาต้องปฏิบัติตามที่มโนธรรมสั่งการด้วยการอธิษฐาน แท้จริงแล้วพวกเขาต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพการณ์ในชุมชน ต้องชั่งใจอย่างเที่ยงธรรมต่อความถูกผิดของเรื่องต่างๆ ที่เสนอมาเพื่อพิจารณา แต่ต้องรักษาสิทธิ์ของพวกเขาเองในการตัดสินใจอย่างอิสระ ?แท้จริงแล้วพระผู้เป็นเจ้าจะดลใจพวกเขาในสิ่งที่พระองค์ปรารถนา? คือคำรับประกันที่โต้แย้งไม่ได้ของพระบาฮาอุลลาห์ ด้วยประการฉะนี้ สมาชิกสภายุติธรรมสากล มิใช่บรรดาผู้ที่เลือกตั้งพวกเขาโดยตรงหรือโดยทางอ้อม คือผู้รับการนำทางจากสวรรค์ ซึ่งในเวลาเดียวกันเป็นโลหิตแห่งชีวิตและเป็นผู้คุ้มครองสุดท้ายของการเปิดเผยศาสนานี้…
ระบบบริหารบาไฮมิใช่เอกาธิปไตยที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่ผ่อนผันที่จะต้องเลิกไป มิใช่การเลียนแบบระบอบการปกครองที่นักบวชกุมอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการปกครองของพระสันตะปาปา ของอิหม่ามหรือสถาบันอื่นที่คล้ายกัน เพราะเหตุผลที่ชัดเจนว่าผู้แทนของสาวกของพระบาฮาอุลลาห์ที่มาจากการเลือกตั้งระดับนานาชาติ ได้รับสิทธิ์เพียงผู้เดียวในการออกกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ได้เปิดเผยไว้ชัดเจนในธรรมนิพนธ์บาไฮ ไม่ว่าท่านศาสนภิบาลหรือสถาบันอื่นใดที่นอกเหนือไปจากสภายุติธรรมนานาชาติ ก็ไม่สามารถแย่งชิงอำนาจที่สำคัญนี้ หรือรุกล้ำสิทธิ์ที่ต้องเคารพดังกล่าว การล้มเลิกการเป็นนักบวชอาชีพและพิธีแบ๊บติสที่พ่วงมาด้วยกัน การล้มเลิกพิธีศีลมหาสนิทและการสารภาพบาป กฎที่กำหนดการเลือกตั้งสภายุติธรรมระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ โดยให้สิทธิ์เลือกตั้งอย่างทั่วถึง การปราศจากอำนาจของบิชอปที่มากับอภิสิทธิ์ ความทุจริต และการยึดกับพิธีรีตอง เหล่านี้คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าระบบบริหารบาไฮมิใช่เอกาธิปไตย และโน้มเอียงเข้าหาวิธีทางประชาธิปไตยในการบริหารกิจการทั้งหลาย
ระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระนามของพระบาฮาอุลลาห์นี้ต้องไม่เป็นที่สับสนกับระบบการปกครองโดยชนชั้นสูงในแง่ความจริงที่ว่า ระบบนี้ค้ำจุนหลักการสืบทอดจากบรรพบุรุษ และมอบหน้าที่ให้ท่านศาสนภิบาลตีความหมายคำสั่งสอน แต่ก็จัดให้มีการเลือกตั้งอย่างอิสระโดยตรงเพื่อเลือกตั้งสภาที่เป็นองค์กรนิติบัญติสูงสุด แม้ระบบบริหารนี้มิได้เลียนแบบระบบปกปกครองเหล่านี้ แต่ก็ได้รวม ประสาน และดูดซึมองค์ประกอบที่มีประโยชน์ที่พบได้ในแต่ละระบบเหล่านั้นเข้าไว้ อำนาจสืบทอดจากบรรพบุรุษที่ท่านศาสนภิบาลใช้ปกครอง หน้าที่สำคัญที่สภายุติธรรมสากลปฏิบัติ ข้อกำหนดให้ทำการเลือกตั้งอย่างประชาธิปไตยโดยผู้แทนของบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์ เหล่านี้ร่วมกันสาธิตถึงความจริงที่ว่า ระบบที่เปิดเผยจากสวรรค์นี้ ได้รวมและผสมผสานหลักธรรมที่เป็นฐานที่ตั้งของตนเข้ากับองค์ประกอบที่มีประโยชน์ที่พบได้ในแต่ละระบบเหล่านี้ ซึ่งมิได้ตรงกับการปกครองมาตรฐานใดๆ ที่อริสโตเติ้ลพาดพิงถึงในผลงานของเขา ความชั่วร้ายทั้งหลายที่แฝงอยู่ในแต่ละระบบเหล่านี้ถูกกันออกไปอย่างเคร่งครัดและถาวร ระบบที่หาที่เปรียบมิได้นี้ ไม่ว่าจะยืนยงอยู่นานเท่าไรหรือแตกกิ่งก้านมากมายเพียงใด ก็ไม่มีวันเสื่อมลงไปเป็นระบบการปกครองที่กดขี่ คณาธิปไตย หรือการปลุกปั่นประชาชนซึ่งในไม่ช้าก็เร็วต้องกัดกร่อนกลไกของสถาบันการปกครองที่บกพร่องทั้งหมดที่มนุษย์สร้างขึ้นมา?
การตายอันเจ็บปวดของระบบเก่าและการคลอดอันเจ็บปวดของระบบแห่งโลกใหม่
?แท้จริงแล้วหากเราประเมินอย่างถูกต้อง เรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคที่ควรได้รับการพิจารณาว่ากำลังเป็นพยานต่อปรากฏการณ์สองอย่าง ปรากฏการณ์แรกบ่งบอกถึงความตายอันเจ็บปวดของระบบที่พ้นสมัยและไร้ศาสนา ซึ่งได้ปฏิบัติอย่างดื้อดึง ไม่ยอมปรับขบวนการของตนให้เขากับหลักธรรมและอุดมคติที่ศาสนาจากสวรรค์เสนอให้ ทั้งๆ ที่ศาสนาที่มีอายุหนึ่งศตวรรษนี้ได้ให้สัญญาณเตือน ปรากฏการณ์ที่สองประกาศถึงการคลอดอันเจ็บปวดของระบบที่มาจากสวรรค์และมาไถ่ ซึ่งจะมาแทนระบบเก่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภายในโครงสร้างบริหารของระบบนี้อารยธรรมที่หาที่เปรียบไม่ได้ซึ่งจะโอบล้อมโลก กำลังเป็นตัวอ่อนที่เติบโตอย่างลับๆ ระบบหนึ่งกำลังถูกม้วนเก็บและพังทลายอยู่ในความกดขี่ การหลั่งเลือดและความพินาศ อีกระบบหนึ่งเปิดทิวทัศน์ของความยุติธรรม ความสามัคคี สันติภาพ วัฒนธรรมอย่างไม่เคยเห็นในยุคใดมาก่อน ระบบแรกใช้กำลัง สาธิตความผิดพลาดและความไร้ผลของตนเอง สูญเสียโอกาสอย่างเรียกคืนไม่ได้ และกำลังจะจบชะตาของตนเอง ระบบหลังซึ่งแข็งขันและไม่สามารถพิชิตได้ กำลังกระชากโซ่ตรวนให้หลุดออกไปและพิสูจน์ให้เห็นว่าบรรดาศักดิ์ของตนคือที่กำบังเดียวเท่านั้นที่สามารถชำระความโสมมและคุ้มครองมนุษยชาติที่ถูกทรมานให้บรรลุสู่จุดหมาย
พระบาฮาอุลลาห์ทรงพยากรณ์ไว้ว่า ?ในไม่ช้าระบบปัจจุบันจะถูกม้วนเก็บและระบบใหม่จะแผ่เข้ามาแทนที่? และอีกครั้งหนึ่ง ?เราเองเป็นพยาน วันนั้นกำลังใกล้เข้ามา คือวันที่เราจะม้วนเก็บโลกและทุกสรรพสิ่งในโลก และแผ่ระบบหนึ่งเข้ามาแทนที่?
ความเสแสร้งหลอกลวง ความประสงค์ร้าย ความทุจริตของวิชาชีพ การใช้ความรุนแรงขู่เข็ญ ความมัวเมาอยู่ในโลกีย์และวัตถุนิยม การแตกสลายของครอบครัว ความเสื่อมทรามของศิลปะและดนตรี ความโสมมของหนังสือพิมพ์ ความไม่พอใจการเมือง ความเอาเปรียบกันทางเศรษฐกิจพร้อมกับความอดอยากขาดแคลนที่ตามมา ความหมดศรัทธาและสิ้นหวังในสถาบันศาสนา ความกดดันที่บีบคั้นประชาชนให้เคียดแค้นสังคม ความชั่วร้ายที่จับตาเหล่านี้กำลังร่วมมือกันบีบสังคมทุกแห่งหนให้ตายคามือ การต่อสู้กันระหว่างเชื้อชาตินิยมที่ขาดสติเพราะความบ้าคลั่งศาสนา หรือแตกต่างกันในปรัชญาทางการเมือง ซึ่งเป็นชนวนของสงคราม การก่อการร้ายและวินาศกรรมทั่วโลก กำลังซ้ำเติมมนุษยชาติที่ร่อแร่ให้ตายสนิท แม้แต่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ไร้เดียงสาก็ยังถูกทำลายล้างผลาญอย่างไร้ปรานีเหล่านี้คือปรากฏการณ์ของการตายอันเจ็บปวดของระบบโลกเก่าที่กำลังหายใจเฮือกสุดท้าย ซึ่งคู่กันมากับการคลอดอันเจ็บปวดของระบบแห่งโลกใหม่ นั่นคือระบบบริหารบาไฮ
?เหตุผลสำคัญสำหรับความชั่วร้ายที่ดาษดื่นในสังคมในปัจจุบันคือไร้คุณธรรม อารยธรรมทางวัตถุนิยมในยุคของเราได้กลืนพลังงานและความสนใจของมนุษยชาติไปอย่างมาก จนประชาชนทั่วไปไม่รู้สึกว่าจำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องถีบตัวเองขึ้นมาเหนือสภาวะของการมีชีวิตอยู่กับโลกวัตถุไปวันๆ…ดังนั้นความวิกฤติที่ทรมานมนุษยชาติอยู่ทุกแห่งหนมีมูลเหตุมาจากจิตใจโดยเนื้อแท้ ปัญหาของยุคนี้ทั้งหมดอยู่ที่ความไร้ศาสนา ทัศนคติของมนุษย์ที่มีต่อชีวิตนั้นหยาบและวัตถุนิยมเกินกว่าที่เขาจะถีบตัวขึ้นมาอยู่ในอาณาจักรของวิญญาณ สภาพอันเลวร้ายที่น่าเศร้านี้เองที่สังคมได้จมลงไป และศาสนาพยายามปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง?
แม้มนุษยชาติกำลังป่วยหนักจวนจะสิ้นลมหายใจ แต่อนิจจาประชาชนส่วนใหญ่ก็ยังตาบอดมองไม่เห็นแสงธรรม ไม่รับยารักษาที่สวรรค์ยื่นมาให้ ดังนั้นเองจึงเป็นหน้าที่ของบาไฮที่จะช่วยเปิดตาเพื่อนมนุษย์ให้เห็นแสงธรรม เพื่อให้พวกเขาเข้ามาในที่กำบังของระบบบริหารบาไฮ ซึ่งเปรียบเสมือนเรือแห่งความรอดพ้นที่จะมากู้วิญญาณของมนุษย์ไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนความพยายามของบาไฮโดยลำพังยังไม่เพียงพอ และต้องอาศัยความทุกข์ทรมานเข้ามาช่วยปลุกมนุษยชาติด้วย
?เท่าที่เรารู้คือมนุษยชาติต้องทนทุกข์ทรมานและถูกลงโทษอย่างเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหันมาหาพระผู้เป็นเจ้า?
?เราต้องระลึกไว้เสมอว่าระบบของพระบาฮาอุลลาห์คือยารักษาโรคและมาตรการอื่นทั้งหมด…ที่องค์การสหประชาชาติหรือรัฐบาลต่างๆ ริเริ่ม ไม่ว่าจะมีน้ำหนักหรือความก้าวหน้าเพียงไร ก็เป็นเพียงยาบรรเทาอาการ เราต้องเอาใจใส่ต่อการพัฒนาอุปนิสัยใจคอของเราในฐานะที่เป็นบาไฮคนหนึ่ง พัฒนาระบบแห่งโลกของเราที่ยังเป็นตัวอ่อนและยังไม่เป็นที่เข้าใจดี แพร่กระจายพระธรรมตามข้อกำหนดที่อยู่ในธรรมจารึกแห่งแผนงานสวรรค์ และก่อสร้างชุมชนบาไฮที่ประสานกันอย่างแน่นแฟ้นทั่วโลก?
ระบบโลกเก่าที่บกพร่องอย่างน่าเศร้าที่กำลังทรมานมนุษยชาติอยู่ จะทวีความรุนแรงสาหัสขึ้นทุกขณะ จนผู้เชี่ยวชาญในทุกสาขาจนปัญญาไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร บุรุษและสตรีที่ช่างคิดและห่วงใยโลกอย่างจริงจัง จะทยอยกันมาถามหาหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ นักเศรษฐศาสตร์จะมาถามหาว่า พระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับการศึกษาว่าอย่างไร นักปกครองจะมาถามหาว่าพระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับการปกครองว่าอย่างไร ศาสนิกชนที่สิ้นหวังในสถาบันศาสนาของตนจะมาถามหาว่า สถาบันของระบบบริหารของพระบาฮาอุลลาห์เป็นอย่างไร ผู้ที่ทำงานไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างชาติจะมาถามหาว่า พระบาฮาอุลลาห์สอนเกี่ยวกับสันติภาพและสวัสดิภาพของโลกอย่างไรฯลฯ แม้แต่บาไฮเองก็จะถูกกดดันจากความหายนะของโลกให้เร่งมือแพร่กระจายพระธรรม และพัฒนาระบบบริหารและชุมชนบาไฮเพื่อเตรียมไว้พร้อมสำหรับเพื่อนมนุษย์ที่ทุกข์ระทมไร้ที่พึ่ง
แต่ในขณะเดียวกันเชื่อหรือไม่ว่า ความริษยา ความประสงค์ร้าย ความไร้คุณธรรมที่ครอบงำมนุษยชาติส่วนใหญ่อยู่ จะทำให้พวกเขาตามืดมัว เห็นถูกเป็นผิด เห็นมิตรเป็นศตรู และจะลุกขึ้นต่อต้านศาสนาที่พระศาสดาทุกพระองค์ในอดีตได้พยากรณ์ไว้ว่าจะมากู้โลกและช่วยเหลือพวกเขาเอง การต่อต้านเหล่านี้ที่กระหน่ำตีศาสนาบาไฮ จะเพิ่มความเจ็บปวดให้กับการคลอดของระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ แต่อำนาจของพระปฏิญญาจะสยบเหล่าศัตรูผู้ประสงค์ร้ายในที่สุด เพราะไม่ว่าศัตรูซึ่งจะมีทั้งพระและฆราวาสจะมีอำนาจมากมายและโหมกำลังเข้าต่อต้านศาสนาบาไฮเพียงไร อำนาจของพวกเขาก็จำกัดอยู่ที่พิภพนี้เท่านั้นและพิภพนี้ก็เป็นเพียงผงฝุ่นเมื่อเทียบกับจักรวาลอันไพศาล ไหนเลยพวกเขาจะหาญมาต่อกรกับพลังของจักรวาลที่หนุนพระปฏิญญาได้
?ศาสนานี้ยิ่งใหญ่ ช่างยิ่งใหญ่เพียงไร การโจมตีของประชาชนและวงศ์ตระกูลทั้งปวงบนโลกช่างโหดร้ายเพียงไร ในไม่ช้าเสียงโห่ร้องของมวลชนทั่วทั้งอัฟริกา ทั่วทั้งอเมริกา เสียงร้องของชาวยุโรปและชาวเตอร์ก เสียงโอดครวญของอินเดียและจีน จะได้ยินมาจากแดนไกลและใกล้ พวกเขาทุกคนจะลุกขึ้นต่อต้านศาสนาของพระองค์ด้วยอำนาจทั้งหมดที่มีอยู่ เมื่อนั้นอัศวินของพระผู้เป็นนาย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพลังของปัญญาและพระกรุณาเบื้องบน ได้รับการส่งเสริมกำลังด้วยความศรัทธาและกองทัพของพระปฏิญญา จะลุกขึ้นและแสดงสัจจะของบทกลอนนี้ให้เป็นที่ประจักษ์: จงดูความสับสนที่บังเกิดกับหมู่ชนผู้ปราชัย?
?ปัจจุบันนี้พระผู้เป็นนายแห่งกองทัพสวรรค์คือผู้ปกป้องพระปฏิญญาอำนาจของอาณาจักรสวรรค์คุ้มครองพระปฏิญญา ดวงวิญญาณ ของเทพเทวัญเสนอการรับใช้ และเทพธิดาบนสวรรค์ประกาศและแพร่กระจายพระปฏิญญาไปทั่วสารทิศ หากพิจารณาด้วยธรรมทรรศนะ จะเห็นได้ว่าเมื่อวิเคราะห์ถึงขั้นสุดท้าย พลังทั้งหมดในจักรวาลหนุนพระปฏิญญา?
การตายอันเจ็บปวดของระบบโลกเก่าเป็นขั้นตอนที่จำเป็นเพราะมนุษยชาติจมอยู่ในบาปจนไม่สามารถปลุกให้ตื่นได้นอกจากอาศัยไฟแห่งความทุกข์ทรมานตามแผนงานของพระผู้เป็นเจ้าพวกเขาจะถูกกดดันให้นำหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์มาใช้โดยไม่รู้ตัวเพื่อสถาปนาสันติภาพรอง เช่น บทบาทของสตรีต่อสันติภาพ การลดอาวุธ การก่อตั้งอภิรัฐแห่งโลกซึ่งประกอบด้วยคณะบริหารนานาชาติ รัฐสภาแห่งโลก ศาลแห่งโลกฯลฯ มนุษยชาตินำหลักการของพระบาฮาอุลลาห์มาปฏิบัติช้าเท่าไหร่ความหายนะของโลกและความเจ็บปวดก็จะรุนแรงมากเท่านั้น บาไฮจะช่วยบรรเทาความหายนะของโลกได้ก็โดยการประกาศหลักธรรมของพระบาฮาอุลลาห์ให้มนุษยชาติรับทราบและซาบซึ้งเร็วที่สุดหลังจากการสถาปนาสันติภาพรองแล้ว ระบบแห่งโลกใหม่ที่พึ่งคลอดจะเติบโตขึ้นเป็นสหพันธรัฐแห่งโลกบาไฮ เป็นการสถาปนาสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด
?ต่อลักษณะทั่วไป ต่อความหมายและลักษณะเด่นของสหพันธรัฐแห่งโลกนี้ ซึ่งถูกกำหนดในไม่ช้าก็เร็วให้ปรากฏขึ้นท่ามกลางการสังหารผลาญชีวิต ความเจ็บปวด และความพินาศโกลาหลของโลกครั้งยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเราได้พาดพิงไว้แล้วในจดหมายฉบับก่อนๆ เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่า ขบวนการนี้จะดำเนินไปทีละน้อย และตามที่พระบาฮาอุลลาห์เองทรงคาดการณ์ไว้ ต้องนำไปสู่การสถาปนาสันติภาพรองดังกล่าวก่อน ซึ่งชาติทั้งหลายแม้ยังไม่ทราบถึงการเปิดเผยศาสนาของพระองค์ แต่พวกเขาจะนำหลักการที่พระองค์แถลงไว้มาบังคับใช้โดยไม่รู้ตัว และจะสถาปนาสันติภาพรองโดยพวกเขาเอง ขั้นตอนสำคัญและเป็นประวัติศาสตร์นี้ จะเกี่ยวพันกับการปฏิสังขรณ์มนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการยอมรับความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์ชาติอย่างเป็นสากลและจะตามมาด้วยการฟื้นฟูศีลธรรมของมวลชน เมื่อพวกเขายอมรับลักษณะและคำกล่าวอ้างของศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการหลอมทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อทุกชนชั้นและทุกชาติเข้าด้วยกันในที่สุด และจะเป็นสัญญาณบอกถึงการปรากฏขึ้นมาของระบบแห่งโลกใหม่ของพระองค์?
?สองขบวนการที่ยิ่งใหญ่กำลังปฏิบัติการอยู่บนโลก หนึ่งคือแผนงานอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งคืบหน้าไปด้วยความอลวน ปฏิบัติการผ่านมนุษยชาติทั้งปวง ทลายอุปสรรคที่ขวางกั้นเอกภาพของโลก หลอมมนุษยชาติเข้าเป็นร่างกายเดียวกันด้วยไฟแห่งความทุกข์ทรมานและประสบการณ์ เมื่อถึงเวลาที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนด ขบวนการนี้จะก่อให้เกิดสันติภาพรอง ซึ่งเป็นการประสานการปกครองของโลก ในเวลานั้นมนุษยชาติเปรียบเหมือนร่างกายที่เชื่อมเข้าด้วยกันแต่ปราศจากชีวิต ขบวนการที่สองเป็นงานของการเติมชีวิตเข้าไปในร่างกายนี้ เป็นการสร้างเอกภาพและธรรมะที่แท้จริง ซึ่งจะขึ้นไปสู่ยอดสุดที่สันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นงานของบาไฮที่กำลังตรากตรำอย่างมีสติ โดยอาศัยการชี้แนะและนำทางจากสวรรค์อย่างไม่ขาดสาย เพื่อก่อตั้งโครงร่างของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลกมนุษย์ และเรียกเพื่อนมนุษย์ให้เข้ามา ซึ่งจะเป็นการประสาทชีวิตนิรันดร์ให้แก่พวกเขา?
จุดกำเนิด หลักการ และเป้าหมายของระบบบริหารบาไฮ
?ขณะที่ระบบบริหารนี้ยังอยู่ในวัยทารก ขออย่าให้ใครเข้าใจลักษณะของระบบผิดไป ดูแคลนความสำคัญหรือแสดงจุดประสงค์ของระบบอย่างผิดๆ ฐานที่ระบบบริหารนี้ตั้งอยู่คือพระประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษยชาติในยุคนี้แหล่งที่ระบบนี้สืบแรงดลใจมานั้นมิใช่ใครแต่คือพระบาฮาอุลลาห์เอง ผู้ปกครองและความคุ้มครองคือกองทัพที่เตรียมพร้อมของอาณาจักรอับฮา จุดกำเนิดคือเลือดของผู้ที่เสียสละชีวิตไม่น้อยกว่า 20,000 คน เพื่อให้ระบบนี้ได้เกิดและเจริญขึ้น แกนของสถาบันทั้งหลายของระบบคือข้อกำหนดที่อยู่ในพระประสงค์และพินัยกรรมของพระอับดุลบาฮา หลักการที่เป็นแนวทางของระบบคือ สัจธรรมที่พระผู้ตีความหมายคำสอนของศาสนาอย่างไม่มีผิดพลาด ได้แถลงไว้อย่างชัดเจนในการดำรัสต่อสาธารณชนทั่วประเทศตะวันตก กฎที่ควบคุมการปฏิบัติการและจำกัดหน้าที่ต่างๆ ของระบบ ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส ตำแหน่งที่กิจกรรมส่งเสริมจิตใจและมนุษยธรรม และกิจกรรมบริหารของระบบจะมารวมกันคือ มัชชริคุล อัสคาร์ และหน่วยงานทั้งหลายที่อยู่ในอาณาบริเวณนั้น เสาที่ค้ำจุนอำนาจและโครงสร้างของระบบคือสถาบันศาสนภิบาลและสภายุติธรรมสากล จุดมุ่งหมายหลักที่เป็นรากฐานและแรงดลใจคือการสถาปนาระบบแห่งโลกใหม่ตามที่พระบาฮาอุลลาห์คาดการณ์ไว้ มาตรฐานที่พร่ำสอนและวิธีการทั้งหลายที่ใช้อยู่ในระบบ มิได้โน้มเอียงไปทางประเทศตะวันออกหรือตะวันตก มิได้ไปทางชาวยิวหรือศาสนิกชนอื่น มิได้ไปทางผู้ร่ำรวยหรือคนยากไร้ มิได้ไปทางชนผิวขาวหรือผิวดำ คติพจน์ของระบบคือการประสานสามัคคีมนุษยชาติ ธงประจำระบบคือสันติภาพอันยิ่งใหญ่ที่สุด ความสำเร็จโดยบริบูรณ์ของระบบคือการมาถึงของยุคทอง 1,000 ปี เป็นยุคที่อาณาจักรทั้งหลายบนโลกนี้จะกลายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเอง เป็นอาณาจักรของพระบาฮาอุลลาห์?
กองทุนบาไฮ
?บาไฮทุกคนไม่ว่าจะยากจนแค่ไหน ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบอันหนักหน่วงที่ตนต้องแบกเกี่ยวกับเรื่องนี้ และควรมั่นใจว่า ความก้าวหน้าของวิญญาณในฐานะที่ตนเป็นผู้สนับสนุนระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ ขึ้นอยู่กับระดับการกระทำที่เขาพิสูจน์ถึงความพร้อมที่จะบริจาคสนับสนุนสถาบันต่างๆ ของศาสนา?
?ไม่มีข้อจำกัดในการบริจาคให้แก่กองทุนแห่งชาติ ใครบริจาคมากเท่าไหร่ยิ่งดี โดยเฉพาะเมื่อการบริจาคนั้นทำให้ผู้บริจาคต้องเสียสละความปรารถนาอื่นๆ ของตน ยิ่งเสียสละมากเท่าใดยิ่งได้บุญมากในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะที่สำคัญนั้นไม่ใช่อยู่ที่จำนวนบริจาค แต่อยู่ที่ความเสียสละของการบริจาคนั้น?
?ที่คู่กันมากับหน้าที่ของบาไฮที่จะต้องบริจาคให้กองทุนต่างๆ ของศาสนาคือ ความรับผิดชอบโดยตรงของธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติแต่ละแห่งที่จะอบรมบาไฮในเรื่องหลักธรรมเกี่ยวกับการบริจาค การไม่อบรมบาไฮในเรื่องนี้เท่ากับพรากพวกเขามิให้ได้รับบุญจากการบริจาคในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า?
?เนื่องด้วยความก้าวหน้าและการดำเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมศีลธรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยทางวัตถุ ภายหลังการสถาปนาธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องก่อตั้งกองทุนบาไฮทันที ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของธรรมสภา?
บาไฮใหม่มักบริจาคให้กองทุนท้องถิ่นของตนในเริ่มแรกเพราะเขายังไม่ทราบเกี่ยวกับกองทุนแห่งชาติ กองทุนนานาชาติ ฯลฯ เมื่อธรรมสภาอบรมบาไฮเกี่ยวกับระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ บาไฮจะเข้าใจมากขึ้น และบริจาคให้กองทุนอื่นๆ ด้วย เพราะการใช้เงินในหนทางอื่นใดหรือที่มีคุณค่ากว่าการใช้เงินในการก่อสร้างอารยธรรมขั้นสูงสุดบนโลกนี้ บาไฮควรตระหนักว่า การบริจาคนี้เป็นสิทธิพิเศษของบาไฮเท่านั้นที่ตนจะบริจาคด้วยความสมัครใจ จะไม่มีการกดดันให้บาไฮผู้ใดบริจาคแม้แต่บาไฮที่ถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งก็บริจาคไม่ได้ กองทุนบาไฮไม่รับบริจาคจากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮ บาไฮจะรับบริจาคจากผู้ที่ไม่ใช่บาไฮก็ต่อเมื่อเงินนั้นมิได้นำมาใช้ในกิจการของศาสนา แต่นำไปใช้ในการกุศลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมภายนอกเช่น ก่อตั้งโรงเรียนที่รับนักเรียนที่เป็นบาไฮและไม่ใช่บาไฮ กองทุนบาไฮมีหลายกอง ซึ่งระดับนานาชาติสำคัญกว่าระดับทวีป และระดับทวีปสำคัญกว่าระดับชาติและระดับท้องถิ่น ดังต่อไปนี้
กองทุนฮุคุคุลลาห์ (สิทธิของพระผู้เป็นเจ้า)
ฮุคุคุลลาห์เป็นกฎข้อหนึ่งในคัมภีร์คีตาบี อัคดัส เป็นรากฐานที่ค้ำจุนระบบแห่งโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นกฎที่จะทำให้หลักธรรมต่างๆ บังเกิดขึ้นเป็นจริง เช่น การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วยวิถีทางศีลธรรม การขจัดความมั่งคั่งและความยากจนที่มากเกินไป การะกระจายทรัพยากรอย่างยุติธรรม
ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยพระผู้เป็นเจ้า ทุกสิ่งที่เรากินหรือใช้ รวมทั้งทรัพย์สินและความมั่งคั่งของเรา ล้วนสูบขึ้นมาจากพื้นโลก จึงเป็นสิทธิของพระองค์ที่จะได้รับทรัพย์สินเหล่านี้เป็นหน้าที่ของบาไฮที่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ก่อนกองทุนบาไฮอื่นใดทั้งหมดพระผู้เป็นเจ้ามิได้ต้องการทรัพย์สมบัติจากเราพระองค์กำหนดกฎนี้ก็เพื่อช่วยให้วิญญาณของเราเจริญขึ้น และมนุษยชาติโดยส่วนรวมจะมีชีวิตช่วยให้วิญญาณของเราเจริญขึ้น และมนุษยชาติโดยส่วนรวมจะมีชีวิตอยู่โดยไม่ทุกข์ทรมานกับความอดอยากขาดแคลน
หลังจากนำรายได้ของเรามาหักค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว หากเรามีทรัพย์สินที่มีมูลค่าเท่ากับทอง 19 มิธเท่าขึ้นไป (69.2 กรัมหรือ 4.56 บาท คือประมาณ 21,000 บาทขึ้นกับราคาทองที่ขึ้นลง) เราต้องบริจาค 19% จากจำนวนนี้ให้กองทุนฮุคุคุลลาห์ เช่นในปีที่ผ่านมาหักค่าใช้จ่ายแล้วเรายังมีเงิน 15,000 บาท เราไม่จำเป็นต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ แต่ถ้าเรามีเงิน 100,000 บาท เราต้องบริจาค 19% คือ 19,000 บาทเงินที่เหลืออีก 81,000 บาทจะเป็นเงินที่บริสุทธิ์และไม่ต้องมาคำนวณการบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ซ้ำสอง เช่นถ้าในปีหน้าเราไม่มีเงินเหลือเลยเงินเดิมที่มีอยู่ 81,000 บาทนี้ไม่ต้องนำมาคำนวณ 19% เพื่อบริจาคอีกรอบ แต่ถ้าเงิน 81,000 บาทนี้ออกดอกเบี้ยจนถึง 21,000 บาท ก็ต้องคิด 19% ?จากดอกเบี้ยนั้นนำมาบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ ถ้าปีต่อไปเราขาดทุนในธุรกิจ 31,000 บาท เราจึงมีเงินเหลือเพียง 50,000 บาท แล้วปีถัดไปเรามีกำไรขึ้นมาใหม่กลายเป็น 81,000 บาทเท่าเดิม เงิน 31,000 บาทที่เพิ่มมาในปีสุดท้ายนี้ไม่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เพราะไม่ใช่เงินที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นเงินที่ชดเชยที่เคยขาดทุน
การหักค่าใช้จ่ายในการคำนวณเงินบริจาคคิดจากสิ่งที่จำเป็น ซึ่งตามที่พระบาฮาอุลลาห์กำหนดไว้ได้แก่ ที่อยู่อาศัย เฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น อุปกรณ์ที่ลงทุนในธุรกิจหรือเกษตรกรรมการคำนวณฮุคุคุลลาห์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่จะพิจารณาว่า ค่าใช้จ่ายอะไรของตนถือว่าเป็นสิ่งจำเป็น เช่น เมื่อหักค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว เรามีเงิน 100,000 บาท จากจำนวนนี้เรานำไปซื้อรถยนต์ราคา 60,000 บาท จึงเหลือ 40,000 บาท หากเราถือว่ารถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นที่เราใช้ขับไปทำงาน เราก็คำนวณ 19% จาก 40,000 บาท แต่ถ้าเราถือว่ารถยนต์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเราก็จะคำนวณ 19% จาก 100,000 บาท เพื่อบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เช่นเดียวกับการซื้อโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ ซึ่งเราต้องพิจารณาว่าเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ ?บางอย่างพระบาฮาอุลลาห์กำหนดไว้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งจำเป็น เช่น ที่อยู่อาศัย หากเรามีเงินหนึ่งล้านบาท แล้วเราซื้อบ้านราคาเก้าแสนบาท เหลือเงินหนึ่งแสนบาท เราก็คำนวณ 19% จากเงินหนึ่งแสนบาทนี้ แต่ถ้าเรามีบ้านอยู่แล้ว แล้วเราซื้อบ้านนี้เป็นหลังที่สองจึงถือว่าเป็นสิ่งไม่จำเป็น เราก็ต้องคำนวณ 19% จากเงินหนึ่งล้านบาท
การพิจารณาว่าสิ่งใดจำเป็นหรือไม่ขึ้นอยู่กับบาไฮแต่ละคนที่จะใช้มโนธรรมของตน ไม่มีใครไต่สวนหรือมาตรวจสอบบัญชีรายรับของผู้นั้น มูลค่าของทรัพย์สินที่ไม่ออกดอกออกผลไม่ต้องบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์ เช่นหากเรามีที่ดินเก็บไว้เฉยๆ มูลค่าหนึ่งล้านบาท เรายังไม่ต้องบริจาค แต่เมื่อเราขายที่ดินนี้แล้ว เราต้องบริจาค 190,000 บาท ระบบเศรษฐกิจกำลังซับซ้อนขึ้นทุกวัน บาไฮจะเจอปัญหาในการคำนวณฮุคุคุลลาห์ที่ไม่เคยมีตัวอย่างมาก่อนในสมัยของพระบาฮาอุลลาห์ พระอับดุลบาฮา และท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งสภายุติธรรมสากลยังไม่ต้องการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่ให้บาไฮแต่ละคนใช้มโนธรรมของตนเองไปก่อน
ในกรณีที่บาไฮเสียชีวิต พระบาฮาอุลลาห์กำหนดให้ใช้ทรัพย์สินของผู้ตายเป็นค่าทำศพอันดับแรก อันดับสองคือการจ่ายหนี้หากผู้ตายมีหนี้สิน และอันดับสามคือการบริจาคให้ฮุคุคุลลาห์และที่เหลือจึงเป็นของทายาท ผู้ที่รับมรดกก็ต้องบริจาค 19% ของมรดกที่ได้รับให้ฮุคุคุลลาห์
การบริจาคทำได้โดยบริจาคให้กับตัวแทนฮุคุคุลลาห์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งตัวแทนจะส่งเงินไปให้สภายุติธรรมอีกต่อ หรือบาไฮอาจบริจาคให้สภายุติธรรมสากลโดยตรงก็ได้ ไม่มีข้อกำหนดตายตัวว่าต้องบริจาคบ่อยแค่ไหน อาจเป็นปีละครั้ง หรือทุก 2–3 เดือน หรือทุกครั้งเมื่อมีเงินถึง 21,000 บาท สภายุติธรรมสากลมีสิทธิเพียงผู้เดียวในการพิจารณาว่าจะใช้จ่ายกองทุนฮุคุคุลลาห์ในด้านไหน แต่เดิมกฎนี้ใช้กับบาไฮชาวอิหร่านและบาไฮในตะวันออกกลางเท่านั้น แต่ก็มีบาไฮชาติอื่นๆ บริจาคให้ด้วยความสมัครใจ สภายุติธรรมสากลได้ประกาศใหเกฎฮุคุคุลลาห์นี้บังคับใช้กับบาไฮทั่วโลก เริ่มตั้งแต่เรซวาน ค.ศ.1992
ฮุคุคุลลาห์เป็นบททดสอบพิเศษสำหรับความศรัทธาของเราช่วยทำให้ทรัพย์สินของเราบริสุทธิ์ ให้พรแก่เราและลูกหลานของเรา และจะเป็นที่ยอมรับเมื่อบริจาคด้วยความปีติยินดี ไม่มีการเรียกร้องให้บาไฮผู้ใดบริจาค แต่สามารถเตือนบาไฮโดยส่วนรวมให้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ได้ เช่นพูดในที่ประชุม แต่ไม่ใช่พูดกับบาไฮคนใดเป็นการส่วนตัวเพื่อขอให้เขาบริจาค
กองทุนนานาชาติ
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของสภายุติธรรมสากล ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมบาไฮทั่วโลกตามความจำเป็น เช่น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในยุโรปตะวันออกและในสหภาพโซเวียตซึ่งทำให้สถาบันบริหารบาไฮเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศเหล่านั้น สภายุติธรรมสากลต้องใช้กองทุนนานาชาติช่วยเหลือการพัฒนาระบบบริหารบาไฮในประเทศที่เปิดใหม่เหล่านี้
กองทุนประจำทวีป
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะที่ปรึกษาประจำทวีป ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในทวีปนั้น เช่นกิจกรรมของอนุกรหรือผู้ช่วยอนุกร
กองทุนแห่งชาติ
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาแห่งชาติ ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในประเทศนั้นๆ ธรรมสภาแห่งชาติอาจใช้เงินจำนวนนี้บริจาคให้กองทุนนานาชาติหรือกองทุนประจำทวีป
กองทุนท้องถิ่น
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของธรรมสภาท้องถิ่น ใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมในท้องถิ่น ธรรมสภาท้องถิ่นอาจใช้เงินจำนวนนี้บริจาคให้กองทุนแห่งชาติ หรือในทางกลับกันถ้าธรรมสภาท้องถิ่นได้รับบริจาคไม่พอ ก็อาจได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนแห่งชาติ
กองทุนพิเศษ
- กองทุนภูเขาคาร์เมล อยู่ภายใต้การดูแลของสภายุติธรรมสากล ใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมบนภูเขาคาร์เมลและก่อสร้างทางเดิน 19 ชั้นขึ้นไปยังสถูปของพระบ๊อบ
- กองทุนโบสถ์บาไฮ ในทุกทวีปมีโบสถ์บาไฮซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายทุกวันในการบำรุงรักษา บาไฮสามารถบริจาคให้กองทุนนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่าย ในทวีปเอเชีย เราบริจาคให้กับโบสถ์ที่อินเดีย
- กองทุนเดินทางสอนศาสนา กองทุนนี้มีอยู่ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ เมื่อเราต้องการเดินทางไปสอนศาสนาแต่เราไม่มีเวลา เราสามารถขอให้ผู้อื่นไปแทนเราโดยเราออกค่าใช้จ่ายให้ หรือเราอาจบริจาคให้ธรรมสภาแล้วขอให้ธรรมสภาหาคนไปแทนเรา