พระผู้เป็นเจ้าและศาสนาของพระองค์
จุดมุ่งหมายของชีวิต
ท่านเคยเปรียบเทียบป่ากับทุ่งนาบ้างไหม ในป่านั้นต้นไม้ขึ้นอย่างไม่เป็นระเบียบ มีพุ่มไม้ หนาม ???เถาวัลย์ พันเกี่ยวกันรกรุงรัง ส่วนทุ่งนานั้นมีขอบเขตอย่างแน่นอน ดินได้รับการไถพรวน ยกร่องเป็นทางระบายน้ำเข้าหล่อเลี้ยงพืชในแปลงข้าวโพดตรงนี้บ้าง ในแปลงอ้อยตรงโน้นบ้าง
มีข้อแตกต่างระหว่างป่าทึบ และทุ่งนาบ้างไหม
ในทุ่งนานั้นท่านคงจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบขณะที่ในป่าขาดความเป็นระเบียบ สิ่งต่างๆ ในทุ่งนาได้รับการเอาใจใส่ดูแล ในขณะที่ทุกอย่างในป่านั้นได้เกิดขึ้นและเจริญเติบโตเองอย่างไม่เป็นระเบียบ
ที่ใดที่เป็นระเบียบที่นั่นย่อมมีจุดมุ่งหมาย
เราคงไม่ได้สร้างทุ่งนาขึ้นโดยไม่หวังอะไร เราคงไม่ขุดคลอง บ่อ อย่างไม่มีเหตุผล เราจะต้องมีความมุ่งหมายในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าหากไม่มีความมุ่งหมายในการกระทำแล้ว เราก็คงจะปล่อยปละละเลยทุ่งนาไปตามสายฝน กระแสลมและแสงแดด เราคงทอดทิ้งทุ่งนานั้นให้เป็นป่าทึบที่มีชีวิตธรรมชาติในนั้น
ทุ่งนาที่ใดจัดทำอย่างมีระเบียบทุ่งนานั้นก็ต้องมีจุดมุ่งหมาย
ขอให้มองดูสรรพสิ่งทั้งปวงที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา ท่านจะไม่เห็นความเป็นระเบียบเพียบพร้อมในทุกสิ่งใช่ไหม ขอให้มองไปที่ดวงจันทร์ ดวงจันทร์โคจรมาแล้วโคจรกลับไปได้อย่างไร ในเดือนต่อไปการปรากฏของดวงจันทร์ก็จะยิ่งสว่างขึ้นในท้องฟ้าเหมือนกับกฤชทองคำ และถ้าคอยต่อไปอีก 14 วัน แล้วจะเป็นจันทร์เพ็ญเต็มดวง ก็จะยิ่งสวยงามเหมือนโล่เงิน ท่านก็สามารถนับวันตามจัทรคติได้เพราะว่าดวงจันทร์โคจรมาแล้วโคจรกลับตามลำดับ ขอให้มองดูดวงอาทิตย์ การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การเกิดของเด็ก การเจริญเติบโตของพืชไร่ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบเพราะฉะนั้นจะต้องมีจุดมุ่งหมายซึ่งซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังในสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเหตุผล
อะไรหรือคือจุดมุ่งหมายของการสร้างสรรค์พวกเราขึ้นมา
คำตอบก็คือ เพื่อให้รู้จักพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นพระผู้สร้างพวกเราและเพื่อให้รู้จักนมัสการพระองค์
ถ้าหากเรารู้จักพระองค์แล้ว จุดมุ่งหมายแห่งการดำรงชีวิตของเราก็จะประสบความสำเร็จ จุดมุ่งหมายของโคมไฟก็เพื่อให้แสงสว่าง จุดมุ่งหมายของขลุ่ยก็เพื่อให้เสียงเพลงที่ไพเราะ เราจะต้องรู้จักพระผู้เป็นเจ้า ถ้าจุดมุ่งหมายของการดำรงชีวิตของเราคือความสมบูรณ์สำเร็จ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักพระองค์แล้วก็เหมือนโคมไฟที่ยังไม่ได้รับการจุดให้สว่าง เหมือนกับขลุยที่ไม่ได้เป่า
พระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเป็นพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าสำหรับยุคนี้ได้ทรงเผยบทอธิษฐาน ดังนี้
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอเป็นสักขีพยานว่า พระองค์ได้ทรงสร้างข้าพเจ้าขึ้นมา เพื่อจะได้รู้จักและนมัสการพระองค์ บัดนี้ข้าพเจ้าได้ทราบแล้วถึงความปราศจากอำนาจของข้าพเจ้า และการทรงเดชานุภาพของพระองค์ ความยากไร้ของข้าพเจ้าและความมั่งคั่งของพระองค์ ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดอีกนอกจากพระองค์ พระผู้ทรงช่วยเหลือในยามที่เราได้รับพยันตราย และพระผู้ทรงสถิตอยู่โดยลำพังพระองค์เอง?
พระบาฮาอุลลาห์ทรงขอให้เราท่องบทอธิษฐานนี้ในเวลาเที่ยงทุกวัน มิฉะนั้นแล้วเราอาจจะลืมไปว่าเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ขอให้เราเป็นขลุ่ยเพลงที่ไพเราะ บรรเลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ขอเราอย่าเป็นขลุ่ยที่ไม่มีเสียง
จะรู้จักพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร
การดำรงชีวิตของเราในโลกต้องพึ่งพาดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ได้ให้แสงสว่างและชีวิตแก่เรา แต่ถ้าหากการอำนวยสิ่งต่างๆ ของดวงอาทิตย์ได้ถูกตัดขาดจากเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนผิวโลกก็จะตายหมดสิ้น อย่างไรก็ตามเป็นไปไม่ได้ที่เราจะไปเข้าใกล้ดวงอาทิตย์และก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะถึงดวงอาทิตย์ได้โดยตรง ถ้าสมมุติว่าเราทำเช่นนั้นได้ ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นบ่อเกิดของแสงสว่างและชีวิตก็จะเผาใหม้เราเป็นจุล เราอ่อนแอเกินไปที่จะทนต่อความร้อนและแสงสว่างที่ได้รับโดยตรงจากดวงอาทิตย์อันร้อนแรงนั้นได้ แต่ดวงอาทิตย์จะให้พลังงานของมันออกมาในรูปของความร้อน แสงสว่างและสิ่งมีชีวิตแก่เราโดยการแผ่รังสี รังสีของดวงอาทิตย์จะเป็นตัวเชื่อมดวงอาทิตย์ให้แก่เรา
พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงอำนาจ พระผู้สร้างสรรค์ พระผู้ทรงพลานุภาพ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่เราคาดคิด พระองค์ทรงเป็นพระผู้ที่เรามิอาจล่วงรู้ได้ เราจะล่วงลุถึงพระองค์ด้วยความพยายามของเราได้อย่างไร เราจะถูกเผาผลาญด้วยความพยายามที่จะไปใกล้ดวงอาทิตย์ แล้วเราหวังจะไปสู่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง พระผู้ทรงเดชานุภาพ พระผู้สูงส่งได้อย่างไร เราไปหาพระองค์ไม่ได้แต่พระองค์จะทรงมาหาเราเอง ดวงอาทิตย์ได้ส่งพลังงานของมันมาสู่เราโดยการแผ่รังสี แนวทางและความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้าจะมาสู่เราโดยผ่านทางพระศาสดาของพระองค์ เช่น พระกฤษณะ พระคริสต์ พระโมฮัมหมัด พระบาฮาอุลลาห์ พระศาสดาแห่งพระผู้เป็นสื่อกลางที่จะนำเราไปสู่พระองค์ ถ้าหากไม่มีพระศาสดาเหล่านี้แล้วโลกของเราก็จะมืดมน และชีวิตของเราก็จะต้องตายอย่างแน่นอน
ถ้าเราจดจำพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้ เราก็จะจดจำพระผู้เป็นเจ้าได้ แต่ถ้าหากเราปฏิเสธพระศาสดาเหล่านั้นแล้วเราก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับพระผู้เป็นเจ้า
พระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเป็นพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าสำหรับยุคของเรา ได้ทรงตรัสแก่เราว่า ประตูแห่งความรู้ถึงความเป็นอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าก็จะคงถูกปิดแก่มนุษต่อไป ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะเข้าใจล่วงรู้เข้าไปสู่บัลลังก์แห่งคามศักดิ์สิทธิ์ได้ เพื่อส่งถึงความเมตตาของพระองค์พระองค์ทรงแสดงความรักความกรุณาของพระองค์ พระองค์ได้ทรงแสดงการนำทางไปสู่สวรรค์เป็นดวงดาว ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แห่งความสามัคคีของพระองค์และการรับรู้ถึงพระศาสดาผู้ศักดิ์สิทธิ์
ใครก็ตามที่จดจำพระศาสดาเหล่านั้นก็จะจดจำพระผู้เป็นเจ้า ใครก็ตามที่รับฟังต่อคำเรียกร้องของพระพระศาสดาเหล่านั้น ก็ย่อมรับฟังเสียงของพระผู้เป็นเจ้า ใครก็ตามที่ได้ทดสอบต่อความจริงของศาสนาของพระศาสดาก็ย่อมทำการทดสอบความจริงของพระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกัน ใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังในพระศาสดา ก็ย่อมไม่เชื่อฟังในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระศาสดาทุกพระองค์ก็คือสื่อของพระผู้เป็นเจ้าที่จะเชื่อมโยงโลกมนุษย์นี้กับสวรรค์เบื้องบน และมาตรฐานแห่งความจริงของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ทุกคนในโลกนี้และสวรรค์ ท่านเหล่านั้นคือผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้าเป็นองค์พยานแห่งความจริงของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของพระองค์
ความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ความรอบรู้ของพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงสร้างความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นในจิตใจของเรา ความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบ่อเกิดของความสุขนิรันดร ความรักเป็นต้นเหตุของการสร้างสรรค์เรา ดังที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงตรัสไว้ดังนี้ ?ดูกร บุตรแห่งมนุษย์ แม้ว่าในความทรงจำอันมิรู้สิ้นของเรา และในแก่นสารของเราอันหาขอบเขตมิได้ เราก็ยังมีความรักในตัวเจ้า ดังนั้นเราจึงได้สร้างเจ้าไว้ และเอารูปรอยของเราจารึกไว้ในตัวเจ้า และทำให้เจ้าได้รู้ในความงามของเรา?
พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราจึงสร้างเราขึ้นมา เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราอยู่แล้วและจะรักเราต่อไป พระองค์ไม่เคยละทิ้งเราไว้ตามลำพังในยามที่เราไร้ที่พึ่ง พระองค์ทรงแสดงองค์ของพระองค์แก่เราตามยุคตามสมัย พระอับดุลบาฮากล่าวไว้ว่า ?จงพิจารณาในความรักของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้แสดงออก ในบรรดาสัญลักษณ์แห่งความรักของพระองค์ที่ได้ปรากฏในโลกนี้ก็คือ การจุติของพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า ความรักที่คณานับไม่ได้นั้นได้ถูกสะท้อนกลับมาโดยการส่งพระศาสดาต่างๆ ให้แก่มนุษยชาติ เพื่อนำทางแก่มนุษย์ พระศาสดาทรงเต็มพระทัยที่จะเสียสละชีวิตของพระองค์ในการชุบจิตใจใหม่แก่มนุษย์ องค์พระศาสดายอมรับไม้กางเขนเพื่อส่งดวงวิญญาณของมนุษย์ให้บรรลุถึงความรุ่งเรืองสูงสุด พระศาสดาทั้งหลายได้รับความทุกข์ทรมานตลอดเวลาช่วงชีวิตของพระองค์….
?ให้สังเกตว่า จะมีมนุษย์สักกี่คนที่กล้าอุทิศความสุขความสบายของตนเพื่อผู้อื่น เป็นการกระทำที่หาได้ยากที่คนๆ หนึ่งจะอุทิศดวงตาของเขา หรือยอมทรมานตนเองโดยตัดแขนขาเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น ก็มีแต่พระศาสดาทุกพระองค์ที่ยอมทนทุกข์ทรมาน สละชีวิตเลือดเนื้อของพระองค์สละทุกสิ่งทุกอย่างที่สะดวกสบายเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นจึงพิจารณาดูว่า พระศาสดารักเรามากเพียงไรนั่นไม่ใช่เพราะบารมีของพระศาสดาหรือ ดวงวิญญาณของมนุษย์ก็จะไม่ได้รัศมีภาพนั้นแน่นอน เห็นหรือไม่ว่าความรักของพระศาสดาเหล่านี้มีอานุภาพมากเพียงไร นี้จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า เปรียบเหมือนการแผ่รังสีแห่งสัจธรรมของดวงอาทิตย์นั่นเอง?
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรา พระองค์ทรงต้องการที่จะให้เรารักในพระองค์ด้วยเช่นกัน
?ดูกร บุตรผู้มีความสำนึก? เป็นคำตรัสของพระบาฮาอุลลาห์ ?เราได้หายใจเข้าไปในตัวเจ้า ในคำเร้นลับ ลมหายใจแห่งดวงจิตของเรา เพื่อว่าเจ้าจะเป็นผู้ที่รักเราได้ เหตุใดเจ้าจึงจากเราไปและแสวงหาคนรักอื่นนอกไปจากเรา?
?จงเป็นคนรักของพระผู้เป็นเจ้า นั่นเป็นจุดประสงค์ของชีวิตบาไฮศาสนิกชนที่สำคัญยิ่ง จงให้พระผู้เป็นเจ้าเป็นเสมือนเพื่อนผู้ใกล้ชิดที่สนิทที่สุดของเจ้า อันหาที่รักเปรียบมิได้ ซึ่งในการแสดงออกท่าทางของผู้นั้นจะเต็มไปด้วยความสุขมีชีวิตชีวา อนึ่ง ในการรักพระผู้เป็นเจ้านั้นหมายความว่าให้รักทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคน เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้า การที่จะเป็นบาไฮศาสนิกชนที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีความรักอันสมบูรณ์แบบ เป็นผู้ที่จะรักคนทุกคนด้วนใจบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่จะไม่เกลียดชังผู้อื่น เป็นผู้ที่ไม่ดูถูกผู้อื่นเพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะได้เรียนรู้ในการมองเห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใบหน้าของทุกคน และพบร่องรอยของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความรักของผู้นั้นจะไม่มีขีดจำกัดในลัทธิ ชนชาติ ชั้นวรรณะ?
ความรักของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์นั้นจะเกิดขึ้นได้ง่ายถ้าหากความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้มีอยู่ในใจของพวกเรา ดังในพระวจนะของพระอับดุลบาฮาที่ว่า ?ความรักที่มีอยู่ในจิตใจของบาไฮศาสนิกชนจะได้รับแรงกระตุ้นด้วยการมองคนอื่นในแง่ดีในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของจิตใจ ความรักนี้จะได้มาก็โดยผ่านการรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ว่ามนุษย์จะได้มองเห็นอานุภาพความรักของพระผู้เป็นเจ้าสะท้อนกลับมาสู่จิตใจของมนุษย์ มนุษย์ก็จะเห็นความดีงามของพระผู้เป็นเจ้าสะท้อนเข้าสู่จิตวิญญาณในแต่ละคน การเห็นในจุดแห่งความคล้ายคลึงนี้ แล้วพวกเขาก็จะได้รับการดึงดูดไปหาอีกคนหนึ่งด้วยความรัก ความรักนี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนคลื่นที่อยู่ในท้องทะเลเดียวกัน ความรักนี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนดวงดาวแห่งสวรรค์และเป็นเสมือนผลไม้ในต้นเดียวกัน ความรักนี้จะนำไปสู่ความพร้อมใจกันอย่างแท้จริงอย่างเห็นได้ชัด อันนำไปสู่พื้นฐานของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริง?
ขอจงจดจำวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
ดูกร บุตรแห่งภาวะ จงรักเราเพื่อที่เราอาจจะรักเจ้า หากเจ้าไม่มีความรักในตัวเรา แล้วความรักของเราจะไปถึงเจ้าได้อย่างไร ขอจงรู้ในข้อนี้ด้วยเถิดผู้รับใช้?
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนา
เมื่อเราเป็นบาไฮศาสนิกชนแล้ว เราก็ต้องมีความเชื่อว่าทุกศาสนาที่มีมาตั้งแต่อดีตนั้นมีแหล่งกำเนิดจากที่เดียวกัน เราไม่ได้เปลี่ยนศาสนาของเราที่ได้มาเป็นบาไฮศาสนิกชน เพราะว่าเรามีความเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้น ซึ่งศาสนานี้เองได้ตกทอดให้แก่เราตามยุคตามสมัยโดยการยอมรับศาสนานั้นมาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งทำให้เรายิ่งเกิดความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วเราไม่ได้เปลี่ยนศาสนาแต่อย่างใด เปรียบเหมือนเมล็ดพืชที่งอกราก เติบโตเป็นลำต้น แตกใบ ออกดอกและมีผลนั่นเอง ต้นไม้ก็ต้องเป็นต้นไม้เดียวกันตลอดเวลา ไม่มีวันเปลี่ยน ต้นไม้ก็ได้แต่เจริญเติบโตไปเรื่อยๆ ดวงอาทิตย์ก็ต้องเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันถึงแม้จะทอแสงมาจากขอบฟ้าใดก็ตาม ประชากรของโลกชอบเลียนแบบการกราบไหว้บูชาทิศทางที่ดวงอาทิตย์ทอแสงสว่างอย่างงมงายจากบรรพบุรุษของเราที่ได้เห็นดวงอาทิตย์แห่งศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า แต่ถ้าหากดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนั้นไปขึ้นที่อื่นแล้ว ประชากรของโลกก็จะไม่รู้ แล้วทำให้เกิดความสับสนแต่เมื่อเรามองไปยังดวงอาทิตย์เราก็จะจำดวงอาทิตย์ดวงนั้นได้ว่าเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันที่เคยส่องแสงมาก่อน จากอีกฟากฟ้าหนึ่งนั่นเอง
บาไฮศาสนิกชนเชื่อว่าพระศาสดาในอดีตทุกพระองค์นั้นมีฐานันดรศักดิ์และจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทุกพระองค์ก็คือเทพแห่งอุทยานที่เคยช่วยเหลือดูแลให้ต้นไม้ของพระผู้เป็นเจ้าเจริญเติบโตเพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นบาไฮศาสนิกชน เราก็คือผู้ยอมรับในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนา
พระบาฮาอุลลาห์ ทรงบัญญัติไว้ว่า
ขอจงพิจารณาดวงอาทิตย์ ถ้าตอนนี้ดวงอาทิตย์จะพูดออกมาว่า ?เราคือดวงอาทิตย์ที่เจ้าเห็นเมื่อวาน? ซึ่งนั่นเป็นการพูดถึงความจริง หากจะถือเอาลำดับของเวลาแล้ว มันก็ควรจะเป็นดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งมากกว่าที่จะเป็นดวงอาทิตย์ดวงเดิม ซึ่งนั่นก็เป็นการพูดถึงความจริงอีกนั่นแหละ ในลักษณะเดียวกันถ้าหากจะพูดว่าวันทั้งหมดก็คือวัน วันเดียวกันเป็นวันที่เหมือนกัน นั้นก็ถูกต้องและเป็นความจริง และถ้าจะพูดว่าวันเหล่านั้นต่างกันด้วยการถือเอาการตั้งชื่อนั้น ก็เป็นความจริงอีกเหมือนกัน เนื่องจากวันเหล่านั้นเหมือนกัน แต่ก็มีลักษณะหนึ่งในการตั้งชื่อ ในคุณสมบัติเฉพาะ ในลักษณะพิเศษ ของให้คิดดูในความแตกต่าง การเปลี่ยน แปลง รวมทั้งคุณลักษณะเดียวกันของศาสนทูตแต่ละพระองค์เพื่อที่ว่าเจ้าอาจจะเข้าใจความหมายต่างๆ ที่พระผู้ทรงสร้างใช้เรียกชื่อทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งคุณสมบัติต่างๆ ต่อความลึกลับของความแตกต่าง และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมัยต่างๆ แล้วจะพบคำตอบที่จะตอบคำถามของเราได้ว่าเพราะเหตุใดความดีงามอันอมตะจึงได้ขนานนามพระองค์ด้วยชื่อและคำเรียกที่ต่างกัน?
พระบาฮาอุลลาห์ทรงให้ความมั่นใจแก่เราว่า ไม่มีลักษณะพิเศษหรือความแตกต่างกันเลยในระหว่าง ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ชื่อเรียกของศาสนทูตเหล่านั้นอาจจะแตกต่างกัน แต่ทุกพระองค์จะมาแสดงให้เห็นในสัจธรรมเดียวกัน ทุกพระองค์จะประทับอยู่บนบัลลังก์ที่เหมือนกัน และเสวยสุขในการได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงขอให้เราเชื่อในองค์พระศาสนทูตทุกพระองค์ ด้วยพระวจนะดังต่อไปนี้
?ดูกร ผู้ที่เชื่อในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า จงระวังจะถูกลวงให้เป็นความแตกต่างกันในองค์ศาสทูตของพระผู้เป็นเจ้า หรือทำให้ไม่เห็นต่อสัญลักษณ์ที่มีมาด้วยกัน ซึ่งได้ประกาศให้รู้ถึงความปาฏิหาริย์ของศาสทูตเหล่านั้น ความจำเป็นข้อนี้ก็คือ ความหมายที่แท้จริงของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า หากท่านเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจและเชื่อ่ในความจริงอันนี้ ขอท่านจงมีความมั่นใจว่าภาระและการกระทำขององค์ศาสนทูตแต่ละองค์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับองค์ศาสทูตก็เป็นบันดาลจากพระผู้เป็นเจ้า และอะไรก็ตามที่องค์ศาสนทูตเปิดเผยในอนาคตให้ถือว่า เป็นการสะท้องให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายหรือความประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใครก็ตามที่ก่อให้เกิดความแตกต่างขัดแย้งแม้แต่นิดต่อพระองค์หรือต่อวจนะ หรือต่อศาสทูต หรือต่อการกระทำ หรือการแสดงออกแล้วถือว่าไม่เชื่อฟังในองค์พระผู้เป็นเจ้า ถือว่าเป็นการปฏิเสธต่อสัญลักษณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และถือว่าเป็นการนอกศาสนาขององค์พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าด้วย?
ศาสนาซ้ำรอยเดิม
ในปีหนึ่งๆ ย่อมมีฤดูกาลที่แตกต่างกันไป ฤดูใบไม้ผลิจะมาก่อนมาพร้อมกับความงามของมัน แล้วต่อมาก็เป็นฤดูร้อน เป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวทั้งยังเป็นฤดูแห่งความอุดมสมบูรณ์ หลังจากนั้นระยะหนึ่งก็เป็นฤดูหนาว ธรรมชาติปล้นเอาความอุดมสมบูรณ์รวมทั้งความแจ่มใสงดงามไป แต่เมื่อสิ้นฤดูหนาวแต่ละครั้งก็เป็นการเริ่มฤดูใบไม้ผลิอีก แล้วติดตามมาด้วยฤดูแห่งการเก็บเกี่ยวอีกเหมือนเดิม
ทุกวันตอนเช้าดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้น จนกระทั้งไปถึงกึ่งกลางบนท้องฟ้าแล้วค่อยๆ โคจรลงจนกระทั่งตกไป ขณะที่ดวงอาทิตย์ได้ลับหายไปจากขอบฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกปกคลุมไปด้วยความมืด แต่เมื่อเอาเทียนทั้งโลกรวมกันกับตะเกียงของโลกก็ไม่อาจจะไล่ความมืดนี้ได้ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งโลกก็จะสดสวยเหมือนเดิม เนื่องจากมีดวงอาทิตย์เปล่งแสงเหมือนเดิม อันนี้อุปมาเหมือนกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับศาสนาใหญ่ๆ นั่นเอง
เมื่อดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมขึ้น วันใหม่แห่งความแจ่มใสก็เริ่มขึ้น ทุกหนทุกแห่งได้รับแสงสว่าง ทุกคนดีใจเพราะยุคสมัยของความมืดมนได้หายไป วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นและค่อยๆ เริ่มปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า ถึงเวลาแล้วที่ทุกๆ ศาสนา เมื่อความจริงถูกปกปิดด้วยการบัญญัติคำสอนขึ้นเองของมนุษย์ ยิ่งกว่านั้นมนุษย์ได้ลืมคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าเท่าใด ความมืดมนก็ได้เข้ามาครอบคลุมจิตใจของเขามากเท่านั้น เมื่อมนุษย์ได้นำเอาคำสอนของเขาเองมาตีความเป็นศาสนาเพื่อให้เข้ากับเจตนาของตนเอง จึงเกิดยุคมืดเข้าคลุมโลก บ่อเกิดแห่งแสงสว่าง สำหรับเราในเช่นคืนอันมืดมิดนี้ก็คือ เหล่านักบุญและนักปราชญ์ผู้ซึ่งเป็นเสมือนโคมไฟหรือดวงเทียนน้อยๆ ที่จะถูกจุดให้แสงสว่างหลังจากดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงประทีบโคมไฟน้อยๆ เหล่านี้จะถูกเผาไหม้ไปเรื่อยๆ จนหมด แล้วโลกก็ตกอยู่ในความมืดมนขาดคนเหลียวแล บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมจะส่องแสงอีกครั้งหนึ่ง ในอดีตดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมเคยส่องแสงผ่านทางพระกฤษณะ พระพุทธเจ้า พระคริสต์ พระโมฮัมหมัด และศาสนทูตองค์อื่นๆ ?ในยุคที่มืดมนนี้ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมจะส่องแสงผ่านทางพระบาฮาอุลลาห์อีกครั้งหนึ่ง พระผู้ซึ่งเป็นความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้า ขอเจ้าจงอย่าพอใจกับโคมไฟที่ทำขึ้นในโลกเรา หรือดวงเทียนที่มอดหมดไป ดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมกำลังส่องแสงอยู่ ขอจงตื่นเถิด
พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศว่า :
?เราขอบอกว่า นี่เป็นสมัยซึ่งมนุษย์ทุกคนเผชิญหันหน้าเข้าหากันแล้วฟังเสียงของพระผู้มาตามคำสัญญาเสียงเรียกของพระผู้เป็นเจ้าได้ดังขึ้นแล้ว และแสงรัศมีแห่งดวงพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของมนุษย์ จำเป็นที่มนุษย์ทุกคนจะต้องลบรอยแห่งคำพูดอันหาสาระมิได้ออกไปจากจิตใจ แล้วให้มองหาสัญลักษณ์แห่งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้อพิสูจน์แห่งศาสนาของพระองค์ รวมทั้งเครื่องหมายแห่งความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้า?
ศาสนาที่รุ่งเรือง
พระอับดุลบาฮา ทรงกล่าวไว้ว่า :
จากเมล็ดแห่งความสัจจริง ศาสนาได้เจริญเติบโตเป็นต้นไม้ที่ได้ออกใบ แตกกิ่งก้าน ผลิดอก และให้ผล หลังจากนั้นต้นไม้ต้นนี้ก็จะตกอยู่ในสภาพหมดอายุเน่าเปี่อย ใบและดอกเหี่ยวแห้งแล้วเน่าเปลื่อยไป ต้นก็ถูกถอนทิ้งและไม่ได้ผล ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนเราจะไปยึดถือต้นไม้เก่าต้นนั้น โดยอ้างว่าชีวิตของมันยืนยาว ผลของมันไม่สม่ำเสมอ ชีวิตของมันอมตะ เม็ดแห่งความสัจจริงจะต้องถูกหว่านลงในจิตใจของมนุษย์อีกครั้งเพื่อที่ว่าต้นไม้ต้นใหม่อาจจะเติบโตได้ จากนั้นผลไม้ของพระผู้เป็นเจ้าอันใหม่จะทำให้โลกสดใสขึ้น จากความหมายอันนี้ก็คือพลเมืองและชาติ ที่แตกต่างกันในศาสนาจะถูกนำมารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การเลียนแบบจะถูกเลิกไป และความเป็นพี่น้องร่วมโลกอย่างแท้จริงก็จะถูกสภาปนาขึ้น การสงคราม และการรบราฆ่าฟันกันจะยุติลงทุกคนจะคืนดีกัน เสมือนเป็นผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า
ศาสนาคือ โรงเรียนแห่งจิตใจนั่นเองเป็นที่ซึ่งมนุษยชาติได้รับคำสอนและความเจริญทั้งในด้านร่างกายและจิตวิญญาณ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนชนิดนี้ก็คือพระผู้เป็นเจ้า บุตรหลานของมนุษย์จะต้องผ่านเข้าไปโรงเรียนธรรมะนี้ ถ้าหากว่าเขาจะแสวงหาความสุขความเจริญในขั้นเริ่มต้น เขาจะต้องเข้าไปเรียนระดับต้นของโรงเรียน และในที่นั่นก็จะมีครูผู้ที่เต็มไปด้วยความรักเริ่มสอนเกี่ยวกับความรู้เบื้องต้นแบบง่ายๆ และสอนเกี่ยวกับพยัญ ชนะ เมื่อได้ผ่านความเอาใจใส่และความเมตตาจากครูของเราแล้ว จิตใจของเราก็จะได้รับกาพัฒนาพอสมควรแล้ว เราก็จะถูกส่งเข้าไปเรียนระดับที่สอง ซึ่งเราก็จะได้พบกับครูอีกท่านหนึ่งซึ่งจะเป็นผู้ปูพื้นฐานคำสอนของท่านในสิ่งที่เราได้เรียนมาในระดับที่แล้วแต่ท่านจะเพิ่มเติมความรู้ใหม่ๆ ในคำสอนต่างๆ ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายและจิตใจของเราเจริญขึ้นในโรงเรียนแห่งนี้ภายใต้การนำทางของครูท่านต่างๆ ของเรา เราจะกล่าวได้หรือไม่ว่าครูเหล่านี้ผู้ซึ่งได้สอนในระดับต่างๆ กัน ครูท่านนี้ดีกว่าท่านอื่นๆ เราไม่ชอบครูระดับสองเพราะว่าเราเกิดรักครูที่สอนเราในระดับต้น ได้หรือไม่ เราจะกล่าวได้ไหมว่าสิ่งที่เราได้รับการอบรมสั่งสอนในระดับต้นนั้นดีกว่าบทเรียนที่เราได้รับในระดับสอง แน่นอนเราจะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ เพราะระดับที่แตกต่างกันนี้เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ระดับการเรียนจะต้องต่อเนื่องกันไปตามวิธีการสอนที่เหมือนกันในแต่ละระดับชั้นเรียน เช่นเมื่อเราอายุ 6 ปี ความสามารถของเราก็มีเพียงเล็กน้อย ดังนั้นผู้ก่อตั้งโรงเรียนฉลาดจึงได้แนะครูผู้สอนในระดับเราว่าจะต้องให้ความรู้แก่เรามากที่สุดเท่าที่เราจะสามารถทำความเข้าใจได้ สิ่งที่เราได้รับการสั่งสอนในระดับนั้นก็คือบทเรียนที่ดีที่สุดที่ซึ่งเราสามารถที่จะรับได้กับอายุในตอนนั้น ถ้าหากว่าเราได้รับบทเรียนของระดับสามในตอนเริ่มต้นเรียน เราก็จะไม่มีวันที่จะได้รับความเจริญก้าวหน้า ก็เช่นเดียวกันกับทางศาสนา พระผู้เป็นเจ้ามีเพียงองค์เดียว และสถาบันแห่งศาสนาของพระองค์ก็มีเพียงหนึ่งแห่ง นั้นก็คือเราเป็นผู้ซึ่งมีความสามารถไม่เหมือนกัน ตามวัยอายุที่ต่างกัน
ครูผู้สอนธรรมะให้แก่เราก็คือองค์พระศาสดาผู้ทรงเฉลียวฉลาด หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือ องค์ศาสนทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง ทุกพระองค์ล้วนมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกัน คือคอยช่วยเหลือเราให้เจริญ ก้าว หน้าภายในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า แต่มนุษย์ที่ได้รับการพัฒนาตามอายุและความสามารถของเขานั้นจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับความเจริญเติบโตของเขา เพราะฉะนั้นเราจะต้องมองเห็นกฎแห่งความค่อยเป็นค่อยไปของความเจริญก้าวหน้านี้ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกำหนดให้กับเราโดยผ่านทางองค์พระ ศาสนทูตของพระองค์ในยุคสมัยที่ต่างกัน เราคงไม่ยอมที่จะอยู่ซ้ำในระดับเดิมของสถาบันศาสนาแห่งนี้ เพราะเรารักองค์พระศาสดาผู้ซึ่งสอนเราในระดับนั้น ความรักเช่นนี้ไม่ใช่ความรักแท้ที่เราให้แก่ครูของเรา เพราะว่าถ้าหากเรายังคงอยู่ซ้ำในชั้นของท่าน ท่านก็จะเสียใจ ท่านต้องการให้เราไปเรียนต่อไปและรับคำสอนจากครูของระดับชั้นถัดไปด้วย อันนี้ไม่ได้หมายความว่าความรู้ของครูคนหนึ่งจะน้อยกว่าครูอีกคนหนึ่ง มิใช่เช่นนั้นเลย ครูทุกท่านมีระดับความรู้ที่เท่าเทียมกันครูทุกท่านฉลาดและมีความสำคัญเท่ากัน เพราะว่าท่านเป็นผู้รอบรู้ ท่านจะให้ความรู้แก่เราเท่าที่เราจะรับได้ในเวลานั้นๆ แต่ท่านก็ได้รับรองกับเราว่าหากเรากระทำดีและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านแล้ว เราก็จะมีครูอีกท่านหนึ่งซึ่จะคอยช่วยเหลือเราให้ได้รับความเจริญยิ่งขึ้นไป ในทางกลับกันครูคนถัดไปของเราก็จะชมเชยสรรเสริญในความพยายาม ความสามารถของครูคนเก่าซึ่งได้ให้ความรู้แก่เราในลัษณะเช่นนี้เราก็จะรู้ว่าองค์พระศาสดาทุกพระองค์ของพระผู้เป็นเจ้านั้นได้กล่าวสรรเสริญองค์ศาสนทูตซึ่งได้เสด็จมาก่อนพระองค์ และยังได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะให้การศึกษาต่อไปโดยผ่านพระศาสดาผู้ซึ่งจะตามมาหลังจากพระองค์
หากว่าใครคนใดในพวกเราจะหยุดความก้าวหน้าของเขาในโรงเรียนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เขาคนนั้นก็จะเป็นผู้สอบตกแต่ถ้าหากเขามีความเชื่อในความเจริญก้าวหน้าและความรอบรู้ขององค์พระศาสนทูตแล้ว เขาก็จะพยายามปรับปรุงตนเองเพื่อที่จะให้สามารถรับความรู้มากขึ้นจากครูผู้ซึ่งได้นำเอาบทเรียนที่เหมาะสำหรับอายุของเขา
พระบาฮาอุลลาห์ทรงสอนว่าพื้นฐานของทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกัน ในทุกระดับชั้นของโรงเรียน สิ่งหนึ่งก็คือสอนให้มีความสุจริต ให้มีความซื่อสัตย์ ให้มีความเมตตากรุณา เป็นต้น กฎพื้นฐานเหล่านี้ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเราได้เลื่อนขึ้นไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น ก็จะต้องมีอยู่ในระดับต้นในระดับสองหรือแม้แต่ในระดับสาม คุณธรรมอันดีงามเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้รับการสรรเสริญอยู่เสมอ คุณธรรมที่เป็นความจริงชั่วนิรันดรย่อมเป็นจริงทุกยุคทุกสมัย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการวางพื้นฐาน แต่สำหรับพื้นฐานอย่างเดียวนั้นยังไม่เป็นการเพียงพอจะต้องมีการสร้างบางสิ่งบางอย่างให้อยู่บนพื้นฐาน ซึ่งจะต้องเหมาะกับความต้องการของเราในยุคสมัยที่ต่างกัน นี้ก็คือสิ่งที่ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าได้ถือปฏิบัติ บนพื้นฐานแห่งความจริงเดียวกัน พระองค์จะต้องพัฒนาความรู้ความสามารถของมนุษย์ให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นตามช่วงของความเจริญเติบโตในแต่ละช่วง ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในการกระทำเช่นนั้นพระองค์ก็ยังคงได้วางกฎเกณฑ์ของพระองค์บนพื้นฐานความรู้ที่ได้รับมาจากองค์พระศาสนทูตองค์ก่อนของพระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับวิชาพีชคณิตที่สอนในระดับสูงในโรงเรียนนั้นก็จะต้องมีพื้นความรู้ในเลขคณิตเบื้องต้นที่เราได้เรียนมาในตอนที่ยังเป็นเด็ก
ขณะนี้เรากำลังอยู่ในวัฏจักรของกำลังแห่งมนุษย์ซึ่งหมายความว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคสมัยใหม่ และมีกำลังความสามารถที่สูงขึ้นกว่าที่เราเคยมีมา ขอขอบคุณองค์ศาสนทูตในอดีตที่ได้ฝึกเตรียมเราในการรับเอาความรู้อันมหาศาลของพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านทางพระศาสนทูต สำหรับยุคสมัยใหม่นี้
พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงสอนเราในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นอัน หนึ่งอันเดียวกันของศาสนา และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ พระองค์ทรงสรรเสริญพระศาสดาทุกพระองค์ในอดีต และยังทรงชี้ให้เราเห็นถึงวิธีการที่พระศาสดาทุกพระองค์ได้ทรงประทานพระศาสดาอันเป็นที่รักที่ทรงได้ให้คำสัญญาไว้นั้นจะเสด็จมา โซ่ทองแห่งพระศาสดาจะถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยพระบาฮาอุลลาห์ ซึ่งเป็นเรื่องราวอันไพเราะจับใจ
องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า
พระกฤษณะ
พระกฤษณะ คือ ผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้า สาส์นของพระองค์ คือสาส์นแห่งความรัก พระองค์ทรงพระราชสมภพในคุกแห่งหนึ่ง นี้จึงเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เราทราบว่าเราทุกคนเกิดมาแล้วอยู่ในคุกแห่งตนเอง อยู่ในคุกแห่งโลกนี้ พระกฤษณะทรงหนีออกจากคุกได้อย่างปาฏิหาริย์ เช่นเดียวกันถ้าหากว่าเราพยายามที่จะประพฤติดี ถ้าหากเราพยายามที่จะอยู่ในศีลในธรรม เราก็จะสามารถหนีออกจากคุกแห่งตนเองได้
พระกฤษณะถูกพวกมารผจญซึ่งก็เหมือนกับองค์พระศาสทูตองค์อื่นๆ ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงต่อสู้กับพวกมารจนได้รับชัยชนะ ไม่ว่ากำลังของพวกมารจะมากเพียงใดก็ตาม แต่กำลังแห่งสัจจะก็มักจะได้รับชัยชนะอยู่เสมอ
พระกฤษณะทรงเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ซึ่งหมายความว่าประตูน้อย พระองค์ทรงเป็นประตูแห่งความรู้สู่พระผู้เป็นเจ้า ศาสนาของพระองค์มีไว้สำหรับความดีงามของมนุษย์ แต่น่าเสียดาย มนุษย์กลับปฏิเสธต่อคำสอนเหล่านั้น
พระกฤษณะรู้สึกเสียพระทัยที่ว่าผู้คนไม่เข้าใจพระองค์ พระองค์ทรงสงสัยว่าการที่ผู้คนไม่เชื่อในตัวพระองค์นั้นเป็นเพราะว่าพระองค์มาในร่างของมนุษย์ ผู้คนมีความนึกคิดเป็นของตนเองเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และองค์พระศาสนทูตของเขา เพราะฉะนั้นเมื่อพระกฤษณะได้ประกาศพระองค์ว่าเป็นผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้าผู้คนจึงได้ปฏิเสธพระองค์ นี้เป็นสิ่งที่พระกฤษณะได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์คีตะ
?การสำคัญผิด รังเกียจเรา ที่เราอยู่ในร่างของมนุษย์นั้นเป็นเพราะไม่รู้ฐานะอันสูงส่งของเราว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์โลกทั้งปวง?
แม้แต่สาวกอันเป็นที่รักของพระองค์ อรชุน ก็ไม่อาจเข้าใจอำนาจสวรรค์ที่มีอยู่ในพระกฤษณะ อรชุนจึงไม่เชื่อว่าที่อยู่ของมนุษย์นั้นอาจกลายเป็นบัลลังก์ที่ประทับของพระเจ้าก็ได้ ผู้คนกล่าวกันว่าพระกฤษณะจะ ต้องแปลงร่างของพระองค์ให้กลายเป็นร่างของเทพเจ้าเพื่อว่าอรชุนจะได้เห็นในอำนาจของพระองค์ และเชื่อนับถือพระองค์
นี้ก็หมายความว่าพระกฤษณะได้ช่วยให้อรชุนเข้าใจในความศักดิ์สิทธิ์และความอนุภาพทางจิตวิญญาณของพระองค์ก่อนที่อรชุนจะเชื่อหลักธรรมศาสนาในพระผู้เป็นเจ้า สงครามกุรุเกษตรได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่ออรชุนได้ยกแขนยอมฟังพระผู้เป็นเจ้า
ท่านคงทราบว่า สงครามนี้เป็นการสู้รบระหว่างความดีและความชั่ว พวกเคารพ ซึ่งเป็นญาติของพวกปาณฑปได้เริ่มสงครามนี้ขึ้น พระกฤษณะได้ทรงนำอรชุนออกทัพสู้รบกับกองทัพของชนผิวดำ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเก่งกาจคนหนึ่งของปาณฑป พระกฤษณะซึ่งเป็นสารถีของอรชุนแต่อรชุนไม่ประสงค์ที่จะสู้กับญาติของตน ด้วยมีอาจารย์และเพื่อนอันเป็นที่รักของเขาอยู่ในกองทัพของพวกเคารพด้วย อรชุนจึงพยายามที่จะโต้คารมและวางคันธนูอันแสนยานุภาพของเขาลง แต่พระกฤษณะได้ออกคำสั่งว่าอรชุนควรจะยอมจำนนต่อพระองค์และปฏิบัติตามพระองค์เสีย
เมื่อเราได้พบองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า และยอมรับในศาสนาของพระองค์ เราก็จะต้องเชื่อในคำบัญชาของพระองค์ นี่คือสิ่งที่พระกฤษณะได้ทรงสอนเราไว้ในพระคัมภีร์คีตะ
?ขอให้ยอมจำนวนในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างต่อเราให้ถือว่าเราเป็นเสมือนเทพสูงสุด และขอให้มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ดังที่ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรก็ให้ปฏิบัติต่อเราเช่นนั้น?
พระกฤษณะทรงเป็นผู้ยึดถือสันติภาพ พระองค์ทรงขอร้องเราด้วยตัวพระองค์เองว่า
?ให้ละทิ้งภาระหน้าที่ทุกอย่าง อย่าได้เศร้าโศกเสียใจไปเลยเพราะเราจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวง จงมาหาเราเป็นที่พึ่ง
พระกฤษณะองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงนำมาซึ่งความเจริญอารยธรรมใหม่ๆ พระองค์ทรงปลดเปลี้องความชั่วร้ายและความเศร้าโศกออกจากมนุษย์ พระองค์ทรงให้ความมั่นใจต่อศาสนิกชนของพระองค์ว่าในอนาคตพระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระองค์อย่างเปิดเผยเพื่อทบทวนสิ่งที่พระกฤษณะได้ทรงปฏิบัติไปแล้ว เพื่อนำทางแก่ผู้คนที่กำลังสับสนให้เดินตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงตรัสว่า
?เมื่อใดก็ตามที่ธรรมะเกิดความเสื่อมลง และเมื่อใดก็ตามที่อธรรมมีมากขึ้นแล้ว อรชุนเราจะส่งตัวเราเองมา เพื่อปกป้องความดี มาเพื่อทำลายความชั่ว และมาเพื่อก่อตั้งธรรมะ เราจะมาตามยุคตามสมัย?
เราจะเห็นในหน้าต่อไปว่า คำมั่นสัญญาของพระผู้เป็นเจ้านี้เป็นจริงได้อย่างไร
พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าประสูติในราชวงศ์ของอาณาจักรหิมาลัย เมื่อพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่ มีดาบสรูปหนึ่ง มีนามว่าอสิตะได้เสด็จไปยังพระราชวัง อสิตะดาบสเป็นผู้ทรงศีลและทำนายข่าวอันเป็นที่น่ายินดีแก่พระบิดาของพระพุทธเจ้าว่าโอรสของพระองค์จะได้เป็นบรมศาสดาผู้โปรดสัตว์โลก
ต่อมาพระพุทธเจ้ามีนามว่าเจ้าชายโคตะมะ บิดาของพระองค์ได้ทรงปรนนิบัติโอรสของพระองค์ด้วยความบันเทิงโลกีสุข พระองค์ต้องการที่จะให้โอรสของพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ดี แต่โคตะมะก็ทรงพบว่าความสุขทางโลกอย่างเดียวนั้นมิใช่เป็นความสุขที่แท้จริง วันหนึ่งพระองค์ทรงได้พบกับชายชราผู้หนึ่ง แล้วพบคนเจ็บแล้วทรงพบคนตาย พระองค์ทรงมองเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นหนีไม่พ้นความเจ็บป่วยและความตายเพราะฉะนั้นพระองค์จึงคิดว่ามีความสุขทางจิตใจเท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขที่แท้จริงได้ พระองค์ทรงละทิ้งบ้าน มเหสีและพระราชโอรสของพระองค์เพื่อแสวงหาสัจธรรม ในตอนแรกพระองค์เสด็จไปยังป่าที่ห่างไกล ทรงอดอาหารและความสะดวกสบาย การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะช่วยพระองค์ได้ เพราะว่าถ้าหากร่างกายอ่อนแอแล้ว อำนาจทางจิตก็จะพลอยอ่อนแอไปด้วย ณ ภายใต้ร่มโพธิ์ในประเทศอินเดียที่พระพุทธเจ้าได้รับแสงสว่างแห่งธรรมะ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระองค์ทรงเริ่มเทศนาโปรดสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน พระองค์ตรัสแก่มนุษย์ให้ทำจิตใจและกายให้บริสุทธิ์ ให้ละเว้นความโลภ ความทุจริต และให้รู้ว่าความทุกข์ในโลกนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์จะได้เตรียมตัวเองเพื่อความสุขสบายทางจิตใจชั่วนิรันดร
พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างแก่เราในการบำเพ็ญชีวิตของพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังนั่งบำเพ็ญชีวิตอยู่ที่ใต้ต้นสาระก็มีพระยามารตนหนึ่งพยายามยั่วยวนพระองค์ด้วยการถวายทรัพย์สมบัติทางโลกรวมทั้งถวายความสำราญบันเทิงต่างๆ แต่พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้แล้วก็ได้รับชัยชนะต่อการยั่วยวนของพระยามารได้ อำนาจของพระองค์เป็นอำนาจทางจิตวิญญาณ
ด้วยคำสอนอันประเสริฐของพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงช่วยให้ประชาชนของชาติต่างๆ จำนวนหลายล้านคนได้บรรลุนิพพาน
ในสมัยพุทธกาลประชาชนในประเทศของพระองค์มีการสู้รบซึ่งกันและกันในชื่อพระผู้เป็นเจ้า ความจริงแล้วเขาเหล่านั้นได้มีการแต่งตั้งเทพเจ้าและเทพธิดาอย่างมากมายเพื่อพวกเขาเอง พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าทางที่จะไปสู่พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องผ่านทางองค์พระศาสนทูตของพระองค์นั้นเอง พระองค์ก็คือองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพระองค์ไม่ต้องการให้ประชาชนรบราฆ่าฟันกันเองในชื่อของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ซึ่งไม่อาจรู้ได้เว้นเสียแต่ว่าผ่านทางพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระศาสดาที่ทรงปัญญา เพื่อที่จะไม่ให้คนเหล่านั้นทะเลาะกัน พระองค์จึงไม่ทรงตรัสถึงเรื่องพระผู้เป็นเจ้าได้แต่บอกเขาเหล่านั้นให้เชื่อฟังพระองค์ซึ่งเป็นพระศาสนทูตแห่งสัจธรรม ด้วยวิธีการนี้พระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการรวบเอาคนจำนวนหลายล้านคนซึ่งมีการแบ่งแยกกันไม่ว่าจะเรื่องการขนานนามพระผู้เป็นเจ้า หรือเรื่องการถือชั้นวรรณะ พระองค์ทรงตรัสว่า ?คนเราไม่ใช่เป็นพราหมณ์มาแต่กำเนิด คนเราไม่ใช่จะเป็นคนจัณฑาลมาแต่กำเนิด การที่คนเป็นพราหมณ์นั้นเกิดจากการกระทำ คนที่เป็นจัณฑาลนั้นเกิดจากการประพฤติตนนั้นเอง
ก่อนที่พระองค์จะทรงเสด็จปรินิพพานไปจากโลกนี้พระพุทธเจ้าทรงให้คำมั่นสัญญาว่าศาสนิกชนของพระองค์ผู้ซึ่งหวั่นกลัวว่า ศาสนาของพระองค์จะค่อยๆ สูญสิ้นไป พระองค์ทรงตรัสว่า
?เรามิใช่พระพุทธเจ้าองค์แรกที่เสด็จมาในโลกนี้ และเราก็มิใช่พระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายด้วย ไม่ช้าก็จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เสด็จมายังโลก พระองค์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมขั้นสูงประกอบกับเป็นผู้มีปัญญาณาณเป็นเครื่องนำทางเป็นผู้ค้ำจุน รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์ทรงเป็นนายแห่งเทวโลกและยมโลก พระองค์จะทรงแสดงสัจธรรมเดียวกันนั้นแก่ท่านเหมือนกับที่เราได้แสดงสั่งสอนท่านมาแล้ว พระองค์จะทรงแสดงธรรมะแก่ท่านในเรื่องศาสนานี้ ว่าประเสริฐตั้งแต่เริ่มต้น มีความรุ่งโรจน์ตามลำดับ และน่าสรรเสริญในตอนปลายไม่ว่าเป็นทางด้านจิตใจหรือทางด้านพระบัญญัติ พระองค์จะทรงประกาศให้ทราบถึงการบำเพ็ญชีวิตเพื่อศาสนาอันสมบูรณ์ และบริสุทธิ์เช่นเดียวกับที่เรากำลังประกาศให้ทราบอยู่ตอนนี้ สาวกของพระองค์จะเพิ่มจำนวนขึ้นหลายพันเท่า กว่าที่เรามีอยู่หลายร้อยคนตอนนี้
คำมั่นนี้ได้ให้ความหวังแก่พุทธศาสนิกชนว่า พวกเขาจะไม่ถูกทอดทิ้งให้เดียวดายในโลกนี้ แต่พวกเขาจะได้รับแสงสว่างแห่งการนำทางจากพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง ตอนนี้พระพุทธเจ้ากำลังเสวยสุขในที่นิรันดรของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงรู้ว่าคำมั่นสัญญาของพระองค์นั้นจะเป็นจริงได้ในองค์พระบาฮาอุลลาห์ พระผู้เป็นแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้า
พระโมเสส
ดินแดนที่ห่างไกลแห่งหนึ่งมีกลุ่มทาสอาศัยอยู่ด้วยความยากลำบาก พวกเขาถูกเรียกว่า ?เด็กของอิสราเอล? และให้ทำงานเยี่ยงทาสภายใต้พระจักรพรรดิ์ผู้ทรงอำนาจแห่งอียิปต์ ประชาชนเหล่านี้ได้กลายเป็นพลเมืองของอีกประเทศหนึ่งซึ่งตอนนี้เรียกว่าอิสราเอล พวกคนเหล่านี้ถูกนำตัวออกจากประเทศด้วยการบังคับมีแต่องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเขาเหล่านั้นให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมานได้ ดังนั้นพระโมเสสจึงได้รับการดลบันดาลเพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นพ้นทุกข์ พระองค์ทรงอยู่ลำพังผู้เดียวและจักรพรรด์อียิปต์ทรงหาทุกวิถีทางที่จะทำลายพระองค์ให้จงได้ แต่เมื่อองค์พระศาสนทูตเสด็จมาพระองค์ทรงได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่จนไม่มีอำนาจใดๆ ในโลกที่จะสามารถชนะได้ พระโมเสสได้ทรงประกาศข่าวดีเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่ประชาชนของพระองค์ทราบทั้งที่ไม่มีใครช่วยเหลือและด้วยพระหัตถ์เพียงข้างเดียวของพระองค์
เมื่อพระโมเสสได้ประกาศว่าพระองค์คือองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า เด็กของอิสราเอลจึงได้รู้ว่าวันเวลาแห่งความทุกข์ทรมานได้สิ้นสุดลงแล้ว พวกเขาได้เฝ้าติดตามพระองค์ไป พวกเขาได้กลับเข้าไปที่อิสราเอล ดินแดนศํกดิ์สิทธิ์ และได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น จักรพรรดิ์แห่งอียิปต์พร้อมด้วยทหารและกองทัพของพระองค์ไม่อาจที่จะกีดกันคนเหล่านั้นได้ แต่เมื่อจักรพรรดิ์และกองทัพของพระองค์พยายามที่จะกีดกันเช่นนั้นพวกทหารจึงได้จมน้ำตายในทะเลแดง
พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กอิสราเอล จากที่พวกเขาเคยตกเป็นทาสนั้นพวกเขาก็สามารถที่จะก่อตั้งอาณาจักรที่มั่นคงได้ พวกเขาได้กลายเป็นอาจารย์ของมนุษยชาติ นักปรัชญาและอาจารย์จำนวนมากมายของแผ่นดินอื่นได้สืบทอดความรู้ของเขามาจากศาสนิกชนของพระโมเสส ด้วยการเสด็จมาของพระองค์ซึ่งเป็นองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่จะนำความสุขให้กับพวกเราเท่านั้นแต่ยังนำเอาแหล่งความรู้และปัญญาสู่เราด้วย
พระโมเสสทรงรวบรวมคำสอนของพระองค์ไว้ในบัญญัติ 10 ประการ คำสอนเหล่านั้นเป็นกฎหมายที่ไพเราะ พระองค์ทรงบอกให้พวกเรามีความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าได้รักสิ่งอื่นใดมากไปกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้รักบิดามารดาของเราให้มีความเชื่อฟังท่าน พระองค์ทรงบอกพวกเรามิให้ลักขโมย อย่าทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ จงเป็นผู้บริสุทธิ์ และสะอาด ให้มีความซื่อสัตย์อยู่เป็นนิตย์ นอกจากคำสอนเหล่านี้แล้ว พระโมเสสทรงให้คำสัญญาแก่ประชาชนของพระองค์ว่าในอนาคต เทพเจ้าแห่งความเมตตากรุณาจะเสด็จมาเพื่อปลดเปลื้องพวกเขาให้พ้นจากความทุกข์ทรมานทั้งปวง พระองค์ทรงสัญญาว่าเมื่อเทพเจ้าแห่งความเมตตากรุณาเสด็จมาเมื่อใด เด็กอิสราเอลก็จะยิ่งได้กลับไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เร็วยิ่งขึ้นหลังจากสมัยแห่งการแตกแยก และจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งในดินแดนของบรรพบุรุษของเขา
เทพเจ้าแห่งความเมตตากรุณาได้เสด็จมา พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศว่า วันของพระผู้เป็นเจ้าได้มาถึงแล้วดังคำสัญญาที่ให้ไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในอดีต พระองค์ได้ประกาศข่าวดีแก่ศาสนิกชนของพระโมเสสว่าคำมั่นสัญญาที่พวกเขายึดมั่นอยู่นั้นเป็นจริงขึ้นแล้ว ชาวยิวในทุกประเทศหลังจากที่ได้แยกกันอยู่เป็นเวลานาน ในช่วงระหว่างนั้นพวกเขาได้ทนต่อการดูถูกเหยียดหยามรวมทั้งความทุกข์ทรมานต่างๆ บัดนี้ได้รวมกันในดินแดนศํกดิ์สทิธิ์ พวกเขาได้ก่อตั้งดินแดนต่างหากสำหรับตนเองซึ่งมีชื่อว่า ประเทศอิสราเอล ตามคำมั่นสัญญาของพระโมเสสทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อ เทพเจ้าแห่งความเมตตากรุณาได้ประทับอยู่บนบัลลังก์แห่งความยุติธรรมบนแผ่นดินโลกนี้ ชาวยิวจำนวนมากเมื่อพวกเขาได้เห็นวิธีการที่เด็กอิสราเอลมาร่วมกันในดินแดนศํกดิ์สิทธิ์ ตามคำมั่นสัญญาในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเทพเจ้าแห่งความเมตตากรุณาได้เสด็จมาแล้ว หากมิเช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรวมตัวกันไม่ได้
ในชุมชนบาไฮก็มีชาวยิวจำนวนมากมายซึ่งมีความเชื่อในองค์พระศาสดาบาฮาอุลลาห์ว่าเป็นองค์พระศาสนทูตอันประเสริฐของเขาที่ได้ให้คำสัญญาไว้นั่นเอง
พระโซโรแอสเตอร์
แสงแห่งคุณธรรมได้ลุกโชติช่วงอยู่ในหัวใจของมวลมนุษย์ตลอดเวลา ด้วยความรักและความเมตตาของพระผู้สร้างซึ่งทรงความปรานี พระองค์ไม่เคยที่จะละเลยและจะไม่ละเลยเราไว้ในความมืดมน พระโซโร ??แอสเตอร์ทรงเป็นหนึ่งในจำนวนพระศาสดาผู้ซึ่งได้นำแสงแห่งคุณธรรมมาสู่ปวงชนชาวเอเซียตะวันตก เช่นกันพระกฤษณะ พระพุทธเจ้าและพระโมเสส พระองค์ได้ก่อตั้งให้มีอารยธรรมใหม่ ซึ่งอยู่เป็นศตวรรษ
ในปัจจุบันนี้ยังมีชุมชนชาวโซโรแอสเตรียน ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ อยู่ในประเทศอินเดีย เขาเหล่านี้เรียกโดยขนานนามว่าฟารี
ตามที่เล่ากัน พระโซโรแอสเตอร์ประสูติในทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอิหร่านปัจจุบัน บิดามารดาของพระองค์เป็นผู้มีบรรดาศักดิ์และพระองค์อาศัยอยู่อย่างสะดวกสบายในบ้านซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ทะเลสาบอันสวยงาม นอกเหนือจากจะได้รับการศึกษาแบบทั่วๆ ไปซึ่งมีอยู่ในเวลานั้นแล้วพระองค์ยังได้รับการศึกษาในการเป็นเกษตรกรที่ดี ในวัยหนุ่มเช่นเดียวกันพระพุทธเจ้า พระองค์ได้ค้นพบว่า ชีวิตชั่วคราวในโลกนี้โดยตัวของมันเองแล้วไม่มีความสำคัญเลย ฉะนั้นเพื่อแสวงหาความจริง พระองค์ได้สละบ้านที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายแล้วไปอาศัยอยู่ในถ้ำบนภูเขาสูงเพื่อทำการสวดมนต์อธิษฐานและทำสมาธิ หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อพระองค์อายุได้ 30 พรรษา พระองค์ทรงกลับมาพร้อมทั้งประกาศข่าวอันน่ายินดีต่อปวงชนว่าพระองค์ได้เป็นผู้นำข่าวสาส์นมาจากพระผู้เกรียงไกร พระอาหุรามาสดา พระองค์ผู้ซึ่งประทานข่าวอันน่ายินดีว่าชีวิตนิรันดร์นั้นได้รอคอยเราอยู่ พระองค์ได้เชิญชวนให้ปวงชนได้ยึดถือในหลักสำคัญ 3 ประการ คือ การคิดในทางที่ดี การกระทำในทางที่ดี และการพูดที่ดี พระองค์ได้ทรงให้ความเห็นว่าความดีและความชั่วจะเป็นศัตรูของกันและกันตลอดไป พร้อมทั้งทรงตรัสว่าอาหุรามาสดา หัวใจของคุณความดีในที่สุดก็จะทำลายอารมาน ผู้เป็นความชั่วร้าย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงนำเอาคำสอนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและเน้นเรื่องความสะอาดของร่างกาย จิตใจ และบ้านเรือน
เช่นเดียวกันกับพระศาสดาองค์อื่นๆ ก่อนหน้าพุทธและหลังพราหมณ์ พระโซโรแอสเตอร์ได้ถูกปฏิเสธจากปวงชนของพระองค์ในพระคัมภีร์เล่มหนึ่งของพระองค์คือ อะเวสทา พระองค์ประท้วงว่า ?จะให้เราไปที่ไหน ผู้นำและขุนนางทั้งปวงต่างก็ต่อต้านเรา แม้แต่ชาวนาก็ยังต่อต้านเรา เราให้เขามีความสุขกับเขาผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองปวงชนแต่ยังยึดมั่นอยู่กับความหลงผิดได้อย่างไร โอ มาสดา ทำอย่างไรที่เราจะทำให้พระองค์มีความสุข?
พระองค์ได้ทรงประท้วงต่อไปอีกว่าแม้แต่ญาติของพระองค์ก็ยังไม่สนใจใยดีต่อพระองค์และปวงชนก็ได้ต่อต้านและสร้างความลำบากให้พระองค์ ฉะนั้นพระองค์จึงได้ออกจากบ้านของพระองค์และเดินทางไปทางตะวันออกยังเมือง บาลก์ เพื่อประกาศศาสนาของพระองค์ให้กับพระราชา กุชิทาสิบ อย่างที่คาดการณ์ไว้ ประชาชนที่นั่นก็ไม่สนใจที่จะยอมรับศาสนาใหม่ เขายังต้องการที่จะค้างอยู่ในวิถีทางประเพณีศาสนา และมีความสุขในการอยู่ในความมืด มากกว่าที่จะทำความอุตสาหะพยายามเพื่อที่จะพบกับแสงสว่าง แต่พระราชาทรงประทับใจกับความกล้าหาญและความเร้าใจของบุรุษผู้นี้ พระราชาทรงรับสั่งให้พวกขุนนางและนักปราชญ์ทั้งปวงจัดให้มีการโต้วาทีในพระราชวังของพระองค์ การโต้วาทีได้เป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคนว่า อำนาจของพระโซโรแอสเตอร์ไม่ได้มาจากตัวพระองค์เองแต่ได้ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอานุภาพ ดังนั้นประชาชนและประชาชนของพระองค์จึงได้ยอมรับในพระอาทุรามาสดาและศาสนาใหม่นี้ก็ได้บังเกิดขึ้น
ปวงชนในประเทศเพื่อนบ้านตกใจว่าความดีได้ถูกก่อตั้งขึ้นในอาณาจักรของบาลก์และจะทำลายการใช้ชีวิตอย่างชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาจึงได้รวบรวมกำลังกองทัพใหญ่และเข้าโจมตีอาณาจักรอิหร่าน พระโซโรแอสเตอร์ถูกจับตัวในขณะที่พระองค์กำลังสวดมนต์อยู่ในโบสถ์ และพระองค์ได้ถูกประหารชีวิตด้วยดาบเมื่อพระชนมายุ 77 พรรษา นั้นเป็นผลให้ชีวิตของพระผู้ทรงประกาศสัจธรรมจบลง แต่คำสอนของพระองค์ยังคงยืนยาวต่อไป
พระโซโรแอสเตอร์ทรงเป็นเพลิงนิรันดร์ที่ไม่มีวันดับของพระผู้เป็นเจ้า ตามธรรมเนียมเมื่อพระองค์ทรงโต้วาทีที่ตำหนักของพระราชาฯ โดยไม่ให้ไฟลุกมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ให้ส่องแสงและให้ความอบอุ่นโดยที่ไม่เผาไหม้พระหัตถ์ของพระองค์ นี่เป็นเพียงแค่การเปรียบเทียบให้เห็นถึงอานุภาพของพระองค์ และไม่ควรจะนำมาตีความตรงตัว ไฟแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งได้ถูกก่อขึ้นโดยองค์พระศาสดาต่างๆ จะถาวรและไม่มีวันดับ นี่เป็นไฟที่จะนำทางมวลมนุษย์และนำความอบอุ่นและความสุขมายังจิตวิญญาณของพวกเขาแทนที่จะเผาไหม้และทำลายเขา เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของไฟนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า ชาวโซโรแอสเตอร์จึงได้ก่อคบเพลิง ซึ่งจะไหม้อยู่ตลอดเวลาในโบสถ์ของเขา ดังนั้น บ่อยครั้งพวกเขาจึงถูกเข้าใจผิดๆ ว่าเป็นผู้ที่บูชาไฟ
พระโซโรแอสเตอร์ไม่เพียงแต่จะทรงกระทำภารกิจของพระองค์ได้เสร็จสิ้นลงไปชั่วอายุของพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงประทานข่าวดีว่า เมื่อเวลามาถึงจะมีพระผู้ช่วยให้รอดซึ่งพระองค์ทรงเรียกว่า สุรียัพห์ หรือชาห์ บาห์รอม จะมาปรากฏขึ้น และจะชนะความชั่วร้าย พระองค์ได้ทรงบ่งชี้ถึงวันที่พระองค์จะมาปรากฏ โดยกล่าวว่าช่วงเวลา 3060 แห่งความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปก่อนที่อาห์ริมาน จะถูกพิชิตและยุคแห่งพรและสันติภาพจะเกิดขึ้น วันที่ดังกล่าวนี้เกี่ยวโยงกับเวลาเมื่อพระบาฮาอุลลาห์ได้ประกาศว่าพระองค์คือพระผู้ทรงเสด็จมาตามคำทำนายของพระศาสดาทั้งหลายในอดีต
พระเยซูคริสต์
เรื่องราวของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องราวที่ไพเราะดีงาม เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นความรักของมนุษยชาติ เป็นเรื่องราวขององค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า
ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเปิดเผยศาสนาของพระองค์แก่มนุษย์ก็มีนักบุญผู้หนึ่งชื่อจอห์นแบบทิส ดังที่เราได้ทราบแล้วในพุทธประวัติว่ามีดาบสทำนายว่าอีกไม่ช้าจะมีองค์พระศาสดาเสด็จมา และนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์จะประกาศศาสนาของพระองค์ จอห์นแบบทิสได้บอกข่าวดีแก่ประชาชนในสมัยนั้นว่าศาสนทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาปลดเปลื้องความทุกข์โศกให้แก่พวกเขา แต่ประชาชนสมัยนั้นไม่มีท่าทางว่าจะเปลี่ยนความคิดของพวกเขา พวกเขาต้องการสืบทอดสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้ปฏิบัติกันเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา นักบวชผู้นำทางประชาชนไม่ประสงค์ที่จะให้องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา เพราะว่านักบวชเหล่านั้นเกรงว่าถ้าพระองค์เสด็จมาแล้วพวกตนอาจจะต้องสูญเสียตำแหน่งของตนไป ดังนั้นนักบวชเหล่านั้นจึงจับจอห์นแบบทีสเข้าคุก หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ได้ตัดศีรษะของจอห์นแบบทิส จอห์นแบบทิสยินดีที่จะถวายชีวิตของตนในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า
พระเยซูคริสต์ถือกำเนิดมาจากสามัญชน เป็นที่ทราบกันว่าท่านโจเซฟซึ่งมีอาชีพเป็นเพียงช่างไม้ก็คือพระบิดาของพระองค์ พระเยซูคริสต์ได้กำเนิดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงเป็นคนที่มีเมตตาต่อทุกคน แม้ตอนที่พระองค์ยังเป็นเด็กหรือแม้กระทั่งทำงานเป็นช่างไม้อยูกับพระบิดาของพระองค์ ในตอนที่พระองค์ทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ตรัสว่า ?ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องดูแลปฏิบัติภาระของพระบิดาผู้อยู่บนสวรรค์ที่แท้จริงของเรา?
พระองค์ทรงบำเพ็ญภาวนาอยู่เป็นเวลาหลายวัน แล้วเสด็จกลับมาประกาศสัจธรรมของพระองค์แก่ผู้คน พระองค์ทรงกล่าวถึงอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้า ครั้งหนึ่งพระองค์ได้เสด็จไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งการเคารพบูชาของชาวยิวแต่ชาวยิวได้กลับเปลี่ยนแปลงสถานที่นั้นให้กลายเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจ พระเยซูคริสต์เสด็จไปแล้วรื้อร้านค้าเหล่านั้นพร้อมกับขับไล่คนเหล่านั้นออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไป พระองค์ตรัสว่า ?ที่นี่เป็นคฤหาสน์ของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านไม่ควรที่จะทำให้ที่นี่แปดเปื้อนไปด้วยผล ประโยชน์ทางโลกของพวกท่าน? พระองค์ต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่าศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าไม่ควรที่จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดของทรัพย์สมบัติทางวัตถุ
ในสมัยคริสตกาลมีคนเป็นจำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคทางจิตวิญญาณและตายไป พระองค์ทรงรักษาคนเหล่านั้นและชุบชีวิตคนเหล่านั้นด้วยอำนาจแห่งพระวจนะของพระองค์พระผู้เป็นเจ้า ในที่สุดพระองค์ก็กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงทำให้นักบวชเกิดความอิจฉาและไม่ชอบที่ว่าลูกศิษย์ของพวกเขาหันไปสนใจคนธรรมดาที่กำลังสั่งสอนวิถีชีวิตใหม่ๆ แก่ผู้คน เมื่อพระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าพระองค์คือกษัตริย์ที่พึ่งทางจิตใจ เป็นพระศาสดาที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ นักบวชเหล่านั้นจึงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมากเพราะว่าพวกตนยอมรับกษัตริย์ของพวกตนว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทางโลกมิใช่พระเยซูคริสต์ที่เป็นเพียงบุคคลธรรมดาๆ พระองค์ไม่มีแม้แต่รองเท้า แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงประกาศว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ของประเทศอิสราเอล พระองค์ตรัสว่า ? เราคือกษัตริย์ที่แท้จริงของเจ้า เราคือนายแห่งอาณาจักรแห่งใหม่นี้ อาณาจักรแห่งโลกทั้งหลายไม่มีสิ่งใดที่จะไปเปรียบปรานกับอาณาจักรอันนิรันดรของพระผู้เป็นเจ้าได้? แต่ชาวยิวก็มิได้เชื่อฟังพระองค์ พวกเขาลุกขึ้นต่อต้านพระองค์และพระองค์ก็ถูกตรึงไม้กางเขนพร้อมกับขโมยอีก 2 คน ขณะที่ถูกตรึงไม้กางเขนอยู่นั้น พระเยซูคริสต์ยังได้ทรงสวดวิงวอนอภัยยกโทษให้แก่ศัตรูของพระองค์
ชาวยิวไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา พวกเขาไม่ทราบแม้แต่ว่าพวกเขานั้นจะฆ่าองค์พระศาสนทูตไม่ได้ เสียงพระองค์นั้นก็เปรียบเสมือนเสียงของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นเสียงที่กึงก้องอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
เมื่อพระเยซูคริสต์สวรรคตแล้ว ก็มีแต่เพียงประชาชนสามัญธรรมดาเท่านั้นที่เชื่อในพระองค์ พวกเขาได้รับชีวิตทางจิตวิญญาณใหม่ด้วยอำนาจแห่งพระวจนะของพระคริสต์และได้ปลดเอาความทุกข์โศกแห่งความเขลาให้หมดไป แม้ว่าสาวกสมัยแรกๆ ของพระคริสต์จะเป็นชาวประมงผู้ต่ำต้อย เป็นเหมือนชาวนาพวกขุดดินตัดหญ้าก็ตาม พวกเขาก็ได้รับการนำทางจากองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า และยังได้รับอำนาจใหม่จากพระองค์ พวกเขาได้เผยแพร่กันออกไปกว้างขวางตลอดทั่วโลกและกระจายเอาข่าวดีของพระศาสดาองค์เยซูคริสต์ของพวกเขาไปด้วย มีพวกเขาอีกมายมายที่ได้มอบกายถวายชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของศาสนาของพระองค์ภายใต้ความยากลำบากอย่างแสนเข็ญ และถูกข่มขู่ด้วยคมดาบ พวกเขาได้นำเอาสาส์นของพระองค์ไปยังประชาชนประเทศต่างๆ พร้อมทั้งได้ร้องตะโกนว่าอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้สถาปนาขึ้นแล้วในโลกด้วยองค์พระเยซูคริสต์ ถึงแม้พวกเขาจะเป็นเพียงชาวประมงหรือชาวนาก็ตาม แต่พวกเขาก็มีความอดทนต่อการรุกรานของกำลังคนทั้งโลกได้ พวกเขาได้รับชัยชนะ ชนชาติต่างๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ด้วยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และได้นำเอาชีวิตจิตวิญญาณอันใหม่ไปให้แก่ผู้คนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลพวกเขา นี้คืออำนาจศาสนาของพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า
ก่อนที่พระองค์จะจากโลกนี้ไป พระคริสต์ก็เหมือนกับพระกฤษณะ และพระโมเสส ที่ได้ให้ความมั่นใจแก่ประชาชนชาวโลกว่าในเวลาอันสมควรพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งในความรุ่งโรจน์ของพระบิดาแห่งสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ได้ตรัสแก่ประชาชนในยุคสมัยของพระองค์ว่าพระองค์มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่จะตรัสไว้ แต่พวกเขาจะไม่เข้าใจต่อสิ่งเหล่านั้น แต่อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงสัญญาว่าอีกไม่นานจะมีองค์พระศาสนทูตองค์ใหม่เสด็จมาบอกแก่พวกเขาอีกหลายอย่างในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาและองค์พระผู้เป็นเจ้า
บาไฮศาสนิกชนได้ส่งข่าวดีนี้ไปยังพี่น้องชาวคริสต์เตียนว่า พระคริสต์ได้เสด็จมาอีกครั้งแล้วในความรุ่งโรจน์ของพระบิดา นี่คือสิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ได้ตรัสแก่หัวหน้าชาวคริสต์เตียนว่า ?แน่นอนพระบิดาได้เสด็จมาและสิ่งที่พวกท่านได้รับคำมั่นในอาณาจักรแห่งพระผู้เป็นเจ้านั้นเป็นจริงขึ้นแล้ว?
พระโมฮัมหมัด
มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า อารเบีย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ไม่มีน้ำ อากาศร้อน อากาศไม่อำนวย ในดินแดนที่แสนลำบากนี้ก็มีชนเผ่าคนป่าอาศัยอยู่ พวกนี้จะรบรากันอยู่เสมอ พวกเขามีความป่าเถื่อนและโง่เขลามาก พวกเขาเคยฝังทารกหญิงของพวกเขาเองทั้งเป็นเพียงเพราะว่าทารกเหล่านั้นเป็นหญิง และพวกผู้หญิงจะไม่ดีไปกว่าพวกทาสในสมัยนั้น
ถึงเขาเหล่านั้นจะโหดร้ายเพียงใดก็ตาม แต่พวกเขาก็คือลูกหลานของพระผู้เป็นเจ้า และจะต้องได้รับการศึกษา ดังนั้นพระโมฮัมหมัดซึ่งเป็นพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในพวกเขา
พระโมฮัมหมัดเป็นเพียงคนสามัญ พระองค์เป็นผู้ควบคุมกองคาราวานด้วยการนำอูฐบรรทุกสินค้า ออกจาประเทศอารเบียไปขายในดินแดนอื่นๆ จะเห็นได้ว่าองค์พระศาสนทูตส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสามัญชน มีแค่เพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ พระองค์ยอมสละฐานะเจ้าชายมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย พระผู้เป็นเจ้าต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่านั้นคือความร่ำรวยและอิทธิพลของพระองค์เองที่ส่งผ่านพระศาสนทูต เมื่อได้รับอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าแล้วแม้จะเป็นบุคคลต่ำต้อยก็สามารถรับชัยชนะต่ออำนาจทุกสิ่งทุกอย่างในโลกได้
วันหนึ่งขณะที่พระโมฮัมหมัดกำลังอธิษฐานอยู่บนภูเขา พระองค์ก็ได้รับแรงบันดาลใจจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่เคยได้รับการศึกษาจากโรงเรียนใด พระองค์เขียนไม่ได้แม้แต่ชื่อของพระองค์ นับจากชั่วโมงนั้นบทพระคัมภีร์โกหร่านศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกเปิดเผยโดยพระองค์ จากนั้นเป็นต้นมาพระโมฮัมหมัดก็มิใช่หัวหน้าของกองคาราวานอีกต่อไปแล้ว พระองค์เป็นองค์พระศาสทูตของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้เสด็จไปหาประชาชนพร้อมกับสาส์นของพระองค์ ตอนแรกๆ ก็ไม่มีผู้ใดฟังพระองค์แต่เมื่อพระองค์ยืนกรานว่าประชาชนควรเลิกเคารพบูชารูปปั้นที่พวกเขาได้สร้างขึ้นมาเอง และให้เชื่อถือในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ทำให้ประชาชนของประเทศอารเบียลุกขึ้นต่อต้านพระองค์ พวกเขาเรียกพระองค์ว่าค้นบ้า พวกเขาพูดจาเยาะเย้ยพระองค์ว่าเป็นนักประพันธ์ยากจน แต่พระโมฮัมหมัดก็ตรัสต่อไปว่า ?ดูก่อนมนุษย์ เราคือองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า เรามาช่วยเหลือพวกเจ้าและนำทางพวกเจ้าไปตามแนวทางแห่งความเป็นจริง? อันนี้จะเป็นการมากเกินไปสำหรับคนที่มีทิฐิของประเทศอารเบีย ตอนแรกพวกเขาได้ทรมานพระโมฮัมหมัด แล้วพวกเขาก็ได้กลั่นแกล้งพระองค์รวมทั้งสาวกของพระองค์ หลังจาก 13 ปี แห่งความทุกข์ทรมานพระโมฮัมหมัดก็ยังทรงเรียกร้องคนให้หันไปยังองค์พระผู้เป็นผู้ทรงเปี่ยนไปด้วยความเมตตากรุณาและยังคงปฏบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ พวกเขาจึงเกิดความคิดว่า เพราะเหตุใด พวกเขาจึงเลือกเคารพเทพเจ้าของพวกเขาเอง นอกจากนั้นพวกเขายังยุ่งอยู่กับการสงครามที่ไม่รู้จักจบสิ้น พวกเขาจึงหมดความอดทนต่อพระโมฮัมหมัด ดังนั้นพวกเขาจึงได้ตัดสินใจที่จะฆ่าพระองค์พร้อมกับศาสนิกชนของพระองค์ แต่เป็นเพราะการเผยแพร่ศาสนาของพระโมฮัมหมัดยังไม่ประสบความสำเร็จ พระองค์ยังทรงมีกฎบัญญัติที่จะให้กับประชาชนในสมัยของพระองค์ พระองค์จึงทรงละทิ้งถิ่นจากบ้านเกิดของพระองค์นครเมกกะเพื่อไปยังอีกเมืองหนึ่งซึ่งปัจจุบันเรียกว่า เมดินา
ศัตรูแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าได้จัดตั้งกองทัพมหึมาเพื่อที่จะไปฆ่าพระโมฮัมหมัดและกลุ่มศาสนิกชนของพระองค์ พระโมฮัมหมัดจะต้องปกป้องศาสนาของพระผู้เป็นเจ้ารวมทั้งผู้ที่มีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงทรงยินยอมให้ศาสนิกชนของพระองค์ทำการต่อสู้กับพวกป่าเถื่อนซึ่งต้องการจะทำลายคนของพระองค์ เพราะฉะนั้นในสมัยของพระโมฮัมหมัดก็เหมือนกับสมัยที่พระกฤษณะยังมีชีวิตอยู่ มีกองทัพแห่งธรรมะกับกองทัพแห่งอธรรมยกกำลังมาต่อสู้ซึ่งกันและกัน
พระโมฮัมหมัดเป็นเทพเลี้ยงเกะ พระองค์ต้องปกป้องฝูงแกะที่ไร้เดียงสาของพะองค์ให้ออกจากการจู่โจมของสุนัขป่าที่โหดร้ายในตอนเริ่มแรก พระโมฮัมหมัดและศาสนิกชนของพระองค์ตกอยู่ในฐานะลำบากยิ่ง หลายคนที่ถูกฆ่าตายขณะที่ป้องกันตนเองจากความโหดเหี้ยมของฝ่ายศัตรู ตลอดเวลา พระโมฮัมหมัดจะให้ความมั่นใจแก่ศาสนิกชนว่า ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า จะต้องได้รับชัยชนะเสมอ และจะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป เมื่อพระโมฮัมหมัดกับศาสนิกชนของพระองค์ถูกำลังของพวกศัตรูห้อมล้อมอยู่นั้น พระโมฮัมหมัดได้ทรงทำนายไว้ว่าอีกไม่นานผู้ครองราชอาณาจักรผู้ทรงอำนาจจะอ่อนแอลงต่อหน้าพวกเขาเพราะว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยจิตวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าในขณะที่อีกพวกหนึ่งจิตวิญญาณตายด้าน
นี่เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วตามที่เราทุกคนก็ทราบกัน ว่าอาณาจักรเปอร์เซีย กับอาณาจักรโรมันได้รับการพ่ายแพ้โดยกลุ่มคนเพียงกำมือของชาวอาหรับผู้ซึ่งชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พวกเขามีความเชื่อถือในองค์พระโมฮัมหมัดพระศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาก็ยอมรับสาส์นแห่งเทวโองการของพระองค์ สาส์นของพระผู้เป็นเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตของคนหลายล้านคน เพราะคำสอนของอิสลามได้แพร่จากอินเดียไปยังสเปนในช่วงสมัยความเจริญ ยุคทองของอิสลามชาติต่างๆ หลายชาติเข้าร่วมเป็นพี่น้องเดียวกัน พวกเขาได้ขอให้มีการสวดอธิษฐานให้แก่พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน พระผู้ทรงเมตตารักใคร่ พระผู้ทรงกรุณา พวกเขาได้สวดท่องพระคัมภีร์โกหร่านซึ่งได้บัญญัติชีวิต รวมทั้งยอมอบกายถวายแด่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่ปัจจุบันนี้ประชาชนจำนวนหลายล้านคนในทั่วทุกมุมโลกก็กำลังสวดอธิษฐานในแบบเดียวกัน อ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สทิธิ์เล่มเดียวกันนั้นเอง พระโมฮัมหมัดก็เช่นเดียวกับองค์พระศาสนทูตทุกพระองค์ในอดีตที่ได้ให้ความมั่นใจแก่ศาสนิกชนของพระองค์ว่าจะมีองค์พระศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่เสด็จมาต่อจากพระองค์ พระองค์ตรัสว่าศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าได้ประทานจากสวรรค์โดยผ่านทางพระองค์ แล้วจะไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้าหลังจากเวลาผ่านไปเป็นพันปี ด้วยสิ่งนี้นี่เองพระองค์หมายความว่าประชาชนจะลืมคำสอนของพระองค์ในชั่วระยะเวลา 1 พันปี แต่หลังจากนั้นแล้วพระองค์ตรัสว่า เมื่อรอยจารึกแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าได้สูญหายไปจากโลกนี้ เสียงแตรซึ่งเต็มไปด้วยอำนาจก็จะดังขึ้นสองครั้งและผู้คนในโลกก็จะได้เห็นดวงพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง
เสียงแตรสังข์นั้นหมายความว่า เสียงเรียกของพระผู้เป็นเจ้า เสียงเรียกของพระผู้เป็นเจ้าได้ดังขึ้นถึง 2 ครั้ง ในยุคนี้ตามที่พระโมฮัมหมัดทำนายไว้ พระบ๊อบได้ปรากฏขึ้น 1,000 ปี หลังจากคำบอกเล่าของศาสนาอิสลาม ทันทีหลังจากพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ก็ทรงประกาศศาสนาของพระองค์ไม่ใช่เป็นเพราะพระบ๊อบหรือที่ได้เรียกให้คนหันหน้าไปสู่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่พระบ๊อบหรือที่ได้ทรงเตือนให้พวกเขาระลึกถึงสัญญาอันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า และไม่ใช่เป็นเพราะพระบาฮาอุลลาห์หรือผู้ซึ่งส่งเสียงตะโกนเป็นครั้งที่ 2 ทันที หลัง จากพระบ๊อบ ทรงเรียกร้องให้ลูกหลานพระผู้เป็นเจ้าหันหน้าไปสู่พระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า
พระบ๊อบ
?บ๊อบ? มีความหมายว่า ?ประตู? พระบ๊อบก็คือประตูไปสู่อาณาจักรใหม่ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้
พระบ๊อบยังทรงพระเยาว์เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงบอกแก่ประชาชนเกี่ยวกับสาส์นที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้แก่พระองค์ พระองค์ทรงมายุได้เพียง 25 พรรษา มีเมืองที่สวยงามแห่งหนึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศอิหร่านที่ชื่อว่า ชีราซ ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพระบ๊อบ ประชาชนชาวอิเหร่านเป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นพระองค์จึงได้รับการตั้งชื่อตามประเพณีนิยมของประเทศ พระองค์ทรงมีนามว่า อาลี โมฮัมหมัด เป็นผู้สืบเชื้อสายองค์พระศาสดาโมฮัมหมัดนั้นเอง บิดาของพระบ๊อบได้เสียชีวิตหลังจากที่พระบ๊อบกำเนิด ดังนั้นพระองค์จึงได้อยู่ในความดูแลของลุงทางฝ่ายมารดา ในตอนที่ทรงพระเยาว์ พระองค์ได้ถูกส่งไปเรียนพระคัมภีร์โกหร่าน และวิถีพื้นฐานกับครูคนหนึ่ง จากปฐมวัยของพระองค์พระบ๊อบนั้นทรงแปลกกว่าเด็กคนอื่น พระองค์มักทรงถามคำถามยากๆ อยู่เสมอ และมักจะตอบคำถามเองจึงเป็นที่แปลกใจแก่ผู้อาวุโสกว่า บ่อยครั้งเวลาที่เด็กคนอื่นๆ กำลังหมกมุ่นอยู่กับการเล่น พระองค์ก็ทรงเก็บตัวสวดอธิษฐานอยู่ภายใต้ร่มไม้หรือบางครั้งอยู่ในที่สงบเงียบบางแห่ง
หลังจากนั้น ครั้นเมื่อพระบ๊อบทรงประกาศความจริงว่าพระองค์คือองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ทั้งลุงและครูของพระองค์ต่างก็เชื่อในพระองค์เพราะว่าพวกเขารู้จักพระองค์มาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก และเห็นว่าพระองค์ทรงแตกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ลุงของพระองค์ได้สิ้นชีวิตในขณะที่ได้รับความทรมานเพื่อศาสนของพระผู้เป็นเจ้าที่เปิดเผยโดยพระบ๊อบซึ่งเป็นหลานของเขา
ก่อนที่พระบ๊อบประกาศศาสนาของพระองค์ ในฐานะที่พระองค์เป็นองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้านั้น ก็มีอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง 2 ท่าน ซึ่งบอกว่าตามพระคัมภีร์โกหร่านและประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ บุคคลผู้ที่ให้คำสัญญาของศาสนาอิสลามจะปรากฏตัวในไม่ช้า อาจารย์ทั้ง 2 นี้ชื่อ เชค อาหมัดกับหัวหน้าศิษย์ชื่อ ซียิด กาซิม เพราะว่าคนทั้ง 2 เป็นบุคคลที่น่านับถือได้รับการเรียนรู้มาก ประชาชนจำนวนมากเชื่อในสิ่งที่คนทั้ง 2 พูดและเตรียมตัวเตรียมใจที่จะต้อนรับพระศาสดาผู้มาตามคำสัญญา
เมื่อท่าน ซียิด กาซิม สิ้นชีวิต สานุศิษย์ของเขาก็ได้กระจัดกระจายไปทิศต่างๆ เพื่อค้นหาองค์พระศาสดาผู้มาตามคำสัญญา มีพวกเขาจำนวนหนึ่งภายใต้การนำของนักบุญหนุ่มผู้ได้รับการศึกษาที่ชื่อว่า โมลลา โฮเซน ซึ่งได้ใช้เวลา 40 วัน ในการสวดอธิษฐานและถือศีลอด ได้เดินไปตามทางที่จะไปสู่เมืองชีราซ
คำสวดอธิษฐานได้รับคำตอบ ใกล้ประตูของเมืองชีราซ โมลลา โฮสเซน ได้พบชายหนุ่มผู้มีราศีผู้หนึ่งออกมาต้อนรับเขา ชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกเสียจาก พระบ๊อบนั้นเอง
พระบ๊อบได้ประกาศพระองค์ว่า เป็นองค์พระศาสดาผู้มาตามคำสัญญาตรงกับวันที่ 23 พฤษภาคม 2385
จิตใจของโมลลา ?โฮเซน ได้ถูกดึงดูดไปยังพระบ๊อบ จากนาทีที่ดวงตาของเขาได้ประสานอยู่ที่พระองค์ นอกประตูเมืองชีราซ เวลานี้เจ้าของบ้านได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เขาได้ขอพิสูจน์บางอย่างซึ่งจะทำให้เขาได้รู้จักพระองค์ในฐานะที่เป็นพระศาสดาผู้มาตามคำสัญญา พระบ๊อบตรัสว่าไม่มีข้อพิสูขน์ใดที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าบทบัญญัติแห่งสวรรค์ที่เปิดเผยโดยองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า แล้วพระองค์ทรงหยิบปากกากับกระดาษของพระองค์ พระองค์ทรงเขียนพระนิพนธ์ศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกของพระองค์ แม้พระองค์มิเคยเข้าเรียนในโรงเรียนใดก็ตาม เว้นเสียแต่ระยะเวลาสั้นๆ ในตอนที่พระองค์ทรงพระเยาว์อยู่ พระบ๊อบก็เหมือนองค์พระศาสนทูตองค์อื่นๆ ที่ไดรับความรู้อันลึกล้ำอันเป็นของขวัญที่ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเขียนด้วยความคล่องแคล่วขณะที่พระองค์ทรงเขียนอยู่นั้น พระองค์ทรงท่องบทบัญญัติด้วยเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาไพเราะ โมลลา โฮสเซน ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ต่อไปอีกแล้ว ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา เขาได้ทรุดกายลงต่อหน้าองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า
โมลลา โฮสเซน เป็นสาวกคนแรกของพระบ๊อบ พระบ๊อบทรงขนานนามเขาด้วยคำขึ้นต้นว่า บาบูลบ๊อบ ซึ่งหมายความว่า ประตูของประตู ในคืนนั้นจึงเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ ปฏิทินบาไฮก็ได้เริ่มต้นจากปีนั้นเอง
ไม่นานก่อนหน้าที่ประชาชนจำนวนมากมายมาเชื่อถือพระบ๊อบบางคนก็เคยพบพระองค์แล้ว บางคนก็เคยอ่านพระนิพนธ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ในขณะที่บางคนจำพระองค์ได้จากความฝันหรือการนิมิตหมาย
องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าก็เหมือนดังดวงอาทิตย์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ทุกคนก็มองเห็นดวงอาทิตย์เว้นเสียแต่ผู้ที่ยังหลับอยู่ แม้กระนั้นผู้ที่กำลังหลับอยู่ก็ตามอีกไม่ช้าหรือเร็ว ต่อไปก็จะทราบว่าดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่
สาส์นของพระบ๊อบครั้งแรกได้ส่งไปให้ประชาชนของประเทศอิหร่าน แต่ชาวมุสลิมของประเทศอื่นยังไม่ทราบว่าองค์พระศาสดาผู้มาตามคำสัญญาได้เสด็จมาแล้ว ดังนั้นเมื่อมุสลิมจำนวนหลายพันคนจากทั่วทุกประเทศได้มารวมกันในนครเมกกะเพื่อเคารพบูชา พระบ๊อบก็ได้เสด็จดำเนินไปยังที่ที่ศักดิ์สทิธิ์ที่สุดของศาสนาอิสลามเพื่อที่จะบอกพวกเขาว่าจุดมุ่งหมายของการมาเคารพบูชานั้น พระองค์คือพระศาสดาผู้มาตามคำสัญญานั้นแล้ว ไม่มีใครฟังพระองค์ แต่นั้นพระบ๊อบก็ได้ทำหน้าที่ประกาศพระองค์อย่างสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
เมื่อพระบ๊อบได้กลับไปสู่บ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงได้พบทหารกลุ่มหนึ่งมาจับกุมพระองค์ เพราะนักบวชผู้คลั่งไคล้ไม่ต้องการที่จะให้ศาสนาใหม่นี้แพร่กระจายไป พวกนักบวชบ้าคลั่งหล่านี้จึงพยายามทุกวิถีทางที่จะดับแสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งกำลังเผาผลาญอยู่ในอกของพระบ๊อบ จากวันนั้นพระบ๊อบจึงได้รับความลำบากอย่างแสนสาหัส ชีวิตอันแสนสั้นและรุ่งเรืองของพระองค์ต้องมาอยู่ในคุกหลังจากที่พระองค์ได้ทำการประกาศศาสนาของพระองค์แล้ว สองครั้งที่พระองค์ถูกจับเข้าคุกที่สร้างอยู่บนภูเขาอันหนาวเย็นและเป็นเขตหวงห้าม แต่ไม่มีโซ่ใดหรือคุกใดที่จะกีดขวางการเรียกร้องของพระผู้เป็นเจ้าไม่ให้แพร่กระจายไปได้ เมื่อตอนที่พระบ๊อบอยู่ในคุกศาสนิกชนผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ก็ได้แพร่กระจายสาส์นของพระองค์ไปทั่วประเทศ ช่วงระหว่างเวลาอันน้อยนิดนั้นประชาชนจำนวนหลายพันคนได้ยอมอบกายถวายชีวิตของพวกเขาแก่ศาสนาของพระองค์
เมื่อครั้งที่พวกเขาตัดสินใจฆ่าพระองค์นั้น พระบ๊อบยังเป็นหนุ่มอยู่มีอายุเพียง 31 พรรษาเท่านั้น พระบ๊อบทรงทราบดีว่าพระองค์จะได้รับการทรมานในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงยินดีที่จะสละชีวิตของพระองค์เพื่อประชาชนชาวโลกจะได้มีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตแล้วจะได้หันไปสู่พระผู้เป็นเจ้าและอาณาจักรอันนิรันดรของพระองค์ วันแห่งการเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์คือวันที่ 9 กรกฎาคม 2393 ในตอนเช้าเจ้าหน้าที่ผู้ที่มีความรับผิดชอบกับการประหารชีวิตพระบ๊อบได้เข้าไปหาพระองค์ในคุก พระบ๊อบทรงกำลังดำรัสอยู่กันศาสนิกชนของพระองค์ผู้หนึ่งซึ่งกำลังจดบันทึกคำสอนของพระองค์ครั้งสุดท้าย เจ้าหน้าที่ได้บอกกับพระองค์ว่าถึงเวลาประหารชีวิตพระองค์แล้ว ทหารเตรียมพร้อมอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองเพื่อรอคำสั่ง พระบ๊อบตรัสว่าพระองค์จะต้องสนทนากับสาวกของพระองค์เสร็จก่อน ทางเจ้าหน้าที่จึงได้หัวเราะและพูดว่านักโทษจะเลือกกระทำตามปรารถนาไม่ได้ ขณะที่พระบ๊อบถูกนำตัวไปนั้น พระองค์ตรัสว่าไม่มีอำนาจใดในโลกที่จะทำอันตรายพระองค์ได้จนกว่าพระองค์จะปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ในโลกแล้ว และเมื่อจบในสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจะพูดแล้วเจ้าหน้าก็ไม่ได้ให้ความสนใจได้นำตัวพระบ๊อบไปยังจตุรัสกลางเมือง ครั้งนี้สาวกคนหนึ่งของพระบ๊อบเป็นชายหนุ่มชื่อ โมฮัหมัด อาลี ซูนูซี ได้โผเข้าไปและทอดตัวลงที่ฝ่าพระบาทของพระศาสดาอันเป็นที่รักของเขา ขออนุญาตที่จะตายพร้อมกับพระองค์ เจ้าหน้าที่ก็พยายามที่จะกระชากเขาออกไปแต่ โมฮัมหมัด อาลี ซูนูซี ก็ร้องไห้วิงวอนจนกระทั่งเขาได้รับการนำตัวไปด้วย
ณ จตุรัสกลางเมืองที่ซึ่งทหารกำลังคอยที่จะยิงพระบ๊อบ ฝูงชนได้มารวมกัน ณ ที่นั่น พวกเขาทุกคนจ้องมองพระบ๊อบและสาวกหนุ่มของพระองค์ซึ่งถูกมัดในลักษณะที่ศีรษะของสาวกได้ซบอยู่ที่หน้าอกของพระผู้เป็นที่รักของเขา แล้วนาทีแห่งความระทึกใจก็มาถึง เสียงกลองเสียงแตรดังขึ้น ทันทีที่เสียงแตรสังข์เงียบหายไปคำสั่งอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นว่า ?ยิงได้? ทหารจำนวนหลายร้อยคนจึงได้เล็งกระสุนปืนยิงกราดไป ควันปืนก็กระจายไปทั่วบริเวณนั้นกลิ่นดินปืนฟุ้งอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นสักครู่เมื่อควันปืนหายไปก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น บริเวณนั้นไม่มีร่อยรอยของพระบ๊อบเหลืออยู่ เห็นแต่สาวกผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ยืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร หลายคนก็พูดขึ้นว่าเกิดสิ่งมหัสจรรย์ขึ้นแล้วและพระบ๊อบก็ได้เสด็จไปสู่สวรรค์แล้ว ทหารกลุ่มที่ทำหน้าที่ยิงและผู้บังคับบัญชาพวกเขาไม่เคยเห็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ได้มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปทั่วทุกทิศเพื่อค้นหาตัวพระบ๊อบ เจ้าหน้าที่ชุดเดิมที่ได้นำตัวพระบ๊อบออกจากห้องขังได้มาพบพระองค์กำลังนั่งอยู่อย่างสงบตรงที่เดิม กำลังที่จะเสร็จการกล่าวคำสนทนาของพระองค์ซึ่งได้ถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหันมาก่อน พระบ๊อบได้หันพระพักตร์ไปยังเจ้าหน้าที่พร้อมกับยิ้มแล้วตรัสว่าภารกิจกของพระองค์ที่พึงกระทำในโลกได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว และตรัสว่าพระองค์พร้อมที่จะพลีชีพของพระองค์เพื่อพิสูจย์ข้อเท็จจริงศาสนาของพระองค์
พระบ๊อบจึงได้ถูกนำตัวไปยังจตุรัสกลางเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่ผู้บังคับบัญชาของทหารชุดที่ทำหน้าที่ยิงก็ได้ปฏิเสธในการทำการประหารชีวิตพระองค์ เขาได้นำทหารของเขาออกจากจตุรัสกลางเมืองพร้อมกันนั้นก็ได้ปฏิญาณตนว่าจะไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เขาทำการปลงชีวิตของนักบุญหนุ่มผู้บริสุทธิ์ผู้นี้ได้ ทหารอีกกองหนึ่งก็ได้ดำเนินการประหารชีวิต ในครั้งนี้กระสุนปืนจำนวนหลายร้อยนัดได้ยิงปรุร่างของพระบ๊อบและสาวกผู้ซื่อสัตย์ของพระองค์ไปทั่วเหลือเพียงพระพักตร์อันงดงามของพระองค์เท่านั้นที่ได้รับบาดแผลจากกระสุนปืน ยังคงมีรอยยิ้มแสดงถึงความสุขสันต์ของผู้ที่ได้สละชีวิตเพื่อการประกาศการเริ่มต้นของศักราชใหม่แก่มนุษยชาติ
พระบ๊อบเป็นองค์พระศาสนทูตที่ยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า ในพระนิพนธ์ของพระองค์ทุกเล่ม พระองค์ได้ตรัสว่า จุดมุ่งหมายอันสำคัญของการเสด็จมาของพระองค์คือเพื่อที่จะนำเอาข่าวดีว่าในไม่ช้าจะมีองค์พระศาสดาผู้มาตามคำสัญญาของทุกคนจะปรากฏขึ้น
พระองค์ทรงเตือนศาสนิกชนของพระองค์ให้ระวังมิฉะนั้นแล้วพวกเขาอาจจะจำ ?พระผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะเปิดเผย? ไม่ได้ พระองค์ตรัสว่าพวกเขาควรจะระงับยุติทุกสิ่งทุกอย่างแล้วควรปฏิบัติตามพระองค์ ในทันทีที่พวกเขาได้รับสาส์นของพระองค์ พระบ๊อบทรงนิพนธ์บทสวดอธิษฐานมากมายที่เป็นการขอความกรุณาต่อพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของพระองค์เองนั้นได้ยอมแล้วที่จะอุทิศให้แก่พระผู้เป็นที่รักแห่งจิตใจของพระองค์ พระผู้ ?ที่พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดแผย? พระองค์ยังได้ตรัสพาดพิงในพระนิพนธ์ของพระองค์เกี่ยวกับกฎระเบียบของพระบาฮาอุลลาห์ แล้วยังตรัสว่า ?เป็นการดีแก่ผู้ที่จะปฏิบัติตามพระบาฮาอุลลาห์?
บทสวดอธิษฐานของพระบ๊อบได้รับคำตอบแล้ว และคำมั่นสัญญาของพระองค์ก็เป็นจริง 19 ปีหลังจากการประกาศศาสนาของพระองค์แล้ว พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงประกาศขึ้นอย่างเปิดเผยว่าพระองค์คือ องค์พระศาสดาผู้มาตามคำสัญญา มาตามคำทำนายขององค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าในยุคสมัยอดีต
พระบาฮาอุลลาห์
วันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2406 พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศแก่ชาวโลกว่า ?พระคัมภีร์ที่ได้ประกาศถึงจุดมุ่งหมายและคำมั่นสัญญาขององค์พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่สมัยโบราณ รวมทั้งความปรารถนาขององค์พระศาสนทูตของพระองค์ที่ทรงยึดมั่นมากที่สุด เวลานี้ได้ถูกนำมาเปิดเผยแก่มนุษย์แล้ว? เมื่อตอนที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงได้ประกาศข่าวอันเป็นที่น่ายินดีนี้ พระองค์ทรงเป็นนักโทษอยู่ในกำมือของกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ 2 พระองค์ พระองค์ทรงถูกเนรเทศไปที่อัคคา ?ดินแดนที่โดดเดี่ยวที่สุด?
ประมาณ 45 ปีก่อนการประกาศนี้ พระบาฮาอุลลาห์ทรงถือกำเนิดในบ้านของเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงของราชวงศ์อิหร่านผู้หนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่พระองค์ทรงเยาว์วัย ทุกๆ คนสังเกตเห็นว่า พระบาฮาอุลลาห์นั้นต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีใครทราบความจริงว่าเด็กชายที่แปลกคนนี้ได้ค่อยๆ เปลี่ยนโชคชะตาวีชิตของมวลมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อตอนพระองค์อายุได้ 14 พรรษา พระบาฮาอุลลาห์ทรงมีชื่อเสียงในสำนักราชวังในเรื่องการเรียนและความเฉลียวฉลาด เมื่อพระองค์อายุได้ 22 พรรษา บิดาของพระองค์ได้เสียชีวิต ทางรัฐบาลปรารถนาที่จะได้พระองค์สืบทอดตำแหน่งงานแทนบิดาของพระองค์ พวกเขาคิดว่าชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ผู้นี้จะเป็นเสนาบดีที่ดีคนหนึ่ง แต่พระบาฮาอุลลาห์ไม่ทรงคิดที่จะเสียเวลาของพระองค์ในการ์จัดการภารกิจทางโลก พระองค์ทรงเป็นคนของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่ทรงสนพระทัยในความเป็นอยู่อย่างราชาซึ่งมีคนเสนอให้พระองค์ พระองค์เสด็จออกจากราชวังและจากเสนาบดีเพื่อที่จะไปตามทางของพระองค์ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากำหนดให้
เมื่อพระบ๊อบประกาศศาสนาของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์มีอายุเพียง 27 พรรษา พระองค์ทรงยอมรับพระบ๊อบว่าเป็นองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าทันที และในที่สุดพระองค์ก็ทรงเป็นศาสนิกชนผู้หนึ่งในจำนวนศาสนิกชนผู้มีชื่อเสียงและมีอำนาจที่สุดของพระบ๊อบ
เวลานั้นทางรัฐบาลและนักบวชผู้คลั่งใคล้ก็ได้กลั่นแกล้งศาสนิกชนของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์ก็ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด พระองค์ถูกจำคุกถึง 2 ครั้ง และมีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ถูกเฆี่ยนอย่างรุนแรงด้วยแซ่และไม้ตะพดจนกระทั่งพระบาททั้ง 2 ข้างของพระองค์โลหิตไหล ??9 ปีหลังจากการประกาศตนของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลาห์ก็ถูกจับตัวเข้าคุกมืด ห้องได้ดินที่น่ากลัวแห่งนี้ไม่มีหน้าต่างไม่มีทางออก เว้นเสียแต่ประตูซึ่งเป็นทางเข้า ในคุกมืดแห่งนี้พระบาฮาอุลลาห์ถูกจำคุกอยู่กับนักโทษฆ่าคนตาย พวกขโมย ปล้นสดมภ์ รวมทั้งนักโทษคดีอื่นอีก 150 คน โซ่ที่คล้องพระศอของพระองค์หนักเสียจนกระทั่งพระองค์เงยศีรษะไม่ขึ้น ในคุกแห่งนี้พระบาฮาอุลลาห์ได้รับความทุกข์ทรมาอยู่นานถึง 4 เดือน แต่ในคุกมืดแห่งนี้แสงสว่างของพระผู้เป็นเจ้าได้ส่องเข้าไปในดวงจิตของพระองค์ พระองค์ทรงนิพนธ์ไว้ว่าคืนหนึ่งในฝันของพระองค์ พระองค์ทรงได้ยินคำพูดที่สั่นเครือมาจากทุกทางว่า ?แท้จริงแล้ว เราจะประทานชัยชนะให้แก่เจ้าโดยตัวของเจ้าเองและด้วยปากกาของเจ้า?
พระบาฮาอุลลาห์ทรงทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเพื่อประโยชน์ของเรา และเพื่อประโยชน์ของลูกหลานภายภาคหน้า พระองค์ทรงถูกล่ามโซ่รอบพระศอของพระองค์ก็เพื่อให้เรามีอิสระพ้นจากโซ่หรือล่ามแห่งอคติ ความไม่รู้จักอดกลั้น ความเป็นศัตรูกัน
ในที่สุดพระบาฮาอุลลาห์และครอบครัวของพระองค์ได้ถูกริบทรัพย์สมบัติที่ตกทอดมา และมีคำสั่งให้เนรเทศออกนอกประเทศ พวกเขาถูกเนรเทศไปยังกรุงแบกแดดในฤดูหนาวจัด ถนนหนทางที่ต้องผ่านเป็นเทือกเขาของประเทศอิหร่านซึ่งมีหิมะหนาทึบและน้ำแข็งตกปกคลุมตามพื้นดิน พระบาฮาอุลลาห์พระมเหสี และพระราชบุตรเล็กๆ ของพระองค์ต้องเดินไปสู่จุดหมายปลายทางเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ โดยที่พวกเขาไม่มีเครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมจึงทำให้การเดินทางมีความลำบากมากขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็ได้ไปถึงกรุงแบกแดด แต่ทว่าความทุกข์ทรมานของพระบาฮาอุลลาห์มิได้สิ้นสุดที่เมืองแห่งนั้น แต่อย่างไรก็ตามพระบาฮาอุลลาห์หาได้เกรงกลัวต่อความทุกข์ทรมานและความยากลำบากไม่ พระองค์เคยใช้ชีวิตอย่างสำราญในราชวังกษัตริย์ของประเทศอิหร่าน พระองค์ทรงเตรียมพร้อมที่จะทนต่อความทุกข์ทรมานทุกรูปแบบตามแนวทางของพระผู้เป็นเจ้า
ในไม่ช้าชื่อเสียงของพระบาฮาอุลลาห์ก็ได้เลื่องลือไปทั่วกรุงแบกแดดและเมืองอื่นๆ ของประเทศอิรัก ประชาชนมากมายได้มุงอยู่ที่ประตูของนักโทษผู้ถูกเนรเทศนี้เพื่อที่จะขอรับพระพรจากพระองค์ ศาสนิกชนของพระบ๊อบได้มาห้อมล้อมพระองค์ทั่วสารทิศของประเทศอิหร่าน และประเทศอิรักเพื่อขอคำแนะนำและกำลังใจ แต่ก็มีบางคนเกิดความอิจฉาต่อชื่อเสียงของพระองค์ คนพวกนี้เช่น ยายะน้องชายของพระองค์เองซึ่งเคยอยู่ภายใต้การดูแล และการนำทางของพระบาฮาอุลลาห์ ยายะคิดว่าเขาอาจจะเป็นที่ยอมรับในฐานะเป็นผู้นำถ้าหากว่าเขากล่าวปรักปรำติเตียนพระบาฮาอุลลาห์ได้ เพราะว่าศาสนิกชนของพระบ๊อบจะให้ความนับถือเขา เขาไม่ทราบว่ากำลังจะประสบเคราะห์กรรมในการที่เขาหันหลังให้กับองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเมื่อองค์พระศาสทูตปรากฏขึ้น มีแต่เพียงผู้ที่ยอมเป็นผู้รับใช้พระองค์เท่านั้นที่จะรอความหวังในความยิ่งใหญ่แห่งความสัจจริงให้ได้ แม้แต่ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดของพระองค์ก็ไม่มีการยกเว้น เพราะว่าองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าทรงแยกออกจากมนุษย์อื่นๆ ซึ่งมีสถานะที่ไม่มีผู้ใดจะร่วมได้ องค์พระศาสนทูตอื่นๆ ในอดีตก็เคยทรงมีพี่น้องญาติมิตรเดียวกัน แต่ว่าชื่อเสียงของเขาเหล่านั้นตอนนี้ก็ได้ถูกลืมไปจดหมดสิ้น
การสร้างเรื่องของยายะเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกกันในบรรดาศาสนิกชนของพระบ๊อบและเรื่องนี้ก็ทำให้พระบาฮาอุลลาห์เสียใจ ในคืนวันหนึ่งโดยไม่มีการบอกให้ใครรู้ พระองค์ได้หนีออกจากบ้านแล้วเสด็จไปยังภูเขาเคอร์ดิสเตนท์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตสันโดษเป็นเวลา 2 ปี อยู่บนภูเขาแห่งนี้อุทิศเวลาทั้งหมดของพระองค์ในการสวดอธิษฐานและทำสมาธิ พระองค์อยู่ในถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่ง และดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารพื้นๆ ไม่มีใครรู้จักชื่อของพระองค์ ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์มาจากไหน ไม่ช้าเปรียบเหมือนกับดวงจันทร์ในคืนที่มืดมิด แสงสว่างของพระองค์ได้ส่องไปทั่วภูเขาเคอร์ดิสเตนท์ และทุกๆ คนก็ได้ยินเกี่ยวกับ ?พระผู้ไร้นาม? ครั้งนี้ครอบครัวและมิตรสหายของพระองค์ในกรุงแบกแดดทุกคนเศร้าเสียใจกับการจากไปของพระองค์ ซึ่งไม่ทราบว่าพระองค์อยู่แห่งใด แล้วเขาเหล่านั้นก็ได้ยินเกี่ยวกับ ?พระผู้ไร้นาม? บ่อยขึ้น นักบุญผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ซึ่งได้รับความรู้โดยพระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่พระองค์ ราชบุตรของพระบาฮาอุลลาห์ชื่อ พระอับดุลบาฮา ทราบทันทีว่าท่านผู้นี้จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากพระบิดาอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ได้ส่งสาส์นและสาส์นพิเศษไปวิงวอนให้พระองค์กลับมาเพราะไม่เพียงแต่ครอบครัวของพระองค์เองเท่านั้นที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการหายไปของพระองค์แต่ยังมีบรรดาศาสนิกชนของพระบ๊อบอีกด้วยที่พลอยได้รับความลำบาก
ดังนั้นหลังจากได้ใช้เวลาในการสวดอธิษฐานและทำสามาธิถึง 2 ปี พระบาฮาอุลลาห์ก็ได้เสด็จกลับไปยังกรุงแบกแดด และในการเสด็จกลับมาของพระองค์ได้นำความปลาบปลื้มให้แก่ศาสนิกชนของพระบ๊อบเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงแต่บุคคลที่โกรธเคืองกับการเสด็จกลับมาของพระองค์นั้นอันได้แก่ นักบวชผู้คลั่งใคล้มิตรสหายที่ทรยศ รวมทั้งน้องชายที่อิจฉายายะ นักบวชผู้คลั่งใคล้ไม่ต้องการให้พระบาฮาอุลลาห์พักอยู่ในกรุงแบกแดด เพราะว่าพระองค์จะอยู่ใกล้กับสถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม และผู้มาแสวงบุญที่จะมายังสถานที่เหล่านี้จะถูกความงดงาม และบุคลิกภาพของพระบาฮาอุลลาห์ดึงดูดไป นักบุญผู้คลั่งใคล้เหล่านี้ได้มีการร้องทุกข์อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งทางคณะรัฐบาลอิหร่านได้เข้าร่วมมือกับคณะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของอาณาจักรเตอรกีย้ายพระบาฮาอุลลาห์ไปอยู่ที่ห่างไกลออกไปอีกคือเมืองอิสตันบูล ก็ได้เกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้ที่อิสตันบูลอันเป็นที่ประทับของตำแหน่งหัวหน้าศาสนาโมฮัมหมัดมุสลิม เนื่องจากความรอบรู้อันกว้างขวางของพระองค์และความมีเสน่ห์ในตัวก็ได้ดึงดูดความสนใจของคนเป็นจำนวนมาก ?เขาจะอยู่อิสตันบูลต่อไปไม่ได้? นี่เป็นคำพูดของนักบวชผู้คลั่งใคล้ ดังนั้นอีกครั้งหนึ่งที่พระองค์ถูกส่งตัวไปยังเมืองที่เล็กกว่าชื่อว่าเอเดรียโนเปิล จากที่นั้นพระองค์ก็ถูกเนรเทศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ให้ไปยังเมืองอัคคาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซี่งเคยเป็นอาณานิคมลงโทษซึ่งจัดไว้ให้พวกนักโทษทั้งหลาย พวกขโมย พวกปล้นสดมภ์ การกักขังสิ่งมีชีวิตที่แสนทุกข์ทรมานลำบาก เป็นสถานที่น่ากลัว ใน 2-3 วันแรกหลังจากการมาถึงของพวกเขาแม้แต่น้ำก็ไม่ให้พระบาฮาอุลลาห์ ครอบครัวและมิตรสหายของพระองค์ ความทุข์ทรมานอย่างแสนสาหัสของพระบาฮาอุลลาห์ที่เมืองอัคคามากเสียจนไม่อาจจะพรรณนาได้ในตอนแรก พระองค์ถูกจำขังในห้องโดดเดียวที่ซึ่งแม้แต่ราชบุตรของพระองค์ก็อนุญาตให้เข้าพบไม่ได้ พระองค์ไม่ได้รับความสะดวกหลายอย่างและถูกศัตรูเฝ้าคุมอยู่ทั้งวันทั้งคืน ที่เมืองอัคคาพระองค์ได้ส่งสาส์นอันมีชื่อของพระองค์ไปยังกษัตริย์ และนักปกครองผู้มีอำนาจที่สุดในยุคสมัยของพระองค์ ขอร้องให้พวกเขารับฟังสาส์นขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อฟังพระบัญญัติของกษัตรย์แห่งกษัตริย์ ไม่มีใครนอกเสียจากองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นที่จะกล้าส่งสาส์นให้กับบุคคลที่จับพระองค์เข้าคุก เหมือนกับที่กษัตริย์ส่งสาส์นให้แก่ขุนนางของพระองค์
พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงยกธงชัยแห่งสันติภาพโลกความเป็นภราดรภาพจากกำแพงคุกของพระองค์ แม้มีอำนาจทั้งหลายในโลกได้รวมเอากำลังของพวกเขามาต่อต้านพระองค์ พระองค์ก็จะทรงชนะต่อทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้สัญญากับพระองค์ในความฝัน สาส์นของพระบาฮาอุลลาห์ได้ชักนำจิตใจของคนจำนวนหลายพันคน และหลายคนก็ได้สละชีวิตของเขาแก่ศาสนาของพระองค์ ด้วยอำนาจแห่งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และด้วยการอุทิศของศาสนิกชนของพระบาฮาอุลลาห์ เวลานี้ประชาชนหลายแสนคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกแบ่งแยกกันด้วยชื่อต่างๆ ได้กลายเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกันแล้ว
แม้ว่าพระบาฮาอุลลาห์จะถูกส่งตัวไปยังเมืองอัคคาในฐานะนักโทษตลอดชีวิต แต่พระองค์ทรงเลือกที่จะไปจากเมืองป้อมแห่งนั้น 9 ปีหลังจากการมาถึงของพระองค์ เวลานี้ด้วยบุคลิกอันมีเสน่ห์ของพระองค์ได้สร้างมิตรไมตรีกับทุกคนที่อยู่รอบข้างพระองค์ แม้แต่ผู้คุมนักโทษผู้ใจแข็งก็ตาม ไม่มีใครคัดค้านต่อการออกจากคุกของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ทรงใช้ช่วงชีวิตที่เหลือของพระองค์อาศัยอยู่นอกเมืองอัคคาที่ซึ่งพระองค์ได้ถึงแก่นิพพานไปสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2435
สาส์นของพระบาฮาอุลลาห์ได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกภาคของโลก จากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ทำนายไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ในอดีตคัมภีร์ศาสนาพุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวถึงว่าเป็นแดนสวรรค์ตะวันตก เป็นที่จุติของพระศาสดาผู้มาตามคำสัญญา พระศรีอารย์ สำหรับชาวยิวก็คือ ?ดินแดนแห่งคำสัญญาที่ซึ่งบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าจะบังเกิดแก่ชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิมก็จะได้รับคำทำนายมหัศจรรย์เกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ด้วย ซึ่งเคยเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามาแล้วเป็นเวลาหลายร้อยปีตั้งแต่ครั้งที่พระบาฮาอุลลาห์ถูกเนรเทศไปยังเมืองอัคคา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆ ในยุคอดีตก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางศาสนาบาไฮแห่งโลกด้วย?
พระบาฮาอุลลาห์ คือ องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งการเสด็จมาของพระองค์นั้นได้มีการทำนายไว้แล้วจากพระศาสดาต่างๆ ในอดีต ศาสนาต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้าทุกยุคทุกสมัยมีแนวทางไปสู่ทิศทางเดียวกัน และสั่งสอนเป้าหมายเดียวกันเหมือนกับศาสนาบาไฮ ศาสนานั้นก็เหมือนกับแม่น้ำหลายสายที่ไหลไปสู่มหาสมุทร แม่น้ำแต่ละสายได้ไหลเข้าไปสู่เนื้อที่หลายพันไร่ แต่ถ้าเป็นแม่น้ำสายเดียวก็จะกว้างใหญ่และมีกำลังเหมือนกับมหาสมุทร เพราะว่ามหาสมุทรเป็นที่ชุมนุมของแม่น้ำทั้งหลาย ในชุมชนบาไฮศาสนิกชนผู้นับถือศาสนาทั้งหลายก็มาพบกันรวมกันเป็นอันหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะมาจากทั่วทุกมุมโลก ตอนนี้เขาก็ได้ร่วมจับมือกันเป็นพี่น้องขนาดใหญ่บนพื้นฐานศาสนาเดียวกัน
สายน้ำของแม่น้ำต่างๆ ได้ผสมกลายเป็นอันเดียวกันในเมื่อสายน้ำเหล่านั้นไหลลงสู่มหาสมุทรแห่งธรรม
พระปฏิญญา
พระอับดุลบาฮา
พระบาฮาอุลลาห์ทรงเป็นเทพสถาปนิก พระองค์ทรงเขียนโครงการได้อย่างวิเศษเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของมนุษยชาติ พระองค์ทรงวางรากฐานแห่งโครงสร้างอันศักดิ์สิทธิ์นี้และได้ทรงรวบรวมแต่วัตถุสิ่งของที่จำเป็นๆ ไว้ แต่ใครหละที่จะเป็นผู้อุ้มชูโครงสร้างอันวิเศษนี้ไว้หลังจากพระบาฮาอุลลาห์ได้จากเราไป ที่จริงแล้วโครงการของพระองค์นั้นได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ถึงกระนั้นโครงการที่สมบูรณ์แบบก็จะต้องตกทอดให้แก่บุคคลผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติ มิฉะนั้นแล้วการก่อสร้างก็อาจจะพังทะลายลง จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่โครงการที่สมบูรร์แบบหรือไม่ได้อยู่ที่รากฐานอันแข็งแรงของอาคารถ้าหากว่าอาคารหลังนั้นไม่ได้อยู่ในความดูแลของบุคคลผู้มีความสามารถ การก่อสร้างก็อาจจะสร้างขึ้นผิดไปจากโครงการที่สถาปนิกได้วางไว้
เมื่อพระบาฮาอุลลาห์ได้เสด็จปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงทิ้งพินัยกรรมแห่งแผนการของพระผู้เป็นเจ้าไห้อยู่ในมือของราชบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงแต่งตั้งพระอับดุลบาฮาเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญาของพระองค์ และพระองค์ยังทรงขอให้ศาสนิกชนของพระองค์หันไปสู่พระอับดุลบาฮาเพื่อขอคำแนะนำ
คำว่าอับดุลบาฮาหมายถึง ผู้รับใช้ของพระบาฮาอุลลาห์พระองค์ทรงเป็นราชบุตรองค์โตของพระบาฮาอุลลาห์ ทรงสมภพเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2387 ซึ่งเป็นคืนที่พระบ๊อบทรงประกาศศาสนาของพระองค์ ราชบุตรผู้มีบารมีก็ถือกำเนิดขึ้นที่บ้านมงคลในเวลาฤกษ์ดี
พระอับดุลบาฮามีอายุเพียง 8 ปีเท่านั้น เมื่อตอนที่พระบาฮาอุลลาห์ถูกจับเข้าคุกมืดอันน่ากลัว จากปฐมวัย พระองค์ทรงเต็มใจที่จะร่วมทุกข์ทรมานกับพระบิดาอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ได้ร่วมเดินทางกับพระบาฮาอุลลาห์ด้วยความยากลำบากจากกรุงเตหะรานไปยังกรุงแบกแดด และทรงใช้ชีวิตในคุกและการถูกเนรเทศนานถึง 40 ปี ในที่สุดเมื่อพระอับดุลบาฮาได้รับอิสระพระองค์ก็ทรงมีอายุมากแล้ว แต่ด้วยความรักในพระผู้เป็นเจ้าทำให้พระองค์มีความสุขแม้ว่าจะอยู่ในช่วงชีวิตแห่งยามมืดมนก็ตาม พระองค์ทรงได้รับความสุขทางจิตวิญญาณอย่างเหลือล้น ซึ่งแม้แต่คุกอันเลวร้ายก็ไม่อาจจะต้านทานได้ พระอับดุลบาฮาปรารถนาที่จะไห้เราได้รับความสุขเช่นเดียวกับพระองค์ด้วย พระองค์ทรงกล่าวว่า
?ความสุขมีอยู่ 2 อย่าง คือสุขกายกับสุขใจ ความสุขทางกายนั้นมีขอบเขตจำกัด ซึ่งจะอยู่ได้นานที่สุดอาจจะเป็น 1 วัน 1 เดือน หรือ 1 ปี ซึ่งไม่มีผล ส่วนความสุขทางจิตวิญญาณนั้นถ้าเกิดขึ้นในจิตของผู้ใดแล้วด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้บุคคลนั้นยอมรับเอาคุณธรรมและความดีงามต่างๆ ทางโลกของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นขอจงมีความพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะจุดดวงประทีปแห่งจิตใจด้วยประทีปของพระผู้เป็นเจ้า
พระบาฮาอุลลาห์ทรงเปิดเผยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าแก่พระอับดุลบาฮาในกรุงแบกแดด ถึงแม้ว่าพระองค์ยังเยาว์วัยอยู่ก็ตามแต่พระอับดุลบาฮาก็ทรงจำสถานะของพระบิดาของพระองค์ได้ พระองค์หมอบกายลงแถบพระบาทของพระบาฮาอุลลาห์ ขอยอมสละเพื่อศาสนาของพระองค์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พระอับดุลบาฮาทรงอุทิศชีวิตของพระองค์รับใช้องค์พระบาฮาอุลลาห์ ยอมสละความสุขสบายทุกอย่างตามแนวทางของพระองค์ พระอับดุลบาฮาได้รับความรักความนับถือจากศาสนิกชนของพระบาฮาอุลลาห์ตั้งแต่พระองค์อายุยังไม่มาก ต่อมาพระองค์ก็เป็นที่รู้จักกันในบรรดาศาสนิกชนทั้งหลายว่า ?ท่านนาย? เมื่อพระบาฮาอุลลาห์เสด็จปรินิพพาน พินัยกรรมของพระองค์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันคือหนังสือแห่งพระปฏิญญา ก็ถูกเปิดเผยขึ้น บาไฮศาสนิกชนรู้สึกดีใจที่ทราบว่าพระบาฮาอุลลาห์ทรงได้สถาปนาให้พระอับดุลบาฮาเป็นศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญาณและให้มีอำนาจในการแปล ตีความคำสอนของพระองค์
การแต่งตั้งตำแหน่งศูนย์กลางแห่งพระปฏิญญานั้นเป็นคุณลักษณะพิเศษในศาสนาบาไฮซึ่งไม่เหมือนศาสนาอื่นๆ ศาสนาทุกศาสนาในอดีตได้ถูกแบ่งแยกหลังจากพระศาสดาได้เสด็จปรินิพพาน เพราะว่าศาสนิกชนไม่ทราบจะหันหน้าไปพึ่งใครหลังจากองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าได้จากพวกเขาไปแล้ว พวกเขาจึงได้เริ่มตีความคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าด้วยความเข้าใจของตนเองในขณะที่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจคำสอนเหล่านั้นเหมือนกัน คำสอนเหล่านี้จึงได้รับการอธิบายในรูปแบบต่างๆ สิ่งนี้เองจึงเป็นสาเหตุของความแตกแยกในหมู่ศาสนิกชนของศาสนาต่างๆ ในอดีต อย่างไรก็ตามกรณีของศาสนาบาไฮนั้นต่างไปจากศาสนาอื่นๆ พระบาฮาอุลลาห์พระองค์เสด็จมาเพื่อกำจัดความแตกแยกกันทุกรูปแบบในมนุษย์ชาติ จะไม่ยอมให้ศาสนาบาไฮเกิดการแบ่งแยก พระองค์ทรงนิพนธ์เป็นหลักฐานไว้ว่า พระองค์ทรงแต่งตั้งให้พระอับดุลบาฮาเป็นบุคคลที่บาไฮศาสนิกชนควรจะยึดเป็นผู้แนะแนวทางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ หลักฐานฉบับนี้หนังสือแห่งพระปฏิญญาได้รักษาดำรงความงามเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของบาไฮศาสนิกชน แต่ด้วยความอิจฉาของน้องชายของพระอับดุลบาฮาชื่อ โมฮัมหมัด อาลี เหมือนดังยายะในสมัยของพระบาฮาอุลลาห์ โมฮัมหมัด อาลี พยายามที่จะนำความแตกแยกในหมู่บาไฮศาสนิกชนในสมัยของพระอับดุลบาฮา เขาคิดว่าในฐานะที่เขาก็เป็นบุตรชายของพระบาฮาอุลลาห์เหมือนกัน เขาสามารถที่จะเรียกร้องสิทธิของการเป็นผู้นำได้ แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ประสบผล เพราะว่าความสัมพันธ์อันห่างเหินของเขาที่มีกับองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้านั้นหาควรยกย่องไม่ ในเมื่อเขาไม่เชื่อฟังในสิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญชามา โมฮัหมัด อาลี เป็นเสมือนกิ่งไม้ที่แตกออกจากต้นไม้แห่งอำนาจ ซึ่งไม่อาจที่จะให้ดอกผลได้เนื่องจากเป็นกิ่งไม้ที่เหี่ยวเฉาไม่มีค่า เหมือนดังกิ่งไม้ที่ร่วงโรยเขาจึงถูกโยนทิ้งไป
เมื่อโมฮัมหมัด อาลี ไม่ประสบความสำเร็จในการนำความแตกแยกในหมู่บาไฮศาสนิกชนแล้ว เขาจึงไปร่วมมือกับเหล่าศัตรูของศาสนาและพยายามที่จะทำร้ายพระอับดุลบาฮา เขาได้ทำการยั่วยุ คนสำคัญของเหล่าข้าราชการให้ต่อต้านท่านนายและยังกล่าวอีกว่าพระอับดุลบาฮากำลังรวบรวมผู้คนมาเป็นบริวารของตน เพื่อปฏิวัติรัฐบาล ในขณะที่พระอับดุลบาฮากำลังสร้างพระสถูปของพระบ๊อบอยู่บนเขาคาร์เมลอยู่นั้น โมฮัมหมัด อาลี ได้รายงานไปว่าพระอับดุลบาฮากำลังสร้างป้อมค่าย ซึ่งข่าวนี้ทำให้รัฐบาลของเตอรกีส่งกรรมการชุดพิเศษไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำการสอบสวนเรื่องราว โมฮัมหมัด อาลี ประสบความสำเร็จในการให้สินบนนายพลหัวหน้ากรรมการที่ได้ส่งรายงานเท็จเกี่ยวกับพระอับดุลบาฮาไปยังรัฐบาลเตอรกี
ขณะที่พระอับดุลบาฮากำลังอุทิศเวลาแห่งชีวิตของพระองค์แก่การรับใช้พระศาสนา ธรรมลิขิตอันงดงามซึ่งได้หลั่งออกมาจากปลายปากกาของพระองค์ได้นำความยินดีและแรงดลใจให้แก่บาไฮศาสนิกชนในโลก พระองค์ทรงนำทางและเร่งก้าวฝีเท้าไปตามแนวทางแห่งการรับใช้ต่อศาสนาของพวกเขา เมื่อพระองค์ทรงว่างจากการนิพนธ์ ท่านนายก็ทรงยุ่งกับการไปเยี่ยมคนป่วย หาสิ่งจำเป็นแก่คนยากจนจากเงินในถุงขาดๆ ของพระองค์ พระองค์ก็หยิบยื่นให้แก่ผู้อื่น ไม่มีคนใดที่จะออกไปจากประตูบ้านของท่านนายอย่างผิดหวัง
พระอับดุลบาฮาไม่ทรงสนใจต่อคณะกรรมการของข้าราชการที่มาสอบสวนความผิดที่ถูกผู้อื่นใส่ความพระองค์ โมฮัมหมัด อาลี ได้แสดงความมีฐานะของเขากับคณะกรรมการและเขายังได้แจกจ่ายของขวัญของกำนัลแก่พวกเขาอีกด้วย ก่อนที่พวกเขาจะกลับไป นายพลหัวหน้าซึ่งร่วมอยู่ในคณะกรรมการชุดนั้นได้ให้คำสาบานว่า เขาจะกลับมาแขวนคอพระอับดุลบาฮาที่ประตูเมือง ข่าวนี้ได้นำความยินดีแก่เหล่าศัตรูของท่านนาย ในขณะที่ผู้ที่มีความรักใคร่พระองค์รู้สึกวิตกกังวล มิตรสหายของพระองค์ได้ขอให้พระอับดุลบาฮาหนีไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยังคงมีเวลาอยู่ แต่ทว่าท่านนายผู้วางใจในพระผู้เป็นเจ้า ไม่รู้สึกวิตกแม้แต่น้อย พระองค์กล่าวว่า
?สำหรับเรานั้นคุกคือความมีอิสระ การกับขังคือศาลที่เปิดเผย ความตกต่ำคือความมีชื่อเสียเกียรติยศความทุกข์ยากคือลาภ และความตายคือชีวิต
นายพลหัวหน้าผู้ซึ่งต้องการจะแขวนศีรษะพระอับดุลบาฮาถูกฆ่าตายในสงครามไม่นานหลังจากที่เขาออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรเตอรกีเองก็ต้องถูกตีแตก และผู้ปกครองคนใหม่ได้เถลิงอำนาจกิจการของรัฐบาล โมฮัมหมัด อาลี และคนอื่นๆ ที่ได้ทำลายพระปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ได้เลิกล้มความพยายามที่จะทำร้ายพระอับดุลบาฮา เลิกล้มในการที่จะนำเอาความแตกแยกมาสู่บาไฮศาสนิกชน พวกเขาถูกถอดยศและต้องเลิกแผนอย่างน่าอับอาย เมื่อเป็นที่รู้กันในหมู่คน
ด้วยการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ พระอับดุลบาฮาจึงได้รับอิสรภาพหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตในการถูกจองจำ ในที่สุดท่านนายซึ่งได้รับใช้ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์อย่างซื่อสัตย์ภายใต้ความทุข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ก็ได้รับอิสระในการนำและกระจายสาส์นของพระบิดาไปยังประชาชนในประเทศต่างๆ บาไฮศาสนิกชนของประเทศตะวันตกได้ขอให้พระองค์เดินทางไปประเทศยุโรปและประเทศอเมริกา แม้ว่าจะทรงแก่ชราและทรงอ่อนแอจากการถูกจำคุกมาเป็นเวลาหลายปี พระอับดุลบาฮาทรงยินดีรับคำเชิญของคนเหล่านั้น
ระหว่างการเดินทางไปประเทศตะวันตกของพระองค์ พระอับดุลบาฮาได้กล่าวแก่ประชาชนหลายพันคนเกี่ยวกับศาสนาบาไฮ บางครั้งพระองค์ได้ไปกล่าวปาฐกถาหลายแห่งในวันหนึ่งๆ มีทั้งบาไฮศาสนิกชนและไม่ใช่บาไฮศาสนิกชนได้เดินทางไกลเพื่อมาเยี่ยมพระองค์ และฟังวจนะอันจับใจของพระองค์ ทุกครั้งที่พระองค์ออกไปก็มักจะยุ่งอยู่กับการสอนศาสนาตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ พระองค์ไม่คิดถึงตนเองแม้ว่าพระองค์จะป่วยเป็นไข้ก็ตาม และมิตรสหายของพระองค์ได้ขอร้องให้พระองค์พักผ่อน
ในประเทศอเมริกา พระอับดุลบาฮาได้ทรงวางศิลาฤกษ์สถานสักการะของโบสถ์บาไฮในประเทศตะวันตก ซึ่งปัจจุบันนี้อาคารที่สวยงามนี้ได้อุทิศให้แก่ความรุ่งโรจน์แห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า
การเดินทางของพระอับดุลบาฮาในประเทศยุโรปและประเทศอเมริกานั้นได้รับผลดียิ่ง ศาสนาบาไฮได้ตั้งขึ้นอย่างมั่นคงในหลายๆ ประเทศและก่อนที่พระอับดุลบาฮาถึงแก่มรณภาพ พระองค์ได้ทรงชักนำศาสนิกชนให้นำเอาสาส์นนี้ไปยังประเทศอื่นๆ ด้วย
ท่านนายได้มรณภาพในดินแดนศักดิสิทธิ์ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2464 ห้องพักของพระองค์อยู่ในห้องที่อยู่ติดกับพระสถูปของพระบ๊อบอยู่ในอาคารเดียวกัน ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างในช่วงที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ด้วยตนเอง
พระอับดุลบาฮาเป็นผู้อธิบายศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ตีความพระนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์และเป็นบุคคลตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบแห่งศาสนาของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ทรงขนานนามพระองค์ว่า ?ความลึกลับแห่งพระผู้เป็นเจ้า?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ? ท่านศาสนภิบาล
พระอับดุลบาฮาก็เหมือนกับบิดาอันเป็นที่รักของบาไฮศาสนิกชน เมื่อพระองค์มรณภาพไป บาไฮศาสนิกชนทั่วโลกรู้สึกสลดใจอย่างยิ่ง การรับใช้ของพระอับดุลบาฮาซึ่งนานถึง 30 ปี เป็นช่วงที่บาไฮศาสนิกชนได้เจริญก้าวหน้าภายใต้การนำทางอย่างไม่ผิดพลาดของพระองค์ และพระองค์ได้อบรมความเข้าใจของเขาอย่างลึกซึ้งในคำสอนต่างๆ ของพระบาฮาอุลลาห์ เมื่อพระอับดุลบาฮาได้จากโลกนี้ไปแล้ว บาไฮศาสนิกชนก็เหมือนดังลูกกำพร้าที่ได้สูญเสียผู้ปกครองอันเป็นที่รักของเขาไป ตรงข้ามกับเหล่าศัตรูของศาสนาและผู้ที่ทำลายประปฏิญญาของพระบาฮาอุลลาห์ คิดว่าถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะได้แสดงตัวและดำเนินตามแผนการอันชั่วร้ายของเขา พวกเขาคิดว่าเนื่องจากพระอับดุลบาฮาไม่ได้อยู่ปกป้องรักษาความสามัคคีของบาไฮศาสนิกชนแล้ว จึงเป็นการง่ายที่จะโจมตีศาสนา พวกเขาไม่ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ยอมให้มีการแตกแยกในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนาของพระองค์ในยุคนี้
พระอับดุลบาฮาได้ทรงจัดเตรียมความสามัคคีให้แก่ศาสนิกชนของพระบาฮาอุลลาห์ พระองค์ยังได้วางปฏิญญาอันมั่นคงให้แก่บาไฮศาสนิกชนทั่วทุกมุมโลก พระองค์ได้มอบธรรมลิขิตอันวิเศษไว้เป็นพินัยกรรม ซึ่งในนั้นพระองค์ได้แต่งตั้งหลานชายของพระองค์ ชื่อโชกิ เอฟเฟนดิ เป็นท่านศาสนภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า
ด้วยการจากไปของพระอับดุลบาฮา บาไฮศาสนิกชนจึงต้องสูญเสียบิดาอันเป็นที่รักไป แต่พวกเขาก็ได้พบพี่ชายที่แท้จริงในท่านโชกิ เอฟเฟนดิ
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ถือกำเนิดในตระกูลดีงามของพระอับดุลบาฮา มารดาของท่านเป็นบุตรสาวของพระอับดุลบาฮา และบิดาของท่านเป็นญาติใกล้ชิดของพระบ๊อบ พระอับดุลบาฮาเรียกท่านว่า ?มุกไร้ค่าที่วิเศษสุดที่ไม่มีอันใดเหมือนซึ่งส่องแสงสว่างออกมาจากทะเลสองแห่งที่กำลังซัดคลื่นกัน? กิ่งไม้อันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้แตกกิ่งก้านออกจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ 2 ต้น เพราะว่าในตัวท่านสืบสายโลหิตมาจากพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์ 2 พระองค์รวมกัน ท่านโชกิ เอฟเฟนดิเติบโตขึ้นภายใต้การเอาใจใส่ดูแลของพระอับดุลบาฮาโดยตรง ซึ่งไม่มีผู้ใดทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับสถานะที่พระอับดุลบาฮากำลังเตรียมไว้สำหรับท่านแม้ว่าจะมีสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ในตัวท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ก่อนที่พระอับดุลบาฮาจะมรณภาพก็ตาม มีบาไฮศาสนิกชนชาวอเมริกาผู้หนึ่งเคยเขียนจดหมายไปให้ท่านนายถามว่า เธอนั้นมีความเข้าใจคำทำนายข้อหนึ่งที่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า จะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับแรงดลใจให้ถือหางเสือศาสนาต่อจากพระอับดุลบาฮาใช่ไหม ท่านนายได้ตอบว่าที่เธอพูดมานั้นถูกต้อง เด็กที่รับพรผู้นั้นกำลังมีชีวิตอยู่อีกไม่นานเขาจะทำให้โลกนี้สว่างไสวไปด้วยรัศมีของเขาเอง พระอับดุลบาฮาได้ให้ความมั่นใจกับคนอื่นๆ ว่าเด็กที่มีพรสวรรค์ผู้นี้จะเป็นผู้ ?ยกระดับศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าให้สูงยิ่งขึ้น?
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คือชายหนุ่มที่ท่านนายอันเป็นที่รักได้เขียนไว้ในพินัยกรรมของพระองค์ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ อายุได้เพียง 24 ปี ในตอนที่ท่านได้เป็นท่านศาสนภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า เป็นเพราะว่า พระบาฮาอุลลาห์ทรงช่วยเหลือท่านไม่สำคัญที่ท่านอายุน้อย พระอับดุลบาฮาเรียกท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ว่าเป็นสัญลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกนี้ และได้กล่าวอีกว่าทุกคนที่เชื่อฟังท่านแล้วก็เหมือนกับเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ด้วยความรอบรู้อย่างมากมาย และคำแนะนำทางจิตวิญญาณของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ที่ได้นำเอาสาส์นของพระบาฮาอุลลาห์มาสู่ประเทศต่างๆ ของโลก
เมื่อพระอับดุลบาฮาได้มรณภาพไปแล้ว ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ด ณ ประเทศอังกฤษ ความปรารถนาอันยิ่งยวดของท่านก็คือเพื่อให้ได้รับใช้ท่านนายอันเป็นที่รักของท่านตลอดชีวิตของท่านและจัดแปลธรรมนิพนธ์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาบาไฮเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อศาสนิกชนอีกหลายพันคนที่อ่านธรรมนิพนธ์ภาษาเปอร์เซียและภาษาอารบิคไม่ได้ ข่าวการเสียชีวิตของพระอับดุลบาฮาได้สร้างความกระทบกระเทือนใจแก่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ จนถึงกับล้มป่วย ก่อนที่ท่านจะฟื้นจากการตกใจเนื่องจากการจากไปของท่านนาย ท่านก็ได้มาถึงที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้พบว่าพระอับดุลบาฮามอบความรับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยการเป็นท่านศาสนภิบาลของพระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้มอบภาระหน้าที่อันทรงเกียรติให้แก่ใครแล้วก็ตามในโลกมนุษย์ พระองค์ก็จะทรงประทานกำลังให้แก่เขา เพื่อดำเนินงานนั้น หลังจากนั้นหลายสัปดาห์ ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ก็หมกมุ่นอยู่กับการทำสมาธิสวดอธิษฐาน ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ พร้อมที่จะเริ่มงานอันยิ่งใหญ่ของท่านในชีวิต และพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพรพร้อมด้วยความรอบรู้และความคิดที่ดีในการดำเนินการทุกระยะเพื่อการส่งเสริมศาสนาของพระองค์
ช่วงระยะเวลา 36 ปี แห่งการพิทักษ์ของท่าน ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นใดนอกจากความเจริญก้าวหน้าของศาสนา ท่านทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่คิดถึงตนเองแม้แต่น้อย ชีวิตส่วนตัวของท่านนั้นเป็นแบบเรียบง่าย น้อยครั้งที่ท่านจะรับประทานอาหารมากกว่า 1 มื้อใน 1 วัน และน้อยครั้งที่จะหลับนานเกินกว่า 3 ชั่วโมงของทุกวัน เวลาที่เหลือของท่านนั้นได้อุทิศให้แก่ความเจริญก้าวหน้าในศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ ใครก็ตามที่ได้เห็นภารกิจที่ท่านต้องทำให้เสร็จในแต่ละวันแล้ว ก็จะทราบว่านั้นเป็นเพราะอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้คนธรรมดาสามัญสามารถที่จะทำงานได้อย่างมากมายเช่นนั้นได้ในวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ศัตรูของศาสนา ผู้ซึ่งหวังที่จะปฏิบัติการชั่วร้ายของเขาหลังจากการจากไปของพระอับดุลบาฮา ไม่นานก็เป็นที่ทราบกันว่าศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในความปกปักด้วยแขนเหล็กของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ท่านเป็นผู้สอนให้บาไฮศาสนิกชนในโลกรู้จักวิธีการทำงานร่วมกัน เพื่อที่จะจัดตั้งระเบียบโลกของพระบาฮาอุลลาห์ และให้รู้จักวิธีปฏิบัติตามคำสอนของพระอับดุลบาฮาดังที่ได้กล่าวไว้ในลิขิตแห่งโครงการสวรรค์ของท่านในข้อลิขิตแหล่านี้ซึ่งท่านนายได้นิพนธ์ไว้ให้แก่บาไฮศาสนิกชนก่อนที่พระองค์จะจากไป พระองค์ได้ขอร้องให้ทุกคนลุกขึ้นส่งเสริมยกระดับของศาสนาให้ละทิ้งบ้านเรือน และความสุขสบายแล้วช่วยกันนำสาส์นของพระบาฮาอุลลาห์กระจายไปสู่ทุกมุมโลก ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้ฝึกฝนศาสนิกชนเป็นเวลาหลายปีเพื่อเตรียมการยิ่งใหญ่นี้แก่พวกเขา ท่านได้สอนพวกเขาให้รู้จักวิธีการทำงานจากระดับธรรมสภาท้องถิ่นไปถึงธรรมสภาแห่งชาติ เพราะถ้าหากว่าบาไฮศาสนิกชนไม่รู้จักการทำงานร่วมกันแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะประสบความสำเร็จในทุกสิ่ง และเมื่อเขาได้รับการเตรียมพร้อมต่องานอันยิ่งใหญ่แล้ว ท่านศาสนภิบาลก็ได้ให้กำลังใจส่งเสริมพวกเขาให้กระจัดกระจายกันไปทั่วโลก และยกระดับธงชัยของพระบาฮาอุลลาห์ไปทั่วทุกภาคของโลก ภายใต้การนำทางของท่าน บาไฮศาสนิกชนหลายร้อยคนได้ก้าวออกไปพร้อมกับเพลิงแห่งศาสนา และได้ไปตั้งถิ่นฐานตามเกาะและดินแดนที่ห่างไกลต่างๆ เพื่อที่จะนำเอาสาส์นใหม่นี้ไปให้แก่ประชาชนในทุกท้องถิ่น
เมื่อตอนที่พระอับดุลบาฮาได้มรณภาพไป ศาสนาบาไฮได้แพร่ไป 35 ประเทศ แต่ช่วงระหว่างที่ท่านศาสนภิบาลอันเป็นที่รักยิ่งมีชีวิตอยู่นั้น สาส์นของพระบาฮาอุลลาห์ได้นำเข้าไปกว่า 251 ประเทศทั่วโลกร่วมทั้งสถานที่ทุกแห่งตามที่พระอับดุลบาฮาได้กล่าวไว้ในพระลิขิตแห่งโครงการสวรรค์
ในพินัยกรรมของพระองค์ พระอับดุลบาฮาได้เรียกร้องให้บาไฮศาสนิกชนทั่วโลกลุกขึ้นรับใช้ศาสนา และจะไม่มีการหยุดแม้นาทีจนกว่าพวกเขาจะสถาปนาธงชัยแห่งศาสนาได้ในทั่วทุกภาคของโลก ท่านศาสนาภิบาลได้ปฏิบัติตามความต้องการนี้ของท่านนายตลอดชีวิตของท่านและจนวาระสุดท้ายของท่านที่อยู่ในโลกนี้ ท่านได้สิ้นชีวิตเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2500 ณ กรุงลอนดอน ที่ซึ่งท่านไปซื้อวัสดุก่อสร้างสถาบันศาสนาบาไฮในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ท่านศาสนภิบาลได้จากเราไปหลังจากที่ท่านมั่นใจว่าความพยายามของท่านในช่วงระยะเวลา 36 ปีแห่งการพิทักษ์ศาสนา ได้วางรากฐานศาสนาสากลของพระบาฮาอุลลาห์ได้อย่างมั่นคง จนกระทั่งงานของท่านนั้นบาไฮศาสนิกชนสามารถที่จะดำเนินต่อไปได้เองเมื่อตอนที่ท่านจากไป ก็เหมือนกับผู้บังคับการเรือที่สมบูรณ์ซึ่งได้วางทิศทางที่จะให้บาไฮศาสนิกชนไปตามนั้น และได้ให้คำสอนที่สำคัญๆ แก่เราก่อนที่ท่านจะจากเราไป จะไม่มีอันตรายจากการหลงทางของเรา เพราะทิศทางและเส้นทางที่เราไปสู่นั้นได้รับการกำหนดจากท่านศาสนภิบาลแล้ว ภายใต้การนำทางแห่งจิตวิญญาณ เรือของพระผู้เป็นเจ้าลำนี้จะต้องไปสู่จุดหมายปลายทางอย่างแน่นอน ช่วงที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้เขียนแผนงาน 10 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2506 ตามแผนงานนี้ศาสนิกชนบาไฮทุกคนในโลกจะต้องทำงานร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการนำเอาสาส์นของพระบาฮาอุลลาห์ไปยังหมู่เกาะและดินแดนต่างๆ ที่เหลืออยู่ในโลก ที่ซึ่งศาสนาบาไฮยังไม่ได้เข้าไปจัดตั้ง ท่านศาสนภิบาลเองก็ได้เห็นความเจริญก้าวหน้าของแผนงานนี้ในช่วงระยะแรกๆ ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีวิต มีศูนย์กลางศาสนาบาไฮกว่า 4,200 แห่ง ที่ได้ก่อตั้งขึ้นมาในโลกนี้ วรรณกรรมของศาสนาบาไฮได้รับการแปลมากกว่า 200 ภาษาแล้ว
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางศาสนาแห่งโลก ท่านศาสนภิบาลได้สร้างสิ่งปลูกสร้างงดงามแห่งหนึ่ง และพระสถูปของพระบ๊อบและนอกจากนั้นยังมีอาคารเก็บเอกสารสำคัญแห่งโลกอันได้แก่ พระนิพนธ์ของพระบ๊อบ พระนิพนธ์ของพระบาฮาอุลลาห์ และอัฐิสิ่งของสมบัติอื่นๆ ที่สำคัญๆ ก็ได้นำมาเก็บไว้ที่นี้ด้วย อาคารเหล่านี้รวมทั้งสวนอันงดงามซึ่งอยู่รอบๆ อาคารก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นจุดที่สวยงามที่สุดในโลก ทุกๆ ปีจะมีประชาชนหลายพันคนเดินทางมาเยี่ยมชมสิ่งเหล่านี้
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ได้ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จโดยการแต่งตั้งพระหัตถ์ศาสนา จำนวน 27 ท่าน ซึ่งท่านเรียกว่า ?ผู้พิทักษ์ศาสนาแนวหน้า? และเป็นผู้ซึ่งท่านได้มอบความรับผิดชอบเกี่ยวกับการปกป้องศาสนา และมีหน้าที่เผยแพร่คำสอนของพระบาฮาอุลลห์ เมื่อท่านศาสนภิบาลสิ้นชีวิตไปแล้ว พระหัตถ์ศาสนาก็เลือกบุคคล 9 ท่าน ในกลุ่มของท่านเองพำนักอยู่ในดินแดนศํกดิ์สิทธิ์ ดูแลกิจกรรมงานที่ศูนย์กลางแห่งโลก ทั้ง 9 ท่านนี้มีชื่อว่า ท่านผู้อารักขา ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่งในโลกเพื่อช่วยกันทำให้แผนงาน 10 ปี ของท่านศาสนภิบาลประสบความสำเร็จ
การสิ้นสุดของแผนงาน 10 ปี ในปี พ.ศ. 2506 เป็นนิมิตหมายใหม่ ในประวัติศาสตร์ของศาสนาบาไฮเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษ ตามที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศศาสนา ศาสนาของพระองค์และศาสนิกชนทั่วโลกได้มีการเลือกตั้งสภายุติธรรมแห่งสากลเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด ซึ่งพระอับดุลบาฮาได้ให้ความมั่นใจแก่เราว่าจะอยู่ภายใต้การนำทางของพระผู้เป็นเจ้าโดยตรงและจะไม่มีการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้เลย
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองโอกาสนี้ ได้มีการเชิญบาไฮศาสนิกชนทั่วโลกมายังงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ในกรุงลอนดอนตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน ? 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2506 มีคนมาร่วมมากกว่า 6,200 คน ซึ่งมาจากทั่วโลก ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติได้มารวมตัวกันในงานเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่นี้ คนเหล่านี้มีหลายเชื้อชาติ หลายพื้นฐาน ในรูปแบบประเพณีชาติต่างๆ ได้ทำให้เกิดสวนอันสวยงามของพระบาฮาอุลลาห์ ผู้ชุมนุมที่เต็มไปด้วยสีสันนั้นอยู่ในสภาบาไฮแห่งโลกก็คือ ช่อดอกไม้ที่เหมาะเจาะที่สุด ซึ่งเราจะมอบให้เป็นอนุสรณ์แก่ท่านโชกิ เอฟเฟดิ ท่านศาสนภิบาลอันเป็นที่รักของเรา ผู้ซึ่งได้จัดเตรียมกำลังสงครามแห่งจิตวิญญาณ 10 ปี แก่เรา พร้อมกับความสำเร็จและชัยชนะในหลายๆ ด้านแก่เรา
ขอขอบคุณต่อความพยายามอันไม่หมดสิ้นและไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยของท่านศาสนภิบาลอันเป็นที่รัก บาไฮศาสนิกชนทั่วโลกได้เตรียมพร้อมเพื่อการพัฒนาการอันยิ่งใหญ่แบบใหม่นี้ ในความเจริญก้าวหน้าของศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านศาสนภิบาล ก็เหมือนกับพระอับดุลบาฮาที่เคยได้รับการทำนายไว้เมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเด็กอยู่ว่า จะเป็นผู้ที่ยกระดับศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าให้สูงขึ้น
คำสอนและหลักธรรมบางข้อ
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ
พระอับดุลบาฮาทรงสอนเราในเรื่องความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนก คือลูกหลานของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากเราเชื่อในองค์พระบิดาแห่งสวรรค์องค์เดียวกันแล้ว เราจะต้องยอมรับว่าทุกคนเป็นเสมือนพี่น้องกัน เป็นเสมือนสมาชิกของครอบครัวเดียวกันเป็นครอบครัวมนุษยชาติ
ก่อนที่พระบาฮาอุลลาห์จะทรงนำแสงแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับเรานั้น มีสาเหตุหลายประการ ซึ่งทำให้คนคิดว่าตัวเขาเองนั้นไม่เหมือนกับคนอื่น บางคนคิดว่านั้นเป็นเพราะสีผิวของเขาขาว ตัวเขาจะต้องดีกว่าคนผิวดำ คนผิวแหลือง คนผิวน้ำตาล พระบาฮาอุลลาห์ทรงตรัสว่าอันนี้ไม่ถูกต้อง มนุษย์ไม่แตก ต่างกันอันเนื่องมาจากสีผิวของเขา ถ้าหากว่าเขาจะต่างกันนั้นเป็นเพราะว่าเขาได้รับการศึกษาในระดับที่ไม่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขามีสีผิวที่ต่างกัน คนที่มีสีผิวแตกต่างกันในโลกนี้ก็เป็นเหมือนดอกไม้ชนิดต่างๆ กันที่จะพบเห็นได้ในสวนแห่งหนึ่ง ถ้าหากว่าดอกไม้ทุกดอกในส่วนนั้นมีสีเหมือนกัน สวนนั้นก็จะไม่สวยนัก พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่าพระผู้เป็นเจ้าเหมือนกับคนเลี้ยงแกะที่ใจดี ซึ่งจะไม่คิดว่าแกะขาวนั้นจะดีกว่าแกะสีน้ำตาล หรือแกะสีดำ พระผู้เป็นเจ้าทรงรักพวกเราทุกคนไม่ว่าผิวพรรณของเราจะมีสีอะไร หรือผู้อื่นเป็นเหมือนคนแปลก พระบาฮาอุลลาห์ทรงจุดเพลิงแห่งความรักในจิตใจของศานิกชนของพระองค์ เพื่อให้เขามีความรู้สึกเหมือนว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน แม้ว่าเขาจะมาจากทั่วทุกประเทศของโลกนี้ก็ตาม ในพระนิพนธ์ของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ทรงตรัสว่า
โอ ผู้อันเป็นที่รัก โบสถ์แห่งความสามัคคีได้ถูกสถาปณาขึ้นแล้ว เจ้าอย่าได้เห็นว่าเจ้าแตกต่างไปจากผู้อื่น เจ้าเป็นผลไม้ของต้นไม้เดียวกัน และเป็นใบไม้ของกิ่งก้านเดียวกัน?
เจ้าจงเป็นเสมือนนิ้วมือเดียวกัน และเป็นส่วนต่างๆ ของร่างกายเดียวกัน เพราะฉะนั้นขอเตือนเจ้าด้วยปากกาแห่งพระวจนะ?
พระอับดุลบาฮาได้บัญญัติว่า
บรรดาคำสอนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของพระบาฮาอุลลาห์ก็คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของโลกมนุษย์นั้นก็คือมนุษย์ทุกคนก็คือแกะของพระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ก็คือคนเลี้ยงแกะผู้ใจดีนั่นเอง คนเลี้ยงแกะนี้มีความเมตตากรุณาต่อแกะทุกตัว เพราะว่าทรงสร้างแกะเหล่านั้นฝึกฝนแกะ จัดหาบริการให้กับแกะและปกป้องแกะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนเลี้ยงแกะจะต้องเมตตาต่อแกะทุกตัว และแม้จะมีแกะโง่เขลาก็ตามมันก็จะต้องได้รับการศึกษา ถ้าหากว่าเป็นเด็ก เขาก็จะต้องได้รับการฝึกฝนจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ ถ้าหากว่าเป็นคนป่วย เขาก็จะต้องได้รับการรักษาเยียวยา จะไม่มีการเกลียดชังเป็นอริกัน เพราะว่าเป็นแกะที่โง่เขลา ผู้ที่เจ็บป่วยควรจะได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้ใจดี? ขอให้เราสวดอธิษฐานให้แก่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ
?ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงรวบรวมจิตใจของคนรับใช้ของพระองค์ให้เป็นเอกภาพ ขอทรงเปิดเผยพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และยึดมั่นในพระบัญญัติของพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงช่วยเหลือความพยายามและประทานกำลัง เพื่อเขาจะได้รับใช้พระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าโปรดอย่าได้ละทิ้งคนรับใช้เหล่านี้ไว้ตามลำพัง ขอทรงนำทางพวกเขาด้วยแสงสว่างแห่งความรอบรู้ของพระองค์ แท้จริงแล้วพระองค์คือพระผู้ช่วย และพระผู้เป็นเจ้าของเขา
พระบาฮาอุลลาห์
กำจัดความมีอคติ
พระบาฮาอุลลาห์ทรงสอนว่า ความมีอคติทุกรูปแบบจะต้องลืมไป ไม่ว่าจะเป็นอคติเรื่องชนชาติ หรืออคติเรื่องเชื้อชาติ หรืออคติเรื่องศาสนา ตราบใดที่คนยึดเอาความอคติไว้ เราก็จะไม่มีความสุขในโลก
สงครามทั้งหลายที่เรามีมาในอดีต การฆ่ากัน และการนองเลือดนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากมีอคติกันในบางเรื่อง คนที่สู้รบเพื่อประเทศชาติของเขา เพื่อศาสนาของเขาได้นำเอาความเสียหายมาสู่โลก และได้นำความตายมาสู่มนุษย์เพื่อนร่วมโลกหลายล้านคน พระอับดุลบาฮากล่าวว่า
ถ้าหากความมีอคตินี้และความเป็นอริกันนี้มีเหตุมาจากศาสนาแล้ว ให้พิจารณาว่าศาสนานั้นควรเป็นต้นเหตุแห่งมิตรภาพ ถ้ามิฉะนั้นแล้วศาสนาก็ไม่มีประโยชน์ และถ้าหากว่าความอคตินี้เป็นอคติแห่งชนชาติ ให้พิจารณาดูว่ามนุษย์ทุกคนคือชาติเดียวกัน ทุกคนถือกำเนิดมาจากต้นไม้แห่งอาดัม และอาดัมก็เป็นรากแก้วของต้นไม้ ต้นไม้ต้นนั้นมีอยู่ต้นเดียว และชาติเหล่านี้ทุกชาติเป็นเสมือนกิ่งก้านและมนุษย์แต่ละคนเป็นเสมือนใบไม้ ดอกไม้และผลไม้แล้วการสถาปนาชาติต่างๆ ได้รับมาจากการนองเลือดและการทำลายโครงสร้างแห่งมนุษย์ อันเป็นผลเนื่องจากความโง่เขลาและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์
?เนื่องจากความมีอคติในความรักชาติ อันนี้สืบเนื่องมาจากความโง่เขลาอย่างมาก เนื่องจากผิวโลกก็คือแผ่นดินถิ่นฐานแห่งหนึ่ง ทุกคนจะอาศัยอยู่ในที่ใดก็ได้ในโลก เพราะฉะนั้นโลกนี้ก็คือที่เกิดของมนุษย์ เขตแดนและทางออกเหล่านี้มนุษย์เป็นผู้แบ่งแยก ?ในการสร้างเขตแดนและทางอออกนั้นไม่ได้รับการออกแบบไว้ ยุโรปก็คือทวีปหนึ่ง เอเซียก็คือทวีปหนึ่ง อัฟริกาก็คือทวีปหนึ่ง ออสเตรเลียก็คือทวีปหนึ่ง แต่จิตใจจากแรงกระตุ้นส่วนบุคคลและการหาผลประโยชน์ส่วนตัวได้แบ่งทวีปแต่ละทวีปออกจากกัน และถือว่าส่วนนั้นเป็นประเทศของตน พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงจัดตั้งอาณาเขตระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศเยอรมัน มันเป็นดินแดนติดต่อกัน
ในศตวรรษแรกๆ ด้วยความเห็นแก่ตัวที่จะแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจึงได้มีการกำหนดดินแดนและทางออกและนับวันก็ยิ่งยึดถือให้ความสำคัญต่อสิ่งเหล่านี้มากขึ้น จนกระทั่งเหตุนี้จึงนำไปสู่การเป็นศัตรู การนองเลือด ความอยากได้ ชิงดีชิงเด่นกันมากขึ้นในช่วงศตวรรษหลังๆ ในทำนองเดียวกันเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าหากความมีชาตินิยมนี้ยังคงอยู่ในวัฏจักรเช่นนี้ ก็จะเป็นเหตุขั้นต้นของการทำลายโลกมนุษย์ ไม่มีใครที่จะทราบในการแบ่งแยกที่ทำขึ้นเองได้ ทุกพื้นที่ที่มีขอบเขตซึ่งเราเรียกว่าเป็นประเทศชาติของเรานั้น เราถือกันว่าเป็นดินแดนบ้านเกิดของเรา ส่วนที่เป็นผิวโลกก็คือดินแดนบ้านเกิดของทุกคน มิใช่เป็นพื้นที่ที่ถูกจำกัดไว้แต่อย่างใด สรุปแล้วเราอาศัยอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วระยะอันสั้น และในที่สุดเราก็จะถูกฝังอยู่ในโลกนี้ โลกก็คือหลุมฝังศพของเราตลอดไป สมควรไหมที่เราจะมาต่อสู้กันให้นองเลือดมาฉีกคนอื่นเป็นชิ้นๆ ให้กับหลุมฝังศพอย่างไม่รู้จักจบสิ้นนี้ ไม่พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงพอพระทัยกับการกระทำเช่นนี้ และผู้ที่มีสติจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้
?ขอจงคิดูเถิด สัตว์ประเสริฐทั้งหลายจะไม่ผูกพันอยู่กับการวิวาทในเรื่องความรักชาติ เขาควรเป็นมิตรกับคนอื่นๆ และอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างสมัครสมาน ตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีนกพิราบตัวหนึ่งบินมาจากทิศตะวันออกกับนกพิราบตัวหนึ่งบินมาจากทิศตะวันตก กับนกพิราบตัวหนึ่งบินมาจากทิศเหนือ กับนกพิราบตัวหนึ่งบินมาจากทิศใต้ ?ได้มีโอกาสบินมาถึง ณ จุดเดียวกันในเวลาเดียวกัน นกเหล่านั้นก็จะร่วมสมาคมกันอย่างไพเราะทันที มันจะเป็นเช่นนี้กับสัตว์ประเสริฐทั้งหลายรวมทั้งสัตว์ปีกด้วย แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายทั้งหลาย ทันทีที่มันพบกัน มันก็จะกัดทำร้ายกัน ต่อสู้ซึ่งกันและกัน ฉีกกระชากกันเป็นชิ้นๆ เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขเช่นเดียวกันสัตว์เหล่านั้นจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ มันเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ป่าเถื่อน และชอบรบสู้กัน?
การแสวงหาความจริง
เมื่อเด็กทารกคนใดเกิดในครอบครัวคริสเตียนเขาก็จะเป็นคริสเตียน เมื่อผู้ปกครองเป็นมุสลิม เด็กๆ ก็จะเป็นมุสลิมด้วยเช่นกัน และถ้าพวกเขาเป็นฮินดู ลูกๆ ของเขาก็จะเป็นฮินดูด้วย เพราะเหตุใด ก็เพราะว่าพลเมืองโลกส่วนใหญ่ดำเนินตามบรรพบุรุษของเขา ตราบใดที่การเลียนแบบเอาอย่างไม่พิจารณาไตร่ตรองเช่นนี้ยังดำเนินต่อไป พวกเขาไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ พวกเขาได้แต่ต่อสู้วิวาทกัน เรื่องการตามอย่างของเขา ทุกคนได้อ้างว่าตนเองนั้นถูกคนอื่นนั้นผิด น้อยคนที่จะหยุดยั้งความคิดที่ว่าตนนั้นเกิดอยู่ในตระกูลอื่นที่มีความเชื่อเป็นแบบอื่น ตนนั้นคิดต่างไปจากสิ่งที่ตนเชื่ออยู่ ว่าเป็นวิถีทางที่ถูกต้องในเวลานี้
พระศาสดาบาฮาอุลลาห์ทรงสอนว่าความจริงนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าพลเมืองโลกจะยุติการเอาอย่างพ่อแม่ของเขาแล้วแสวงหาความจริงด้วยตัวของเขาเอง พวกเขาก็จะไปถึงที่หมายเดียวกันและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนที่ไม่เหมือนกันก็เหมือนกับเด็กๆ ?ที่อาศัยอยู่คนละบ้าน และมองไปยังดวงอาทิตย์โดยผ่านทางหน้าต่าง กระจกสี แต่เนื่องจากสีของบานกระจกหน้าต่างของแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน เด็กคนหนึ่งกำลังมองดูดวงอาทิตย์โดยผ่านกระจกสีเขียวแล้วคิดว่าสีของดวงอาทิตย์ก็คือสีเขียว ในขณะที่เด็กอีกคนหนึ่งกำลังมองผ่านกระจกสีฟ้าแล้วคิดว่าดวงอาทิตย์มีสีฟ้า ส่วนเด็กคนที่สามก็เชื่อว่า ดวงอาทิตย์นั้นมีสีแดง ก็เพราะว่าบานกระจกหน้าต่างของเขาเป็นสีแดง เด็กๆ เหล่านี้อาจจะทะเลาะกันเรื่องสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งความเชื่อของแต่ละคนก็คือสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นสีที่ถูกต้อง แต่ถ้าหากเด็กๆ เหล่านั้นหยุดมองดูดวงอาทิตย์ผ่านบานกระจกหน้าต่างอันน้อยนิดของเขาแล้วก้าวออกไปยังกลางแจ้งพวกเขาทุกคนก็จะเห็นสีของดวงอาทิตย์ที่ถูกต้อง และไม่มีอะไรที่จะทะเลาะวิวาทกัน
พระศาสดาบาฮาอุลลาห์กำลังร้องเรียกบุตรหลานมนุษย์ให้ก้าวเดินออกจากบ้านซึ่งพวกเขาได้รับสืบเนื่องจากบรรพบุรุษของเขา แล้วหยุดมองดูดวงอาทิตย์ผ่านทางบานกระจกสีหน้าต่าง เพราะว่าดวงอาทิตย์ที่พวกเขากำลังมองดูอยู่นั้นคือดวงอาทิตย์ดวงเดียวกัน และถ้าเราขจัดกระจกสีออกจากเบื้องหน้าดวงตาของเราแล้ว เราทุกคนก็จะเห็นดวงอาทิตย์อยู่ในสีอันแท้จริงของมัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้เราคิดในสิ่งที่เราเชื่อ แทนที่จะคล้อยตามความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ซึ่งบรรพบุรุษของเราได้เชื่อกันมาเป็นเวลาหลายชั่วคน ถ้าเราทุกคนแสวงหาความจริงด้วยตนเอง เราก็จะเห็นความจริงนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความจริงสามารถนำเราให้อยู่ร่วมกันได้ และทำให้เราละทิ้งความแตกต่างในอดีตนั้นเสีย
พระอับดุลบาฮา กล่าวว่า
?ศาสนาต่างๆ ของพระศาสนทูตศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นความจริงเดียวกัน แม้ว่าจะมีชื่อที่ต่างกัน มนุษย์จะต้องเป็นผู้ที่รักแสงสว่าง ไม่ว่าแสงนั้นจะมาจากช่วงไหนของวัน เขาจะเป็นผู้ที่รักดอกกุหลาบไม่ว่าต้นกุหลาบนั้นจะปลูกที่ดินแดนใดก็ตาม เขาจะต้องเป็นผู้ที่แสวงหาความจริงไม่ว่าความจริงนั้นจะมีแหล่งมาจากที่ใดก็ตาม การผูกมัดอยู่กับตะเกียงมิได้หมายความว่าเป็นการรักแสงสว่าง การอยู่ติดกับพื้นมิได้หมายความว่าเป็นความเหมาะสม แต่ความสดชื่นของดอกกุหลาบนั้นได้รับมาจากดินที่อุดมสมบูรณ์ การเอาใจใส่ต่อต้นไม้นั้นไม่ไร้ประโยชน์ แต่การได้รับผลไม้นั้นคือประโยชน์ที่ได้รับ ผลไม้ที่มีรสหวานไม่ว่าจะนำไปปลูกที่ใดก็ตาม ผลไม้เหล่านั้นก็ต้องเป็นที่ชื่นชอบ วาจาสัตย์ไม่ว่าจะกล่าวออกมาจากลิ้นใดก็จะต้องเป็นที่ยอมรับเห็นด้วย การพิสูจน์ทดสอบที่เสร็จสมบูรณ์ไม่ว่าในหนังสือเล่มใดก็ตาม ก็ต้องให้การยอมรับลงบันทึกไว้ ถ้าหากว่าเรามีอคติแล้วก็จะเป็นสาเหตุของการไม่ยอมรับและการไม่เอาใจใส่ ละเลย สงครามศาสนา สงครามระหว่างชาติต่างๆ และสงครามระหว่างเชื่อชาติเกิดขึ้นจากความไม่เข้าใจกัน ถ้าหากเราศึกษาศาสนาต่างๆ จะพบว่าหลักธรรมต่างๆ ของศาสนานั้นมีพื้นฐานเดียวกัน ไม่แตกแยกกัน จากความหมายนี้เอง ผู้ก่อตั้งศาสนาในโลกจะไปถึงจุดแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน?
ณ สถานที่อื่นๆ พระอับดุลบาฮาตรัสว่า
โอ มนุษย์ได้ถลำสู่การเอาอย่างเลียนแบบ และความไม่เป็นจริงทั้งหลาย แม้กระนั้นก็ตาม ความสัจจริงของศาสนาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ความงมงายต่างๆ เข้าครอบคลุมความจริงแต่เดิม โลกนี้จึงมืดมน แสงสว่างจึงไม่ปรากฏ ความมืดมนนี้จึงนำไปสู่ความแตกต่าง และการแตกแยกไม่เห็นด้วยพิธีต่างๆ ในศาสนาและการวางหลักเกณฑ์อย่างไม่มีเหตุผลก็มีมากขึ้น หลายอย่าง ดังนั้นความขัดแย้งจึงได้เกิดขึ้นในระบบทางศาสนา ด้วยเหตุที่ศาสนาเป็นที่รวมของมนุษยชาติ ศาสนาที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็นบ่อเกิดแห่งความรักและจะต้องเป็นที่ยอมรับกันของมนุษย์ เนื่องจากความเจริญก้าวหน้าด้านคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญ แต่ผู้คนยังยึดอยู่กันสิ่งจอมปลอม และการเลียนแบบเอาอย่าง ละเลยไม่สนใจกับความเป็นจริงซึ่งได้มีการรวบรวมไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงหมดหวัง และไม่ได้รับรัศมีแห่งศาสนา พวกเขาปฏิบัติตามสิ่งที่ได้รับตกทอดอย่างงมงายจากพ่อแม่ และบรรพบุรุษของเขา การแพร่ขยายเช่นนั้นจึงได้ทำต่อกันมาจนกระทั้งพวกเขาไกลออกจากแสงสัจธรรมและนั่งจมอยู่กับการเลียนแบบเอาอย่างและคิดอย่างมืดมน นั่นก็หมายความว่าเป็นการนำชีวิตนั้นไปสู่ความตาย ซึ่งนั้นควรจะเป็นเครื่องแสดงแห่งความรู้ที่ใช้พิสูจน์ถึงความโง่เขลานั่นจะเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่มีอยู่ในความประเสริฐแห่งธรรมชาติของมนุษย์ที่พิสูจน์ได้ด้วยความเสื่อมทรามของมันเอง ดังนั้นยุคสมัยของผู้ก่อตั้งศาสนาจึงได้สั้นลง ค่อยๆ มืดมน อิทธิพลของวัตถุนิยมได้แผ่ขยายและรุดหน้าออกไป เนื่องจากผู้ก่อตั้งศาสนาได้ยึดเลียนแบบและสิ่งจอมปลอม การละเลยไม่สนใจรวมทั้งการไม่ปฏิบัติต่อความศักดิ์สิทธิ์และไม่เคารพต่อความจริงของศาสนา เมื่อดวงอาทิตย์ตกก็เป็นเวลาที่พวกค้างคาวบินออกมามันบินออกมาเพราะมันเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน เมื่อแสงสว่างแห่งศาสนามืดมน พวกวัตถุนิยมก็เกิดขึ้น พวกวัตถุนิยมคือค้างคาวยามค่ำคืน ความเสื่อมทางศาสนาเป็นเวลาที่พวกมันเคลื่อไหว มันคอยจ้องหาเงามืดในตอนที่โลกตกอยู่ในความมืด และเมฆได้แผ่ปกคลุมไปทั่วโลก
?น่ามหัศจรรย์ ที่พระศาสดาบาฮาอุลลาห์ได้ทรงกำเนิดขึ้นจากขอบฟ้าตะวันออก พระองค์ได้เสด็จมายังโลกเหมือนกับการมาของรัศมีของดวงอาทิตย์ พระองค์ได้เสด็จมายังโลกเหมือนกับการมาของรัสมีดวงอาทิตย์ พระองค์ได้ทรงสะท้อนเอาความจริงแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ปัดเป่าความมืดมนของการเลียนแบบนั้นออกไป แล้วทรงวางรากฐานคำสอนใหม่ๆ รวมทั้งทางชุบโลกใหม่อีกด้วย
คำสอนข้อแรกของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ คือ การศึกษาค้นคว้าหาความจริง มนุษย์จะต้องแสวงหาความจริงด้วยตนเอง ละทิ้งการเลียนแบบและการยึดตามแบบแผนที่ได้รับถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ เนื่องจากชาติต่างๆ ในโลกกำลังทำตามแบบอย่างเดิมแทนที่จะทำตามความเป็นจริง และเป็นเพราะว่าการเลียนแบบอย่างเหล่านั้นมีมากมายหลายอย่าง อันความเชื่อที่ไม่เหมือนกันนั้นเองจึงก่อให้เกิดการขัดแย้งถกเถียงกันรวมทั้งการทำสงครามกันด้วย ตราบใดที่การเลียนแบบอย่างเหล่านี้ยังมีอยู่ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์โลกก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องค้นคว้าหาความจริงเพื่อที่ว่าแสงแห่งความจริงนี้จะพัดพาเอาเมฆและความมืดมนออกไป ความจริงนั้นย่อมเป็นความจริงเดียวเท่านั้น ความจริงไม่ยอมให้มีเป็นหลายอย่างและไม่มีการแบ่งแยก ถ้าชาติต่างๆ ในโลกค้นคว้าหาความจริง ชาติต่างๆ ก็จะยอมรับเห็นด้วยและจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประชาชนและลัทธิต่างๆ มากมายได้แสวงหาความจริงโดยผ่านการนำทางและคำสอนต่างๆ ของพระบาฮาอุลลาห์ เขาเหล่านั้นสามัคคีปรองดองกันและปัจจุบันนี้ก็อาศัยอยู่ในลักษณะที่ยอมรับและรักกัน ในหมู่พวกเขาจะไม่มีแม้ร่อยรอยของการเป็นศัตรูกันและการถกเถียงกันต่อไปอีกแล้ว
ภาษาสากล
อีกข้อหนึ่งของความไม่เข้าใจกันในโลกนี้ คือ ประชาชนไม่เข้าใจภาษาซึ่งกันและกัน ทุกประเทศมีภาษาที่ต่างกันไป และเมื่อคนใดคนหนึ่งเดินทางออกนอกประเทศของตนเพื่อที่จะไปอีกส่วนหนึ่งของโลก เขาก็จะรู้สึกว่าเขาไปอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า
พระศาสดาบาฮาอุลลาห์เสด็จมาเพื่อความสามัคคีของมนุษย์โลกทุกคน และพระองค์จะทรงทำให้มนุษย์เหล่านั้นเป็นเสมือนสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน พระบัญญัติข้อหนึ่งของพระองค์ คือ จะให้มีการเรียนรู้ภาษาสากลในทุกๆ ส่วนในโลกเพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้ภาษานั้นนอกเหนือไปจากภาษาประจำชาติของตน ด้วยวิธีการนี้ประชาชนจะเกิดความรู้สึกว่าอยู่ในบ้านเกิดของตนไม่ว่าเขาจะไปที่ใดก็ตาม เพราะว่าเขาทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกัน
ความแตกต่างในเรื่องของภาษาบางครั้งก็เป็นเหตุให้เกิดความไม่เข้าใจกัน ซึ่งอาจจะนำไปสู่การขัดแย้งเรื่องต่างๆ ที่อันตราย ยกตัวอย่างเช่น พระนามของพระผู้สร้างโลกของเราในภาษาฮินดีเรียกว่า พระอิศวร ในภาษาอาหรับเรียกว่า อัลลาห์ และภาษาอังกฤษเรียกว่า ก๊อด ประชาชนที่ไม่รู้ก็คิดว่าก๊อดนั้นไม่เหมือนกับพระอิศวรและไม่เหมือนกับพระอัลลาห์ จึงได้ทะเลาะกันเกี่ยวกับชื่อที่ไม่เหมือนกันเหล่านั้น แต่เมื่อประชาชนทุกคนสามารถพูดภาษาสากลได้แล้ว เขาก็จะตระหนักในความจริงนั้นคือพระผู้ทรงสร้างโลกองค์เดียวกันนั้นเองที่เขาทุกคนกำลังอ้างถึงกันอยู่ นี้ก็หมายความว่าภาษาสากลนั้นจะช่วยขจัดความเข้าใจผิดในหลายสิ่งหลายอย่างระหว่างเขาได้
บาไฮศาสนิกชนได้แปลสาส์นของพระบาฮาอุลลาห์เป็นภาษาต่างๆ กว่า 600 ภาษาในโลก เพราะว่าประชาชนไม่รู้ภาษาสากล แต่เมื่อได้มีการนำเอาภาษาสากลมาใช้ในโลกก็จะเป็นการง่ายยิ่งขึ้นที่จะแพร่คำสอนของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ไปยังประชาชนต่างๆ แล้วทุกคนก็จะอ่านธรรมนิพนธ์ศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระศาสนทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้าได้ด้วยภาษานั้นๆ
ความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรี
ถ้าหากว่าคุณได้ตัดเอาขนออกจากปีกข้างหนึ่งของนกพิราบ นกพิราบก็จะบินไม่ได้แม้ว่าปีกอีกข้างหนึ่งจะแข็งแรงเพียงใดก็ตาม นั่นก็เป็นเพราะว่านกนั้นจำเป็นต้องใช้ปีกทั้งสองในการบินนั่นเอง
พระบาฮาอุลลาห์ ตรัสว่า
?มนุษยชาติก็เช่นเดียวกับนกที่มีปีก 2 ข้าง ข้างหนึ่งเป็นชาย อีกข้างหนึ่งเป็นหญิง หากว่าปีกทั้งสองไม่แข็งแรงแล้วและยังถูกดันจากแรงกำลังอื่นๆ นกนั้นก็จะบินสู่อากาศไม่ได้?
พระองค์ได้ตรัสอีกว่า
?พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างสัตว์โลกไว้เป็นคู่ๆ มนุษย์สัตว์หรือแม้กระทั่งพืชผัก ทุกสิ่งทุกอย่างใน 3 อาณาจักรจะต้องมีสองเพศ และมีความเสมอภาคระหว่างสองเพศนี้ด้วย?
?ในโลกแห่งพืชมีพืชเมียและพืชผู้ ทั้ง 2 เพศมีสิทธิเท่าเทียมกัน และได้รับส่วนของความสวยงามในตระกูลของมันอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าจริงๆ แล้วต้นไม้ที่ให้ผลนั้นดีกว่าต้นไม้ที่ไร้ผลก็ตาม?
ในอาณาจักรสัตว์เราจะเห็นว่าสัตว์เพศผู้กับสัตว์เพศเมียนั้นมีสิทธิต่างๆ เท่ากัน ทั้ง 2 เพศต่างได้รับผลประโยชน์ระหว่างกัน?
?ปัจจุบันนี้ในลักษณธรรมชาติของสองอาณาจักรที่ต่ำต้อยนี้ เราได้เห็นแล้วว่าไม่มีปัญหาในเรื่องความเหลื่อมล้ำกว่ากันระหว่าเพศทั้ง 2 ว่าเพศไหนสูงกว่ากัน ในโลกมนุษย์เราได้เห็นความแตกต่างอย่างมากมาย เพศหญิงจะถูกปฏิบัติในลักษณะที่ต่ำกว่า รวมทั้งไม่ได้รับสิทธิอันถูกต้อง และสิทธิพิเศษที่เสมอภาค สภาพเช่นนี้ไม่เป็นตามธรรมชาติ แต่เป็นไปเพราะได้รับการศึกษานั่นเอง ในการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้านั้น ไม่มีการแบ่งลักษณะที่ต่ำกว่า รวมทั้งไม่ได้รับสิทธิอันถูกต้อง และสิทธิพิเศษที่เสมอภาค สภาพเช่นนี้ไม่เป็นตามธรรมชาติ แต่เป็นไปเพราะการได้รับการศึกษานั่นเอง ในการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการแบ่งลักษณะไว้เช่นกันนั้นไม่มีเพศใดดีว่าเพศใดในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า?
พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างเราทุกคนให้เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกันเลยไม่ว่าเราจะเป็นชายหรือหญิงในสายพระเนตรของพระองค์ ทรงเป็นพ่อแม่ที่รักลูกชายและลูกสาวเท่าเทียมกัน
พระอับดุลบาฮาได้ตรัสว่าทั้งบุรุษและสตรีเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ และในการประมาณค่าของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสองเพศนั้นเสมอภาคกัน เพราะว่าแต่ละเพศนั้นเป็นส่วนประกอบของอีกเพศหนึ่ง ในการออกแบบสร้างสรรค์ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า ความแตกต่างระหว่างสองเพศนี้มีอยู่เพียงข้อเดียวคือความบริสุทธิ์ และความชอบธรรมของการกระทำ และการแสดงออกของเขา นั้นหมายความว่าใครก็ตามที่เอนเอียงไปใกล้พระผู้เป็นเจ้า เขาผู้นั้นจะอยู่ในรูปเงาแห่งจิตวิญญาณและความประสงค์เดิมของพระผู้สร้างโลก
ในเมื่อพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงยื่นให้แก่ชายและหญิงเหมือนกันแล้ว เราก็ไม่ควรสร้างความแตกต่างขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง หน้าที่ต่างๆ ของบุรุษในสังคมอาจจะแตกต่างไปจากหน้าที่ของสตรี แต่ว่าสิทธิอันถูกต้อง และสิทธิพิเศษต่างๆ ก็ต้องเสมอภาคกัน เราไม่ควรคิดว่าความสามารถพิเศษของสตรีนั้นมีน้อยกว่าบุรุษ ในอดีตสตรีไม่ได้รับการศึกษาและโอกาสที่เหมือนกับบุรุษ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้สตรีไม่สามารถที่จะพัฒนาฐานะความสามารถที่แตกต่างของเขาได้
เมื่อบาไฮศาสนิกชนมีการเลือกตั้งธรรมสภาทุกๆ ปี สมาชิกที่เขาเลือกจะต้องเป็นผู้ที่มีความจริงใจและมีความสามารถ ไม่มีข้อแตกต่างไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย เราควรจำไว้อยู่เสมอว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมองไปที่จิตใจและลักษณะนิสัยของบุคคล ไม่ใช่ทรงมองเรื่องเพศ
พระอับดุลบาไฮ กล่าวว่า
?ใครก็ตามที่คิดบริสุทธิ์ ได้รับการศึกษาเยี่ยม รอบรู้ในวิทยาการสูง มีการกระทำที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ผิวขาวหรือสีอื่นๆ ก็จะได้รับสิทธิ์อย่างเต็มที่ รวมทั้งเป็นที่รู้จักกันจะไม่มีความแตกต่างกันเลย
การศึกษาทั่วไป (สากล)
คำสอนข้อหนึ่งของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ คือ เด็กทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชายจะต้องได้รับการศึกษา ถ้าหากพ่อแม่ละเลยไม่ให้การศึกษาแก่บุตรของตน พ่อแม่เหล่านั้นจะต้องยอมรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้า นี้เป็นคำบัญชาของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์
เป็นสิ่งที่ยอมรับกันว่า พ่อแม่ทุกคนจะต้องให้การศึกษาแก่บุตรชายและบุตรสาว เพื่อให้รู้จักเรียนรู้และขีดเขียน พ่อแม่คนใดที่ละเลยไม่ใส่ใจต่อคำบัญชานี้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนร่ำรวยก็ตาม ก็จะเป็นหน้าที่ของกรรมการที่จัดการเกี่ยวกับโรงเรียนของสภายุติธรรมสากลไปเรียกเอาค่าเล่าเรียนของเด็กๆ เหล่านั้นจากพ่อแม่ผู้ร่ำรวยคนนั้น อีกประการหนึ่งถ้าพ่อแม่ไม่สามารถจัดการศึกษาแก่บุตรของตนได้แล้ว ก็จะตกเป็นภาระแก่สภายุติธรรมแห่งสากล แท้จริงแล้วเราได้ทำให้สภายุติธรรมแห่งสากลเป็นร่มโพธิ์แก่คนยากจนและขาดแคลน
?พ่อแม่คนใดให้การศึกษาแก่บุตรของตน หรือเด็กคนอื่นๆ ก็ตาม เหมือนกับว่าเขาผู้นั้นได้ให้การศึกษาแก่บุตรของเรา?
ดังนั้นการให้การศึกษาแก่เด็กจึงเป็นหลักเกณฑ์ข้อบังคับสำหรับบาไฮศาสนิกชนทุกคน หากพ่อแม่สามารถให้การศึกษาแก่บุตรของตนได้แต่กลับละเลยไม่ใส่ใจให้การศึกษา ธรรมสภาบาไฮก็จะบังคับพ่อแม่เหล่านั้นให้จัดการให้การศึกษาแก่บุตรเหล่านั้น แต่ถ้าหากพ่อแม่ยากจน ธรรมสภาบาไฮก็จะต้องจัดการศึกษาให้แก่เด็กๆ ด้วยเงินกองทุนของชุมชนนั้นๆ
จากพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นที่เห็นได้ชัดว่าการให้การศึกษาแก่เด็กถือเป็นงานที่ควรแก่การเคารพบูชา พระองค์ตรัสว่า
?ผู้ใดที่ให้การศึกษาแก่บุตรของตน หรือเด็กคนอื่นๆ ก็ตาม ก็เหมือนกับว่าเขาผู้นั้นได้ให้การศึกษาแก่บุตรของเรา?
ไม่ใช่สิทธิหรือเกียรติอันยิ่งใหญ่ของเราหรือที่ให้การศึกษาแก่บุตรของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ เราจะได้รับเกียรติอันนี้ถ้าหากว่าเราให้การศึกษาแก่บุตรของเราเองทั้งบุตรของผู้อื่นด้วย
เราจะไม่พูดว่า เราต้องการให้บุตรเล็กๆ ของเราช่วยทำงานที่บ้าน หรือช่วยจูงวัวควายออกไปกลางทุ่งนา เด็กๆ เหล่านั้นจึงไม่มีเวลาไปโรงเรียน เราจะต้องจำไว้เสมอว่าการดูแลวัวควายหรือการทำงานกลางทุ่งนั้นไม่ใช่เป็นคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า แต่การให้การศึกษาแก่เด็กต่างหากที่เป็นคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากเราไม่เชื่อฟังต่อคำบัญชานี้ เราจะยอมรับผิดชอบ ทำนองเดียวกันเราจะไม่พูดว่า บุตรของเรานั้นเป็นหญิง เด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องศึกษาเล่าเรียนแต่อย่างไร พระอับดุลบาฮาได้ตรัสว่าแม้ว่าจะมีความเสมอภาคระหว่างสิทธิของหญิงและชายเท่ากันก็ตาม แต่ในกรณีการให้การศึกษาแล้ว ถ้าหากว่าจะให้ความสำคัญแล้ว จะต้องให้แก่เด็กหญิง เพราะว่าเด็กหญิงจะกลายเป็นมารดาในภายภาคหน้าและมารดาที่มีการศึกษาก็จะเลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่า
การศึกษาตามคำสอนของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ มิได้หมายถึงการเรียนรู้ให้อ่านออกเขียนได้เท่านั้น แต่เด็กๆ จะต้องได้รับการศึกษาฝึกฝนเพื่อที่เด็กๆ เหล่านั้นสามารถให้การรับใช้มนุษยชาติ ปัจจุบันเด็กๆ ที่อาศัยอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก กำลังได้รับการสั่งสอนให้มีความรักต่อประเทศชาติของตนเท่านั้น และบางครั้งได้มีการปลูกฝัง ให้มีความเกลียดชังต่อชาติอื่นๆ ในจิตใจของเด็กเหล่านั้น เด็กๆ ได้รับการสั่งสอนให้มีความภูมิใจที่ได้เป็นชาวเยอรมัน ชาวอาหรับ และชาวจีน และทำให้เกิดความเชื่อว่าเชื้อชาติของเขา ศาสนาของเขาหรือแม้กระทั่งชั้นวรรณพิเศษของเขา ว่าดีที่สุดในโลก ศาสนาบาไฮกล่าวว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้อง จุดมุ่งหมายของการศึกษานั้น คือ การสอนให้เด็กชายและเด็กหญิงมีความเชื่อว่าโลกนี้เป็นประเทศเดียว และมนุษยชาติ คือประชากรโลกและจะต้องให้ความรักและการรับใช้เพื่อที่จะให้โลกทั้งโลกดีขึ้น หากพลเมืองใดนำเอาวิธีการ ศึกษาอันนี้ไปใช้แล้วจะใช้เวลาเพียงชั่วอายุคนในการสร้างความสามัคคีแก่มนุษยชาติทุกคนได้
พระศาสดาบาฮาอุลลาห์ ยังตรัสอีกด้วยว่า
โรงเรียนต่างๆ จะต้องอบรมสั่งสอนเด็กๆ ในเรื่องหลักธรรมต่างๆ ของศาสนาเป็นเบื้องต้น ดังที่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่ว่าพระผู้มาตามคำสัญญา และพระผู้รับใช้อาจจะช่วยปกป้องเด็กเหล่านั้นจากข้อห้ามและประดับประดาเด็กเหล่านั้นด้วยอาภรณ์แห่งพระบัญญัติแต่นี้ก็เป็นเพียงเครื่องวัดที่ว่าไม่เป็นการทำร้ายเด็กๆ ด้วยการสร้าง ความคลั่งไคล้และความดันทุรังอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
นี้หมายความว่า คุณค่าแห่งศีลธรรมที่สอนโดยองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า จะต้องเป็นพื้นฐานเบื้องต้นแก่การศึกษาทุกๆ ระบบ เพียงแต่การได้รับการสอนทางศีลธรรมสามารถทำให้คนมีความสุขในชีวิตยิ่งขึ้น เพราะว่าผู้คนจะได้เรียนรู้ในการดำเนินชีวิตอยู่โดยไม่มีอคติต่อเพื่อนมนุษย์และชีวิตจะเต็มไปด้วยความหวังและเชื่อมั่นในอนาคต
การศึกษาจะต้องทำให้เราหลุดพ้นจากความเชื่ออันงมงายรวมทั้งความมีอคติต่างๆ และยังหลุดพ้นจากการยึดอยู่กับวัตถุนิยม พระบาฮาอุลลาห์ ตรัสว่า
ในคำสอนของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ คือ อิสรภาพของมนุษย์ ด้วยอำนาจอันล้ำเลิศเขาจะเป็นอิสระและหลุดพ้นจากการผูกพันกับธรรมชาติทางโลก ตราบใดที่มนุษย์ยังผูกพันกับธรรมชาติ มนุษย์ก็จะเป็นสัตว์ที่ดุร้าย ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย ของธรรมชาติโลก การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดนี้จึงเป็นบ่อเกิดของความหายนะอย่างใหญ่หลวงและเป็นความทุกข์ยากยิ่ง
บาไฮศาสนิกชนไม่ควรจะกีดกันบุตรหลานของตนจากการศึกษาหาความจริง ตามคำสอนของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์
ความรู้เหมือนกับปีกทั้งสองสำหรับมนุษย์ และเหมือนกับเป็นบันไดสำหรับในการที่จะศึกษาหาความรู้จึงเป็นหน้าที่ของทุกคน แต่เนื่องจากวิทยาการต่างๆ เหล่านี้ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์โลก แต่วิทยาการต่างๆ นี้ก็มิได้เป็นการเริ่มต้นในคำต่างๆ และมิได้เป็นการสิ้นสุดในคำต่างๆ เช่นกัน นักวิทยาศาสตร์ เป็นผู้ที่มีสิทธิ์มากกว่าพลเมืองคนอื่นๆ ในโลก ที่จริงแล้ว ทรัพย์สมบัติที่แท้จริงของมนุษย์คือความรู้นั่นเอง ความรู้จะนำไปสู่เกียรติยศความมั่งคั่ง ความสุข ความยินดี ความโชคดี และความหรรษา
ศาสนาและวิทยาศาสตร์จะต้องดำเนินสอดคล้องกัน
พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานกำลังความคิดแก่เราเพื่อเราจะได้ต่างไปจากสัตว์ เพราะว่ามนุษย์สามารถใช้ความคิดของเขา มนุษย์สามารถที่จะสร้างความเจริญมาตั้งแต่สมัยอดีต และปัจจุบันนี้ได้ดำรงชีวิตแตกต่างไปจากที่เขาเคยเป็นอยู่เมื่อหลายพันปีมาแล้ว มีผู้ค้นพบและนักประดิษฐ์ หลายท่านที่ได้ทำไว้ เพื่อมนุษย์จะได้อาศัยอยู่ในบ้านที่ดีกว่าต่อสู้กับเชื้อโรคและความไม่รู้ แต่ความเจริญทางวัตถุนั้นให้ประโยชน์แก่เราเพียงน้อยนิด ถ้าหากว่าเราไม่มีความเจริญทางด้านจิตใจ พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานศาสนาให้แก่เรา เพื่อที่จะช่วยให้เรามีความเจริญด้านจิตใจมีวิทยาศาสตร์โดยไม่มีศาสนาก็จะสามารถก่ออันตรายได้อย่างมากมาย แต่ถ้าหากมีศาสนาโดยไม่มีวิทยาศาสตร์ก็จะประสบปัญหายุ่งยากเช่นกัน ความเจริญที่แท้จริงของมนุษย์นั้นจำเป็นต้องมีทั้งสองอย่าง ทั้งวิทยาศาสตร์และศาสนาจะต้องเจริญควบคู่กันไป
ด้านวิทยาศาสตร์คอยจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ให้แก่เรา ด้านศาสนาจะบอกให้เรารู้จักวิธีการใช้เครื่องมือเหล่านั้น เช่น ขวาน หรือเคียว เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากถ้าหากว่าเราใช้มันได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าหากฆาตกรได้ถือขวานหรือเคียวซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์เช่นกัน ก็จะกลายเป็นอาวุธที่มีอันตราย ความยุ่งยากก็จะเกิดขึ้นในโลก ปัจจุบันก็คือทางวิทยาศาสตร์ ได้จัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ให้แก่ประชาชนผู้ซึ่งใช้เครื่องมือเหล่านั้นเป็นอาวุธ เพราะว่าคนเหล่านั้นไม่มีศาสนาที่จะสอนให้เขารู้จักใช้เครื่องใช้เหล่านั้นให้ดีที่สุด อีกประการหนึ่งถ้าหากเราละทิ้งวิทยาศาสตร์แล้วหยุดใช้ความคิดและเหตุผล ศาสนาก็จะไม่มีความหมายอะไร ก็จะก่อให้เกิดความเขลา ความเชื่อที่งมงายและอัตรายแก่มนุษย์โลก
ในอดีตประชาชนคิดว่าศาสนาและวิทยาศาสตร์ไม่สามารถที่จะดำเนินไปด้วยกันได้ แต่พระศาสดาบาฮาอุลลาห์ ทรงสอนไว้ว่า ศาสนาที่แท้จริงจะต้องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง พระองค์ตรัสแก่เราว่า จิตใจและความคิดของเราสามารถที่จะยอมความจริงเดียวกันได้
เราจะสรุปบทนี้ด้วยการยกพระวจนะจากการกล่าวของพระอับดุลบาฮา
?พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างศาสนาและวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเครื่องวัดความเข้าใจของเรา จงจำไว้ว่าอย่า ได้ละเลยต่ออำนาจมหัศจรรย์นี้ ขอจงชั่งน้ำหนักสิ่งทั้งหลายให้อยู่ในดุลยภาพ?
?ให้เอาความเชื่อต่างๆ ของเจ้าไปกลมกลืนกับทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีอะไรที่จะค้านกันได้ เพราะว่าความจริงจะต้องเป็นหนึ่ง ความหลุดพ้นจากความเชื่องมงาย ประเพณีต่างๆ รวมทั้งการพูดอย่างไร้เหตุผล เมื่อศาสนาได้แสดงให้เห็นความลงรอยกับวิทยาศาสตร์แล้ว ก็จะมีการรวมตัวและรวมพลังกันอย่างมหาศาลอย่างแท้จริงในโลก ซึ่งจะกวาดล้างเอาสงครามการขัดแย้งกัน ความบาดหมางรวมทั้งการต่อสู้กันให้หมดไป และแล้วมนุษย์ชาติจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภายใต้อานุภาพแห่งความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ความร่ำรวยและความยากจนที่เกินขอบเขตจะต้องสิ้นสุดลง
พระบาฮาอุลลาห์ตรัสแก่เราว่า พระองค์ทรงโปรดความยุติธรรมมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก
โอ บุตรแห่งธรรมะ
?ในสายตาของเรา บรรดาสิ่งทั้งหลาย สิ่งที่รักมากที่สุด คือความยุติธรรม อย่าได้หันหน้าหนี หากเจ้ายังปรารถนาเรา?
พระอับดุลบาฮาตรัสว่า
?ข้อหนึ่งในหลักธรรมสำคัญๆ ของคำสอนขของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ คือ สิทธิของมนุษย์ทุกคนที่จะดำเนินชีวิตประจำวันของเขาด้วยการที่ให้เขามีชีวิตอยู่ได้หรือด้วยความเสมอภาคแห่งวิถีทางการทำมาหากิน?
?การจัดการสภาพของประชาชนจะต้องทำให้ความยากจนหมดสิ้นไปตามฐานะตำแหน่งของเขา เพื่อที่ว่าทุกคนจะมีส่วนได้รับในความสะดวกและความผาสุก?
?เราลองมองดูกลุ่มของเราซิว่าผู้ที่มั่งคั่งเกินไปกลุ่มหนึ่ง กับอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่อดอยากไม่มีอะไรเลย คนเหล่านี้ใครที่จะได้เป็นเจ้าของสถานที่อันหรูหราสวยงาม และในคนเหล่านี้ใครบ้างที่ไม่มีแม้ที่จะซุกหัวนอน เราเห็นบางคนกินอาหารดีดีราคาแพงๆ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะหาเปลือกขนมปังพอที่จะให้เขาประทังชีวิตก็ยังยาก ในขณะที่บางคนนุ่งห่มด้วยผ้ากำมะหยี่ ผ้าขนสัตว์ และผ้าฝ้ายลินินอันสวยงามแต่บางคนมีเพียงเสื้อผ้าบางๆ ผ้าไม่ดี และขาดๆ เพื่อที่จะปกป้องเขาจากความหนาวเท่านั้น?
?แน่นอนกลุ่มที่เป็นอยู่อย่างมั่งคั่งมหาศาล กับกลุ่มที่ยากจนอย่างน่าสงสาร จำเป็นที่จะต้องมีองค์กรใดองค์กรหนึ่งที่คอยควบคุมแก้ไขสภาพการณ์เช่นนี้ให้ดีขึ้น จำเป็นที่จะจำกัดผู้คนร่ำรวย และในเวลาเดียวกันจะต้องจำกัดคนยากจนด้วยทั้งความร่ำรวยและความยากจนที่เกินไปไม่ใช่สิ่งดี
เมื่อใดที่เราเห็นความยากจนได้เข้าสู่สภาพของความอดอยากแล้ว ก็จะเป็นเครื่องแสดงให้เราเห็นว่าที่นั่นมีการกดขี่มนุษย์จะต้องรีบลุกขึ้นจัดการเรื่องนี้ และในไม่ช้าสภาพต่างๆ ที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำเอาความทุกข์ยากของคนยากจนที่ถูกกดขี่ ไปสู่ประชาชนจำนวนมาก
มีหลักเกณฑ์และคำสอนที่มหัศจรรย์หลายข้อในศาสนาบาไฮ สำหรับการสร้างสรรค์สังคมที่เสมอภาคที่ซึ่งจะไม่มีความมั่งคั่งและความยากจนที่เกินไป หลายๆ หลักเกณฑ์เหล่านี้จะต้องนำไปให้รัฐบาลต่างๆ ในโลกได้ปฏิบัติ แต่การแก้ปัญหาขั้นพื้นฐานแห่งปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล บาไฮศาสนิกชนได้รับการส่งเสริมในการที่จะพยายามสร้างความเจริญทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจ แต่บาไฮศาสนิกชนก็ไม่ควรลืมพระวจนะของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์เหล่านี้
?แก่นสารแห่งความมั่งคั่งคือความรักที่มีต่อเรา ใครก็ตามที่รักเรา คือผู้ที่ครอบครองในทุกสิ่ง และใครที่จะรักเราจะไม่ยากจนและขัดสน?
?ความมั่งคั่งที่แท้จริงของบาไฮศาสนิกชน คือ ความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในจิตใจของเขา เมื่อใดที่เขาได้เป็นเจ้าของสมบัติอันมหาศาลนี้แล้วซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถเอาไปจากเขาได้ ความร่ำรวยทางวัตถุก็จะเป็นสิ่งที่ไม่มีค่ามากมายในสายตาของเขา และความยากจนภายนอกจะไม่เป็นเหตุแห่งความไม่สบายใจของเขา?
พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?อย่าได้ยุ่งยากในความยากจน และอย่าได้มั่นใจในความร่ำรวย เพราะว่าความยากจนจะตามมาด้วยความร่ำรวย และความร่ำรวยจะตามมาด้วยความยากจน?
สักวันหนึ่งจิตใจของเขาจะหลุดพ้นจากความร่ำรวยในโลกนี้ เมื่อนั้น จะเป็นการง่ายสำหรับเราที่จะแบ่ง ปันความมั่งคั่งของเรากับคนอื่นๆ ที่ยากจน และนี้คือสิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงหวังให้ศาสนิกชนของพระองค์กระทำกัน ในธรรมลิขิตข้อหนึ่งของพระบาฮาอุลลาห์ ที่เราได้อ่าน
?ในบรรดาคำสอนของพระศาสดาบาฮาอุลลาห์ คือการแบ่งปันทรัพย์สมบัติของตนร่วมกับผู้อื่นในกลุ่มมนุษยชาติอย่างสมัครใจ การแบ่งปันอย่างสมัครใจเช่นนี้ยิ่งใหญ่กว่าการเสียภาษีทางกฎหมายที่เสมอภาคกัน และบุคคลไม่ควรที่จะทำให้เกิดความพอใจแก่คนใดคนหนึ่ง แต่ควรเป็นการเสียสละเพื่อชีวิตของผู้อื่น และเป็นการสละทรัพย์สินเพื่อผู้อื่น แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ควรที่จะได้นำมาใช้ด้วยการบังคับ จนกระทั่งกลายเป็นหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งซึ่งทุกคนจำต้องปฏิบัติตามทุกคนควรจะเสียสละทรัพย์สมบัติเพื่อผู้อื่น แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ควรที่จะได้นำมาใช้ด้วยการบังคับ จนกระทั่งกลายเป็นหลักเกณฑ์ข้อหนึ่งซึ่งทุกคนจำต้องปฏิบัติตามทุกคน ควรเสียสละทรัพย์สมบัติ และชีวิตของตนเพื่อผู้อื่นอย่างสมัครใจ และช่วยเหลือคนยากจนด้วยความเต็มใจอย่างที่บาไฮศาสนิกชนได้กระทำกันที่ประเทศอิหร่าน
ไม่ว่าบุคคลจะยากจนเพียงใดก็ตาม เขาก็ยังคงพบเห็นคนอื่นๆ ที่ยากจนยิ่งกว่าเขาเสียอีก และเขาสามารถที่จะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ที่เขามีอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ พระบาฮาอุลลาห์ตรัสแก่คนร่ำรวยว่า
โอ ผู้มั่งคั่งในโลกทั้งหลาย
?คนยากจนในหมู่เจ้าคือผู้ที่อยู่ในความดูแลของเรา ขอจงปกป้องดูแลเขา และอย่าได้มุ่งแต่ความสะดวกสบายของเจ้าเอง?
พระองค์ทรงเตือนคนเหล่านั้นมิให้ลืมบุคคลผู้ยากจน เพราะว่าเขาจะได้รับการลงโทษถ้าหากเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว
?โอ บุตรแห่งธุลี
ให้บอกผู้ร่ำรวยถึงการโหยหายามค่ำคืนของผู้ยากจน มิฉะนั้นความไม่เอาใจใส่จะนำเขาไปสู่วิถีทางแห่งหายนะ และจะทำให้เขาไม่มีสิทธิในพฤกษาแห่งความมั่งคั่ง การให้และความกรุณาเป็นคุณสมบัติของเรา หากคุณสมบัตินี้มีอยู่ในตัวผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับการประดับด้วยคุณธรรมของเรา?
แม้ว่าผู้ร่ำรวยจะถูกเรียกร้องให้สละทรัพย์สินของเขาก็ตาม พระบาฮาอุลลาห์ทรงห้ามคนยากจนมิให้ขอทาน พระองค์ตรัสว่า คนยากจนจะต้องดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพของตนเอง ขอให้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกคนได้ถูกเรียกร้องให้ประกอบอาชีพของตนและเรียกมาในโลกนี้เพื่อให้ยึดมั่นต่อพระผู้เป็นเจ้า ในการแสวงหาสิ่งอื่นใดนอกเสียจากความงามในพระหัตถ์ของพระองค์ที่เป็นจุดหมายปลายทางของผู้รับใช้ทุกคนของพระองค์?
เราจะต้องไม่อิจฉาคนเหล่านั้น ผู้ที่มีเงินทองมากกว่าเรา เพราะว่าพระบาฮาอุลลาห์ตรัสไว้ว่า
?โอ บุตรแห่งพิภพ
จงรู้โดยถ่องแท้ด้วยว่า จิตใจที่ยังมีควาอิจฉาอยู่ จะมิมีวันไปสู่อาณาจักรนิรันดร ของเราได้ และจะมิได้สูดลมลายใจศักดิ์สิทธิ์อันหอมหวลจากอาณาจักรที่ควรแก่การเคารพบูชาของเรา
?โอ ผู้รับใช้ของเรา
?ขอจงชำระจิตใจจากความพยายาม และเข้าไปสู่พระราชฐานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ด้วยความบริสุทธิ์ปราศจากความอิจฉา
เราจะต้องรู้ว่าอันความมั่งคั่งนั้นมิได้เป็นคุณธรรมมันอาจจะกลายเป็นสิ่งเลวร้าย พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทดสอบมนุษย์ด้วยทองคำ และทองคำได้รับการทดสอบด้วยไฟ พระองค์ตรัสอีกว่า
?จงรู้ด้วยว่าความจริงแล้วความมั่งคั่ง คืออุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่คอยกั้นระหว่างผู้เสาะแสวงหาความปรารถนาของเขา ระหว่างคนรักและผู้อันเป็นที่รัก ผู้มั่งคั่งน้อยคนที่จะคิดไปสู่พระราชฐานของพระองค์ และไม่คิดที่จะเข้าไปสู่นครแห่งความสุขสงบ จะเป็นการดีสำหรับผู้ที่ร่ำรวยซึ่งไม่ถูกกีดขวางจากการเข้าสู่อาณาจักรนิรันดรด้วยความมั่งมีของเขา และจะไม่ขัดขวางเขาจากการเข้าสู่อาณาจักรอันมิรู้สิ้นนั้น ด้วยพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ความงดงามของบุคคลผู้มั่งคั่ง เช่นนั้นจะส่องแสงไปยังราชสำนักแห่งสวรรค์ ซึ่งเหมือนกับดวงอาทิตย์ส่องแสงให้แก่ผู้คนที่อยู่บนพื้นโลก?
?ฉะนั้นจุดมุ่งหมายแห่งชีวิตของเรา ไม่ควรที่จะรวบรวมความั่งมีไว้เพื่อความเพลิดเพลิน สะดวกสบายแห่งชีวิตระยะสั้นในโลกนี้ ความมั่งมีทางวัตถุจะยังผลประโยชน์แก่เรา เฉพาะหลังจากที่เราได้มาซึ่งความมั่งคั่งทางด้านจิตใจ และให้มาเรียนรู้จักตนเอง และจุดมุ่งหมายแห่งการดำรงชีวิตของเราในโลกนี้
พระบาฮาอุลลาห์ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
??? มนุษย์ควรรู้จักตนเอง และเรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความสุดยอดหรือนำไปสู่ความต่ำทราม ไปสู่ความอดสูหรือไปสู่ความมีเกียรติ ไปสู่ความร่ำรวยหรือไปสู่ความยากจนก็ตาม หลังจากที่มนุษย์ได้รู้จักตนเองแล้วแสดงว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาควรได้รับความมั่งคั่ง ถ้าหากความมั่งคั่งนี้ได้มาด้วยงานฝีมือและการประกอบอาชีพ จึงสมควรและควรค่าแก่การชมเชยต่อบุคคลผู้รอบรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ผู้รับใช้ทั้งหลายผู้ซึ่งลุกขึ้นสั่งสอนชาวโลก และผู้ที่ทำให้ดวงวิญญาณของชาวโลกงดงาม
ไม่ว่าเราจะได้เป็นผู้ครองความมั่งคั่งในโลกนี้หรือไม่ก็ตาม ขอให้เราจำไว้ว่า เราสามารถที่จะเป็นผู้มั่งคั่งทางด้านศีลธรรมได้ถ้าหากว่าเรายอมให้ความรักของพระผู้เป็นเจ้าได้เข้าไปสู่ในจิตใจของเรา นี่คือสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้แก่เราทุกคนโดยผ่านทางพระศาสดาบาฮาอุลลาห์
?เราได้สร้างเจ้าขึ้นให้มั่งมี เหตุไฉนจึงทำตัวให้ยากไร้ เราได้สร้างเจ้าขึ้นมาให้มีศํกดิ์ เหตุไฉนจึงทำตัวให้ต่ำลง เราให้เจ้ามีภาวะขึ้นมาจากสาระแห่งความรู้ เหตุไฉนจะแสวงปัญญาจากใครอื่นนอกไปจากเรา เราได้เสกสรรเจ้าขึ้นมาด้วยมนต์แห่งความรัก เจ้าไปยุ่งกับตนเองและคนอื่นได้อย่างไร จงมองไปในตัวของเจ้าเองเพื่อว่าจะได้พบเรายืนอยู่ในตัวเจ้าด้วยพลังอำนาจ และเป็นอยู่ด้วยตัวเอง
ความสุข
พระกรุณายิ่งใหญ่ของพระบาฮาอุลลาห์ประหนึ่งที่มีต่อเรา คือ ความเบิกบานและความสุข พระองค์ทรงสร้างให้มีอยู่ในจิตใจของเราแล้ว เรามีความสุขร่าเริงเพราะความรักของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในตัวเรา เรามีความสุขก็เพราะว่าเราทราบความหมายและจุดประสงค์ของการมีชีวิตอันสั้นอยู่ในโลกนี้ เราปลาบปลื้มยินดีก็เพราะเราได้พบพระผู้เป็นที่รักของเราแล้ว และด้วยอิทธิพลของพระวจนะแห่งการสร้างสรรค์ของพระองค์ บัดนี้เราอยู่กันอย่างสงบสุขร่วมกับคนอื่นๆ
พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?โอ มิตรสหายผู้ที่อาศัยอยู่บนผงธุลีของเรา ขอจงรีบไปพำนักอยู่สวรรค์ของเจ้า แล้วประกาศข่าวอันเป็นที่น่ายินดีแก่พวกเจ้าเองว่า ?พระองค์ผู้ซึ่งอันเป็นที่รักได้เสด็จมาแล้ว พระองค์ทรงประดับพระองค์เองด้วย รัสมีแห่งการเผยของพระผู้เป็นเจ้า และทรงเปิดประตูแห่งสวรรค์ของพระองค์ตรงเบื้องหน้าของมนุษย์ บัดนี้ขอ ให้ดวงตาอันร่าเริงทุกดวงจงเพ่งดูในความงามของพระองค์ และเวลานี้ขอให้ใบหูที่น่ายินดีจงฟังเสียงของพระองค์ ขอจงป่าวประกาศไปยังผู้ที่มีความรักอันยั่งยืนทุกคนว่าของจงดู พระผู้เป็นที่รักของเจ้าได้เสด็จมาในหมู่มนุษย์และเป็นทูตของกษัตริย์แห่งความรักในการนำข่าวไปบอกกล่าว ดูซิ พระผู้เป็นที่รัก ได้ทรงปรากฏกายท่ามกลางพระรัศมีของพระองค์ โอ ผู้ที่รักแห่งความงามของพระองค์ขอจงเปลี่ยนเอาความเจ็บปวดแห่งการห่างไกลจากพระองค์ของเจ้าให้เป็นความร่าเริงยินดีแห่งการอยู่ร่วมกันตลอดไป?
ความยินดีแห่งการได้รู้จักพระผู้เป็นที่รัก และการได้ยินเสียงของพระองค์ มีอยู่ในจิตใจของบาไฮศาสนิกชนทุกคน บาไฮศาสนิกชนผู้มีความเสียสละมีความยินดีที่จะพลีชีพอันมีค่าของตน เพื่อองค์พระผู้เป็นที่รักของเขา ซึ่งความคิดนี้เป็นอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ เมื่อความยินดีแห่งศาสนาได้ครอบครองจิตใจของเราแล้ว จะไม่มีอะไรในโลกที่จะทำให้เราย่อท้อหรือที่จะทำให้เราไม่มีความสุขได้ ความยากจน ความเจ็บไข้และความยาก ลำบากก็จะลืมได้เมื่อความรักแห่งพระผู้เป็นเจ้า และสิ่งสร้างสรรค์ของพระองค์อยู่ในจิตใจของเรา
พระอับดุลบาฮามักจะกล่าวถึงความสุขอย่างต่อเนื่องอันนี้ว่า พระองค์ทรงรู้สึกได้แม้ว่าพระองค์จะกำลังอยู่ในห้องขังภายใต้สภาพที่กวดขันรุนแรงก็ตาม พระองค์ได้นิพนธ์ไว้ว่า
?เรามีความสุขในยามที่ถูกคุมขัง เรามีความปีติยินดีอย่างที่สุด เพราะว่าเราไม่ใช่อาชญากร เขากักขังเราในวิถีทางของพระผู้เป็นเจ้า เรามีความสุขที่ได้สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเราเป็นนักโทษในพระศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเรามิได้สูญเปล่า ได้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีผู้ใดที่เห็นเราและคิดว่าเราอยู่ในคุก เขาดูว่าเรามีความร่าเริงยินดีอย่างที่สุด ดีใจมากและสุขภาพดี ไม่สนใจต่อคุกตาราง
ความสุขซึ่งมาจากความรักที่เรามีต่อพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์โลกของเรา ทำให้เรายิ่งเห็นค่าของการสรรเสริญต่อพระผู้เป็นเจ้า และเห็นค่าของการได้รับพระพรของพระองค์ด้วย ?พระบาฮาอุลลาห์ทรงนิพนธ์ไว้ว่า
?ดูกร บุตรแห่งมนุษย์
?ขอความยินดีจงมีอยู่ในหัวใจของเจ้า เพื่อเจ้าอาจจะควรค่าต่อการได้พบเรา และต่อการสะท้อนความงามของเรา?
บาไฮศาสนิกชนควรที่จะสะท้อนแสงรัศมีแห่งความสุขเสมอ เราจะไม่มีความสุขได้อย่างไรในเมื่อเราได้อ่านพระวจนะอันวิเศษเหล่านี้ของพระบาฮาอุลลาห์
?ดูกร บุตรแห่งธรรมะ
?ด้วยข่าวอันเป็นที่น่ายินดีแห่งแสงสว่างที่เราได้ร้องบอกเจ้า จงมีความยินดีเถิด เราเรียกเจ้าเข้าไปสู่พระราชฐานแห่งความศักดิ์สิทธิ์ จงเข้าไปพำนักอยู่ภายในเพื่อว่าเจ้าอาจจะดำรงชีวิตได้อย่างสงบตลอดไป?
พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า หัวใจเป็นที่พระทับของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อหัวใจรู้จักความยินดีแห่งการยอมรับองค์พระผู้เป็นที่รัก ไม่มีความสุขอื่นใดในโลกที่จะเทียบเทียมได้ ความมั่งคั่งทางโลกไม่อาจที่จะทำให้ความสุขนี้เพิ่มขึ้นได้ และความไม่ร่ำรวยก็จะไม่เป็นเหตุแห่งความเสียใจต่อดวงใจ
ความร่าเริ่งยินดีซึ่งมากับความสนุกสนานแห่งโลกนี้มิใช่เป็นความสุขที่แท้จริง เพราะว่าเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืนและพระบาฮาอุลลาห์ทรงบอกเราอย่าได้พอใจกับมัน
?ดูกร บุตรแห่งมนุษย์
หากความร่ำรวยมาถึงเจ้า ก็อย่าได้ยินดี และหากความตกต่ำเกิดกับเจ้า ก็อย่างได้เสียใจ เพราะว่าทั้งสองนี้จะดับสูญไปไม่เหลือร่อยรอย?
พระอับดุลบาฮา ตรัสว่า
?เมื่อใดที่มนุษย์กระหาย เขาจะดื่มน้ำ เมื่อใดที่เขาหิวเขาจะรับประทานอาหาร แต่ถ้าหากว่ามนุษย์ไม่มีความกระหาย น้ำที่ยิบยื่นให้เขาก็จะไม่เป็นที่ถูกใจ และถ้าหากว่าเขาอิ่มอยู่อาหารที่ให้ก็จะไม่มีรสชาติ นี้มิใช่เป็นความสุขทางจิตวิญญาณความสุขทางจิตวิญญาณมักจะนำมาซึ่งความสุขร่าเริ่มเสมอ ความรักของพระผู้เป็นเจ้าจะนำมาซึ่งความสุขชั่วนิรันดร์ เป็นความสุขที่มีอยู่ในตัวมันเองแล้ว และมิมีวันจางหายไป?
?พระผู้เป็นเจ้า ทรงสร้างจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วในตัวของเรา จิตวิญญาณที่เปี่ยมด้วยอำนาจแห่งปัญญาของมนุษย์ซึ่งอยู่เหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รับความปีติยินดีแห่งจิตวิญญาณและมองโลกอย่างสดใส อำนาจอันนี้ทำให้พวกท่านต่างไปจากสัตว์โลกอื่นๆ เหตุไฉนท่านจึงสนใจต่อฐานะทางวัตถุของท่าน นี่คือสิ่งซึ่งควรนำมาใช้เพื่อให้ได้มา และเพื่อแสดงถึงพระกรุณาธิคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นในหมู่มนุษย์ และบรรลุความสุขในโลกทั้งโลก ซึ่งทั้งเห็นได้และเห็นไม่ได้?
ขอเราจงมีความสุข เพราะว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยที่น่าอัศจรรย์ ขอเรามีความเบิกบานในแดนสวรรค์ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงได้เตรียมไว้แก่เราแล้ว เป็นที่ที่มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง เป็นที่การต่อสู้และความแตกต่างกันได้ถูกกลืนไปจนหมดสิ้น
ขอเราจงยินดีต่อพระวจนะของพระอับดุลบาฮา เหล่านี้เถิด
?ข่าวที่น่ายินดี
เพื่อชีวิตชั่วนิรันดร อยู่นี้แล้ว
ดูกร ปวงชนที่หลับอยู่ ขอจงรู้จักความสุขุมรอบคอบ
ดูกร ผู้ที่ตาบอด ขอจงรับเอาสายตาของเจ้าไป
ดูกร ผู้ที่หูหนวก ขอจงได้ยิน
ดูกร ผู้ที่เป็นใบ้ ขอจงพูดได้
ดูกร ผู้ที่ตายแล้ว ขอจงลุกขึ้นมา
ขอให้มีความสุข
ขอให้มีความสุข
ขอให้เต็มไปด้วยความสุขเบิกบาน
ความเป็นอมตะ
ชีวิตของคนเรานั้นสั้นเหลือเกิน ยี่สิบ สามสิบปี ก็อาจจะคิดว่าเป็นเวลายาวนานแล้วเมื่อตอนที่เรายังไม่โต แต่เมื่อเรายี่สิบ สามสิบ ปีให้หลังไป เราอาจจะแปลกใจว่าปีเหล่านั้นมันช่างผ่านไปเร็วนักหนา และปีที่ยังอยู่เบื้องหน้าของเราก็กำลังจะผ่านไป ทุกชั่วขณะจิตอย่างรวดเร็ว และความตายก็จะตามมาหาเราทุกคนอย่างช้าๆ
ความตายนั้นคือความหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างของเราใช่ไหม ไม่ใช่ ศาสนาบาไฮมีคำสอนว่า ความตายมิใช่เป็นการจบสิ้น ความตายเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น พระบาฮาอุลลาห์ตรัสไว้ว่า
? ดูกร บุตรแห่งความยิ่งใหญ่ เราได้ทำให้ความตายเป็นสาส์นแห่งความสุขแก่เจ้า เหตุไฉนเจ้าจึงได้เสียใจ เราได้ทำให้แสงสว่างสาดส่องไปยังเจ้าอย่างงดงาม เหตุไฉนเจ้าปิดกั้นเจ้าเองออกจากแสงนั้นเล่า?
ความตายเป็นการเริ่มต้นการเดินทางของจิตวิญญาณของเรา ไปสู่พระผู้เป็นเจ้า เป็นการเกิดใหม่ เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ เมื่อวิญญาณของเราออกจากร่างของเราแล้ว วิญญาณก็ยังคงอยู่และก้าวเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณจะไม่กลับคืนมาสู่โลกอีกในรูปแห่งวัตถุ
นกไนติงเกลซึ่งมักจะอาศัยอยู่ในกรงเสมอจะไม่รู้จักที่อื่นใดนอกจากกรงของมัน มันอาจจะได้เห็นบาง ส่วนโดยผ่านลูกกรงแต่เจ้านกที่น่าสงสารตัวนั้นจะไม่มีความคิดในเรื่องอิสรภาพและมันจะไม่เคยรู้ถึงความสนุกร่าเริงในการบินไปในป่าสีเขียวหรือท้องทุ่งกว้างใหญ่ ถ้าท่านเปิดประตูกรงเพื่อที่จะปล่อยให้นกตัวนั้นเป็นอิสระ มันก็อาจจะกระโดดไปยังมุมใดมุมหนึ่งของกรง และไม่ต้องการจะบินออกไป และเมื่อท่านล้วงมือของท่านเข้าไปจับมันออกมา มันอาจจะตกใจ และพยายามที่จะหนีออกจากมือของท่าน แต่เมื่อนกตัวนั้นได้รับอิสระมันก็จะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ แล้วขับร้องอยู่กลางต้นไม้สีเขียว สร้างรังของมันอยู่ในทุ่งไม้ดอกและป่าไม้ที่มีกลิ่นหอม และจะไม่คิดกลับมายังกรงอีกแม้ว่าท่านจะให้กรงทองแก่มันก็ตาม
ทำนองเดียวกัน เมื่อใดที่ดวงวิญญาณได้เป็นอิสระออกจากเรือนร่างไปแล้ว ใครก็ตามที่ไม่รู้จักอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ก็จะพบว่ามันเป็นการยากที่จะตาย และความสุขที่รอคอยพวกเขาอยู่หลังจากที่พวกเขาได้อออกจากชีวิตในชาตินี้ก็เพราะว่าพวกเขารู้จักแต่เพียงเรือนร่างเท่านั้น ไม่รู้จักสวรรค์แห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า และพระเมตตาปรานีอันมิรู้สิ้น
ใครก็ตามที่ยอมรับองค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าก็จะเชื่อในความเป็นอมตะของดวงวิญญาณและชีวิตชั่วนิรันดร์มีคนเคยถามพระบาฮาอุลลาห์ เกี่ยวกับชีวิตหลังความตายและนี่คือคำตอบของพระองค์
?ตอนนี้ก็จะเป็นคำถามของเจ้าถึงดวงวิญญาณมนุษย์และการคงอยู่ของดวงวิญญาณหลังจากการตาย ขอเจ้าจงรู้ความจริงข้อหนึ่งว่าดวงวิญญาณจะคงอยู่ต่อไป จนกระทั่งได้ไปถึง ณ เบื่องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังจากที่ดวงวิญญาณได้แยกจากร่างแล้ว ในฐานะสภาวะที่ไม่มีการเปลี่ยนยุคเปลี่ยนศตวรรษ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ และไม่มีโอกาสอย่างเช่นโลกนี้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ดวงวิญญาณจะคงอยู่ตราบนานเท่านานเช่นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อานุภาพของพระองค์จะคงอยู่ชั่วกาลนาน ดวงวิญญาณจะแสดงถึงสัญลักษณ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าและคุณสมบัติของพระองค์ และจะเผยความรักความเมตตาและความกรุณาของพระองค์ การเคลื่อนไหวของปากกาของเราจะหยุดนิ่งต่อเมื่อพยา ยามที่จะพรรณนาความสูงส่งสง่างามและความรุ่งโรจน์แห่งสถานะอันสูงส่งได้อย่างเหมาะสม?
การตาย คือ การเกิดจิตวิญญาณใหม่ของเราทุกคนเพราะฉะนั้นขอให้เราจงเตรียมพร้อมในการต้อนรับผู้นำสาส์นแห่งความปีติยินดี? เมื่อมาเคาะประตูบ้านของเรา
สวรรค์และนรก
ถ้าท่านเพราะปลูกพืชในทุ่งนาในฤดูกาลที่ถูกต้อง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ และป้องกันพืชจากแมลงโรคร้ายและนกต่างๆ ท่านก็จะได้รับผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าหากว่าท่านไม่ได้หว่านเมล็ดพืชของท่านถูกต้องตามฤดูกาลแล้ว และไม่ใส่ใจรดน้ำ ท่านก็จะหวังพืชผลที่ดีไม่ได้ ท่านจะได้รับผลจากการละเลยของท่านเมื่อถึงฤดูการเก็บเกี่ยว และผู้ที่จะได้รับการตำหนิจากผลเสียหายก็คือท่านเองใช่หรือไม่
การให้รางวัลและการลงโทษเป็นสิ่งสำคัญต่อกฎระเบียบในโลกนี้ การให้รางวัลและการลงโทษนั้นเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของเรา องค์พระศาสนทูตในอดีตทุกพระองค์ได้พยายามที่จะทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เราได้กระทำไปในโลกนี้ ซึ่งไม่เพียงแต่มีผลต่อชีวิตของเราตอนนี้เท่านั้น แต่จะส่งผลต่อไปหลังจากที่เราได้ตายไปแล้ว ถ้าการกระทำของเราดี การกระทำนั้นก็จะก่อให้เกิดผลดีและกลายเป็นความสุขชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าหากการกระทำนั้นไม่ดี การกระทำนั้นก็จะส่งผลชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าหากการกระทำนั้นไม่ดี การกระทำนั้นก็จะส่งผลชั่วร้าย และนำเอาความทุกข์ทรมานมาสู่ตัวเราโดยไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ใช่เป็นเพราะพระผู้เป็นเจ้าปรารถนาที่จะตอบแทนต่อผู้ที่กระทำผิด แต่เป็นเพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับผลดีจากการกระทำชั่ว เช่นเดียวกับที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีดอกไม้สวยงามในส่วนที่พวกเราได้ปลูกหญ้าวัชพืช นี้คือความหมายของการให้รางวัลและการลงโทษ และความเชื่อที่สำคัญเช่นนี้ซึ่งได้สอนไว้ในทุกศาสนาก็ยังเป็นที่เข้าใจผิดกันมากมาย
องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงอธิบายชีวิตแห่งการได้รับรางวัลและการถูกลงโทษ โดยทางสัญลักษณ์และนิยาย เราได้กล่าวถึงองค์พระศาสนทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ว่าเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ได้อย่างสมบูรณ์ ผู้ถ่ายทอดความรู้ได้อย่างสมบูรณ์จะต้องสอนในลักษณะที่ว่าลูกศิษย์ของเขาเข้าใจได้ดี มิฉะนั้นก็มีจุดมุ่งหมายในการสอนของเขา ที่จะทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเขานั้นจะต้องทำบัญชีสำหรับการกระทำของเขา แม้ว่าหลังจากเขาได้ตายไปจากโลกนี้ก็ตามองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าได้วาดภาพชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุขสบายแก่ผู้ทำดีและทรงตรัสรู้ถึงความทุกข์ทรมาณแก่ผู้กระทำชั่ว ความสุขสบายและความทุกข์ทรมาน ที่พระศาสดาทรงกล่าวไว้ก็คือสิ่งที่ประชาชนจะรับทราบได้ในโลกนี้เพราะว่าจะเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนมีความเข้าใจความสำคัญของคำสอนของพระศาสดาเกี่ยวกับชีวิตหลังจากความตาย
เช่นเด็กเล็กๆ ที่ถามความรู้ พ่อแม่ก็อาจจะพูดว่ามันหวานกว่าสิ่งอื่นใดที่เขาเคยได้รับมาแล้ว แน่นอนเขาไม่ได้หมายความว่า ความรู้นั้นคืออาหารชนิดหนึ่งที่สามารถลิ้มรสได้ และเมื่อเด็กคนนั้นเติบโตขึ้น เขาก็จะทราบความหมายสิ่งที่พ่อแม่ได้พรรณนาให้เขาฟัง ประชาชนส่วนใหญ่ในโลกกำลังยืดสัญลักษณ์และนิยามที่องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าได้ใช้อธิบายชีวิตหลังการตายอย่างตรงตามตัวอักษร และไม่ได้ตระหนักว่าสัญลักษณ์และนิยามนั้นได้ให้ความหมายอุทาหรณ์ทางจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดจิตนาการนรกและสวรรค์ขึ้น บางคนเชื่อว่านรกเป็นที่ ๆ ประกอบด้วยไฟอันน่ากลัว มีโรคภัยเชื้อโรค มีปีศาจร้ายอยู่ในนั้น ซึ่งคนทำบาปทั้งหลายจะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดไป และสวรรค์ตามความคิดของพวกเขาก็คือ สวนที่สวยงามเต็มไปด้วยผลไม้รสอร่อย และมีความสุขสำราญทางโลกีย์ บางคนก็เชื่อว่าดวงวิญญาณของเขาจะกลับคืนสู่โลกนี้หลังจากตายไปแล้วประหนึ่งว่าไม่มีที่อื่นใดอีกในจักรวาลนอกจากดาวเคราะห์ดวงเล็กๆ ของเรา เขาพูดว่าเราจะกลับคืนมาอีกในรูปกายที่ต่างกัน และเราอาจจะเกิดเป็นสัตว์ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการกระทำ ที่เราได้กระทำไปในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่
การที่องค์พระศาสนทูตในอดีตจำต้องตรัสถึงประสบการณ์ของเราหลังจากการตายแล้วในพจน์แห่งสัญลักษณ์ พระบาฮาอุลลาห์ได้ตรัสว่าตอนนี้เราจะต้องเตรียมพร้อมที่จะทราบความหมายที่แท้จริงของสวรรค์และนรก ความจริงอันสำคัญ 2 อย่างที่เราจะต้องจดจำ คือ
- ดวงวิญญาณของเราเป็นอมตะ และคงมีชีวิตต่อไปหลังจากที่ร่างกายของเราได้ตายแล้ว
- การกระทำของเราในโลกนี้จะก่อให้เกิดผลของมัน แม้ว่าหลังจากที่ดวงวิญญาณได้แยกจาก
ร่างไปแล้วก็ตามโลกซึ่งดวงวิญญาณได้ไปสู่หลังจากได้แยกจากร่างไปแล้วจะต่างจากโลกที่เราเคยอยู่ในปัจจุบันนี้ เช่นเดียวกับที่โลกของเราตอนนี้ต่างไปจากครรภ์มารดาที่ซึ่งทารกอาศัยอยู่ก่อนที่จะคลอดออกมา และทำนองเดียวกันที่ทารกจะเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตของเขาในการอยู่ในโลกนี้ โดยการพัฒนา ตา หู แขนขาที่เขาไม่มี ความจำเป็นต้องใช้ในครรภ์มารดา แต่ถ้าไม่มีอวัยวะเหล่านี้แล้วเขาก็จะดำรงชีวิตเป็นปกติสุขไม่ได้ และเราจะต้องเตรียมพร้อมเพื่อชีวิตที่เป็นสุขในโลกหน้าด้วยซึ่งดวงวิญญาณของเราจะกำเนิดหลังจากที่จากโลกนี้ไปแล้วในโลกหน้าเราไม่จำเป็นต้องใช้ตา ใช้หู อีกต่อไป เพราะเราจะต้องใช้คุณความดีทางจิตวิญณาณซึ่งเราสามารได้มาในโลกนี้ โดยการปฏิบัติตามคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ส่งมายังเราโดยทางองค์พระศาสนทูตของพระองค์
อย่างไรก็ตาม นี่คือข้อแตกแยกอย่างมากระหว่างสถานะของเด็กทารกในครรภ์มารดา และสถานะของบุคคลผู้ที่กำลังอาศัยอยู่ในโลกนี้ เด็กทารกที่ยังไม่คลอดไม่ต้องรับผิดชอบต่อการพัฒนาของตนเอง เพราะว่าเขาไม่มีทางเลือก และช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่ในโลกนี้เราได้รับอำนาจในการเลือกระหว่างความถูกต้องและความผิด ความดีและความชั่ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อพัฒนาการทางจิตวิญญาณของเรา และถ้าหากเราไม่สามารถที่เพิ่มความแข็งแรงและความสุขสบายทางจิตวิญญาณได้แล้ว เราก็จะไม่มีความสุขในโลกหน้า สภาพความไม่เป็นสุขเช่นนี้เรียกว่านรกอีกนัยหนึ่งถ้าหากเราพยายามที่จะเข้าใจและเชื่อฟังต่อกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว นรกก็คือการถูกกีดกันจากความกรุณาอันนี้ พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราพยายามที่จะเห็นคุณค่าของพระพรอันอมตะซึ่งได้เตรียมพร้อมแล้วแก่เราในโลกที่มาถึง
?ดูกร บุตรแห่งความกรุณา
?จากสิ่งรกร้างในความว่างเปล่าและด้วยบัญชาของเราได้สร้างเจ้ามาให้ปรากฏ และได้กำหนดให้ทุกปรมาณูในพิภพและสาระในทุกสิ่งที่บังเกิดนี้เป็นการฝึกสอนเจ้า ดังนั้นก่อนที่เจ้าจะคลอดจากครรภ์มารดา เราได้กำหนดให้มีต่อมน้ำนมสำหรับเลี้ยงเจ้า ให้มีสายตาสำหรับดูแลเจ้า ให้มีหัวใจสำหรับรักเจ้าด้วยความเมตตาของเราและภายใต้ร่มเงาแห่งความกรุณาของเรา เราได้ทะนุถนอมเจ้าขึ้นมาและได้ระวังรักษาเจ้าด้วยสาระแห่งความกรุณาและความโปรดปรานที่เราทำทั้งหมดนี้ก็ด้วยว่าเจ้าจะได้บรรลุถึงอาณาจักรอันมิรู้สิ้นของเรา และจะได้คู่ควรแก่ของกำนัลของเราซึ่งมิอาจจะมองเห็นได้ แต่แล้วเรายังคงไม่สนใจและเมื่อเติบโตเต็มที่เจ้าก็ละเลยความกรุณาทั้งหมดของเรา และเอาตัวเจ้าไปหมกมุ่นอยู่กับความนึกคิดที่ไม่เป็นสาระของเจ้า จนในที่สุดเจ้าก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่างและหันหน้าหนีไปจากประตูที่พระผู้เป็นมิตรแท้ของเจ้าได้เปิดไว้ให้และได้กลับอาศัยอยู่ในถิ่นของศัตรูของเรา”
สิ่งปาฏิหาริย์อัศจรรย์
องค์ศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าทรงได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่ องค์พระศาสนทูตสามารถที่จะกระทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ประชาชนคนอื่นทำไม่ได้ ความยิ่งใหญ่แห่งความอัศจรรย์ขององค์พระศาสนทูต คือคำสอนของพระองค์ ชีวิตส่วนพระองค์และอิทธิพลแห่งพระวจนะของพระองค์ มีอำนาจเหนือจิตใจของมนุษย์มาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แล้วหลังจากที่องค์พระศาสนทูตได้จากโลกนี้ไป องค์พระศาสนทูตทุกพระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์เหล่านี้ไว้
พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้ามิได้ให้ความหมายหรืออำนาจทางโลกไว้ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อประชาชน และองค์พระศาสดามักจะถูกคัดค้านโดยอำนาจแห่งรัฐ และโดยผู้ที่อำนาจและผู้ที่มีการศึกษาในสมัยนั้น ผู้ที่เชื่อในองค์พระศาสดาในตอนแรกๆ ก็คือคนจน และคนธรรมดาๆ ผู้ที่ไม่มีตำแหน่งทางโลกแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ตามสาส์นของพระศาสดาก็ได้แพร่ออกไปและชนะคนในโลกได้ และยังได้นำมาซึ่งอารยธรรมใหม่ๆ ประวัตินี้ได้นำมากล่าวย้ำทุกยุคสมัย และด้วยการเสด็จมาขององค์พระศาสนทูตทุกพระองค์ อารยธรรมแผนใหม่ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในโลกนี้ เมื่อใดที่เราได้ยินเกี่ยวกับอารยธรรมเก่าแก่ของศาสนาฮินดู หรืออารยธรรมของศาสนายิว หรือคริสเตียนหรือมุสลิม ระหว่างยุคสมัยก่อนๆ เราก็ต้องจำได้ว่าพระผู้ก่อตั้งศาสนาแต่ละศาสนาด้วยความพยายามอย่างมหาศาลก็คือพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในสมัยของพระองค์นั้นพระองค์ทรงยืนหยัดต่อสู่กำลังอำนาจของโลกทั้งหมดและทรงได้ชัยชนะ ยังมีความอัศจรรย์อะไรที่ยิ่งกว่านี้ที่เราจะนำมาพิสูจน์ความจริงถึงองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าอีกเล่า
พระชาชนมากมายที่เชื่อว่าข้อพิสูจน์แห่งองค์พระศาสดาขึ้นอยู่กับการกระทำ ภาระกิจอันแสนลำบากซึ่งมักจะถูกทึกทักว่าสิ่งปาฏิหาริย์เกี่ยวกับพระผู้ก่อตั้งศาสนาเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์นั้นคือองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง ผู้ที่นับถือศาสนาพราหมห์ กล่าวว่าสักวันหนึ่งพระบิดาจะอุ้มทารกน้อยกฤษณะ พระบาทของพระองค์จะแตะที่แม่น้ำยมนาและทันทีทันใดนั้นน้ำก็จะลดเพื่อที่จะเป็นทางให้พระองค์ข้ามไปอีกฟากหนึ่ง ผู้ที่เป็นคริสเตียนกล่าวว่าพระเยซูทรงทำให้ประชาชนผู้หิวโหยจำนวนหลายร้อยคนพอใจกับการได้รับขนมปังสองสามก้อน เช่นเดียวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับพระโซโรแอสเตอร์ พระพุทธเจ้า พระโมเสส และพระโมฮัมหมัดที่ศาสนิกชนเชื่อ
บาไฮศาสนิกชนเชื่อว่า องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าทุกพระองค์สามารถกระทำสิ่งปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ แต่การกระทำเช่นนั้นจะไม่ทำให้เกิดความเชื่อแก่ผู้ที่ไม่เชื่อในพระองค์และจะไม่สามารถทำให้เขาเชื่อตามข้อพิสูจน์ที่มีต่อพระศาสนทูตของพระองค์ ตัวอย่างเช่น ชาวคริสเตียนผู้หนึ่งอาจจะไปบอกชาวยิวหรือชาวพุทธว่า พระเยซูคริสต์ได้ทรงประทานชีวิตแก่คนที่ตายแล้ว แต่ว่าคำพูดของเขานั้นจะไม่มีผลแม้แต่น้อยต่อบุคคลที่ไม่มีความเชื่อในพระเยซู แน่นอนเขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูนั้นก็คือองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าพระองค์หนึ่ง เขาอาจจะกล่าวว่า นั้นเป็นแต่เพียงศาสนิกชนของพระเยซูเท่านั้นผู้ซึ่งได้อ้างเอาความอัศจรรย์อันนี้แก่พระองค์ แม้แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในสมัยพระเยซูก็ไม่เชื่อในพระองค์ เนื่องจากความอัศจรรย์ของพระองค์ แต่ถ้าหากว่าชาวคริสเตียนได้ชี้ให้เห็นถึงคำสอนอันไพเราะของพระเยซู ซึ่งได้นำเอาชีวิตอันเป็นอมตะแก่ประชาชนจำนวนหลายล้านคนที่จิตวิญญาณได้ตายแล้ว หรืออ้างถึงชีวิตนักบุญของพระเยซูซึ่งได้ดลจิตใจของมนุษย์หลายชั่วอายุคนไม่มีผู้ใดที่จะปฏิเสธได้ ชีวิตของพระเยซูและคำสอนของพระองค์มีความอัศยรรย์ยิ่งกว่าการชุบชีวิตคนหนึ่งคน หรือสองคนให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปีและก็ไปอีกครั้ง
องค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเทพแห่งมนุษย์ สิ่งที่เราควรจะคาดหวังจากพระองค์คือใบสั่งยา ซึ่งจะนำมารักษาเยียวยา ความเจ็บป่วยด้านจิตใจ จะเป็นการไม่ควรที่เราจะคาดหวังให้พระองค์มาพิสูจน์ความเป็นศาสดาของพระองค์โดยการแสดงปาฏิหาริย์ เราจะไม่ถามแพทย์ผู้ที่จ่ายยาแก่คนไข้เพื่อพิสูจน์ความเชี่ยวชาญของเขาด้วยการกระโดดลงมาจากหลังคาบ้าน วิธีการเดียวที่แพทย์สามารถพิสูจน์ได้ก็คือแพทย์ใช้สิทธิ์รักษาคนไข้ นั้นก็คือเหตุผลที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงห้ามบาไฮศาสนิกชนกล่าวถึงสิ่งที่พิสูจน์ถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ แม้ว่าบาไฮศาสนิกชนที่เคยอยู่ร่วมกับพระองค์จะเคยเห็นพระองค์ทำสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์มาแล้ว เหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่พระบาฮาอุลลาห์ประทับอยู่ที่กรุงแบกแดด ซึ่งแสดงว่าน้อยเกินไปที่จะใช้เรียกว่าเป็นสิ่งที่อัศยรรย์
สภาองคมนตรีของชาวมุสลลิมได้หยั่งรู้ว่าพวกเขาไม่ควรที่จะปฏิเสธสัจธรรมของพระบาฮาอุลลาห์โดยการโต้เถียงหรือการถามเหตุผล พวกเขาได้ขอร้องพระองค์แสดงปาฏิหาริย์เพื่อพวกเขา โดยหวังว่าพระบาฮาอุลลาห์คงปฏิเสธและดังนั้นพระองค์จึงให้พวกเขา กล่าวขอโทษที่ได้ประณามพระองค์ พวกเขาได้เลือกผู้รอบรู้ในธรรมของอิสลามท่านหนึ่งจากกลุ่มพวกเขาเองเพื่อที่จะไปส่งสาส์นแก่พระบาฮาอุลลาห์ คำตอบของพระองค์ที่ให้แก่พวกเขาก็คือ ศาสนาของพระผู้เป็นเจ้ามิใช่ของเล่น และพระองค์มิได้เสด็จมาเพื่อแสดงกลเพื่อความสนุกชั่วขณะ และความพอใจของประชาชน แต่ถ้าหากพวกเขาจะตัดสินใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปได้หรือไม่ พระบาฮาอุลลาห์ก็จะแสดงสิ่งนั้นให้เห็นต่อหน้าสายตาของพวกเขา ต่อเงื่อนไขที่ว่า เมื่อได้แสดงปาฏิหาริย์แล้วพวกเขาทุกคนจะต้องยอมรับว่าพระองค์นั้นคือพระผู้มาตามคำสัญญา
ผู้รอบรู้ธรรมของอิสลามไม่ยอมรับต่อเงื่อนไขนี้ พวกเขาเกรงว่าพระบาฮาอุลลาห์จะแสดงปาฏิหาริย์ได้ แล้วพวกเขาจะไม่มีข้อโต้แย้งในการปฏิเสธคำขอของพระองค์ ดังนั้นพวกเขาต่างก็แยกย้ายกันไปโดยไม่ขอให้พระบาฮาอุลลาห์แสดงปาฏิหาริย์
เหตุการณ์นี้ แสดงถึงความอัสจรรย์ได้อย่างชัดเจน แม้ว่าการกระทำยังไม่ได้ใช้ในการพิสูจน์สิ่งใดก็ตามต่อผู้ที่ตัดสินใจปฏิเสธต่อสัจธรรม สำหรับผู้ที่มีใจเป็นธรรมในการตัดสินใจและตั้งใจที่จะเข้าใจคำสอนขององค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นจริงและเป็นสิ่งอัศจรรย์ตลอดกาล
ศีลธรรมและธรรมจรรยา
หลักธรรมประการหนึ่งของศาสนาบาไฮ คือ พื้นฐานของทุกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกัน หลักธรรมของทุกศาสนา คือส่วนหนึ่งของพื้นฐานทางศาสนา เพราะฉะนั้นหลักธรรมเหล่านั้นย่อมเหมือนกัน
ในคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ เราจะเห็นว่ามาตรฐานด้านธรรมจรรยาและหลักปฏิบัติของคนนั้นสูงส่ง เราสามารถที่จะพูดได้ว่าเกือบจะทุกคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์มีอิทธิพลต่อการปฏิบัติของบุคคลและความประพฤติของมนุษย์ ในพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์จะมีธรรมลิขิตจำนวนหลายพันฉบับที่เปิดเผยโดยพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์ และพระอับดุลบาฮา และในบทนิพนธ์ของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ซึ่งเป็นการวางแบบแผนชีวิตแก่บาไฮศาสนิกชนให้วางพื้นฐานอยู่บนความมีจิตใจ การกระทำที่บริสุทธิ์ เราไม่สามารถที่จะรวบรวมเอาธรรมลิขิตอันไพเราะเช่นนี้จากพระคัมภีร์บาไฮ
ท่านผู้อ่านทั้งหลายจะต้องศึกษาต่อไป และดำดิ่งอยู่ในมหาสมุทรอันลึกล้ำแห่งพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าหากท่านผู้อ่านปรารถนาที่จะหยิบคว้าเอาสมบัติของมีค่าอันหาที่เปรียบมิได้
พระบาฮาอุลลาห์ทรงเขียนสาส์นถึงบุคคลหนึ่งของพระองค์
?จงมีใจกรุณาในยามที่ร่ำรวย และจงดีใจในยามที่ทุกข์ยาก ให้คู่ควรแก่ความไว้วางใจของเพื่อนบ้าน และให้เงยหน้าดูเขาด้วยใบหน้าที่สดใสและเป็นมิตร จงเป็นขุมทรัพย์แก่คนยากจน จงเป็นผู้ตักเตือนแก่ผู้มั่งมี ให้เป็นผู้ตอบสนองต่อการร้องขอแก่ผู้ขาดแคลน ให้เป็นผู้รักษาสิทธิแห่งคำปฏิญาณของเจ้าเอง จงมีความยุติธรรมในการตัดสิน และรักษาคำพูด อย่าได้อยุติธรรมแก่ผู้อื่น และจงแสดงความอ่อนน้อมต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน จงเป็นเสมือนดวงประทีปส่องทางในความมืด จงเป็นผู้ร่าเริงยินดีต่อผู้เศร้าโศก เป็นเสมือนน้ำทะเลแก่ผู้กระหาย เป็นเสมือนสวรรค์แก่ผู้ทุกข์โศก เป็นเสมือนผู้อุปถัมภ์ และผู้ปกป้องแก่ผู้รับเคราะห์ถูกกดขี่ ขอให้มีความซื่อสัตย์ และมีความซื่อตรงอยู่ในการกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง จงเป็นที่พำนักแก่คนแปลกถิ่น เป็นยาระงับความเจ็บปวดต่อผู้ที่กำลังเจ็บทรมาน เป็นป้อมที่แข็งแรงแก่ผู้ลี้ภัย จงเป็นดวงตาให้แก่ผู้ตาบอด และเป็นแสงสว่างนำทางแก่ผู้หลงผิด จงเป็นเครื่องเชิดชูต่อผู้ที่สนับสนุนความจริง เป็นมงกุฎแก่หน้าผากของผู้จงรักภักดี เป็นเสาหินแก่วัดที่มีศีลธรรม เป็นลมหายใจแก่ร่างกายของมนุษย์ เป็นธงชัยให้แก่ผู้มีความยุติธรรม เป็นดวงประทีปเหนือขอบฟ้าแห่งคุณธรรม เป็นน้ำค้างแก่ดินแห่งดวงใจมนุษย์ เป็นเรือกู้ภัยในท้องมหาสมุทรแห่งความรู้ เป็นดวงอาทิตย์ในสวรรค์แห่งความกรุณา เป็นรัตนมณีอยู่บนกฎแห่งปัญญา เป็นแสงที่สาดส่องอยู่บนท้องฟ้าตลอดชั่วอายุของเจ้า เป็นผลไม้บนต้นไม้แห่งความถ่อนตน
นี้เป็นคำอ้างอิงอีกมากมายจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเกี่ยวกับการประพฤติส่วนบุคคล
?มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับช่วงอารยธรรมสืบต่อไป การกระทำเยี่ยงสัตว์ป่าเป็นสิ่งที่มิควรแก่มนุษย์ คุณธรรมเหล่านี้ที่คู่ควรแก่เกียรติอันสง่างามของเขา คือ ความอดกลั้น ความเมตตา ความกรุณา และความเมตตารักใคร่ต่อประชาชนทุกคนและญาติพี่น้องทั่วโลก?
?การกระทำที่เกินขอบเขตและฐานะของบุคคลมิควรกระทำ ความซื่อสัตย์ต่อคนทุกชั้นทุกฐานะจะต้องสงวนรักษาไว้ นี้หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาควรจะได้รับพิจารณาตามฐานะที่กำหนดไห้? พระบาฮาอุลลาห์
…………………………………….
ความใจบุญกุศล เป็นยอดปรารถนาและเป็นที่ยอมรับต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงเหนือการกระทำดีทุกอย่าง ความจริงแล้วในเรื่องนี้ ความเจริญในสากลโลกนี้ คือดวงอาทิตย์ที่มีต่อโลกเรา ผู้ที่ได้รับความสุขคือผู้ที่หยิบยื่นพี่น้องของเขาก่อนตนเอง ผู้นั้นคือชาวบาไฮนั่นเอง?
?ผู้ที่มั่งคั่งร่ำรวย จะต้องนึกถึงคนยากจนซึ่งถือว่าเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้แก่คนยากจนผู้ซึ่งมีความอดทนอย่างมั่นคง …. ไม่มีเกียรติอันใดที่จะเทียบได้กับเกียรติอันนี้ เว้นเสียแต่สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้ ความยิ่งใหญ่ก็คือ การให้ความสุขสำราญที่กำลังรอคอยคนยากจนที่อดทนอย่างอดใจ และอดกลั้นความทุกข์ทรมานของเขาและนี่คนร่ำรวยผู้ซึ่งสละทรัพย์สมบัติของเขาแก่ผู้ขาดแคลนและผู้ที่เสนอหยิบยื่นให้แก่คนจนก่อนตนเอง? พระบาฮาอุลลาห์
…………………………………….
การดูแลผู้ป่วย คือ หน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งทุกดวงวิญญาณจะต้องเจ็บป่วย เพื่อนคนอื่นๆ ควรจะถวายชีวิตรับใช้ด้วยความเมตตากรุณา? พระอับอุลบาฮา
……………………………………..
?แท้จริงแล้ว เราได้เลือกความสุภาพอ่อนโยนไว้ และสร้างให้เป็นเครื่องหมายที่แท้จริงแห่งการใกล้ชิดกับพระองค์ ความสุภาพอ่อนโยน คือ อาภรณ์ที่คู่ควรแก่มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเยาว์วัย หรือแก่ชรา มันเป็นการดีกับผู้ที่ประดับตนเองด้วยสิ่งนี้ และความหายนะจะเกิดแก่ผู้ที่ถูกกีดกันออกจากความกรุณาอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้
?ดูกร ปวงชนของพระผู้เป็นเจ้า เราได้แนะนำเจ้าให้เป็นผู้สุภาพอ่อนโยน ความสุภาพอ่อนโยนคือความสง่าแห่งคุณธรรมทั้งหมด ผู้ที่มีความสุขเจริญ คือ ผู้ที่ฉายแสงแห่งความสุภาพและผู้ที่ถูกประดับอาภรณ์แห่งความซื่อตรง บุคคลที่มีความสุภาพอ่อนโยน คือผู้ที่ได้รับตำแหน่งอันสูงส่ง? พระบาฮาอุลลาห์
?จงระวังอย่าได้ยกย่องตนเองเหนือเพื่อนบ้านของเจ้า?
?จงยุติธรรมต่อตัวเจ้าเองและต่อผู้อื่น ด้วยการกระทำของเจ้า หลักฐานแห่งความยุติธรรมอาจจะถูกเปิดเผยท่ามกลางผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเรา?
?ความยุติธรรมคือพื้นฐานอันสำคัญในบรรดาคุณธรรมของมนุษย์ การตีค่าทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า จะต้องขึ้นอยู่กับความยุติธรรม?
?จงกล่าวว่า ให้ดำรงความยุติธรรมในการตัดสินของเจ้า เจ้าเป็นมนุษย์ผู้มีหัวใจที่เข้าใจได้ ผู้ที่ไม่มีความยุติธรรมในการตัดสินใจ คือผู้ที่ขาดคุณลักษณะในการที่จะได้ตำแหน่งของมนุษย์? พระบาฮาอุลลาห์
………………………………………….
?เราชอบที่จะเห็นเจ้าคบค้าเป็นมิตรกันตลอดเวลาและสามัคคีปรองดองกันภายในสวรรค์แห่งความพอใจของเรา และเพื่อที่จะสูดหายใจการกระทำอันหอมหวลแห่งความเป็นมิตรและความสามัคคีของเจ้า แห่งความรัก ความกรุณา และมิตรภาพของเจ้า เราจะอยู่เคียงข้างเจ้า ถ้าหากว่าเราสูดเอากลิ่นหอมแห่งมิตรภาพของเจ้า หัวใจของเราก็จะปลื้มปิติยินดีอย่างแน่นอน จะไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะทำให้เราพอใจได้อีกแล้ว? พระบาฮาอุลลาห์
……………………………………..
?คนยากจนในหมู่เจ้า คือผู้ที่อยู่ในความดูแลของเรา เจ้าจงได้พิทักษ์เขา และอย่าได้เอาใจใส่แต่ความสบายของเจ้าเอง?
?หากเจ้าพบกับคนยากจน อย่าได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างรังเกียจ ให้คำนึงว่าเจ้าถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร พวกเจ้าทุกคนถูกสร้างจากจุลินทรีย์ที่น่ารังเกียจ? พระบาฮาอุลลาห์
……………………………………….
?ลิ้นที่อ่อนโยนคือแม่เหล็กดึงดูดหัวใจของมนุษย์ เป็นอาหารของจิตวิญญาณ ซึ่งสวมถ้อยคำด้วยความหมาย เป็นบ่อเกิดอัฉริยภาพและความเข้าใจ? พระบาฮาอุลลาห์
…………………………………………..
?ให้ทุกคนมองผู้อื่นจะเห็นความงดงามของพระผู้เป็นเจ้าสะท้อนอยู่ในดวงวิญญาณ และจะพบสิ่งเดียวกันนี้ เมื่อเขาถูกดึงดูดซึ่งกันและกันด้วยความรัก ความรักนี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนคลื่นแห่งมหาสมุทรเดียวกัน ความรักนี้จะทำให้มนุษย์ทุกคนเป็นเสมือนดวงดาวแห่งสวรรค์เดียวกัน และเป็นเสมือนผลไม้ของต้นไม้เดียวกัน ความรักนี้จะนำมาซึ่งความพร้อมใจกันอย่างแท้จริง อันเป็นพื้นฐานของความสามัคคีที่แท้จริง?
?ความรักไม่มี่ขอบเขต ไม่มีพรมแดน ไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งของวัตถุมีขอบเขต มีวงจำกัด มีปริมาณแน่นอน เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าการผูกมัดสิ่งของวัตถุที่มีอยู่อย่างจำกัด ยังไม่เป็นการเพียงพอในการที่จะแสดงความรักแห่งสากลได้ เพื่อนมนุษย์ ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวอันยิ่งใหญ่นี้ไม่อาจขวางกั้นผู้ที่ไม่สมบูรณ์ และผู้ที่เห็นแก่ตัวได้เลยแม้แต่น้อย และจะสำเร็จได้ด้วยอำนาจแห่งจิตพระผู้เป็นเจ้า นี่คือความรักแบบสมบูรณ์อันหนึ่ง เพื่อมนุษยชาติทุกคน? พระอับดุลบาฮา
…………………………………………
?อย่าได้ทรยศกับเพื่อนบ้านของเจ้า จงเป็นคนที่ไว้วางใจได้ และไม่ควรละเว้นจากคนยากจนด้วยสิ่งของที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานให้แก่เจ้าด้วยความกรุณาของพระองค์ แท้จริงแล้วพระองค์จะทรงบันดาลให้แก่เจ้าเป็นสองเท่าที่เจ้ามีอยู่? พระบาฮาอุลลาห์
……………………………………………….
?คำพูดที่ดีและมีความสัตย์จริง เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นจากขอบฟ้าสวรรค์แห่งความรู้ ด้วยความเคารพแห่งตำแหน่งและยศศักดิ์? พระบาฮาอุลลาห์
การบริหารงาน
ศาสนาบาไฮไม่มีนักบวช
เมื่อครั้งที่จำเป็นต้องมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเพื่อดำเนินการด้านศาสนาในสังคม คนธรรมดาๆ จะไม่รู้หนังสือ และไม่มีเวลาที่จะไปศึกษาเกี่ยวกับศาสนาของตน ดังนั้น จึงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ทำงาน และไม่ได้ประกอบอาชีพไปศึกษาศาสนาและคอยดูแลให้ประชาชนรักษากฏบัญญัติ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้พบเห็นพราหมห์ของชาวฮินดู พระภิกษุของชาวพุทธ นักบวชของชาวคริสต์ และพระผู้รู้ธรรมชองชาวมุสลิม
ในสาสนาบาไฮ การมีนักบวชจึงได้เลิกล้มไป และนี้ก็เป็นข้อแตกต่างอันหนึ่งของศาสนาของศาสนาบาไฮ พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า ถึงแม้ว่าจำเป็นต้องมีนักบวชในสมัยก่อนๆ แต่นักบวชเหล่านั้นก็ไม่มีความจำเป็นอีกแล้วในสมัยของเรา พระองค์ทรงเรียกร้องให้เราทุกคนศึกษาค้นคว้าหาความจริงด้วยตัวเอง เพื่อที่ว่าเราอาจจะได้พบเห็นด้วยตาของเราเอง มิใช่ด้วยตาของผู้อื่น และได้ยินด้วยหูของเราเอง เข้าใจด้วยอำนาจแห่งความเข้าใจของเราเอง ในการค้นคว้าหาความจริงนั้นก็เพื่อบาไฮศาสนิกชนจะได้มีความรู้อย่างเพียงพอเกี่ยวกับศาสนาของตน ซึ่งจะไม่เหมือนกับคนในศาสนาอื่นๆ ที่หวังจะได้รับความรู้เกี่ยวกับคำสอนจากพระสอนศาสนา บาไฮศาสนิกชนทุกคนจะต้องสวดอธิษฐานด้วยตนเอง บาไฮศาสนิกชนร้องขอความกรุณาจากพระผู้เป็นเจ้า และขออภัยด้วยตนเอง และไม่มีความจำเป็นที่จะให้พระมาทำให้ ด้วยการมีผู้ประกอบพิธี บาไฮศาสนิกชนทุกคนสามารถที่จะทำการติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้าได้โดยผ่านทางองค์พระศาสนทูตของพระองค์ และไม่ต้องมีสื่อกลางระหว่างเรากับพระบาฮาอุลลาห์
แม้ว่าจะมีนักบวชที่ดีๆ ในทุก ๆ ศาสนาแล้วก็ตาม แต่ก็ได้สร้างความเสียหายเสียชื่อให้แก่ศาสนา อันเนื่องมาจากการกระทำของนักบวชในทุกยุคสมัย มีนักบวช 2 รูป อาศัยอยู่ในสำนักเดียวกัน ก็มักจะไม่เห็นด้วยในปัญหาของศาสนาและความขัดแย้งอันนั้น จะนำไปสู่ความยุ่งยากอย่างใหญ่หลวงในโลก คนบางคนคิดว่านักบวชนคนนี้ถูก ในขณะเดียวกันบางคนชื่อว่า ความคิดของนักบวชอีกคนเป็นสิ่งถูกต้องและดังนั้นความแตกสามัคคี และการแบ่งแยกก็บังเกิดขึ้นในทุกศาสนา ลัทธิต่างๆ ได้ค่อยๆ เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย และผู้คนก็ทะเลาะกันในเรื่องการตีความหมายที่ต่างกันในพระคัมภีร์ศักดิสิทธิ์ของเขา และนี้จึงกลายเป็นเหตุแห่งการนองเลือดและทำสงครามกัน
เหตุการณ์เช่นนั้นจะไม่อาจเกิดขึ้นได้ในศาสนาบาไฮ ก่อนอื่นนั้น การไม่มีนักบวชหรือผู้ก่อตั้งตนเองในศาสนาบาไฮ ที่สามารถจะสร้างผู้เชื่อถือจากกลุ่มผู้นับถือเดียวกันทุกคนเท่าเทียมกันในทางศาสนา ประการที่สอง ไม่มีใครที่จะมีสิทธิ์ในการตีความหมายคำสอนและธรรมลิขิตของพระบาฮาอุลลาห์ได้ ซึ่งอำนาจนี้พระบาฮาอุลลาห์ได้มอบให้แก่พระอับดุลบาฮาผู้เดียวเท่านั้น และต่อมาจากพระอับดุลบาฮา สิทธิในการตีความหมายได้มอบให้แก่ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ คนเดียวเท่านั้น
เป็นอันตรายในการที่จะหาเลี้ยงชีพโดยอาศัยศาสนา เพราะว่ามีคนที่ไม่มีความจริงใจจำนวนมากมายอาจจะยึดเอาการหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีนี้ เพราะว่าไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากต้องการชีวิตความเป็นอยู่ที่สบาย หรือเพราะว่าเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำรายได้อย่างดี บุคคลเช่นนั้นมักจะนำผู้อื่นไปในทางที่ผิดด้วยการสวมเครื่องแบบของนักบวช และได้กระทำผิดทางศีลธรรมอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงศาสนา เพื่อที่จะทำประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง
พระบาฮาอุลลาห์ทรงยกเลิกสถาบันของนักบวช เพื่อไม่ให้ใครหวังที่จะนำศาสนาไปใช้ในทางที่ผิด ในการที่จะสนองความเห็นแก่ตัวของตน และเพื่อความอยากทางโลก
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าทุกครั้งที่มีองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้าจุติขึ้นในโลกนี้ นักบวชของศาสนาเก่าก่อนจะเป็นกลุ่มแรกที่พากันคัดค้าน เหตุผลเพราะอะไร เพราะว่านักบวชเหล่านั้นทราบว่า จะมีคนเชื่อในองค์พระศาสนทูตองค์ใหม่ พวกเขาจะต้องเสียตำแหน่งสละทรัพย์สมบัติของเขา และสิ่งอำนวยความสะดวกของเขาไป ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะกำจัดศาสนาใหม่ในทันทีที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเขา ลัทธิศาสนาพุทธ ถูกขับไล่ออกจากประเทศอินเดียโดยนักบวชสมัยนั้น พระเยซูคริสต์ถูกตรึงไม้กางเขนก็เพราะว่านักบวชชาวยิวต่อต้านพระองค์ พระบ๊อบถูกทรมานก็เพราะนักบวชมุสลิมไม่ต้องการให้ประชาชนนับถือพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงตลอดชีวิตของพระองค์ ก็เพราะผู้รู้ธรรมอิสลามได้ยุยงส่งเสริมรัฐบาลและประชาชนในสมัยนั้น ให้ลุกขึ้นต่อต้านศาสนาใหม่ของพระผู้เป็นเจ้า
แน่นอนย่อมมีข้อยกเว้น ที่นักบวชผู้มีการศึกษาหลายท่าน ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยของพระบ๊อบ และพระบาฮาอุลลาห์ได้มีความเชื่อในพระองค์ทั้งสอง และบางท่านได้สละโลหิตของท่านตามทางของพระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อท่านเหล่านั้นมีความเชื่อในพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์ ท่านเหล่านั้นจึงได้สละเพศนักบวช ท่านเหล่านั้นมาเป็นบาไฮศาสนิกชน เป็นผู้รับใช้ผู้ต่ำต้อยแห่งศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเหล่านั้นได้ยึดอาชีพเพื่อการประกอบอาชีพต่อไป ท่านเหล่านั้นไม่ได้หาเงินด้วยศาสนาหรือประกอบอาชีพโลกีย์ด้วยศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า
แทนที่จะให้นักบวชมาดูแลกิจทางศาสนาในชุมชน พระบาฮาอุลลาห์ทรงได้วางรากฐานแห่งระบบบริหารงานได้อย่างพิศวง ซึ่งเราทุกคนสามารถที่จะทำงานร่วมกันเพื่อความเจริญก้าวหน้าของศาสนา และเพื่อความผาสุกแห่งศีลธรรมของชุมชน หลักการบริหารของบาไฮเป็นวิชาทางพระมีพื้นฐานเช่นเดียวกับคำสอนอื่นๆ ของพระบาฮาอุลลาห์ เราจะอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในหน้าต่อไป
หลักการบริหารงานของศาสนาบาไฮคืออะไร
ถ้าหากว่ามีแม่น้ำอยู่ทางฝั่งหนึ่ง และมีทุ่งนาอันกว้างใหญ่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง แล้วเราจะนำเอาน้ำไปยังทุ่งนาได้อย่างทั่วถึงอย่างไร ถ้าเราประสงค์จะปลูกข้าว ก่อนอื่นเราต้องขุดคลองให้ใหญ่พอที่จะรับน้ำจากแม่น้ำได้อย่างเพียงพอเพื่อส่งน้ำเข้ายังพื้นที่ใหญ่ แล้วเราก็ขุดร่องน้ำเล็กๆ ที่จะรับน้ำจากคลองใหญ่ไปยังส่วนต่างๆ ของพื้นที่และในที่สุด เราจำเป็นต้องใช้ทางน้ำเล็กๆ นี้เพื่อนำเอาน้ำจากร่องน้ำเหล่านี้ส่งไปยังท้องนา และเมื่อใดที่ระบบการขุดคลองและทางน้ำเสร็จสมบูรณ์ แม่น้ำก็จะสามารถทดน้ำเข้าพื้นที่นาได้อย่างทั่วถึง
ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ บอกเราว่า หลักการบริหารของบาไฮก็เหมือนกับระบบการสร้างคลองและทางน้ำ โดยอาศัยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่หลั่งไหลไปสู่ชุมชนบาไฮที่กระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมโลก
สมัยก่อนนักบวชจะเป็นผู้ที่นำน้ำแห่งชีวิตจากต้นน้ำไปสู่ประชาชนสมัยนั้น แต่กำลังอำนาจของนักบวชมีจำกัด พวกเขาได้น้ำมาเพียงกำมือเดียวเท่านั้นเท่าที่กำลังมีอยู่และความกระตือรือร้น
แต่พระบาฮาอุลลาห์มิได้ทรงมอบหมายภาระนี้ให้แก่คนใดคนหนึ่ง พระองค์ทรงวางแผนช่องทางที่จะให้น้ำแห่งชีวิตไปยังทุ่งแห่งชีวิตได้อย่างน่าพิศวง ซึ่งโครงการนี้เรียกว่า ระเบียบแผนโลกของพระบาฮาอุลลาห์ และหลักการบริหารของบาไฮก็เป็นส่วนหนึ่งของระเบียบนี้
ครั้งแรกสุดพระบ๊อบเป็นผู้ประกาศข่าวดีแห่งระเบียบแผนโลกของพระบาฮาอุลลาห์ เมื่อตอนที่พระองค์ตรัสว่า
?เป็นผลดีแก่ผู้ที่เฝ้าดู ระเบียบแผนของพระบาฮาอุลลาห์และแสดงความขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้า ต่อการที่พระองค์ได้ทรงเปิดเผย?
พระบาฮาอุลลาห์ทรงวางรากฐานระเบียบแผนโลกนี้และทรงร่างโครงการนี้ขึ้นมา ต่อมาพระอับดุลบาฮาได้ทรงอธิบายโครงการแห่งเทพนี้แก่เราเป็นรายละเอียด และท่านก็เริ่มแปลความหมาย แต่ด้วยความพยา ยามตลอดชีพของท่านโชกิ เอฟเฟนดิ หลักการบริหารบาไฮก็ค่อยๆ ก่อตั้งขึ้น ท่านได้รวบรวมชุมชนต่างๆ เข้าด้วยกัน และทำให้ชุมชนเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งที่จะประกอบกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
หลักการบริหารของบาไฮจะต่างไปจากรูปแบบระเบียบของศาสนาอื่นๆ ทุกศาสนา เพราะว่าหลักการบริหารมิใช่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาตั้งขึ้น เป็นโครงการของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงประทานให้แก่เราสำหรับยุคนี้ โดยผ่านทางองค์พระศาสนทูตของพระองค์ พระบาฮาอุลลาห์ และพระองค์ยังทรงปรารถนาที่จะให้จัดสร้างระเบียบแบบแผนความสันติสุขให้หมู่มนุษย์ทุกคนในโลก
หลักการบริหารงานของบาไฮ ประกอบด้วยหลายๆ ส่วน แล้วแต่ละส่วนจะติดต่อเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ส่วนที่ประกอบด้วยธรรมสภาส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับเลือกจากบาไฮศาสนิกชนในหมู่บ้านและบาไฮศาสนิกชนในเมือง ธรรมสภาแห่งชาติซึ่งเลือกโดยบาไฮศาสนิกชนของประเทศนั้นๆ และสภายุติธรรมแห่งสากลซึ่งได้รับเลือกโดยบาไฮศาสนิกชนทั่วโลกโดยผ่านทางธรรมสภาแห่งชาติต่างๆ
ถ้าหากเราจะคิดถึงธรรมสภาส่วนท้องถิ่นก็เปรียบเหมือนกับทางน้ำที่นำน้ำมาจากคลองแล้วส่งไปยังส่วนต่างๆ ของท้องนา ส่วนธรรมสภาแห่งชาติเป็นเสมือนคลองที่ต่อเนื่องกับทางน้ำที่จะไปสู่ลำคลองใหญ่ซึ่งได้รับน้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำอีกที และสภายุติธรรมก็คือลำน้ำใหญ่ สภายุติธรรมแห่งสากลจึงเป็นแนวทางของพระผู้เป็นเจ้าที่จะไหลผ่านเข้าไปยังทุกส่วนของโลก
ก่อนที่เราจะพูดถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของธรรมสภานั้น ขอให้เรามาทำความเข้าใจให้ดีเสีย ก่อนว่า หลักการบริหารของบาไฮจะไม่แยกออกจากคำสอนอื่นๆ ของพระบาฮาอุลลาห์ จะไม่มีบาไฮศาสนิกชนคนใดที่เชื่อในพระบาฮาอุลลาห์แต่ไม่ยอมรับระเบียบบริหารงานของพระองค์ และไม่ทำตามระเบียบที่วางไว้ เพราะว่าสาส์นของพระผู้เป็นเจ้ามิได้บัญญัติขึ้นเพื่อความสุขของคนใดคนหนึ่งแต่มีไว้เพื่อความสามัครสมานความผาสุกของสังคม นี่คือแผนผังแสดงถึงหลักการบริหารงานของเรา
ดังที่ท่านได้เห็นจากแผนภาพข้างต้น ทุกคนที่อยู่ในสังคมก็เหมือนกับเมล็ดข้าวโพดที่อยู่ในท้องนาแห่งหนึ่ง เมล็ดข้าวโพดหนึ่งๆ จะมีความหมายเพียงน้อย แต่ถ้าหากเมล็ดข้าวโพดแต่ละเมล็ดได้รับน้ำที่ไหลเข้ามาเพื่อยังประโยชน์แก่ท้องนาโดยทั่วถึง
เราจะต้องทราบว่า ความสุขของเราทุกคนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความผาสุกของสังคมที่มีความสามัคคี และ ให้พยายามต่อสู่เพื่อความมั่นคงแก่ระเบียบการบริหารงานนี้ซึ่งจะเป็นความหวังของมวลมนุษย์ในภายภาคหน้า
การเลือกตั้งธรรมสภา
ในพระคัมภีร์อัคดัส พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญญัติไว้ว่าทุกท้องที่ที่มีบาไฮศาสนิกชนที่เป็นผู้ใหญ่จำนวน 9 คน หรือมากกว่า 9 คน จะต้องมีการเลือกตั้งธรรมสภาขึ้น ธรรมสภาก็เหมือนกับสภาที่คอยดูแลท้องถิ่นของตนที่ประจำอยู่
เราเลือกตั้งธรรมสภาท้องถิ่นได้อย่างไร ขอให้เราลองสมมุติว่า บาไฮศาสนิกชนของลำเพยซึ่งเป็นหมู่บ้านหนึ่งในประเทศไทยมีบาไฮศาสนิกชนอยู่ 60 คน ประสงค์ที่จะเลือกตั้งธรรมสภาของพวกเขา และนี่เป็นประเด็นที่พวกเขาควรจดจำ
- เขาจะตั้งธรรมสภาของเขาในช่วงหนึ่งช่วงใดของปีไม่ได้ เขาจะต้องทำการเลือกตั้งธรรมสภาได้ใน
วันที่ 21 เมษายนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นวันประกาศศาสนาประจำปีของพระบาฮาอุลลาห์ เป็นวันที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศศาสนาในสวนเรซวาน ซึ่งพระองค์ก็คือพระผู้มาตามคำสัญญาตามคำทำนายของทุกศาสนา วันที่ 21 เมษายนเป็นวันแรกของวันฉลองเรซวาน และเป็นวันเดียวเท่านั้นที่บาไฮศาสนิกชนจะทำการเลือกตั้งธรรมสภาของตน ถ้าหากธรรมสภาใดที่ไม่มีการเลือกตั้งภายใน 24 ชั่วโมงในช่วงระหว่างดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าของวันที่ 20 เมษายน และดวงอาทิตย์ตกในวันที่ 21 เมษายนแล้ว ตลอดปีนั้นก็ต้องให้ผ่านไปเสียก่อนจนกว่าจะถึงวันที่ 21 เมษายน ของปีหน้า ก็จะเป็นวันเลือกตั้งที่จะบรรจบมาอีกครั้ง
- จะต้องเป็นบาไฮศาสนิกชนผู้มีอายุ 21 ปี หรือมากกว่า 21 ปี เท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง
และรับเลือกตั้งธรรมสภาได้ ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าหากกลุ่มบาไฮศาสนิกชนจำนวน 60 คน ที่อาศัยอยู่ในลำเพย แต่มีชายหญิงจำนวน 35 คน ที่มีอายุ 21 ปี และมากกว่า 21 ปี ต้องเป็นบาไฮศาสนิกชนจำนวน 35 คนเท่านั้นจะออกเสียงเลือกตั้งสำหรับธรรมสภาของเขา สมาชิกบุคคลที่พวกเขาจะเลือกเป็นธรรมสภาของเขานั้นก็จะต้องมาจากกลุ่มบุคคลชายหญิง 35 คนนั้น
- ทุกคนที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงจะต้องเขียนรายชื่อของบุคคล 9 ท่านจะเป็นชายหรือญิงก็ได้ ที่มี
คุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะได้รับเลือกเข้าในธรรมสภา การลงคะแนนเสียงนั้นจะต้องทำถูกต้องคือ ไม่มากหรือน้อยกว่า 9 รายชื่อดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
- บุคคลจะไม่ได้รับเลือกอยู่ในธรรมสภานั้นอันเนื่องจากความร่ำรวยของเขา ความมีชื่อเสียงใน
สังคม หรือเพราะว่า เขาได้แสดงความกรุณาต่อเรา แล้วเราปรารถนาที่จะตอบแทนเขา แต่เป็นเพราะว่าความจริงใจของเขา และความเสียสละของเขาที่มีต่อศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า พร้อมทั้งเขาสามารถที่จะรับใช้ศาสนา บาไฮศาสนิกชนทุกคนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงควรที่จะพิจารณาคุณสมบัติ และนิสัยใจคอของชายหญิงในชุมชนของเขา และให้สวดมนต์อธิษฐานถึงพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งอาจช่วยแนะรายชื่อคนเหมาะสมแก่ธรรมสภา
- ห้ามมิให้บาไฮศาสนิกชนคนใดเสนอบุคคลซึ่งตนเห็นว่าควรเป็นสมาชิกของธรรมสภาแก่คนอื่น ๆ
ไม่ว่าบุคคลนั้นจะดีเพียงใดก็ตาม พระบาฮาอุลลาห์ทรงห้ามเราในการเสนอชื่อหรือพยายามที่จะดึงความสนใจให้คนหนึ่งคนใดเป็นพิเศษในช่วงระหว่างหรือก่อนการเลือกตั้ง ไม่มีใครในสังคมบาไฮที่จะต้องทราบชื่อของอีกคนหนึ่งหรือตั้งใจที่จะทราบชื่อที่มีอยู่ในใบลงคะแนนเสียง ถึงแม้ว่าจะเป็นสามีภรรยา เป็นเพื่อนสนิทกันก็ตาม ก็มิให้มีการปรึกษากันว่าเขาควรที่จะเลือกใคร บาไฮศาสนิกชนทุกคนจะต้องขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และทำการตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง โดยไม่ได้รับอิทธิพลด้วยความคิดเห็นของผู้อื่น จะมีก็เฉพาะบาไฮศาสนิกชนผู้ที่เขียนหนังสือไม่ได้เท่านั้นที่ได้อนุญาตถามหาบุคคลที่ควรแก่การเชื่อถือเพื่อเขียนรายชื่อของชายหรือหญิงที่ผู้อื่นบอกมา
เมื่อมีหลักเกณฑ์ประเด็เหล่านี้อยู่ในใจแล้ว บาไฮศาสนิกชนของลำเพยก็ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกธรรมสภาของเขาสำหรับปีนั้นได้ ถ้าหากพวกเขามารวมกัน ณ สถานที่หนึ่งเพื่อลงคะแนนเสียงของเขา พวกเขาก็จะเริ่มการประชุมของเขาด้วยการสวดมนต์อธิษฐานของความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า เพื่อประทานพรแก่เขาในการปฏิบัติภาระอันศักดิ์สิทธิ์ แล้วให้เก็บรวบรวมบัตรเลือกตั้ง แล้วให้บาไฮศาสนิกชน 2-3 คน ช่วยนับใบลงคะแนนเลือกเสียง คนหนึ่งเป็นผู้อ่านรายชื่อที่เขียนไว้ในแผ่นกระดาษ ในขณะที่อีก 2 หรือ 3 คนจะเป็นผู้บันทึกจำนวนใบลงคะแนนเสียงที่ได้รับจากทุกคน บาไฮศาสนิกชน 9 ท่านผู้ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด ก็จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกของธรรมสภาส่วนท้องถิ่นในปีนั้น
ตัวอย่าง บาไฮศาสนิกชนของลำเพย เช่นเดียวกับบาไฮศาสนิกชนในอีกหลายพันหมู่บ้าน ในเมือง และประเทศต่างๆ ในประเทศตะวันออก และประเทศตะวันตก ที่ได้รับพระพรในการเลือกธรรมสภาที่จะดำเนินการรับใช้ชุมชนของเขาจนถึงวันแรกของเรซวานในปีหน้า เมื่อนั้นขั้นตอนของการเลือกตั้งก็จะนำมากระทำอีกครั้งหนึ่งตลอดทั่วสังคมบาไฮ
หน้าที่ของธรรมสภาท้องถิ่น
พระบาฮาอุลลาห์ทรงกล่าวถึง หน้าที่ของธรรมสภาไว้ว่า
?จำเป็นที่พวกเขาจะต้องให้ความไว้วางใจบุคคลของพระผู้มีเมตตาในบรรดาเพื่อนมนุษย์ และให้คิดว่าเขาเหล่านั้นเป็นเสมือนผู้พิทักษ์ดูแล ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ให้ถือเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะปรึกษาร่วมกัน และคอยดูแลผลประโยชน์ของผู้รับใช้แห่งพระผู้เป็นเจ้า เพื่อผล ประโยชน์ของพระองค์ แม้ว่าพวกเขาจะคิดถึงผลประโยชน์ของตนก็ตาม และเพื่อที่จะเลือกดูว่าสิ่งไหนอันไหน แบบไหนที่มีความเหมาะสมและสมควร เพราะฉะนั้นขอให้เจ้าจงปฏิบัติในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาแก่เจ้า ขอจงระวังเพื่อเจ้าจะได้เก็บเอาสิ่งที่ได้เปิดเผยไว้อย่างชัดเจนในพระบัญญัติของพระองค์ จงเกรงกลัวต่อพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเจ้าจะได้มีความเข้าใจ?
ธรรมสภาของทุกหมู่บ้าน ทุกเมือง จะต้องรักษาผลประโยชน์ของบาไฮศาสนิกชนในท้องถิ่นนั้นๆ
งานชิ้นสำคัญที่สุดของธรรมสภา คือ เพื่อช่วยเหลือบาไฮศาสนิกชน สอนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า ?สาส์นของพระบาฮาอุลลาห์คือบ่อเกิดแห่งพรทั้งปวงเพื่อมวลมนุษย์ชาติทุกคนและธรรมสภาของเราจะต้องเป็นช่องทางให้ความกรุณานี้ไปสู่ประชาชนในทุกภาคของโลก
เมื่อใดที่ท่านได้จัดตั้งธรรมสภาของท่านได้แล้ว เชื่อแน่เหลือเกินว่าธรรมสภาจะถือเอาเรื่องการสอนเป็นภารกิจที่สำคัญ
หน้าที่สำคัญอื่นๆ ของธรรมสภา คือ ให้พยายามส่งเสริมมิตรภาพความรักซึ่งกันและกันในกลุ่มธรรม สภา ?จะต้องสร้างบรรยากาศแห่งความรักความสามัคคีในหมู่บาไฮศาสนิกชน ธรรมสภาจะต้องดูแลให้ทุกคนมีความสุขในชุมชนนั้น ถ้าหากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่เพื่อนบาไฮ ถือเป็นหน้าที่ของธรรมสภาที่จะต้องดูแลปัดเป่าให้สิ้นไป ธรรมสภาแต่ละแห่งจะต้องทำหน้าที่เหมือนกับบิดาผู้เฉลียวฉลาด มีความรักต่อบาไฮศาสนิกชนในท้องถิ่นตน
บทบัญญัติเกี่ยวกับหน้าที่ของธรรมสภานั้น ท่านผู้พิทักษ์ศาสนาได้กล่าวไว้ว่า
?เราจะต้องกระทำอย่างเต็มที่ในการที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนยากจน คนเจ็บป่วย คนพิการ เด็กกำพร้า แม่หม้าย โดยไม่คำนึงถือสีผิว ชั้นวรรณะและศาสนา?
ทุกธรรมสภาจะต้องมีกองทุนเป็นของตนเอง เราจะเห็นวิธีที่เงินกองทุนนี้เก็บรวบรวมมาได้อย่างไร ก็โดยบริจาคอย่างเสียสละของเพื่อนๆ และวิธีการนำมาใช้ประโยชน์เพื่อประโยชน์ทางศาสนาและชุมชน ถ้าหากบาไฮศานิกชนคนใดคอยบำรุงเพิ่มเติมเงินกองทุนของธรรมสภาของเขา ในทางกลับกันธรรมสภาก็จะนำมาช่วยเหลือพวกเขาในยามที่เขาจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ
การศึกษาของเด็กบาไฮ และเยาวชนบาไฮก็เป็นความรับผิดชอบอีกอย่างหนึ่งของธรรมสภาของเรา ดังถ้อยคำของท่านผู้พิทักษ์ศาสนา มีว่า ?พวกเขาจะต้องสนับสนุนส่งเสริมทางวัตถุทุกวิถีทางอย่างสุดกำลัง รวม ทั้งการส่งเสริมอบรมศีลธรรมแก่เยาวชน ความสำคัญในการให้การศึกษาแก่เด็กถ้าเป็นไปได้ จะให้สถาบัน การศึกษาของบาไฮเป็นสถาบันที่รวบรวมและคอยดูแลกิจการ และหาวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อพัฒนาให้เกิดความ ก้าวหน้าแก่พวกเขา?
หน้าที่ที่สำคัญของธรรมสภาอีกอย่างตามคำกล่าวของท่านผู้พิทักษ์ศาสนา คือ ?พวกเขาจะต้องอาสาจัดการประชุมอย่างสม่ำเสมอระหว่างเพื่อนๆ จัดงานฉลองและจัดงานครบรอบรวมทั้งการพบปะกันพิเศษ อันมีจุดมุ่งหมายรับใช้และส่งเสริมทางสังคม ปัญญา และประโยชน์อื่นๆ ทางศีลธรรมให้แก่เพื่อนมนุษย์ของเขา?
สิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นเป็นหน้าที่สำคัญๆ ของธรรมสภาแห่งท้องถิ่นทุกแห่ง สมาชิกของธรรมสภาทุกคนจะต้องระวังอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เกิดการเพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเขา พวกเขาจะจำพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ไว้อยู่เสมอ
?จำเป็นที่พวกเขาจะได้มีความไว้วางใจบุคคลของพระผู้เมตตาในหมู่มนุษย์ และให้นึกถึงประโยชน์ของผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า?
เจ้าหน้าที่ของธรรมสภา
สมาชิกของธรรมสภาหนึ่งๆ จะต้องมี 9 ท่าน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงมากว่าคนอื่นๆ ในชุมชนนั้นๆ ในวันที่มีการเลือกตั้ง สิ่งแรกที่สมาชิกของธรรมสภาจะต้องปฏิบัติหลังจากเสร็จการเลือกตั้งแล้ว คือ รวมกลุ่มและจัดการประชุมขึ้นเป็นครั้งแรก ในจำนวน 9 ท่านที่ได้รับเลือกตั้ง ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดกว่าอีก 8 ท่านก็จะ ต้องเป็นประธานชั่วคราวและเป็นผู้นัดให้สมาชิกท่านอื่นๆ มาประชุมครั้งแรกทันทีถ้าเป็นไปได้
พวกเขาจะต้องเริ่มการประชุมด้วยการสวดอธิษฐานขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเหลือเขาในเรื่องการส่งเสริมศาสนาของพระองค์และการรับใช้ชุมชนที่ตนได้รับเลือก หลังจากนั้นจะต้องทำการเลือกเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาของปีนั้นด้วย
ธรรมสภาทุกแห่งจะต้องมีประธาน รองประธาน เลขานุการ และเหรัญญิก นี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานของธรรมสภามีความสะดวกขึ้น
งานของผู้ที่เป็นประธาน คือ เป็นผู้ดำเนินการประชุมและคอยช่วยเหลือให้ธรรมสภาได้มีการตัดสินใจในบางอย่าง ถ้าหากสมาชิกจะมาเพื่อรวมกลุ่มพูดคุยแล้วแยกย้ายกับไป พวกเขาจะมาใช้ธรรมสภาไม่ได้เด็ดขาด ประธานจะเป็นผู้ถามความคิดเห็นของสมาชิกทุกคนในเรื่องนั้นๆ เพื่อมาตัดสินใจ หลังจากนั้นรอให้พวกเขาลงมติในเรื่องนั้น และให้มีความแน่ใจว่าธรรมสภาได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธรรมสภาในบทที่เกี่ยวกับการปรึกษาหารือ เราจะได้อ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้
รองประธานจะเป็นผู้ดำเนินการประชุมให้แก่ธรรมสภาในกรณีที่ประธานไม่อาจมาประชุมได้ เช่น ในกรณีเจ็บป่วย เป็นต้น
เลขานุการเป็นบุคคลที่เก็บบันทึกงานทุกอย่างของธรรมสภาที่ได้ทำไป และทำสำเร็จลุล่วงไปแล้ว เลขานุการจะเขียนจดหมายทุกฉบับที่จะต้องส่งให้แก่สมาชิกทุกคน ส่งให้แก่ธรรมสภาแห่งท้องถิ่น ทุกแห่งจะ ต้องข้องเกี่ยวกับคนอื่นๆ ในสังคมบาไฮก็โดยผ่านทางเลขานุการ
เหรัญญิกมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับกองทุนของธรรมสภา เขาจะต้องออกใบเสร็จรับเงินแก่ทุกคนที่บริจาคให้แก่กองทุน และเป็นผู้จ่ายเงินจำนวนนี้แก่ธรรมสภาไว้ใช้จ่ายรับรอง
เมื่อได้มีการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาแล้ว สมาชิกจะต้องมุ่งดูความสามารถของแต่ละคน และให้ดูว่าใครในกลุ่มที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้มากกว่าก็จะได้มอบหมายให้แก่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ หลักเกณฑ์เช่นเดียวกันนี้ก็จะใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกของธรรมสภา และตอนที่นำมาใช้กับการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเลือกตั้งนี้จะดำเนิน โดยการเขียนใบลงคะแนนเสียงอย่างเป็นความลับ และไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด ไม่ควรเลือกผู้ที่หวังประโยชน์เพื่อฐานะทางสังคมของเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในจำนวนสมาชิกของธรรมสภามีบุคคลที่อาวุโสเป็นที่นับถือในชุมชนนั้นอันเนื่องจากวัยของเขาแล้ว ก็จะไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้เขาไม่ได้รับเลือกเป็นประธาน เว้นเสียแต่ว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถในการดำเนินหน้าที่ของเขา เช่นเดียวกับความจริงที่ว่าบุคคลซึ่งความมั่งคั่งของเขาได้ให้ตำแหน่งทางสังคมแก่เขานั่นเอง
ในอีกแง่หนึ่ง เราจะต้องรู้ไว้ด้วยว่าเจ้าหน้าที่ของธรรมสภานั้นจะไม่ได้รับตำแหน่งทางสังคมใดๆ ในชุมชนนั้น ยกตัวอย่างเช่น ประธานมิใช่เป็นผู้นำของชุมชน หรือไม่ใช่เป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือมากที่สุด สถานะของเขาซึ่งอยู่นอกธรรมสภาก็เหมือนกับสมาชิกคนอื่นๆ ของชุมชนนั้น ทันทีที่การประชุมของธรรมสภาเสร็จสิ้นแล้ว เขาจะไม่มีสิทธิ์มากเกินกว่าบาไฮศาสนิกชนคนอื่นๆ ในชุมชน
เพื่อที่จะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอให้เราคิดถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งต้องการน้ำดื่มบริสุทธิ์ และตัดสิน ใจที่จะขุดบ่อน้ำขึ้นใช้ ผู้ใหญ่บ้านแม้จะเป็นผู้ที่ประธานให้ความนับถือก็อาจจะไม่มีความรู้ในวิธีการขุดบ่อน้ำ ในขณะที่มีชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่มีตำแหน่งพิเศษอันใดในหมู่บ้านนั้นอาจจะมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างเชี่ยวชาญ จากชายทั้ง 2 คนที่ได้กล่าวมาแล้ว ชาวบ้านจะเลือกเอาคนใดมาดำเนินงาน ต้องเป็นชายหนุ่มที่จะได้รับมอบหมายงานชิ้นนั้น ส่วนผู้ใหญ่บ้านก็อาจจะเป็นคนแรกที่เลือกชายหนุ่มผู้นั้นสำหรับจุดประสงค์นี้ และขณะที่กำลังขุดบ่อน้ำอยู่นั้น ชาวบ้านทุกคนหรือแม้แต่ผู้ใหญ่บ้านเอง ก็ต้องยอมรับคำแนะนำของชายหนุ่มคนที่ชาวบ้านเองได้เลือกเพื่อดำเนินงานนี้ แต่นี้ไม่ได้หมายความว่าชายหนุ่มคนนั้นจะกลายมาเป็นผู้นำชาวบ้านในทุกสิ่งทุกอย่าง หรือผู้ใหญ่บ้านคนนั้นจะต้องสูญเสียตำแหน่งของเขาในชุมชนแห่งนั้น แต่ความร่วมใจอันนี้ จะเป็นผลดีแก่ทุกคนในหมู่บ้านนั้น
เป็นสิ่งที่มีอยู่ในความรักความร่วมใจ และความสามัคคีที่จะทำให้บาไฮศาสนิกชนเลือกธรรมสภาของเขา และธรรมสภาเลือกเจ้าหน้าที่ของเขาได้
ท่านศาสนภิบาลได้เขียนไว้ว่า ?สมาชิกของธรรมสภาหนึ่งๆ ควรจะเริ่มภารกิจของเขาด้วยความถ่อมตน และด้วยความพยายาม โดยความใจกว้างของเขา โดยความสำนึกในความยุติธรรมและหน้าที่ ไม่มีอคติ ด้วยความสงบเสงี่ยม ด้วยความเสียสละอย่างแท้จริง เพื่อความผาสุกและผลประโยชน์ของเพื่อน ของศาสนา และของมวลมนุษย์ซึ่งไม่เพียงแต่จะชนะความไว้วางใจเท่านั้น แต่ยังได้ความสนับสนุนและความนับถืออย่างแท้จริง จากผู้ที่พวกเขารับใช้ และยังได้รับความนิยมรักใคร่อย่างแท้จริง?
งานของธรรมสภา
สมมติว่า หมู่บ้านลำเพยได้เลือกธรรมสภาแห่งท้องถิ่นของเขาแล้ว และนายแสงได้รับคะแนนเสียงมากกว่าคนอื่น 8 คน ต่อไปจะเป็นอย่างไร นายแสงก็จะเชิญสมาชิกคนอื่นๆ มาร่วมกันในสถานที่แห่งหนึ่งตอนเวลาพิเศษ เพื่อจัดประชุมขึ้นเป็นครั้งแรก พวกเขาตัดสินใจที่จะประชุมกันหนึ่งชั่วโมงหลังจากดวงอาทิตย์ตกในวันที่ 22 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่สองของการฉลองเรซวาน และสถานที่ก็คือจัตุรัสหมู่บ้าน ซึ่งเราจะติดตามพวกเขาที่นั้นเพื่อดูสิ่งที่เขากระทำ
นายแสงมาถึงก่อนเวลา เขาได้นำตะเกียงมาด้วยเผื่อว่าการประชุมของเขาอาจจะต่อไปจนกระทั่งค่ำ ตอนนี้สมาชิกคนอื่นๆ เริ่มกลับมาจากการทำงานในท้องทุ่งของเขา พวกเขาพบปะกันแล้วเดินไปยังบ่อน้ำของหมู่บ้านเพื่อซักล้าง หลังจากเนื้อตัวสะอาดหมดจดแล้ว พวกเขาก็ไปรวมกันที่บนลานจัตุรัสหมู่บ้าน สักประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากดวงอาทิตย์ตก นายแสงได้ประกาศว่าธรรมสภาจะเริ่มการทำงาน ณ บัดนี้
ก่อนอื่นจะต้องมีสมาชิก 2-3 คน สวดมนต์อธิษฐาน ซึ่งการสวดมนต์อธิษฐานนี้จะส่งผลให้บรรยากาศของการประชุมเป็นที่น่าพิศวง แล้วจากนั้น นายแสงก็กล่าวว่า เราจะต้องเลือกประธานของธรรมสภา นายแสงจึงตัดกระดาษเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วส่งให้สมาชิกคนละแผ่น ขอให้พวกเขาเขียนรายชื่อของบุคคลที่เขาเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในกลุ่มเพื่อเป็นประธานของธรรมสภา
บาไฮศาสนิกชนของหมู่บ้านลำเพยเพิ่งจะศรัทธาในศาสนา มีสมาชิก 5 คน ที่เขียนหนังสือไม่ได้ ดังนั้นนายแสงจึงขอให้สมาชิกธรรมสภาคนหนึ่งเข้าไปหาสมาชิกแต่ละคนที่เขียนไม่ได้ แล้วให้แต่ละคนเลือกประธาน กระดาษ 9 แผ่น จะถูกรวบรวมปะปนกัน เพื่อว่าจะได้ไม่มีใครบอกได้ว่าแผ่นไหนเป็นของใคร หลังจากนั้นนายแสงก็ได้ขอให้สมาชิก 2 คนช่วยเขานับใบคะแนนเสียง ในขณะเดียวกันนั้นตัวเขาเองก็จะอ่านรายชื่อทีละคนส่วนกรรมการอีก 2 คน ก็จะจดรายชื่อที่อ่านมานั้นลงในกระดาษและนับชื่อเหล่านั้นเพื่อดูว่าชื่อของสมาชิกคนใดที่ได้รับคะแนนเสียงมากกว่าคนอื่นๆ
นายบุญมาได้รับคะแนนเสียง 5 คะแนน นายแสงได้รับ 3 คะแนน และนางสมพรได้รับ 1 คะแนน เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีใครได้รับมากกว่า 4 คะแนนเสียง พวกเขาก็ต้องทำการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาแต่ละคนจะต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 5 เสียง จึงจะได้รับเลือก แต่เมื่อไม่มีใครที่ได้รับคะแนนเสียงในจำนวนนี้ การเลือกตั้งก็จะต้องทำใหม่ จนกว่าจะได้ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงตามที่ต้องการ
ตอนนี้นายบุญมาได้รับเลือกเป็นประธาน จึงเป็นหน้าที่ของเขาที่จะทำการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ที่เหลือของธรรมสภา หลังจากที่ได้ขอบคุณนายแสงที่ได้ทำหน้าที่เป็นประธานแล้ว นายบุญมาจึงได้ดำเนินการส่งแผ่นกระดาษให้แก่สมาชิกทุกคนที่จะต้องลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกรองประธาน กรรมวิธีเดียวกันนี้ก็จะทำต่อไปเหมือนกับเลือกตั้งประธาน ซึ่งตอนนี้จะเป็นการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของธรรมสภา
ผลของการเลือกตั้งปรากฏว่า นางวรรณดี ได้รับเลือกให้เป็นรองประธาน นายแสงเป็นเลขานุการ และนายปาน เป็นเหรัญญิกของธรรมสภาแห่งท้องถิ่นของหมู่บ้านลำเพย
แล้วประธานก็ขอให้เลขานุการบันทึกสิ่งที่ได้กระทำไปในการประชุมครั้งแรกของธรรมสภา
เวลานี้ก็ค่ำแล้ว มีสมาชิกคนหนึ่งเสนอว่าพวกเขาควรปิดการประชุม และมาพบกันอีกในวันต่อไป ทุกคนเห็นด้วยต่อข้อเสนอนี้ และได้ลงมติที่จะมีการประชุมครั้งต่อไปในวันรุ่งขึ้นเวลาเดียวกัน และสถานที่เดิม ปิดการประชุมด้วยการสวดมนต์ เช่นเดียวกับการชุมนุมของบาไฮที่สมาชิกของธรรมสภาควรจะกระทำก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
เราจะอ่านเกี่ยวกับการประชุมครั้งที่ 2 ในหน้าต่อไป
การปรึกษาหารือ
การบริหารงานของบาไฮจะดำเนินด้วยการปรึกษาหารือ การปรึกษาหารือกันจะนำมาใช้กับการดำเนินกิจของบาไฮศาสนิกชนในวันฉลองบุญ 19 วัน ในธรรมสภาแห่งท้องถิ่น การประชุมประจำปี ในธรรมสภาแห่งชาติ และในการประชุมคณะกรรมการ และการประชุมอื่นๆ ท่านศาสนภิบาลได้บอกให้เราจำสิ่งสำคัญ 2 ประการที่เมื่อเรากำลังทำการปรึกษาหารือกันอยู่ในการชุมนุมของบาไฮศาสนิกชน คือความซื่อสัตย์และซื่อตรง
ขณะที่เรารวมกันในการประชุมบาไฮ เราจะต้องคิดอยู่เสมอว่า พระบาฮาอุลลาห์จะอยู่เคียงข้างในดวงวิญญาณ อันก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งจิตใจได้อย่างวิเศษซึ่งจะช่วยเราในการปรึกษาหารือได้ ถ้าหากเรารู้สึกว่าพระบาฮาอุลลาห์มาสถิตอยู่ในที่ประชุมของเรา เราก็จะพยายามที่จะเป็นผู้รับใช้ที่สูงค่าแห่งศาสนาของพระองค์ ไม่ว่าเราจะกำลังรับใช้ในธรรมสภา ในคณะกรรมการหรือในงานฉลองบุญ 19 วัน เราก็จะพยายามทุกอย่างที่จะกำจัดความเห็นแก่ตัว หรือคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องในตอนที่เรากำลังร่วมอยู่ในการปรึกษา หารืออยู่ จะไม่พบร่องรอยแห่งความไม่จริงอยู่ในการสนทนา และในการพูดคุยอยู่นั้นจะไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากความจริง เพราะพระบาฮาอุลลาห์ตรัสไว้ว่า
?ดูกร บุตรผู้ไม่ประมาท
อย่าได้คิดว่าความลับในหัวใจนั้นจะซ่อนได้ เปล่าเลยจงรู้ไว้เถิดว่าความลับเช่นว่านั้นได้จารึกไว้เหมือนตัวอักษรชัดเจนและพระผู้เป็นเจ้าจะทรงประจักษ์อยู่เสมอ?
ในการปรึกษาหารือของบาไฮศาสนิกชน ทุกคนควรจะแสดงความคิดเห็นของตนอย่างอิสระ เขาควรจะคิดถึงผลประโยชน์ของศาสนาเท่านั้น และให้ลืมความสัมพันธ์ส่วนตัวของตนที่มีต่อคนอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพ่อกับลูกเป็นสมาชิกของธรรมสภาแห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาที่ปรึกษาหารือหรือในช่วงที่มีการลงคะแนนเสียง ผู้เป็นลูกไม่ควรจะคิดถึงหน้าที่ของตนด้วยการเห็นด้วยกับพ่อ แม้ว่าบาไฮสาสนิกชนจะได้มีการบัญญัติให้เคารพนับถือพ่อแม่ของตนอย่างสูงสุด แต่เมื่อพวกเขากำลังอยู่ในการปรึกษาหารือของบาไฮ เขาจะต้องจำไว้ว่าเขานั้นมีความรับผิดชอบต่อพระบาฮาอุลลาห์เท่านั้น ซึ่งได้สถิตอยู่ในการประชุมของพวกเขา และเป็นศาสนาที่เขากำลังรับใช้อยู่ เพราะฉะนั้นไม่ควรที่จะให้ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกผลประโยชน์ของศาสนาเพราะฉะนั้นถ้าหากลูกคิดว่า ความคิดของพ่อผิดก็เป็นหน้าที่ของลูกที่จะพูดเช่นนั้น และพ่อไม่ควรจะหวังว่าลูกของตนทำในสิ่งตรงกันข้าม เพราะว่าพ่อรู้ว่าเขาทั้ง 2 มาประชุมเพื่อรับใช้ศาสนาด้วยความซื่อสัตย์และไม่หวังที่จะทำให้อีกคนหนึ่งพอใจกับความคิดของตน
ขอให้เราระวัง อย่าให้ความริษยาไม่เต็มใจของตนคืบคลานเข้ามาสู่จิตใจของเราในเวลาที่มีการปรึกษาหารือกัน และอย่าให้มามีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากมีคนที่ข้าพเจ้ารู้จักคนหนึ่งไม่มีเวลาให้แก่ข้าพเจ้า เมื่อเข้าพเจ้าขอให้เขาทำบางสิ่งบางอย่าง ข้าพเจ้าก็ควรระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้มาทำให้เกิดอคติต่อความคิดของข้าพเจ้า ต่อคำแนะนำที่ดีบางอย่างที่บุคคลนั้นอาจจะให้ไว้ในที่ประชุม และนี่ก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะต้องจำไว้ว่าการสถิตของพระบาฮาอุลลาห์ ไม่ควรจะให้มีสิ่งอื่นใดเข้ามาในวิถีทางของการรับใช้ต่อศาสนาของพระองค์ เมื่อใดที่บาไฮศาสนิกชนมาร่วมกันในการประชุม เขาควรทำงานเหมือนอย่างเช่น ?นิ้วต่างๆ ของมือ? และเหมือนกับ ?หยดน้ำของมหาสมุทรเดียวกัน?
เราไม่ควรที่จะยืนยันในความคิดของเรา หรือไม่พยายามที่จะบังคับให้ผู้อื่นยอมรับในความคิดของเรา เราทุกคนคงเคยเห็นเด็กเล็กๆ 2 คน ทะเลาะกัน ในบางครั้งเด็กคนหนึ่งยืนกรานว่าตนถูกและเด็กอีกคนหนึ่งผิด เด็กทั้งสองอาจจะทะเลาะกันต่อไปด้วยเรื่องนี้กันอีกนาน โดยไม่เกิดผลอันใด แต่เมื่อพ่อของเด็กทั้งสองมาถึง เด็กก็จะลดเสียงลงด้วยความรักและความเคารพของตน และในที่สุด ปัญหาของเด็กทั้งสองก็จะได้รับการแก้ไขต่อหน้าพ่อของตน ถ้าหากเรารู้ว่า พระบาฮาอุลลาห์อยู่เคียงข้างเราในการประชุมทุกครั้ง เราก็จะไม่กระทำกิริยาอันไม่สมควรในขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่นั้น
ถึงแม้ว่าบาไฮศาสนิกชนทุกคนมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นของตนในการปรึกษาหารือก็ตาม แต่การตัดสินใจนั้นทำโดยอาศัยความคิดเห็นของสมาชิกส่วนใหญ่ ในการตัดสินใจครั้งหนึ่งๆ ก็ได้ชี้ขาดไปแล้ว บาไฮศาสนิกชนทุกคนจะต้องเคารพต่อคำตัดสินนั้น แม่ว่าผู้นั้นจะมีความคิดที่แตกต่างไปจากผู้อื่นก็ตาม เราลองสมมติว่า คุณสยามเป็นสมาชิกคนหนึ่งของธรรมสภาและได้เสนอว่าการประชุมเพื่อฉลองเทศกาลเรซวานวันที่ 12 นั้น ควรจะมาจัดในเช้าของวันที่ 2 พฤษภาคม แต่สมาชิกส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าบาไฮศาสนิกชนให้มาร่วมกันหลังจากดวงอาทิตย์ตกของวันที่ 1 พฤษภาคม ตอนนี้คุณสยามก็อาจจะมีเหตุผลในการเสนอแนะที่ดีมาก แต่ธรรมสภาได้ไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอนั้น คุณสยามก็ต้องเลิกล้มความคิดเห็นของตน แล้วยอมรับการตัดสินของธรรมสภาด้วยความเต็มใจ และพยายามในการช่วยเหลือจัดการประชุมหลังจากดวงอาทิตย์ตกดินอย่างดีที่สุด
พระอับดุลบาฮาตรัสว่า
?สมัยนี้ การปรึกษาหารือของธรรมสภาถือว่ามีความสำคัญอย่างมากและมีความจำเป็นที่สุด การเชื่อฟังต่อสมาชิกผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นกฎเกณฑ์ สมาชิกจะต้องทำการปรึกษากันอย่างสุขุมรอบคอบ ไม่ปล่อยให้โอกาสแห่งความรู้สึกที่ไม่ดีหรือความบาดหมางเกิดขึ้น เหตุการณ์อันนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ สมาชิกทุกคนได้แสดงความคิดเห็นของตนอย่างอิสระ และมีการชี้แจงเหตุผลของตน สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย เขาก็จะต้องโต้แย้งโดยไม่แสดงความรู้สึกที่รุนแรง จนกระทั่งเรื่องนั้นได้มีการแสดงเหตุผลกันอย่างเปิดเผยแล้วจุดประกายแห่งความจริงก็จะปรากฏออกมาหลังจากที่มีการปะทะความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน หลังจากที่ได้ตัดสินไปแล้ว ถ้าหากการตัดสินนั้นได้ตกลงเป็นเอกฉันท์เห็นด้วย พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามไม่ให้เกิดความคิดเห็นที่ต่างกัน ให้ถือเอาเสียงส่วนใหญ่เป็นเอกฉันท์?
แนวคิดต่างๆ ที่เสนอโดยสมาชิกของสภานั้นเหมือนกับส่วนผสมต่างๆ ของอาหารที่มีรสชาติอร่อย เมื่อเราต้องการที่จะทำอาหารที่ดีอย่างหนึ่ง เราก็ต้องผสมของหลายอย่างเข้าด้วยกัน แล้วต้มจนกระทั่งอาหารนั้นได้รับการปรุงเป็นอย่างดี มันจะอร่อยก็ต่อเมื่อส่วนผสมต่างๆ เข้ากันเป็นอย่างดี เพราะการช่วยเหลือของแต่ละคนจะปรุงแต่งรสชาติให้แก่อาหาร แต่ถ้าหากว่าเราได้ลิ้มรสส่วนผสมของอาหารทีละชนิดแยกกันแล้ว ส่วนผสมอาหารเหล่านั้นก็จะมีรสชาติที่ไม่กลมกล่อม เช่นเดียวกัน ความคิดเห็นส่วนตัวของงทุกคนที่เสนอมาโดยบาไฮ ศาสนิดชนก็จะนำมารวบรวมในที่ประชุม ช่วยให้บางสิ่งบางอย่างไปสู่การตัดสินใจครั้งสุดท้ายได้ แต่การตัดสินใจนั้นมิใช่เป็นความคิดเห็นของคนเพียงคนเดียว เป็นการตัดสินใจของธรรมสภา และผลการตัดสินนั้นได้รับมาจากความคิดของสมาชิกทุกคน
ในธรรมลิขิตต่อไปนี้ พระอับดุลบาฮาได้แสดงให้เห็นแนวทางอย่างชัดเจนว่า บาไฮศาสนิกชนควรจะปรึกษาหารือกันขอให้เราอ่านอย่างระมัดระวัง และนำมาปฏิบัติในการประชุมของเรา
?ในความจำเป็นขั้นต้นสำหรับไฮศาสนิกชน คือ การดำเนินการปรึกษาหารือร่วมกันถือว่าเป็นความบริสุทธิ์แห่งเจตนา เป็นความผ่องใสแห่งจิตใจ ไม่ยึดสิ่งอื่นใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า สนใจในความหอมหวนแห่งสวรรค์ของพระองค์ สนใจในความต่ำต้อยตกต่ำที่มีอยู่ในกลุ่มคนที่รักพระองค์ ความอดทนและความทุกข์ทรมานอันยาวนานต่อความลำบากและเป็นทาสรับใช้ ณ พระธรณีประตูอันสูงส่งของพระองค์ ควรที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือเพื่อให้ได้มา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เป็นชัยชนะจากอาณาจักรที่มิอาจเห็นได้ของพระบาฮาอุลลาห์อันจะได้รับตอบสนองแก่เขา?
?ข้อแม้อันแรกก คือ ความรักอันสูงส่ง และความสามัคคีของสมาชิกของธรรมสภา เขาจะต้องมีอิสระอย่างเต็มที่จากความบาดหมาง และจะต้องแสดงตนอยู่ในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเขาเป็นเสมือนคลื่นของทะเลเดียวกัน เป็นหยดน้ำของแม่น้ำเดียวกัน เป็นดวงดาราแห่งสวรรค์เดียวกัน เป็นแสงของดวงอาทิตย์เดียวกัน เป็นต้นไม้ในสวนเดียวกัน เป็นดอกไม้ในสวนเดียวกัน ควรจะมีความคิดที่สอดคล้องกัน และความสามัคคีจะอยู่ไม่ได้ถ้าการชุมนุมนั้นถูกแตกแยก และธรรมสภาจะลงเอยอย่างไร้ผล
ประการที่ 2 เมื่อพวกเขามาชุมนุมกัน เขาจะต้องหันหน้าไปยังอาณาจักรอันสูงส่ง และขอความช่วยเหลือจากราชอาณาจักรแห่งความรุ่งโรจน์ เขาจะดำเนินสืบเนื่องต่อไปด้วยความเสียสละ สุภาพ ผึ่งผาย ระมัดระวังและนุ่มนวลในการแสดงความคิดเห็นของเขา พวกเขาจะต้องศึกษาค้นคว้าหาความจริงในทุกเรื่อง และไม่ยืนยันในความคิดเห็นของตนเอง เพราะว่าความดื้อดึงและการยืนกรานในความคิดของตนนั้น จะนำไปสู่ความไม่ลงรอยกันและการโต้เถียงกัน แล้วความจริงจะถูกซ่อนเร้นไว้ สมาชิกผู้มีเกียรติจะต้องแสดงความคิดเห็นของตนอย่างอิสระและจะไม่ยอมให้ใครพูดดูถูกความคิดของผู้อื่น เขาจะต้องชี้แจงความจริงด้วยความนุ่มนวล และถ้าเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เสียงส่วนใหญ่จะต้องเป็นเอกฉันท์และทุกคนจะต้องเชื่อฟังยอมรับเสียงส่วนใหญ่ ไม่อนุญาตให้สมาชิกคนใดคัดค้านหรือตำหนิ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ประชุมหรือนอกที่ประชุม การตัดสินใจที่ลงมติไปแล้วแม้ว่าการตัดสินใจนั้นไม่ถูกต้องก็ตาม ตามกฎข้อบังคับห้ามมิให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวโดยย่อ สิ่งใดก็ตามที่ได้ดำเนินอยู่ในความสามัคคี ความรัก และความบริสุทธิ์แล้ว ผลที่จะได้รับก็จะสว่าง และอย่างน้อยที่สุดจะขจัดร่องรอยแห่งความบาดหมางอันเป็นผลให้เกิดความมืดปกคลุมความสิ้นหวัง?
?ถ้าหากได้ตระหนักในข้อนี้แล้ว ธรรมสภาก็จะเป็นของพระผู้เป็นเจ้าหรือมิฉะนั้นก็จะนำไปสู่ความเฉยเมย และความบาดหมางอันเนื่องมาจากมารซาตาน การถกเถียงกันจะอยู่ในขอบเขตแห่งศีลธรรมจรรยา อันเกี่ยวกับการฝึกอบรมดวงวิญญาณ การสอนเด็ก การบรรเทาทุกข์คนยากจน การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อ่อนแอทุกชั้นวรรณะในโลก ให้มีใจกรุณาต่อทุกคน แพร่ความหอมหวลของพระผู้เป็นเจ้า และการยกยอถ้อยวจนะเหล่านี้ประสบความสำเร็จ แล้วความดีงามแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะตอบแทนแก่เขา และธรรมสภาจะกลาย เป็นศูนย์กลางแห่งพระพรสวรรค์ เจ้าแห่งการรับรองจากสวรรค์ จะมาช่วยเหลือพวกเขา และจะได้รับการหลั่งไหลแห่งพระวิญญาณเพิ่มขึ้นทุกวัน?
กิจกรรมของธรรมสภา
ภาค 2
สมาชิก 9 ท่านของธรรมสภาแห่งหมู่บ้านลำเพย มาพบกันอีกครั้งในวันที่ 23 เมษายน ประธานจึงขอให้สมาชิกบางท่านสวดมนต์อธิษฐาน เป็นบทอธิษฐานที่เปิดเผยโดยพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮา มีบางบทที่พิเศษ ใช้อ่านในการประชุมหลังจากเปิดประชุม ด้วยการสวดอธิษฐานแล้วประธานก็ขอให้เลขานุการอ่านบันทึกการประชุมครั้งที่แล้วจากที่เขาได้ลงบันทึกไว้ นี้คือสิ่งที่เลขานุการได้อ่าน
?การประชุมครั้งแรกของธรรมสภาท้องถิ่นของหมู่บ้านลำเพยวันที่ 22 เมษายน หลังพระอาทิตย์ตกแล้วหนึ่งชั่วโมง สวดมนต์เปิดการประชุมแล้วนายแสงเป็นผู้ดำเนินการประชุมในส่วนแรก ในการเลือกตั้งประธาน ปรากฏว่านายบุญมา ได้รับเลือกเป็นประธาน จึงเป็นผู้ดำเนินการประชุมส่วนที่เหลือ การเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาได้ดำเนินต่อไป และต่อไปนี้เป็นสมาชิกที่ได้รับเลือก?
?นางวรรณดี เป็นรองประธาน นายปาน เป็นเหรัญญิก และนายแสงเป็นเลขานุการ?
?ได้ตกลงให้มีการประชุมของธรรมสภาครั้งต่อไปในวันที่ 23 เมษายน การประชุมได้สิ้นสุดลงด้วยการสวดมนต์ การประชุมใช้เวลา 3 ชั่วโมงหลังอาทิตย์ตก?
เมื่อเลขานุการได้อ่านจบแล้ว ประธานได้ถามสมาชิกคนอื่นๆ ว่าเห็นด้วยกับการบันทึกการประชุมครั้งที่แล้วหรือไม่ทุกคนเห็นด้วย การบันทึกถูกต้อง และนายแสงได้จดบันทึกการประชุมครั้งที่แล้วได้นำมาอ่านและเป็นที่เห็นด้วย
แล้วประธานได้ประกาศว่าจุดมุ่งหมายที่สำคัญของธรรมสภาทุกแห่ง คือ การเผยแพร่สาส์นของพระผู้เป็นเจ้า เราปรึกษากันเรื่องนี้ในที่ประชุม
แล้วประธานได้เชิญชวนสมาชิกทุกคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อพวกเขาทุกคนได้แสดงความคิดเห็นประธานจึงสรุปได้ดังนี้
- เราจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับศาสนาเพิ่มเติม
- เราจำเป็นต้องมีหนังสือวรรณกรรม
- เราต้องการเงินทุน
- เราต้องเริ่มกิจกรรมการสอนศาสนาให้กับหมู่บ้านข้างเคียง
แล้วเราก็ดำเนินไปทีละเรื่อง มีสมาชิกอีกท่านหนึ่งเสนอว่า พวกเขาควรจะไปบอกคนในชุมชนนั้นเกี่ยวกับงานชิ้นสำคัญนี้ และดูว่ามีใครบ้างที่สามารถเข้าร่วมในการรณรงค์เผยแพร่ศาสนาที่เขากำลังจะเริ่มทำ สมาชิกท่านหนึ่งเสนอว่าในการที่จะมีความรู้เพิ่มเติมในศาสนานั้น จำเป็นที่พวกเขาจะมาร่วมศึกษาศาสนาทุกสัปดาห์ พวกเขาจะใช้การประชุมในวันเสาร์เพื่อจุดมุ่งหมายนี้ เขาได้เสนอว่าจะขอให้คุณชนินทร์ซึ่งเป็นครูในโรงเรียนบาไฮหมู่บ้านใกล้เคียงเพื่อมาดำเนินชั้นเรียนที่ว่านี้
ประธานได้ถามว่าใครสนับสนุนข้อเสนอนี้บ้าง คุณน้อยสนับสนุน หลังจากที่ได้ปรึกษากันเล็กน้อย
ประธานได้นำข้อเสนอนี้ลงมติ ประธานได้ถามว่าใครจะเป็นผู้ดำเนินต่อข้อเสนอที่ว่าไปเชิญคุณชนินทร์จากหมู่บ้านแก่นเพื่อมาดำเนินชั้นเรียนวันเสาร์ก็ขอให้ยกมือขึ้น
สมาชิก 7 ท่านได้ยกมือขึ้น มีสมาชิกอีก 2 ท่านคือนายเอก และนายบุญมาที่คิดว่าคุณชนินทร์จะมา
ไม่ได้ทุกครั้ง จึงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนั้นและไม่ได้ยกมือ
ประธานจึงประกาศขึ้นว่าข้อเสนอนี้ไห้ดำเนินได้และขอให้เลขานุการจดบันทึกการตัดสินใจในบันทึก
การประชุมด้วย
แล้วประธานก็ประกาศว่า คุณชนินทร์ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาจะต้องเดินทางโดยรถประจำทางเพื่อมาถึง
หมู่บ้านของเขา และคุณชนินทร์จะต้องหยุดงานชั่วคราวของเขาที่เขากำลังทำอยู่ในหมู่บ้านของเขาในตอนเย็น เพราะฉะนั้นเงินทุกก็จะต้องเพิ่มเพื่อช่วยเหลือคุณชนินทร์ให้ไปถึงหมู่บ้านลำเพยและดำเนินชั้นเรียนนั้น ประธานได้ถามสมาชิกคนอื่นๆ ว่ามีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเอกตอบว่า ?พวกเราซึ่งเป็นสมาชิกของธรรมสภาจะต้องเสียสละเป็นตัวอย่าง เพื่อศาสนาของเราในชุมชนที่เหลืออยู่ ข้าพเจ้าสัญญาว่าจะจ่ายค่าแรงงาน 1 วันแก่กองทุนทุกๆ เดือน ข้าพเจ้ายินดีที่จะมอบเงินนี้แก่ธรรมสภา? ข้อเสนอนี้ทำให้สมาชิกทุกๆ คนมีความยินดีและพวกเขาก็ได้แสดงความยินดีต่อคุณเอกในความกรุณาที่ได้บริจาคเงินให้ชุมชน พวกเขารู้สึกดีใจเป็นพิเศษที่ว่าแม้นายเอกมิได้ออกเสียงสนับสนุนต่อข้อเสนอก็ตาม แต่ตอนนี้ข้อเสนอนั้นก็ได้ผ่านวาระของธรรมสภาแห่งท้องถิ่นไปแล้ว คุณเอกยังให้การช่วยเหลืออีกด้วย เมื่อธรรมสภาได้ลงมติไปแล้วไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เราก็จะต้องยอมรับและเคารพต่อเสียงข้างมาก สมาชิกคนอื่นๆ ของธรรมสภาแห่งท้องถิ่นยังได้มีการบริจาคเงินกัน รายชื่อผู้บริจาคและจำนวนเงินที่บริจาคจะต้องจดบันทึกไว้โดยเลขานุการ ส่วนเหรัญญิกจะต้องจดบันทึกการบริจาคเงินและประกาศว่าสมาชิกของธรรมสภาจะบริจาคเป็นเงิน 60 บาท ให้แก่กองทุน
ได้ตกลงที่จะประกาศถึงการบริจาคเงินแก่ชุมชนในวันฉลองบุญ 19 วัน ซึ่งจะจัดในวันที่ 28 เมษายน
และจะขอให้เพื่อนๆ ร่วมในเรื่องนี้ด้วย
แล้วประธานก็ย้อนถึงเรื่องหนังสือวรรณกรรมที่ต้องการเพื่อกิจกรรมการสอนศาสนาของพวกเขา
หลังจากที่ได้พูดคุยเป็นที่เรียบร้อย ธรรมสภาสรุปได้ว่า พวกเขาจะต้องขอให้ธรรมสภาแห่งชาติช่วยเหลือในเรื่องนี้
หลังจากที่เรื่องเหล่านี้ได้จัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ประธานได้ประกาศว่าปัญหาที่พวกเขาจะต้องปรึกษา
กันต่อไปคือวิธีการเผยแพร่ศาสนาในหมู่บ้านใกล้เคียง
นายแสงเสนอว่าทุกๆ วันอาทิตย์พวกเขาจะต้องไปกันเป็นกลุ่มยังหมู่บ้านข้างเคียงของหมู่บ้านรำเพย
คนอื่นๆ เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ สมาชิกอีกคนเพิ่มเติมว่าวันอาทิตย์จะเป็นวันที่เหมาะสมที่สุดเพราะในวันเสาร์เราจะเข้าชั้นเรียนศึกษาธรรม และคุณชนินทร์จะไปเป็นเพื่อนกับพวกเขาในการสอนศาสนาในวันอาทิตย์
นายแสงซึ่งเป็นเลขานุการได้จดบันทึกเหล่านี้ไว้ทั้งหมด
ประธานได้ถามว่ายังมีข้อเสนออะไรอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณปาน บอกว่าเป็นความคิดที่ดีที่จะจัดการ
ประชุมสาธารณะในวันศักดิ์สิทธิ์พิเศษต่างๆ เรื่องวันครบรอบต่างๆ แล้วให้เชิญชวนเพื่อนๆ ที่มิใช่บาไฮศาสนิกชนมา และญาติมิตรจากที่ใกล้เคียงมาร่วมประชุมด้วย
ข้อเสนอแนะนี้ได้รับการสนับสนุน โดยการออกเสียงและได้รับอนุมัติจากธรรมสภา
ได้ตกลงที่จะวางโครงการเหล่านี้ก่อนที่จะไปชุมนุมกันในวันฉลองบุญ 19 วัน และจะขอร้องให้บาไฮ
ศาสนิกชนของหมู่บ้านลำเพยช่วยเหลือเงินกองทุนแก่ธรรมสภา และเป็นอาสาสมัครที่จะดำเนินกิจกรรมการสอนศาสนาแก่หมู่บ้านใกล้เคียงด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็ได้ตกลงว่าการประชุมของธรรมสภาครั้งต่อไปจะมีในวันที่ 29 เมษายน หนึ่งวัน
หลังจากวันฉลองบุญ 19 วัน เพื่อที่จะปรึกษาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่จะจัดให้มีขึ้นแก่ธรรมสภาโดยชุมชนนั้น ในช่วงระหว่างการฉลอง
หลังจากสวดมนต์ปิดการประชุม สมาชิกของธรรมสภาก็กลับบ้านด้วยหัวใจที่เบิกบาน ขอบคุณพระผู้
เป็นเจ้าที่ทรงช่วยเหลือพวกเขาให้ประสบความสำเร็จในการตัดสินใจอันเป็นประโยชน์ของชุมชน
สิ่งที่เกิดขึ้นในการประชุมครั้งนี้ จะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าธรรมสภาควรจะดำเนินกิจของตน
อย่างไร วิธีการที่จะนำไปสู่การปรึกษา และวิธีการที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ ปัญหาต่างๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นในชุมชนต่าง ๆ อาจจะไม่เหมือนกัน หรือแม้แต่ความต้องการของพวกเขาก็อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องเหมือนกัน ทุกธรรมสภาควรจะพิจารณาหน้าที่ของตนอย่างรอบคอบ และตัดสินใจดำเนินภาระกิจนั้นไปตามความสำคัญในแต่ละชุมชน
งานของธรรมสภาในงานฉลองบุญ 19 วัน
เป็นการฉลองบุญแห่งความงาม(ชามาล) และบาไฮศาสนิกชนของหมู่บ้านลำเพยได้มาชุมนุมกันเพื่อ
ฉลองบุญ 19 วัน ประธานของธรรมสภาจะเป็นผู้ดำเนินการฉลองบุญ 19 วันเองทั้งหมดเว้นเสียแต่ว่าประธานมาไม่ได้ ซึ่งหากเป็นกรณีนี้รองประธานจะทำหน้าที่แทน ภาคแรกของการฉลองบุญจะเป็นการสวดมนต์อธิษฐาน และอ่านธรรมลิขิตของพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์ และพระอับดุลบาฮา การสวดมนต์และการอ่านจะให้บาไฮศาสนิกชนที่อยู่ในที่ชุมนุมคนใดคนหนึ่งเป็นผู้อ่านก็ได้แล้วแต่ประธานเป็นผู้ขอ จะเป็นช่วงที่ทุกคนฟังพระวจนะด้วยความระมัดระวังและเอาใจใส่ จำนวนของการสวดมนต์อธิษฐานและการอ่านพระธรรมลิขิตนั้นจะต้องไม่มากจนทำให้ทุกคนรู้สึกเบื่อ
เมื่อบาไฮศาสนิกชนของหมู่บ้านลำเพยเสร็จจากรายการของภาคแรกแล้ว ประธานของธรรมสภาคือ
นายบุญมาจะขอให้เลขานุการคือนายแสงอ่านรายงานของธรรมสภา นายแสงจึงได้แจ้งให้ชุมชนนั้นทราบเกี่ยวกับผลของการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ธรรมสภา และเกี่ยวกับการตัดสินใจของธรรมสภาในการที่จะเริ่มรณรงค์สอนศาสนา เพื่อเป็นการเผยแพร่สาส์นของพระผู้เป็นเจ้าในท้องถิ่นที่ใกล้เคียง นายแสงยังได้แจ้งให้ชุมชนทราบถึงความต้องการช่วยเหลือในงานสอนศาสนา และขอเงินกองทุนให้แก่ครูสอนศาสนาและใช้จ่ายในการประชุมต่างๆ
หลังจากที่เลขานุการได้รายงานจบแล้ว ??ประธานก็ได้ขอให้สมาชิกของชุมนุมนั้นเสนอข้อแนะนำ
เกี่ยวกับเรื่องนั้นและให้พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะช่วยได้อย่างไร บาไฮศาสนิกชนแต่ละคนได้ให้สัญญาที่จะช่วยเหลือคนละอย่างสองอย่าง มีคนหนึ่งพูดว่าเขาจะจัดส่งข้าวสาลีครึ่งกิโลให้ในการประชุมแต่ละครั้ง อีกคนหนึ่งก็บอกว่าเขาจะออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางแก่ครูสอนศาสนา 1 เที่ยวในหนึ่งเดือน ในขณะที่คนที่สามก็สัญญาอุทิศเวลา 1 วันในหนึ่งสัปดาห์ให้กับกิจกรรมการสอนศาสนา นอกจากจะเป็นสัญญาแห่งความร่วมมือร่วมใจกันแล้ว บาไฮศาสนิกชนของหมู่บ้านลำเพยจะดึงดูดความสนใจธรรมสภาไปสู่ข้อเท็จจริงสำคัญๆ อื่นๆ ที่พวกเขายังไม่ได้พิจารณา ยกตัวอย่างเช่น นอกจากจะมีชั้นเรียนศึกษาธรรมะทุกสัปดาห์ และการออกสอนศาสนาแล้ว พวกเขาก็อาจจะเตรียมพร้อมและรวมกำลังกันในการมอบสาส์นของพระผู้เป็นเจ้าในงานสมโภชที่จะจัดให้มีเป็นครั้งคราว ผู้ที่จะไปในงานสมโภชเหล่านี้ ควรจะพกเอาหนังสือวรรณกรรมบาไฮติดตัวไปด้วยเพื่อแจกจ่าย ยังได้รับข้อเสนอแนะอันมีค่าเหล่านี้เพื่อที่จะประหยัดเงินกองทุนอีกด้วย เลขานุการได้จดบันทึกข้อเสนอแนะในงานฉลองบุญ 19 วันเหล่านี้ทั้งหมด เพื่อที่จะให้ธรรมสภานำข้อเสนอมาตัดสินใจในการประชุมครั้งต่อไป
ประธานได้ให้สัญญาว่าธรรมสภาจะพิจารณาข้อเสนอแนะที่ได้รับมาทั้งหมดอย่างรอบคอบ และ
จะแจ้งผลการประชุมแก่ชุมชนทราบในวันฉลองบุญ 19 วันครั้งต่อไป
ภาคที่สามของรายการในวันฉลองบุญ 19 วันจะเป็นช่วงของการสนุกสังสรรค์ มีครอบครัวบาไฮ 4
ครอบครัว ในหมู่บ้านลำเพย ได้ร่วมกันจัดของมาแจกจ่ายให้กับทุกคน กลุ่มเยาวชนที่ร้องเพลงได้ ประธานก็อนุญาตให้ออกมาร้อง และคนอื่นๆ อีกหลายคนได้เข้าร่วมกับเยาวชนในการประสานเสียง มีเด็กหญิงบาไฮคนหนึ่งได้อออกมาท่องกลอนอันไพเราะ ซึ่งเขาจำได้จากโรงเรียนและทุกๆ คนก็ชอบกลอนบทนั้นมาก
จิตใจแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความสุขยินดีที่บาไฮศาสนิกชน แห่งหมู่บ้านลำเพยได้จัด
วันฉลองบุญ 19 วัน ได้นำมาซึ่งความเจริญทางด้านจิตวิญญาณ ยังความรู้สึกเช่นนี้ให้แก่ทุกคน พวกเขาเลิกประชุมหลังจากที่ได้สวดมนต์ปิดประชุมและกลับบ้านของเขาด้วยความสุขเบิกบาน
หัวข้อบางประการในการฉลองบุญ 19 วัน
หน้าที่อย่างหนึ่งของทุกธรรมสภา คือ คอยดูแลเพื่อนๆ ในธรรมสภาถ้องถิ่นให้จัดวันฉลองบุญ 19 วันซึ่ง
เป็นการประชุมที่จะจัดขึ้นทุก 19 วัน โดยบาไฮศาสนิกชนของทุกๆ เมือง และทุกๆ หมู่บ้าน เนื่องจากการฉลองนี้เป็นสิ่งที่ได้รับมอบหมายมาจากพระบ๊อบ และได้รับอนุมัติจากพระบาฮาอุลลาห์ เป็นสิ่งที่ถือว่ามีความสำคัญมาก
คำถาม ??งานฉลองบุญ 19 วัน มีจุดมุ่งหมายอะไร
คำตอบ พระอับดุลบาฮา กล่าวว่าในงานฉลองบุญ 19 วันนั้นศาสนิกชนจะได้มาพบปะกัน และได้ ??????????
แสดงออกซึ่งความรัก ความเป็นมิตรกัน เพื่อความเร้นลับแห่งสวรรค์อาจจะถูกเปิดเผย วัตถุประสงค์ก็คือเพื่อความปรองดอง โดยอาศัยหัวใจแห่งมิตรภาพนี้อาจจะกลายเป็นความสามัคคีที่แท้จริง และการแลกเปลี่ยนประโยชน์กันและกันอย่างมั่นคง
คำถาม ?เราควรจะทำอะไรบ้างในวันฉลองบุญ 19 วัน
คำตอบ ?งานฉลองนี้เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารงานของบาไฮ และท่านศาสนภิบาลได้ให้คำอธิบายว่ารายการของงานฉลองบุญ 19 วัน ประกอบด้วย 3 ภาค ภาคแรกเป็นรายการปฏิบัติธรรม มีการสวดมนต์อ่านพระธรรมลิขิตศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอาจจะมอบหมายให้เพื่อน 2-3 คน เป็นผู้อ่าน ในตอนเริ่มต้นของงานฉลองนี้ ภาคที่สองเป็นการบริหารงาน ธรรมสภากระทำโดยให้เลขานุการรายงานกิจกรรมต่างๆ และขอให้เพื่อนบาไฮศาสนิกชนของที่นั่นเสนอแนะและแจ้งความจำนงค์ในการส่งเสริมศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งเป็นช่วงของการปรึกษาหารือเพื่อให้ศนิกชนออกความคิดเห็นของเขา โดยผ่านทางธรรมสภาแห่งท้องถิ่น เพื่อส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ ภาคที่สมเป็นภาคบันเทิง อาจจะให้เพื่อนๆ ออกมาร้องเพลง เล่าเรื่องต่างๆ เป็นต้น จัดแบบง่ายๆ อาจจะมีการบริการเครื่องดื่ม
คำถาม ใครเป็นผู้เชิญชวนให้ศาสนิกชนมางานฉลองนี้
คำตอบ ที่ใดที่มีธรรมสภา เลขานุการจะเป็นผู้เชิญบาไฮศาสนิกชนให้มาตามวันที่ได้กำหนดไว้ในปฏิทินบาไฮ
ยังสถานที่และเวลาที่ได้ระบุไว้ ส่วนที่ใดที่ไม่มีธรรมสภา บาไฮศาสนิกชนอาจจะตั้งกลุ่มของเขาทำหน้าที่เป็นเลขานุการของกลุ่ม เลขานุการคนนี้จะคอยเตือนชุมชนบาไฮเกี่ยวกับงานฉลองบุญ 19 วัน
คำถาม ใครเป็นผู้ดำเนินงานฉลองบุญ 19 วัน
คำตอบ ประธานของธรรมสภาจะเป็นผู้ดำเนินงานฉลองบุญ 19 วัน ประธานจะขอให้คนอื่นๆ สวดมนต์อธิษฐานในตอนเริ่มต้น และขอให้เพื่อนๆ ปรึกษาเสนอความเห็นต่อธรรมสภาในช่วงที่สอง
คำถาม ใครเป็นเจ้าภาพในวันฉลอง
คำถอบ โดยปกติแล้ว บาไฮศาสนิกชนทุกคนจะเป็นเจ้าภาพของงานฉลอง โดยผลัดเปลี่ยนกันไป บางครั้ง
ธรรมสภาจะเป็นผู้จัดงานฉลองบุญ 19 วัน โดยใช้เงินกองทุนของธรรมสภา แต่บางครั้งบาไฮศาสนิกชน 2-3 คน อาจจะร่วมกันเป็นเจ้าภาพงานฉลอง จะเป็นการดีที่ภาคบังเทิงควรจะประกอบด้วยเครื่องดื่มและของว่าง แต่นี้มิใช่สิ่งสำคัญ พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่าแม้จะเป็นเพียงน้ำเปล่า เราก็เป็นเจ้าภาพงานฉลองบุญ 19 วันได้ สิ่งสำคัญในงานก็คือ การพัฒนาด้านจิตใจของบาไฮศาสนิกชน และการเพิ่มความสามัคคีกลมเกลียวกันระหว่างเรา ควรจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือรับใช้ให้ศาสนามีความก้าวหน้าในท้องถิ่นนั้น ด้วยการปรึกษาและความร่วมมือช่วยเหลือกับทางธรรมสภา เราขออ้างอิงจากพระนิพนธ์ของพระอับดุลบาฮาเพื่อแสดงถึงจิตใจของการประชุมบาไฮทุกๆ ครั้ง
?ในการประชุมเหล่านี้ ให้หลีกเลี่ยงการสนทนาเรื่องภายนอกและการชุมนุมกันจะต้องอยู่ใน
ขอบเขตการสวดพระคัมภีร์ และการอ่านพระวจนะ และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า เช่น การชี้แจงข้อพิสูจน์ การอ้างเหตุผลอย่างชัดเจน และการแสดงหลักฐาน และการติดตามสัญลักษณ์แห่งองค์พระผู้เป็นที่รักของสัตว์โลก ผู้ใดที่เข้าร่วมประชุมจะต้องแต่งกายและสะอาจดและหันหน้าไปยังอาณาจักรอับภา ก่อน ที่จะเข้าไปข้างใน ได้เดินเข้าไปที่ประชุมด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน และขณะที่มีการอ่านพระธรรมลิขิตอยู่นั้นจะต้องสงบและเงียบและถ้าใครต้องการกล่าวสิ่งใด เขาคนนั้นก็จะต้องกล่าวด้วยความสุภาพ และเต็มใจ และได้รับอนุญาตจากที่ประชุมแล้ว จึงกล่าวด้วยความลึกซึ้งและด้วยความไพเราะ
ธรรมสภาของหมู่บ้านลำเพยได้มาพบกันหลังวันฉลองบุญ 19 วัน เมื่อได้อ่านวาระการประชุมครั้งที่แล้ว และเห็นชอบด้วยพวกเขาจึงได้ปรึกษาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่ได้รับมาในวันฉลองบุญ ?19 วัน หลังจากได้พิจารณากันอย่างรอบคอบแล้ว พวกเขาก็เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะทุกข้อ ยกเว้น 1 ข้อ
ธรรมสภาได้ตกลงที่จะเชิญบาไฮศาสนิกชนทุกคนไปรับประทานอาหารกันในวันสุดท้ายของเรซวาน เพื่อที่ว่าจากวันนั้นแล้วเพื่อนๆ อาจจะรู้วิธีการแบ่งกลุ่มออกไปยังหมู่บ้านต่างๆ เพื่อกิจกรรมการสอนศาสนา มีสมาชิก 3 คนของธรรมสภาที่ได้รับเลือกให้ไปจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำโปรแกรมที่เหมาะสมในการประชุมคือในวันสุดท้ายของเรซวาน
ก่อนปิดการประชุมธรรมสภา มีสิ่งหนึ่งที่ต้องทราบ มีสมาชิก 2 คนได้ขอให้ธรรมสภาช่วยแก้ปัญหายุ่งยากส่วนตัวซึ่งได้เกิดขึ้นกับเขาทั้งสอง ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ ธรรมสภาได้ฟังสิ่งที่แต่ละฝ่ายได้เล่าให้ฟัง แล้วได้เสนอข้อแก้ไขปัญหาของเขาทั้งสอง ด้วยจิตใจแห่งความรัก และด้วยความสุขุมรอบคอบ
เมื่อเลขานุการของธรรมสภาได้พิจารณาบันทึกของเขาในวันรุ่งขึ้น เขาก็ได้เขียนจดหมายต่อไปนี้แก่ธรรมสภาแห่งชาติ
เลขานุการ
ธรรมสภาแห่งชาติ
ประเทศไทย
เพื่อนบาไฮที่รัก
เรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ด้วยความกรุณาของพระบาฮาอุลลาห์ เราได้ตั้งธรรมสภาในหมู่บ้านลำเพยได้แล้ว เราจึงได้ส่งแบบฟอร์มกลับมายังท่าน ซึ่งท่านได้ขอให้เรากรอกข้อความหลังจากได้เลือกตั้งแล้ว ได้เขียนชื่อและที่อยู่ของสมาชิกและเจ้าหน้าที่ของธรรมสภา
ตอนแรกเราได้ขอร้องให้นายชนินทร์ ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาบาไฮของหมู่นบ้านแก่น มายังหมู่บ้านของเราทุกๆ วันเสาร์เพื่อดำเนินการประชุมศึกษาธรรมทุกสัปดาห์
เราได้จัดหาเงินกองทุนพิเศษขึ้นในธรรมสภา และเพื่อนๆ ได้บริจาคมาเป็นจำนวน 45 บาท และสัญญาว่าจะบริจาคจำนวนเงินจำนวนนี้ทุกๆ เดือน เงินจำนวนนี้จะนำมาใช้จ่ายในกิจกรรมการสอนศาสนาภายใต้การดูแลของธรรมสภาแห่งนี้
ขณะนี้เราต้องการหนังสือวรรณกรรมจำนวนอย่างเพียงพอ เราขอให้ท่านกรุณาจัดส่งจุลสารมาจำนวนหนึ่ง และบัตรแสดงตนเข้าเป็นสมาชิก มายังธรรมสภานี้ด้วย
เราจะเขียนจดหมายมายังท่านให้ทราบข่าวดีเกี่ยวกับความก้าวหน้าของศาสนาในฉบับหน้า
ขอพระบาฮาอุลลาห์ ทรงช่วยเหลือเราในการรับใช้พระองค์
ขอน้อมรับใช้พระองค์
เลขานุการ
ธรรมสภาแห่งชาติ
ธรรมสภาแห่งท้องถิ่น ทุกแห่งในประเทศของเราจะติดต่อเชื่อมโยงกันได้ โดยผ่านทางธรรมสภาแห่ง ชาติ
ธรรมสภาแห่งชาติ คือ สภาหนึ่งซึ่งจะได้รับเลือกโดยบาไฮศาสนิกชนของประเทศ โดยผ่านการประชุประจำปี ซึ่งจะส่งตัวแทนไปยังการประชุมประจำปีโดยมาจากทุกๆ ส่วนของประเทศ กฎเกณฑ์พื้นฐานของการเลือกตั้งบาไฮได้กล่าวไปแล้วข้างต้น จะต้องจำนำมาใช้ในการเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติด้วย การเลือกตั้งสำหรับเราแล้ว บาไฮศาสนิกชนต้องถือเป็นหน้าที่ และนำมาปฏิบัติเป็นนิสัย ?ไม่มีการเสนอสำหรับเลือกตั้งก่อน และไม่เคยใช้การโษณาชวนเชื่อ
จุดมุ่งหมายของธรรมสภาแห่งชาติ คือ เพื่อรวบรวมงานที่บาไฮศาสนิกชนทั้งประเทศได้กระทำไป และเพื่อส่งเสริมบาไฮศาสนิกชนในการปฏิบัติงาน ชุมชนบาไฮต่างๆ จะให้ความร่วมมือกับทางธรรมสภาแห่งชาติ โดยผ่านทางธรรมสภาแห่งท้องถิ่น ธรรมสภาแห่งชาติจะคอยติดต่อกับบาไฮศาสนิกชนของประเทศโดยใช้จดหมาย ซึ่งในจดหมายเหล่านั้นจะมีข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรมของบาไฮศาสนิกชนคนอื่นๆ และเกี่ยวกับความ ก้าวหน้าของศาสนาทั่วโลก ในจดหมายยังได้ขอความร่วมมือและเชิญชวนให้มีการปรึกษา หารือกัน และเสนอคำแนะนำ
จดหมายของธรรมสภาแห่งชาติ เลขานุการของธรรมสภาแห่งถ้องถิ่นจะนำมาอ่านในวันฉลองบุญ 19 วัน ถ้าหากพวกเขาจำเป็นต้องปรึกษาหารือกัน บาไฮศาสนิกชนทุกคนก็ยินดีที่จะให้ข้อคิดเห็นของตน หรือให้สัญญาในความร่วมมือกัน ผลของการปรึกษาหารือกันในวันฉลองบุญ 19 วัน จะส่งไปยังธรรมสภาแห่งชาติ โดยทางธรรมสภาท้องถิ่นของแต่ละแห่ง แล้วธรรมสภาแห่งชาติจะดำเนินการกับข้อเสนอแนะเหล่านั้น และตัดสินใจต่อเรื่องเหล่านั้นหลังจากที่ได้ปรึกษาหารืออย่างรอบคอบ
ถ้าหากไม่มีธรรมสภาแห่งท้องถิ่นในที่ใดแล้ว มีแต่เพียงกลุ่มของบาไฮศาสนิกชนที่น้อยกว่า 9 คน ทางธรรมสภาแห่งชาติจะเขียนจดหมายไปยังผู้ที่ถูกเลือกในกลุ่มให้เป็นเลขานุการ ถ้าหากว่ามีบาไฮศาสนิกชนเพียงคนเดียวในที่ใดแล้ว ธรรมสภาแห่งชาติจะรับผิดชอบต่อบุคคลผู้นั้นโดยตรง
เนื่องจากธรรมสภาแห่งชาติมีหน้าที่ในการดูแลกิจกรรมต่างๆ ?ธรรมสภาแห่งชาติจึงได้แต่งตั้งกรรมการต่างๆ ไว้ช่วยเหลือในงานนี้ สมาชิกคนใดที่รับใช้ในคณะกรรมการต่างๆ เหล่านี้ที่ทางธรรมสภาแห่งชาติเป็นผู้เลือกด้วยตนเองแล้ว ก็จะมอบหมายภารกิจพิเศษแก่แต่ละคณะกรรมการ ยกตัวอย่าง ถ้าหากธรรมสภาแห่ง ชาติของประเทศอินเดียได้ตัดสินใจสร้างสักการะสถานในประเทศ ทางธรรมสภาแห่งชาติก็จะแต่งตั้งคณะ กรรมการพิเศษขึ้นเพื่อตรวจตราดูแลงานทุกอย่างและให้ข้อเสนอแนะในการสร้างโบสถ์ ธรรมสภาแห่งชาติมีอิสระในการยอมรับข้อเสนอของคณะกรรมการ ในการที่จะขยายเพิ่มเติม หรือ ในการปฏิเสธ ธรรมสภาแห่งท้อง ถิ่นสามารถที่จะแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือธรรมสภาแห่งท้องถิ่นได้ ในกรณีที่พวกเขารู้สึกว่ามีความจำเป็น คณะกรรมต่างๆ ที่ได้รับแต่งตั้งจากธรรมสภาแห่งชาติ หรือจากธรรมสภาท้องถิ่นนั้น จะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อธรรมสภานั้นๆ ที่พวกเขาทำงานอยู่ ธรรมสภาท้องถิ่นต้องรับผิดชอบต่อธรรมสภาแห่งชาติ และธรรมสภาแห่งชาติมีอำนาจสูงสุดต่อบาไฮศาสนิกชนที่อยู่ในประเทศนั้นๆ
ธรรมสภาแห่งชาติก็เช่นเดียวกับธรรมสภาท้องถิ่น ที่จะต้องเลือกประธาน รองประธาน เหรัญญิก และเลขานุการ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาแห่งชาติก็เหมือนกับเจ้าหน้าที่ของธรรมสภาท้องถิ่น แต่เป็นระดับ ชาติ
การประชุมประจำปี
การเลือกตั้ง สมาชิกของธรรมสภาแห่งชาติเป็นการเลือกตั้งทางอ้อมหมายความว่าชุมชนบาไฮแต่ละแห่ง หรือหน่วยการเลือกตั้งที่ได้เลือกตัวแทนจำนวนหนึ่งจากสมาชิกในท้องถิ่นตน แล้วตัวแทนเหล่านี้จะมาพบกันในการประชุมประจำปีที่ซึ่งพวกเขาจะเลือกสมาชิกของธรรมสภาแห่งชาติ
จำนวนของตัวแทนที่ได้รับเลือกในแต่ละหน่วยขึ้นอยู่กับจำนวนของบาไฮศาสนิกชนในที่นั้นๆ ธรรมสภาแห่งชาติของทุกประเทศจะเป็นผู้กำหนดจำนวนตัวแทน
ตัวแทนเหล่านี้จะไปประชุมประจำปีด้วยกัน ณ ที่แห่งหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นที่ที่สำนักงานของธรรมสภาแห่งชาติตั้งอยู่ บางครั้งจะเป็นช่วงระหว่าง 12 วันของเทศกาล เรซวาน (21 เมษายน ? 2 พฤษภาคม) จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการประชุมประจำปี คือ เพื่อเลือกสมาชิกของธรรมสภาแห่งชาติในปีนั้น แต่ตัวแทนจะเป็นผู้ที่มาจากทุกภาคของประเทศ ได้มีโอกาสมาปรึกษาหารือกับธรรมสภาแห่งชาติและกับสมาชิกผู้อื่นเกี่ยว กับความก้าวหน้าของศาสนาในประเทศ
เมื่อการประชุมประจำปีเริ่มต้นด้วยการสวดอธิษฐานแล้ว สมาชิกจะต้องเลือกประธานในการประชุมเป็นสิ่งแรก หน้าที่ของประธานในที่นี้ก็คือการดูแลว่าการปรึกษาหารือนั้นได้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยและด้วยจิตใจแห่งบาไฮ สมาชิกของการประชุมประจำปีนั้นจะเลือกเลขานุการด้วย เพื่อบันทึกข้อเสนอแนะที่พวกเขาต้องการเสนอแก่ธรรมสภาแห่งชาติ
และนี่คือประเด็นสำคัญต่างๆ ที่เราต้องทราบเกี่ยวกับการประชุมประจำปี
- ตัวแทนที่ไปประชุมประจำปี จะต้องเลือกสมาชิกของธรรมสภาแห่งชาติจากบาไฮศาสนิกชนทั้ง
ประเทศ ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องเลือกสมาชิกจากกลุ่มของตัวแทนที่มาประชุมประจำปี พวกเขาสามารถเลือกผู้ใหญ่ 9 ท่าน ที่อายุ 21 ปีขึ้นไปจากชุมชนบาไฮของประเทศที่เขาอาศัยอยู่
- ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นตัวแทนไปประชุมประจำปี ไม่มีหน้าที่หรือสิทธิพิเศษใดๆ มากไปกว่าการมีส่วน
ร่วมในการประชุมประจำปี และเลือกตั้งธรรมสภาแห่งชาติ เมื่อการประชุมประจำปีเสร็จสิ้นลง หน้าที่ของเขาในฐานะที่เป็นตัวแทนในที่ประชุมก็จบลง ?นอกเสียจากว่าหากมีเหตุที่ทำให้ต้องมีการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกธรรม สภาแห่งชาติ ผู้ที่เป็นตัวแทนก็จะถูกเรียกให้ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง หรือจะพูดอีกอย่างคือ การประชุมประจำปีนั้นไม่มีสมาชิกถาวร เมื่อการประชุมประจำปีสิ้นสุดลง
- การประชุมประจำปี เป็นสภาสำหรับรับข้อปรึกษาเป็นข้อเสนอแนะที่ได้ผ่านทางธรรมสภาแห่งชาติ
และธรรมสภาแห่งชาติก็มีอิสระในการยอมรับ หรือปฏิเสธต่อข้อเสนอเหล่านั้น
- การประชุมประจำปีจะไม่มีอำนาจที่สูงไปกว่าธรรมสภาแห่งชาติ ธรรมสภาแห่งชาติมีอำนาจสูงสุด
ในประเทศและเป็นผู้ดูแลธรรมสภาท้องถิ่น และบาไฮศาสนิกชนทุกคนในประเทศ
สภายุติธรรมสากล
สถาบันหนึ่งที่มีอยู่เพียงแห่งเดียวในโลกของศาสนาบาไฮ คือ สภายุติธรรมสากล สมาชิกของสภายุติธรรมสากลได้รับเลือกจากบาไฮศาสนิกชนทั่วโลก โดยผ่านธรรมสภาแห่งชาติ พระบาฮาอุลลาห์ทรงรับรองกับเราว่าพระองค์จะยังคงแนะนำแนวทางแก่บาไฮศาสนิกชนโดยอาศัยสภายุติธรรมสากลในฐานะบริหารกฎ เกณฑ์ของบาไฮ ในวาระสุดท้าย
พระบาฮาอุลลาห์ทรงวางกฎเกณฑ์พื้นฐาน และคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า สำหรับยุคสมัยนี้ พระองค์ตรัสว่าเราจำเป็นต้องมีกฎระเบียบทางสังคมอีกด้วยซึ่งจะเป็นหลักแก่เราในการทำตาม ในคราวจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลง กฎระเบียบทางสังคมและกฎข้อบังคับต่างๆ พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า จะต้องทำตามสภายุติธรรมสากลซึ่งอยู่ภายใต้การนำทางอันถูกต้องของพระผู้เป็นเจ้า
เกี่ยวกับสภายุติสากล พระอับดุลบาฮากล่าวว่า ??ถ้าเป็นสิ่งที่ก่อตั้งขึ้นมาภายใต้สภาวะเงื่อนไขที่สำคัญกับสมาชิกที่มาจากประชาชนทุกคนแล้ว สภายุติธรรมสากลก็จะอยู่ในความคุ้มครองและปกป้องจากพระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากสภายุติธรรมสากลจะตัดสินใจอย่างเอกฉันท์ถือเสียงส่วนใหญ่ต่อปัญหานั้นๆ ซึ่งจะไม่กล่าวไว้ในหนังสือเล่มนี้การตัดสินใจ และคำสั่งจะได้รับการปกป้องจากความผิดพลาด?
เพราะฉะนั้น เป็นที่สังเกตเห็นได้ว่า สภายุติธรรมสากลจะได้รับการดลบันดาลในการตัดสินใจชี้ขาดทุกเรื่อง และไม่ว่ากฎระเบียบใดก็ตามที่บัญญัติขึ้นมา ถือว่ามีความสมบูรณ์กับความต้องการของคนในเวลานั้นๆ แต่เราจะต้องไม่คิดว่า สภายุติธรรมสากลจะมาเหลี่ยนแปลงหลักฐานเหล่านี้ ที่พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงมอบให้แล้ว เมื่อจะวางกฎระเบียบใดลงไปเราก็จะต้องถือว่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ของพระบาฮาอุลลาห์ ยกตัวอย่างหลักธรรมข้อหนึ่งของศาสนาบาไฮ คือไม่ควรมีความมั่งคั่งเกินไป และความยากจนที่เกินไปในโลกนี้ แต่พระบาฮาอุลลาห์ได้ทรงบอกเราถึงว่าประชาชนควรจะชำระภาษี กันอย่างไร ปล่อยให้ธรรมสภายุติธรรมสากลที่จะดำเนินวิธีการชำระภาษีซึ่งจะทำให้ทุกคนสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสุขสบาย และในเวลาเดียวกันเป็นการกีดกันมิให้ใครเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติที่ไม่จำเป็นไว้
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ พระบาฮาอุลลาห์ ทรงบัญชาให้เรามีภาษาสากลในโลกนี้ แต่พระองค์มิได้กล่าวไว้ว่าควรจะเป็นภาษาใด นี้ก็อีกเหมือนกันที่ตกเป็นหน้าที่ของสภายุติธรรมสากลเป็นผู้ตัดสินใจ ในเรื่องนี้พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า
?ในสาส์นของเรา เราได้สั่งให้ผู้พิทักษ์มรดกของสภายุติธรรมสากลในการเลือกเอาภาษาใดภาษาหนึ่ง และในการริเริ่มภาษาใหม่ขึ้น เพื่อนำมาใช้เป็นอักษรศาสตร์ แล้วให้นำมาสอนแก่เด็กๆ ตามโรงเรียนทุกแห่งที่มีอยู่ในโลกนี้ แล้วสักวันหนึ่งโลกนี้ก็จะกลายเป็นแผ่นดินและบ้านเดียวกัน?
แม้ว่าสภายุติธรรมสากลไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงแสดงไว้ก็ตาม หรือการเปลี่ยนการตีความหมายของพระอับดุลบาฮาและท่านโชกิ เอฟเฟนดิ ก็ตาม แต่สภายุติธรรมสากลสามารถที่จะเปลี่ยนการตัดสินของสภาได้ถ้าหากสภาพแวดล้อมบังคับให้ต้องใช้ สมมุติว่าสภายุติธรรมสากลตัดสินใจว่าควรจะเก็บภาษีเท่าใด การตัดสินใจนั้นก็ถือว่าเหมาะสมแล้วในเวลานั้นอย่างไม่ต้องสังสัย แต่ถ้า 50 ปี หลัง จากนั้น ก็อาจจะไม่เหมาะกับความต้องการในเวลานี้ เพราะฉะนั้นสภายุติธรรมสากลมีอิสระที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ ซึ่งได้เคยตกลงกันไปแล้วเมื่อสมัยก่อนๆ
ในพินัยกรรมของพระองค์ พระอับดุลบาฮาได้กล่าวไว้ว่า ?แม้ว่าทุกคนจะต้องเปลี่ยนหนังสือพระคัมภีร์ส่วนใหญ่และนั่นมิใช่สิ่งที่ได้บันทึกไว้ในนั้นจะต้องได้รับการอ้างอิงถึงสภายุติธรรมสากล ซึ่งเป็นสภาที่ปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่และเป็นเอกฉันท์อันเป็นสัจธรรมและเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า บุคคลใดที่หันเหไปจากสัจธรรมและพระประสงค์ที่แท้จริงซึ่งเป็นความรักความสามัคคีนี้ แสดงว่ามีความประสงค์ร้ายและได้หันหน้าหนีจากกษัตริย์แห่งพระปฏิญญา?
ความพากเพียรของท่านศาสนภิบาลที่รักของเรา ช่วงเวลา 36 ปี แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของท่าน ท่านได้ปูทางในการจัดตั้งสภายุติธรรมสากล ท่านศาสนภิบาลได้กล่าวว่าสภายุติธรรมสากลเปรียบเสมือนหลังคาของตึกอาคาร ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยเสาที่คงทนแข็งแรงยึดเสาเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า คือ ธรรมสภาแห่งชาติในโลก และด้วยความพยายามตลอดเวลาของท่านศาสนภิบาลจึงทำให้เสาเหล่านี้ปักหลักขึ้นทีละหลักไปทั่วทุกภาคของโลก ภายใต้การนำทางของท่านศาสนภิบาล บาไฮศาสนิกชนจึงได้เรียนรู้ถึงวิธีการทำงานเป็นกลุ่มๆ และธรรมสภาท้องถิ่นและวิธีการทำงานร่วมกันในแต่ละประเทศโดยผ่านทางธรรมสภาแห่งชาติของพวกเขา เมื่อเขาได้ดำเนินมานานพอแล้ว ท่านจึงได้มอบแผนการ 10 ปี ซึ่งคิดว่าธรรมสภาแห่งชาติจะทำงานร่วมกันเป็นการทำงานระดับโลก และยังได้ช่วยให้บาไฮศาสนิกชนก่อตั้งเสาที่ยังเหลืออยู่ของสภายุติธรรมสากล ช่วงสุดท้ายของแผนงาน 10 ปี ในปี ค.ศ. 1963 จึงได้ธรรมสภาแห่งชาติอย่างเพียงพอทั่วโลกในการจัดตั้งสภายุติธรรมสากล
พระอับดุลบาฮาทรงทำนายไว้ว่า สภายุติธรรมสากลจะได้รับการก่อตั้งขึ้นมาก็ต่อเมื่อศาสนาบาไฮได้แพร่หลายไปยังส่วนต่างๆ ของโลก และนี่ก็ได้ประสบความสำเร็จในช่วงสุดท้ายของแผนงาน 10 ปี ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1963
ประเด็นสำคัญบางประการเกี่ยวกับการบริหารงานของบาไฮ
1. ให้เชื่อฟังคำตัดสินของธรรมสภา
ธรรมสภาบาไฮหนึ่งๆ ควรได้รับการเอาใจใส่จากบาไฮศาสนิกชนซึ่งทำหน้าที่เป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าสถาบันนั้นมีพื้นฐานอยู่ในคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นเราจะต้องเชื่อฟังต่อการตัดสินทุกประการของธรรมสภา พระอับดุลบาฮากล่าวว่า พระองค์เองก็ต้องเชื่อฟังต่อการตัดสินของธรรมสภา แม้ว่าพระองค์จะรู้ว่าการตัดสินเหล่านั้นไม่ถูกต้องก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าการเชื่อฟังธรรมสภานั้นหมายความว่าเรากำลังเชื่อฟังพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า
2. เราควรทำอย่างไรถ้าหากว่าเรารู้สึกว่าการตัดสินของธรรมสภาท้องถิ่นนั้นไม่ถูกต้อง
ครั้งแรกเราต้องเชื่อฟังต่อการตัดสินอันนั้นก่อนเพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราปฏิบัติเช่นนั้น แต่เราสามารถที่จะร้องเรียนต่อธรรมสภาแห่งชาติ ให้พิจารณาต่อการตัดสินของธรรมสภาท้องถิ่นของเราใหม่ การเชื่อฟังต่อธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาตินั้นจะทำให้เรามีความมั่นคงในพื้นฐานแห่งการบริหารงานของบาไฮ จะไม่มีความสามัคคีในหมู่พวกเรา ถ้าหากว่าเราแต่ละคนไม่เชื่อฟังในการตัดสินของธรรมสภาของเรา
3. เราจะพูดได้หรือไม่ว่า เนื่องจากเราไม่ชอบสมาชิกของธรรมสภาบางคน จึงทำให้เราไม่เชื่อฟังต่อการตัดสินของธรรมสภานั้นๆ
ไม่ได้ นี่เป็นทัศนคติที่ไม่ดี ความจงรักภักดีของเราที่มีต่อธรรมสภานั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ของเราที่มีต่อสมาชิกธรรมสภาอันเป็นสถาบันของพระบาฮาอุลลาห์ที่เราจะต้องมีความจงรักไม่ว่าสมาชิกของธรรมสภาจะเป็นอย่างไร ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นเครื่องป้องกันเราเท่านั้น ถ้าเราให้การสนับสนุนค้ำจุนสถาบันของศาสนา โดยไม่ใช่ใส่ใจต่อสมาชิกของธรรมสภาแต่อย่างใด
4. เราจะลาออกจาการเป็นสมาชิกของธรรมสภาได้ไหม
ไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเรามีเหตุผลที่ดีพอ เช่น สุขภาพไม่ดีอยู่เรื่อย หรือเปลี่ยนที่อยู่ไปยังเมืองอื่นหรือหมู่บ้านอื่น เมื่อใดที่เราได้รับเลือกเป็นสมาชิกของธรรมสภา เราจะต้องจำไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมอบสิทธิพิเศษในการรับใช้ชุมชนของเรา ความจงรักภักดีของเราที่มีต่อคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ และความรักของเราที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะคอยเป็นกำลังใจแก่เรา ในการยอมรับหน้าที่ความรับผิดชอบในการรับใช้ต่อศาสนาของพระองค์
5. ธรรมสภาจะต้องรับผิดชอบต่อบาไฮศาสนิกชนผู้ที่เลือกธรรมสภาใช่หรือไม่
ไม่ใช่ ธรรมสภาจะต้องรับผิดชอบต่อพระผู้เป็นเจ้าและในเรื่องการบริหารงานต่อธรรมสภาแห่งชาติของประเทศ ธรรมสภาทุกแห่งควรถือว่าการตัดสินชี้ขาดต่างๆ นั้นเป็นผลดีต่อศาสนา เกี่ยวกับปัญหาต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นระหว่างสมาชิกของชุมชน ธรรมสภาควรมีความยุติธรรมและยึดมั่นในความเที่ยงธรรม ไม่ว่าชุมชนนั้นจะมีปฏิกิริยาต่อการตัดสินอย่างไร ตราบเท่าที่ธรรมสภานั้นยังเป็นผู้นำแห่งความเที่ยงธรรม
6. เราจะมาปรึกษาหารือกับธรรมสภาเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวได้หรือไม่
ได้ เราทำได้ พระอับดุลบาฮาสนับสนุนให้บาไฮศาสนิกชนนำปัญหาของเขาเข้าสู่ธรรมสภา และปรึกษา หารือกับธรรมสภาเกี่ยวกับปัญหายุ่งยากของเขา พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามถ้าหากว่าเกิดการขัดแย้งระหว่างบาไฮศาสนิกชน 2 คน พวกเขาควรขอให้ธรรมสภาช่วยเหลือแก้ปัญหานั้น และควรเต็มใจยอมรับการตัดสินของธรรม สภาด้วย
7. อำนาจของบาไฮศาสนิกชนมากกว่าอำนาจของธรรมสภาใช่หรือไม่
ไม่ใช่ ไม่มีตำแหน่งผู้นำใดๆ ในทางศาสนา การเป็นประธานหรือเลขานุการของธรรมสภาไม่ได้ให้สิทธิ์พิเศษส่วนแต่อย่างใด เสร็จจากการประชุมของธรรมสภาแล้ว สมาชิกไม่มีสิทธิ์ที่เหนือไปกว่าบาไฮศาสนิกชนคนอื่นๆ ในชุมชนนั้นๆ และเช่นเดียวกับพวกเขาจะต้องยึดถือต่ออการตัดสินของธรรมสภา ในศาสนาบาไฮทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน
โบสถ์บาไฮ
ศาสนาบาไฮเป็นศาสนาสากล เพราะฉะนั้นโบสถ์บาไฮจะต้องเป็นสักการสถานสากลของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อใดที่บาไฮศาสนิกชนมีการสร้างโบสถ์ เขาจะต้องอุทิศโบสถ์เหล่านั้นแก่ประชาชนชาวโลกทุกคน ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด ไม่ว่าชั้นวรรณใด หรือถือลัทธิใด ก็ขอต้อนรับเข้าสู่โบสถ์บาไฮ พระธรรมลิขิตศักดิ์สิทธิ์ของทุกศาสนาสามารถนำมาอ่านในโบสถ์ของบาไฮได้ ในโบสถ์บาไฮประชาชนทุกคนถือว่าเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน อยู่ร่วมกันภายใต้หลังคาเดียวกัน เพื่อทำการสักการะพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน
โครงสร้างของโบสถ์บาไฮ จะเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี เป็นอาคารที่ประกอบกันเป็น 9 ด้าน แต่ละด้านจะมีประตู 1 บาน ทุกประตูเมื่อเปิดออกแล้วจะเป็นห้องโถงกลางภายใต้ยอดตึกอันสวยงามทั้ง 9 ประตู และโครงสร้างทั้ง 9 ด้านจะเป็นสัญลักษณ์ของ 9 ศาสนาสำคัญๆ ของโลก ประตูทั้ง 9 แสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของทุกศาสนา เมื่อเราเข้าไปอยู่ในห้องโถงกลางและมองไปรอบๆ เราจะเห็นประตูอันสวย งามในทุกๆ ด้าน ไม่มีประตูหน้าหรือประตูหลังในโบสถ์บาไฮ ประตูทุกบานจะเปิดถึงกันได้ ทุกประตูจะได้รับแสงและส่งแสงนั้นไปยังห้องโถงกลางที่ซึ่งประชาชนทั้งหลายจะได้มารวมกันเพื่อสักการะพระผู้เป็นเจ้า นี้เป็นวิธีการที่พิศวงเพื่อแสดงความเสมอภาคกัน และความสามัคคีกันของศาสนาต่างๆ ในโบสถ์
โบสถ์บาไฮมิใช่เป็นเพียงสักการะสถานเท่านั้น โบสถ์เหล่านี้ถือว่าเป็นสถาบันอีกด้วย รอบๆ ของโบสถ์ทั้ง 9 ด้าน จะเป็นสถาบันบำเพ็ญบุญ 9 อย่าง เช่น โรงเรียน สถานเด็กกำพร้า โรงพยาบาล เป็นต้น แต่ละสถาบันจะเชื่อมติดต่อกัน ด้านหนึ่งของโบสถ์โดยมีถนนและทางเดินที่สวยงาม ถนนทุกสายจะนำไปสู่สภาของพระผู้เป็นเจ้า การจัดการเช่นนี้ไม่สวยงามใช่ใหม แน่นอนย่อมสวยงามเพราะว่าพระอับดุลบาฮาเองยังได้ร่างแบบแปลนไว้ในพระธรรมลิขิตที่ได้เปิดเผยของพระองค์ เพื่อนำมาสร้างโบสถ์บาไฮ
ปัจจุบันมีบาไฮสักการะสถานใน 5 ทวีปของโลก แห่งหนึ่งอยู่ในทวีปเอเซีย ที่กรุงนิวเดลลี ประเทศอินเดีย แห่งหนึ่งอยู่ที่เมืองวิลเม็ตต์ในมลรัฐชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกแห่งหนึ่งอยู่ในกรุงกัมปาลา ประเทศอูกานดา ทวีปอัฟริกา และที่นครซิตนีย์ประเทศออสเตรเลี ส่วนในทวีปยุโรปอยู่ที่เมืองแฟรงค์เฟิร์ท ประเทศเยอรมันนี โบสถ์เหล่านี้เรียกว่าโบสถ์แม่ของแต่ละทวีป เพราะว่าในอนาคตจะมีโบสถ์อีกมากมายถูกสร้างไว้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีอีกหลายประเทศที่ได้ที่ดินมาเพื่อสร้างเป็นโบสถ์บาไฮแล้ว
เงินกองทุนบาไฮ
ถ้าหากว่าท่านอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ถูกน้ำท่วมและบ้านของผู้คนถูกน้ำพัดพาไป เหลือแต่เขาและเด็กๆ ไม่มีบ้านอยู่ และท่านก็ทราบว่ามีคนจำนวนหนึ่งกำลังช่วยกันสร้างที่พักอาศัยแก่ครอบครัวที่ไม่มีบ้านอยู่ แล้วท่านจะทำอย่างไร ท่านจะพูดว่าท่านจนไม่อาจช่วยเหลือได้ หรือท่านจะแสดงตัวด้วยการแบ่งปันของท่าน ไม่ว่าจะน้อยนิดเพียงใดก็ตาม เพื่อทำให้ครอบครัวนี้ได้อยู่ภายใต้หลังคาในตอนฤดูฝนใช่หรือไม่ ท่านอาจจะให้หินหนึ่งคันรถ หรือเงินจำนวนเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นของบริจาคอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อนำมารวมกันแล้วอาจนำมาสร้างเป็นที่พักอาศัยสำหรับครอบครัวนี้ได้
เผ่าพันธุ์มนุษย์ปัจจุบันนี้ก็เหมือนกับครอบครัวบ้านแตกที่ถูกสะดุดอยู่ในพายุสงครามและได้รับความหายนะอื่นๆ อีกร้อยแปด และศาสนาบาไฮคือที่ปลอดภัยที่ซึ่งมนุษยชาติสามารถหาความสันติและความสุขได้ บาไฮศาสนิกชนทั่วโลกกำลังพยายามที่จะสร้างที่พักอาศัยนี้เพื่อมนุษย์ชาติ เราทุกคนจะไม่อาสาช่วยกันสร้างหรือ
เราจะต้องจัดตั้งสถาบันต่างๆ ของศาสนา โดยสร้างศูนย์กลางและสักการสถาน จัดแปลคำสอนของศาสนาเป็นภาษาต่างๆ ในโลก จัดพิมพ์จุลสารและหนังสือต่างๆ และสำหรับสิ่งเหล่านี้และงานอื่นๆ อีกมาก มาย เราจำเป็นต้องช่วยเหลือด้านวัตถุและด้านจิตใจ นี้จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะเหตุใดธรรมสภาท้องถิ่นและธรรมสภาแห่งชาติทุกแห่งจะต้องมีเงินกองทุน ซึ่งบาไฮศาสนิกชนเป็นผู้บริจาคให้
การบริจาคจะต้องทำโดยสมัครใจ ไม่มีใครมาบังคับให้พวกเขาบริจาคแก่เงินกองทุนได้ถ้าหากว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะบริจาค แต่การบริจาคให้เงินกองทุนของเรานั้นเป็นข้อผู้มัดทางจิตใจ และเป็นบททดสอบต่อความศรัทธาของเรา ไม่มีบาไฮศาสนิกชนคนใดที่จะรู้ความสำคัญของศาสนาที่มีต่อมนุษย์ ที่สามารถทำให้ตนเองมิได้รับสิทธิ์พิเศษแห่งการช่วยเหลือเพื่อยกระดับสถาบันตนเอง และการนำศาสนามาประกาศถึงโลกที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน
จำนวนเงินที่เราให้แก่เงินกองทุนบาไฮไม่สำคัญเท่ากับจิตใจที่เราให้การบริจาค เมื่อบาไฮศาสนิกชนต้องการที่จะสร้างโบสถ์ในอเมริกา พระอับดุลบาฮาก็ทรงขอให้ศาสนิกชนทั่วโลกได้บริจาคเพื่อการนี้ ก็มีสุภาพสตรีชาวอังกฤษท่านหนึ่งซึ่งยากจนมาก แต่ปรารถนาที่จะให้บางสิ่งบางอย่างแก่โบสถ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีอยู่ในโลกนี้ที่เธอสามารถขายได้คือผมสีทองยาวสวยของเธอนั่นเอง แม้ว่านั้นจะเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ก็ตาม แต่เธอก็ได้ตัดผมยาวของเธอและบริจาคเป็นเงินให้แก่เงินกองทุน ด้วยวิธีนี้เธอจึงมีส่วนร่วมในการสร้างโบสถ์อันงดงามแห่งนั้น
ท่านศาสนภิบาล กล่าวว่า
?เราจะต้องเป็นเหมือนน้ำพุที่มิมีวันเหือดแห้ง ซึ่งได้รับน้ำมาจากแหล่งที่มิอาจมองเห็นได้ ไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา โดยไม่มีผู้ใดมาขัดขวางได้ เนื่องจากกลัวต่อความยากจน และยึดมั่นในคุณความดีแห่งความสำเร็จ อันเป็นบ่อเกิดแห่งความมั่งคั่งและความดีทุกอย่าง นี้คือความเร้นลับแห่งการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง?
ทุกธรรมสภาจะต้องจัดตั้งเงินกองทุนขึ้น สมาชิกของชุมชนจะต้องบริจาคตามความสามารถ ด้วยความอิสระ ด้วยความเต็มใจของเขาเอง จากส่วนที่เราให้ไปนั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนเรา เราขอแสดงความขอบคุณต่อพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระเมตตา
ขอให้จดจำสิ่งที่พระอับดุลบาฮากล่าวดังนี้
?ดูกร สหายของพระผู้เป็นเจ้า ขอให้มีความมั่นใจว่าในสิ่งที่มีการบริจาคนี้ ไม่ว่าจะการค้าของเจ้า การเกษตรของเจ้า หรือการอุตสาหกรรมจะได้รับพรอีกหลายเท่าทวีคูณ ใครก็ตามที่แสงดออกด้วยการกระทำดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจะทรงประทานคุณแก่ผู้นั้นเป็น 10 เท่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระผู้ดำรงอยู่นั้นจะให้การช่วยเหลือและทรงรับรองดวงวิญญาณที่กรุณานั้น?
กฏเกณฑ์และข้อบังคับบางประการ
ความสะอาด
พระบาฮาอุลลาห์ได้ตรัสไว้นในพระคัมภีร์อัคดัสว่า
?ความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญของมนุษย์?. ภายใต้สภาพแวดล้อมทั้งปวง จงทำตัวเจ้าให้ประณีตในมารยาท … อย่าได้ทิ้งร่องรอยของความสกปรกปรากฏอยู่ตามอาภรณ์ของเจ้า จงชำระล้างตัวเจ้าด้วน้ำสะอาด น้ำซึ่งได้นำมาใช้แล้วไม่อนุญาตให้ใช้อีก แท้จริงแล้วเราปรารถนาที่จะเห็นเจ้าแสดงแดนสวรรค์ขึ้นบนโลกนี้ เพื่อที่ว่าเจ้าอาจจะได้แพร่หัวใจของผู้กรุณาให้ผู้อื่นได้ยินดี?
ถ้าปัญหาของพระบาฮาอุลลาห์นี้ จะช่วยให้เราได้เข้าใจถึงความสำคัญของความสะอาด พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ที่จะให้เรามีสุขภาพดีและสุขสบายตลอดชีวิตของเรา ถ้าหากว่าเราไม่รักษาความสะอาด สุขภาพของเราก็จะได้รับผลและเมื่อเราสุขภาพไม่ดี เราก็จะไม่สุขสบายเท่าที่ควร
วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าเชื้อโรคส่วนใหญ่ในโลกนี้มีสาเหตุมาจากความสกปรก ถ้าหากเรารับ ประทานอาหารด้วนมือที่สกปรก ก็จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา เพาะว่าเชื้อโรคจำนวนมากจะเข้าสู่ร่าง กายของเรา ด้วยวิธีนี้ ถ้าหากเราเอามือที่สกปรกขยี้ดวงตาของเรา เราก็จะเจ็บตา ในหลายๆ หมู่บ้านในโลกปัจจุบันประชาชนได้ซักผ้าและล้างจานชามในน้ำที่ไม่สะอาด บางครั้งแม้กระทั้งน้ำดื่มก็ไม่สะอาดบริสุทธิ์ด้วย และเป็นเหตุให้พวกเขาไม่ได้รับความผาสุกเนื่องจากโรคภัยต่างๆ
ให้รักษาตัวเรา เสื้อผ้าของเราและบ้านเรืองของเราให้สะอาดอันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเรา ในฐานะที่เป็นศานิกชน เพราะว่านั่นเป็นคำบัญชาของพระบาฮาอุลลาห์ พระอับดุบาฮาตรัสว่า
?ความสะอาดภายนอก แม้จะเป็นเพียงภายนอก ก็มีผลต่อจิตวิญญาณ… ความจริงแล้ว การมีร่างกายที่สะอาด บริสุทธิ์ จะทำให้มีอิทธิพลเหนือจิตใจของมนุษย์?
การสวดอธิษฐาน
?ถ้าหากว่าเพื่อนคนหนึ่งเกิดรักกับอีกคนหนึ่ง เขาก็ปรารถนาที่จะกล่าวคำรัก แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเพื่อนคนนั้นจะรู้ว่าเขาคนนั้นรักเขาก็ตาม เขาก็ยังคงปรารถนาให้อีกคนมากกล่าวคำรัก… พระผู้เป็นเจ้าทรงทราบความต้องการของหัวใจทุกดวง แต่การกระตุ้นให้สวดมนต์ก็เป็นของธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากความรักของมนุษย์ที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า…?
พระอับดุลบาฮาตรัสไว้ว่า การสวดอธิษฐานเป็นการสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าอีกทีหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสว่า ?เราควรจะพูดคุยด้วยภาษาสวรรค์ ด้วยภาษาจิตใจ เพราะว่ามีภาษาอยู่ภาษาหนึ่งซึ่งเป็นภาษาของจิตใจและหัวใจ เป็นภาษาที่ไม่เหมือนกับภาษาพูดของเรา เพราะภาษาของเราไม่เหมือนกับภาษาของสัตว์ที่แสดง ออกแต่เพียงการร้องและส่งเสียง?
การสวดมนต์เป็นอาหารทางจิตวิญญาณ เราจะไม่แข็งแรงทางด้านจิตใจถ้าหากเราไม่สวดมนต์ เพราะฉะนั้นการสวดมนต์จึงเป็นสิ่งที่ได้บังคับไว้ในศาสนาของเรา พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ในพระคัมภีร์อัคดัสอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ว่า
จงสวดพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าทุกๆ เช้าเย็น ผู้ที่ละเลยต่อสิ่งนี้ถือว่าไม่เชื่อฟังต่อพระปฏิญญาของพระผู้เป็นเจ้าและข้อตกลงของพระองค์ และเขาผู้นั้นได้หันหน้าหนีจากพระผู้เป็นเจ้า จงเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า ดูกร ปวงประชาของเรา อย่าได้อ่านพระวจนะศักดิ์สิทธิ์และปฏิบัติทั้งวันทั้งคืนให้มากจนเกินไป อันทำให้เจ้าเกิดความภาคภูมิใจ ให้สวดเพียงบทเดียวด้วยความปีติยินดีและด้วยความเบิกบานใจจะดียิ่งกว่าที่เจ้าไปอ่านพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งเล่มด้วยความไม่ตั้งใจ การสวดพระธรรมลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าในขนาดที่ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกเหนื่อยจนเกินไป ไม่ทำให้ดวงวิญญาณรู้สึกอึดอัดจนเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลียและชวนง่วง แต่ถ้าเป็นการทำให้ดวงวิญญาณรู้สึกสดชื่นแล้วดวงวิญญาณจะชูปีกแห่งพระคัมภีร์ไปสู่ที่ประจักษ์แห่งความจริงทั้งหลายได้ เป็นการนำเจ้าไปใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้ายิ่งขึ้น ถ้าเจ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจ?
จากพระวจนะศักดิ์สิทธิ์ของพระบาฮาอุลลาห์ เราต้องเข้าใจว่าการสวดอธิษฐานของศาสนาบาไฮนั้น จะไม่นำมาปฏิบัติเป็นเสมือนพิธีหรือแบบแผน แม้ว่าจะเป็นข้อบังคับก็ตามท่านจะเห็นว่ามีหลายคนที่คิดว่าการที่ได้สวดพระวจนะบางบทที่ปกติแล้วเขาไม่เข้าใจนั้น เขากำลังปฏิบัติเป็นบุญกุศลอย่างหนึ่ง คนบางคนชื่อว่าถ้าหากเขาได้สวดพระธรรมลิขิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งเล่มจบภายใน 1 วัน เขาจะเป็นที่ชื่นชมในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า และจะได้รับการตอบแทนด้วยวิธีการหนึ่ง
มีคนหลายพันคนได้ใช้เวลาในการอ่านหนังสือภาษาสันสกฤตหรือภาษาลาติน หรือภาษาอารบิคเป็นเวลาหลายชั่วโมง ด้วยความที่พวกเขาไม่เข้าใจต่อคำของภาษาเหล่านี้เขาทำไปเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าการสวดพระวจนะศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งเดียวที่จะนำพวกเขาไปสู่การพ้นทุกข์ได้ ในเมื่อเขากำลังเลียนแบบบางสิ่งที่บิดามารดาของเขาได้ทำมาแต่ก่อน อย่างคนตาบอด ในศาสนาบาไฮ การเคารพบูชาด้วยปากไม่บังควรกระทำ พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?การสวดเพียงบทเดียวด้วยความยินดีและเบิกบานใจแล้วจะดียิ่งกว่าที่เจ้าไปอ่านพระคัมภีร์ของพระผู้เป็นเจ้าทั้งเล่มด้วยความไม่ตั้งใจ? พระองค์ทรงเตือนเราอย่าทำจนเกินกำลัง ดวงวิญญาณเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยและอ่อนเพลีย แต่ถ้าเป็นการทำให้ดวงวิญญาณรู้สึกสดชื่นแล้วดวงวิญญาณจะชูปีกแห่งพระคัมภีร์ไปสู่ที่ประจักษ์แห่งความจริงทั้งหลายได้
มีบทอธิฐานที่ไพเราะหลายร้อยบทที่เปิดเผยโดยพระบ๊อบ พระบาฮาอุลลาห์ และพระอับดุลบาฮา บาไฮศาสนิกชนได้รับการส่งเสริมให้อ่านบทอธิษฐานทุกครั้งที่เขาต้องการสวด การประชุมของบาไฮมักจะเปิดและปิดด้วยการสวดอธิษฐาน หากคนคนหนึ่งอ่านหรือสวดพระธรรมศักด์สิทธิ์ในที่ประชุม คนอื่นๆ จะต้องฟังและคิดไปด้วย บทสวดอธิษฐานมีความจับใจและทุกคนสามารถที่จะประสบกับความยินดีและมีความอิ่มเอิบใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่กำลังสวดบทสวดของบาไฮ บทอธิษฐานเหล่านี้ไม่ใช่เป็นการบังคับ และปล่อยให้แต่ละคนสวดได้เมื่อเขาปรารถนา แต่บาไฮศาสนิกชนจะต้องมีบทอธิษฐานที่บังคับไว้ด้วย พระบาฮาอุลลาห์ทรงเปิดเผยบทสวด 3 บท ให้เรามีอิสระที่จะเลือกบทใดบทหนึ่งใน 3 บทนี้ ?มีบทหนึ่งที่ใช้สวดหนึ่งครั้งใน 24 ชั่วโมง บทนี้มีชื่อว่าบทอธิษฐานบทยาว แล้วก็มีบทอธิษฐานแบบสั้นซึ่งต้องสวด 3 ครั้งในหนึ่งวัน คือในตอนเช้า ตอนกลางวัน และตอนเย็น บทอธิษฐานแบบที่ 3 เป็นบทสวดแบบสั้นใช้สวดหนึ่งครั้งทุกวันตอนบ่าย
ท่านจะพบเห็นบทอธิษฐานเหล่านี้ทั้งหมดได้ซึ่งได้พิมพ์เป็นหนังสือสวดมนต์ของศาสนาบาไฮ บทสวดแบบบังคับแบบสั้นจะพบได้ในบทแรกของหนังสือภายใต้ชื่อว่า ?จุดมุ่งหมายแห่งชีวิตของเรา? (หน้า 2 ) ถ้าหากว่าท่านตัดสินใจที่จะสวดบทนี้ทุกๆ บ่าย ก็จะเป็นการดีที่จะจำไว้แต่ถึงจะเป็นบทสวดใดก็ตามที่ท่านเลือกสวด ท่านก็จะต้องจำไว้ว่าด้วยจิตใจที่เรามอบให้กับบทสวดอธิษฐานของเรานั้น เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด พระอับดุลบาฮาตรัสว่า
?ในบทอธิษฐานอันสูงเลิศนั้น มนุษย์สวดเพียงเพื่อความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า มิใช่เป็นเพราะว่าพวกเขาเกรงกลัวพระองค์หรือกลัวนรกหรือหวังในความกรุณาหรือหวังขึ้นสวรรค์ เมื่อใดที่คนรู้สึกรักใครคนหนึ่ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเก็บเงียบไม่กล่าวชื่อของผู้ที่เขารัก ยิ่งเป็นการยากที่จะไม่กล่าวถึงพระนามของพระผู้เป็นเจ้า เมื่อคนคนนั้นรักพระองค์ ผู้ที่ยึดศาสนาจะไม่ชื่นชมต่อสิ่งอื่นใดนอกจากการระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า?
การถือศีลอด
ในการปฏิบัติทางศาสนาบางครั้งจะมี 4 หรือ 5 วัน ในช่วงระหว่างเดือนที่ 18 และเดือนที่19 ซึ่งมี
ชื่อว่า ?วันแห่งชาติ? หรือเป็นวันที่แซกเข้ามา ช่วงระหว่างวันเหล่านี้บาไฮศาสนิกชนจะสนุกกับเพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือมีการเลี้ยงคนยากจนในกลุ่มของเขา การเริ่มต้นของเขา การเริ่มต้นของเดือน 19 เป็นเดือนแห่งความสูงส่ง ซึ่งเป็นช่วงของการถือศีลอด
ตลอดเวลา 19 วันของการถือศีลอด เราจะไม่รับประทานหรือดื่มสิ่งใดตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก เราจะตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อสวดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าและขอบคุณพระองค์สำหรับความกรุณาและพระพรของพระองค์ แล้วเราจะรับประทานอาหารก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นและไม่รับประทานอะไรอีกเลยในช่วงกลางวันจนกว่าดวงอาทิตย์ตก เราจะเลิกการถือศีลอดตอนดวงอาทิตย์ตก หลังจากการสวดอธิษฐานของเรา
ทั้ง19 วันของการถือศีลอดนี้จะนำเราไห้ใกล้ชิดกับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าช่วงเวลาของวันอื่นๆ ในตอนที่เราอยู่ในการถือศีลอด เรากำลังแสดงวิถีแห่งสัญลักษณ์ต่อความรักของเราที่มีแด่พระผู้เป็นเจ้า และความเลื่อมใสศรัทธาของเราในการดำเนินตามพระบัญญัติของพระองค์
และนี้เป็นสิ่งที่พระอับดุลบาฮาตรัสไว้เกี่ยวกับการถือศีลอด
?การถือศีลอดเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง การถือศีลอดเป็นการแสดงการงดเว้นจากกิเลสตัณหา การถือศีลอดภายนอกเป็นสัญลักษณ์ของการละเว้นอย่างหนึ่งและเป็นการเตือนความจำที่ว่าขณะที่คนคนหนึ่งอดอาหาร แต่เป็นเพียงการงดเว้นอาหารเท่านั้นไม่มีผลต่อจิตใจ นี้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งการเตือนใจเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีความสำคัญ การถือศีลอดเพื่อจุดมุ่งหมายนี้ไม่ได้หมายความถึงการงดเว้นอาหารแต่อย่างเดียว กฎที่ดีนั้นก็คือไม่รับประทานอาหารมากหรือน้อยเกินไป ความพอดีเป็นสิ่งสำคัญ มีนิกายหนึ่งในประเทศอินเดียฝึกฝนการอดอย่างรุนแรง ค่อยๆ ลดอาหารของเขาจนถึงขนาดที่มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องมีสิ่งใด แต่เป็นการทนทุกข์ทรมานสติปัญญามนุษย์จะไม่คู่ควรต่อการรับใช้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากสมองและร่างกายของเขาถ้าหากว่าเขาอ่อนแอด้วยโรคขาดอาหาร เขาจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ก่อนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้นเราจะต้องเตรียมตัวสวดอธิษฐานและทำสมาธิ มีบทสวดอธิษฐานที่ไพเราะหลายบทเปิดเผยโดยพระบาฮาอุลลาห์ โดยเฉพาะสำหรับช่วงถือศีลอด ก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น เมื่อเรารับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราก็จะไม่รับประทานหรือดื่มสิ่งอื่นใดตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก ในช่วงระหว่างของการถือศีลอดนี้ เราจะเกิดความรู้สึกรักพระบาฮาอุลลาห์มากกว่าแต่ก่อน และมักจะจำไว้เสมอว่าเพื่อความรักของพระองค์ เราจึงถือศีลอด หลังจากดวงอาทิตย์ตกแล้วเราก็จะเลิกถือศีลอด เราจะสวดอธิษฐานก่อนหรือหลังการถือศีลอด แม้ว่าจะมีบทสวดที่เปิดเผยโดยพระบาฮาอุลลาห์ สำหรับการถือศีลอดหลายบทก็ตาม แต่เราจะเลือกสวดบทใดก็ได้ของบทอธิษฐานนี้จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาบาไฮ อย่างไรก็ตามเพื่อความสะดวกของผู้อ่าน เราจะกล่าวถึงการสวดอธิษฐานหนึ่งบทซึ่งอาจจะนำมาสวดในระหว่างการถือศีลอดได้คือ
ข้าแต่พระผู้เป็นนาย พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระองค์ ข้าพเจ้าขอวิงวอนต่อพระธรรมซึ่งแปรความมืดให้เป็นแสงสว่าง ขออธิษฐานต่อคำสั่งสอนที่ดลบันดาลให้มีการก่อสร้างโบสถ์ซึ่งมีศาสนิกชนไปสักการะเสมอ ขออ้อนวอนต่อพระธรรมซึ่งเป็นที่มาแห่งการเผยเป็นพระอักษรในพระคัมภีร์ ขออธิษฐานต่อม้วนพระคัมภีร์ที่เผยกางออก ขอวิงวอนว่าขอพระองค์ทรงประทานสิ่งที่จะดึงดูดข้าพเจ้าตลอดจนญาติมิตรของข้าพเจ้าให้ขึ้นสู่แดนสุขาวดีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ขอทรงประทานสิ่งที่จะขัดล้างรอยแห่งความเคลือบแคลงใจ ซึ่งเป็นอุปสรรค์แห่งการได้เข้าสู่สักการะสถานแห่งสามัคคีธรรมของพระองค์
ข้าแต่พระผู้เป็นนาย ข้าพเจ้าคือผู้ที่ยึดสายใยแห่งความเมตตารักใคร่ของพระองค์ ข้าพเจ้าขอเกาะชายฉลองพระองค์แห่งความเมตตาของพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดดลบันดาลแต่สิ่งที่ดีงามทั้งในโลกนี้ และโลกหน้าแก่ข้าพเจ้า และแก่บุคคลที่ข้าพเจ้ารักใคร่ ขอพระองค์ทรงโปรดมอบของขวัญที่ทรงตั้งพระทัยให้บุคคลที่เลือกสรรไว้แล้วแก่เรา
ข้าพแต่พระผู้เป็นนาย วันเหล่านี้คือวันที่พระองค์ทรงบัญชาให้เหล่าคนรับใช้ถือศีลอด ขอพระพรจงมีแด่ผู้ที่ถือศีลอดเพื่อพระองค์ ด้วยมโนธรรมที่ตัดขาดออกจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยให้ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระองค์ โปรดช่วยให้ข้าพเจ้ายึดถือคำสั่งสอนของพระองค์ไว้อย่างมั่นคง แท้จริงแล้ว พระองค์ทรงอำนาจดลบันดาลทุกสิ่งที่ทรงปรารถณา
ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ พระผู้ทรงรอบรู้ พระผู้ทรงชาญฉลาด ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นนายแห่งภพทั้งปวง
?. พระบาฮาอุลลาห์…
ช่วงของการถือศีลอดจะมีไปถึงวันสุดท้ายของปีบาไฮ วันปีใหม่จะตรงกับวันที่ 21 มีนาคม อันเป็นวันสุดท้ายของการถือศีลอด บาไฮศาสนิกชนจะฉลองวันนี้เป็นวันฉลองนอร์รูซ
งานเป็นการเคารพบูชา
ในกฎเกณฑ์ของพระบาฮาอุลลาห์ คือ ทุกคนควรจะทำงาน การขอทานหรือการเกียจคร้านในชีวิตถือเป็นบาป เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้อห้ามในศาสนาบาไฮ การทำงานเป็นข้อบังคับสำหรับบาไฮศาสนิกชนในศาสนานี้ เมื่อได้ปฏิบัติจนเป็นนิสัยของการรับใช้ต่อเพื่อนมนุษย์โลก ก็จะกลายเป็นการเคารพบูชาอย่างหนึ่งของบาไฮศาสนิกชน พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?เป็นหน้าที่ของเจ้าทุกคนในการประกอบอาชีพอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น งานศิลปะ การค้า หรืออื่นๆ เราได้สร้างงานเป็นอาชีพแก่เจ้าเท่าเทียมกัน ด้วยการบูชาพระผู้เป็นเจ้าอันเป็นสัจธรรม ดูกร ปวงประชา จงสนองต่อความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และต่อพระกรุณาของพระองค์ แล้วให้ขอบคุณพระองค์ในเวลาเช้า เย็น?
พระอับดุลบาฮายังได้อธิบายต่อไปว่า
?ในศาสนาบาไฮ ศิลปะ วิทยาศาสตร์ และงานฝีมือทั้งหลายถือว่าเป็นการเคารพบูชา คนที่ทำกระดาษบันทึกอย่างสุดเต็มความสามารถของเขานั้น อย่างซื่อตรง ตั้งใจแน่วแน่ต่อความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ก็ถือว่าเป็นการถวายความสรรเสริญแด่พระผู้เป็นเจ้า กล่าวโดยย่อ คือ ความพยายามและกำลังทั้งหมดจากมนุษย์ที่ออกมาจากความสมัครใจ เต็มใจแล้วถือเป็นการเคารพบูชา แต่ถ้าหากว่าการกระทำเกิดจากการถูกเร่งเร้าและเต็มใจที่จะกระทำการรับใช้ต่อเพื่อนมนุษย์แล้ว นี่ก็คือการเคารพบูชาอย่างหนึ่ง การรับใช้เพื่อนมนุษย์ และการปรนนิบัติต่อความต้องการของประชาชน การรับใช้ก็เป็นการสวดอธิษฐาน…?
งานคือการเคารพบูชา การรับใช้คือการสวดอธิษฐานนี่เป็นกฎที่วิเศษ
เมื่อใดที่เราต้องการเคารพบูชาพระองค์ด้วยความสุขใจและจริงใจ บาไฮศานิกชนเชื่อว่าชาวนาผู้ที่กำลังขุดดินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเขาเองและคนอื่นๆ ก็ถือว่าเรากำลังเคารพบูชาพระผู้เป็นเจ้า ช่างไม้ผู้ที่กำลังทำประตูบ้าน หรือช่างเสื้อผู้ที่กำลังเย็บผ้าอยู่และผู้ที่กำลังพยายามใช้ความชำนาญของเขาในการกระทำให้สิ่งนั้นสวยงามเพื่อให้ผู้อื่นสบายใจแล้ว ก็เป็นการถวายความสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าอยู่
ดังนั้นเราจะเห็นว่าด้วยพระพรของพระบาฮาอุลลาห์ท้องทุ่งทุกแห่งสามารถที่จะกลายเป็นโบสถ์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ ห้องปฏิบัติงานจะกลายเป็นสักการะสถาน เพราะฉะนั้นงานที่บาไฮศาสนิกชนทำไม่ว่าจะลำบากเพียงใดก็จะกลายเป็นอาชีพที่สร้างความเพลิดเพลินเพราะว่าเขาสามารถจะเคารพบูชาพระผู้เป็นเจ้าได้ และบาไฮศาสนิกชนจะปฏิบัติงานของเขาด้วยความสบายใจ จริงใจและสุจริต เช่นเดียวกับที่เขาบำเพ็ญสวดอธิษฐานอยู่
นักพรตผู้ที่อาศัยอยู่ในถ้ำ หรือในใจกลางป่า ได้เตรียมการปฏิบัติเพื่อการทรมานตนเองทุกวิถีทาง เพราะเขาคิดว่าในการทำเช่นนั้นเป็นการที่เขากำลังเคารพบูชาพระผู้เป็นเจ้า พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า สมัยของการบำเพ็ญทุกกิริยาและการถือสันโดษได้หมดสมัยแล้ว พระองค์ทรงปฏิบัติงานทุกประเภทมาแล้วเพื่อเราซึ่งเท่ากับเป็นการเคารพบูชาพระผู้เป็นเจ้า งานจะไม่ทำให้เราเกิดความรู้สึกเบื่ออีกต่อไป ถ้าหากเราคิดว่างานนั้นเป็นบทสวดอธิษฐานบทหนึ่งและเราได้กระทำไปด้วยความศรัทธา
การตัดขาดจากโลกและการใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษไม่ถือว่าได้บุญในทางศาสนาบาไฮ นั่นจึงเป็นหตุผลที่ว่าบาไฮศาสนิกชนไม่มีพระหรือนักพรต พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?ดูกร ปวงประชาชาวโลก การใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและการเคร่งครัดต่อระเบียบ จะไม่ประสบกับความพอพระทัยของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่มีความเข้าใจและมีความรู้จะเป็นผู้ที่มองเห็นความหมายซึ่งจะนำมาซึ่งความเบิกบานและความหอมหวาน การปฏิบัติเช่นนี้จะค่อยๆ ปรากฎผลและกลายเป็นบ่อเกิดของความงมงาย และไม่มีเหตุผลและเป็นคนที่ไม่คู่ควรกับความรู้ คนในสมัยก่อนบางคนและคนสมัยต่อมาที่อาศัยอยู่ตามถ้ำ ภูเขาบางคนได้ไปเยี่ยมสุสานยามค่ำคืน พระองค์ตรัสว่า จงฟัง ความเห็นของพระผู้ได้รับการกดขี่พระองค์นี้ แล้วให้ละทิ้งสิ่งที่เจ้ายึดถือ แล้วให้ยึดในสิ่งที่พระผู้แนะนำได้ทรงบัญชาไว้ อย่าได้ละตัวเจ้าออกจากสิ่งซึ่งได้สร้างเอาไว้สำหรับเจ้า?
ขอให้เราเคารพบูชาพระผู้เป็นเจ้าในทุ่งของเราและในโรงงานของเรา ขอให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยการรับใช้ของเราต่อมนุษยชาติ ขอให้เราจดจำกฎบัญญัติข้อนี้ของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับยุคสมัยนี้
อย่าได้เสียเวลาของเจ้าด้วยการไม่ทำอะไรเลยและด้วยการอยู่เฉยๆ จงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่เจ้าเองและผู้อื่น ดังนั้นจึงได้มีการบัญชาไว้ในพระธรรมลิขิตนี้ จากขอบฟ้าของดวงอาทิตย์แห่งปัญญา และจากพระวจนะสวรรค์นั้นกำลังส่องแสงขึ้นแล้ว คนที่น่าชิงชังที่สุดต่อหน้าพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้าก็คือผู้ที่นั่งขอทาน จงยึดในสายอาชีพ วางใจในพระผู้เป็นเจ้าและผู้ก่อเกิดศาสนา ทุกดวงวิญญาณผู้ที่หมก มุ่นตนเองอยู่ในงานศิลปะ หรือการค้า ก็จะนับว่าเป็นการปฏิบัติบูชาต่อหน้าพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า แท้จริงแล้วการปฏิบัติบูชานี้ไม่ได้มาจากสิ่งอื่นใดที่มากไปกว่าพระกรุณาที่ยิ่งใหญ่มหาศาลของพระองค์?
การสอนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า
ถ้าหากมีใครมาถามเราว่า หน้าที่ของบาไฮศาสนิกชนคืออะไร เราจะตอบได้ว่า 1. ศึกษาศาสนา 2.ปฏิบัติตามคำสอน 3. เผยแพร่สาส์นของพระผู้เป็นเจ้า พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า ?พระผู้เป็นเจ้าทรงมองหน้าที่แด่ทุกดวงวิญญาณในการเผยแพร่ศาสนาของพระองค์ตามความสามารถของตน?
เพราะเหตุใดเราจึงจำเป็นต้องสอนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า
เมื่อคนเราได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคร้าย แล้วได้พบยาที่จะรักษาตน แล้วทันทีก็รีบนำมาบรรเทาความเจ็บปวดความทุกข์ทรมานนั้น แน่นอนเขาก็จะจ่ายยานั้นอย่างระมัดระวังที่สุด แต่ถ้าหากว่าเขาเห็นเพื่อนคนหนึ่งของเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคร้ายเดียวกัน แล้วเขาจะทำอย่างไรกับยานั้น เขาจะเก็บยานั้นไว้ใช้เองอย่างเห็นแก่ตัวแล้วปล่อยให้เพื่อนของเขาทรมานเช่นนั้น ไม่เป็นเช่นนั้นแน่ เขาจะยินดีนำเอายานั้นไปให้เพื่อนของเขาแล้วรับรองกับเพื่อนว่ายานั้นจะบรรเทาความเจ็บป่วยได้อย่างทันที เพราะว่าเขาเองเคยทดลองใช้ยานั้นมาแล้ว
พระบาฮาอุลลาห์ ทรงเป็น ?แพทย์ผู้ทรงรอบรู้? และพระองค์ทรงนำเอายาวิเศษที่สามารถรักษาเราให้หายจากความเจ็บป่วยทั้งปวงได้ โรคความเกลียดชัง โรคหลงงมงาย โรคสิ้นหวัง และโรคแตกความสามัคคีกำลังทำลายประชาชนชาวโลก บาไฮที่แท้จริงผู้ซึ่งได้รับการเยียวยารักษาจากโรคร้ายเหล่านี้และเป็นผู้รู้วิธีการรักษาแล้วจะเพิกเฉยไม่เอาใจใส่ต่อความทุกข์ทรมานของผู้อื่นได้อย่างไร แน่นอนเขาจะต้องพยายามแบ่งสิ่งที่เขาเองได้รับมาจากคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าให้แก่พี่น้องที่กำลังเจ็บป่วยของเราซึ่งเขาต้องรับภาระทุกคน
ในศาสนาบาไฮ เราไม่มีบุคคลชั้นพิเศษที่จะรับผิดชอบในการสั่งสอนและแพร่คำสอนของพระผู้เป็นเจ้า หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้นำทางไปสู่ศาสนาเพราะฉะนั้นจึงได้ตกเป็นภาระแก่ศาสนิกชนทุกคน
ประโยชน์ของเราในการมอบคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าแก่ผู้อื่นนั้นคืออะไร เราจะไม่พยายามรวมกลุ่มกันเป็นกองทัพ เราจะไม่หวังผลกำไรทางวัตถุในการมอบคำสอน เราขอเพียงสอนศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเรารู้สึกรักผู้อื่นและไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นถูกกีดกันออกจากความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานมาให้แก่เราในยุคสมัยนี้ เราไม่เคยพยายามที่จะบังคับให้ผู้อื่นมารับความคิดของเรา เราไม่ถกเถียงกับเขาถ้าหากเขาปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เราหยิบยื่นให้เขา เราจะยังคงรักเขาอยู่ เราจะไม่พูดกับคนอื่นว่า เขาผิด เราถูก เราเพียงแต่แสดงคำสอนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้เราได้ผ่านทางพระบาฮาอุลลาห์ ปล่อยให้เขายอมรับเอง ความรักของเราที่มีต่อผู้อื่นนั้น มิได้ขึ้นอยู่ที่ว่าเขาเป็นบาไฮศาสนิกชนหรือไม่ นี่คือสิ่งที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญชาให้เราปฏิบัติ
?ดูกร ปวงชนบาฮา เจ้าคืออรุโณทัยสถานแห่งความรักและเป็นรุ่งอรุณแห่งความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า อย่าได้ทำให้ลิ้นของเจ้าด่างพร้อยไปด้วยคำแช่งด่าหรือการด่าว่าผู้อื่น และให้ปกป้องดวงตาของเจ้าจากสิ่งที่ไม่สมควร ขอให้แสดงออกในสิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่(ความสัตย์จริง) ถ้าหากว่าสิ่งนั้นเป็นที่ยอมรับ จุดมุ่งหมายก็จะบรรลุผล ถ้าไม่เป็นที่ยอมรับก็อย่าไปตำหนิหรือรบกวนเขาผู้ซึ่งไม่ยอมรับก็เป็นสิ่งไร้ประโยชน์ ปล่อยให้เขาเป็นตัวของเขาเอง และจงก้าวไปสู่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้ทรงคุ้มครอง พระผู้ดำรงอยู่ด้วยตนเอง อย่างได้เป็นต้นเหตุแห่งความเศร้าโศก อย่ายุยงให้เกิดความไม่สงบและความโกลาหล หวังว่าเจ้าอาจจะได้รับความทะนุถนอมภายใต้ร่มไม้แห่งพระกรุณาแห่งสวรรค์ และปฏิบัติตามสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์มอบให้แก่เจ้า เจ้าเป็นเสมือนใบไม้ของต้นเดียวกัน และเป็นเสมือนหยดน้ำของทะเลเดียวกัน?
พระบาฮาอุลลาห์ทรงหวังที่จะให้เราสอนตัวเราเองก่อนที่จะไปสอนผู้อื่น นี้หมายความว่าเราควรที่จะพยายามให้ดีที่สุดในการที่จะรู้เกี่ยวกับคำสอนต่างๆ ของพระองค์ และปฏิบัติตามคำสอนนั้นในการดำเนินชีวิตของเราเอง ก่อนที่เราหวังที่จะให้ผู้อื่นมาปฏิบัติในคำสอนเหล่านี้ ในพระวจนะของพระบาฮาอุลลาห์ตรัสไว้ว่า
?ปวงชนชาวบาฮา จะต้องรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความสุขุม สอนผู้อื่นด้วยการดำเนินชีวิตของตนและด้วยการแสดงดวงประทีบพระผู้เป็นเจ้าในการกระทำของตน ผลของการกระทำนั้นจะมีอำนาจที่แท้จริงมากกว่าผลของคำพูด ?ผลของคำพูดที่ครูสอนพูดนั้นขึ้นอยู่กับความเคร่งครัดต่อจุดมุ่งหมายของเขา และความเข้มงวดของบางคนเข้าใจด้วยคำพูด แต่ว่าความจริงของคำพูดจะถูกทดสอบด้วยการกระทำและขึ้นอยู่กับการดำเนินชีวิต การกระทำจะส่อให้เห็นชั้นฐานะของตนคำพูดนั้นต้องเป็นไปตามสิ่งที่ตรัสออกมาจากโอษฐ์แห่งพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าและที่ได้บันทึกเอาไว้ในพระธรรมลิขิต?
สิทธิพิเศษอันใหญ่หลวงของเราคือ การเป็นบ่อเกิดแห่งการพัฒนาแห่งจิตใจและการให้ความสุขแก่ผู้อื่น บางทีในโลกแห่งวิญญาณอาจจะไม่มีอะไรที่เรารักมากไปกว่าการช่วยเหลือผู้คน ให้มีความเข้าใจในจุดมุ่งหมายแห่งการดำรงชีวิตของตนและให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในศาสนาสากล พระอับดุลบาฮากล่าวไว้ว่า บาไฮศาสนิกชนทุกคนควรพยายามที่จะนำทางให้คนเข้าสู่ศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ให้ได้อย่างน้อยที่สุดปีละคน การสอนศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์มิได้ขึ้นอยู่กับการได้รับการศึกษาของเรา พระอับดุลบาฮากล่าวว่าแม้ว่าคนนั้นจะเขียนไม่ได้อ่านไม่ออก แต่เขาก็สามารถที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขานั้นเป็นผู้รับใช้ของมนุษยชาติที่แท้จริง โดยการกระทำและการปฏิบัติของเขา ถ้าหากว่าเราดำรงชีวิตอย่างบาไฮศาสนิกชนที่แท้จริงแล้ว คนเขาก็จะเห็นกันเองว่าเราแตกต่างไปจากคนอื่น เพราะว่าเราได้นำเอาคำสอนของพระผู้เป็นเจ้ามาปฏิบัติสำหรับยุคสมัยนี้ ความสำคัญของคำสอนทางศาสนาและพระพรนั้น จะนำเราไปสู่ความเข้าใจได้เป็นอย่างดี จากพระประมวลนิพนธ์ของพระอับดุลบาฮาดังนี้
?เป็นที่ทราบแน่ชัดแล้วว่า ปัจจุบันนี้ความช่วยเหลือแห่งสวรรค์ที่มิอาจมองเห็นได้นั้น ได้หมุนเวียนบุคคลผู้ที่จะส่งมอบสาส์นแห่งสวรรค์และถ้าหากภารกิจการส่งมองสาส์นสวรรค์ถูกละเลยแล้ว ความช่วยเหลือก็จะถูกตัดขาด เพราะว่าเป็นไปไม่ได้ที่มิตรของพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความช่วยเหลือ เว้นเสียแต่ว่าเขาเหล่านั้นจะรับช่วงในการส่งมอบสาส์นสวรรค์ภายใต้ทุกเงือนไข สาส์นสวรรค์จะต้องมีการส่งออกแต่จะต้องทำด้วยความสุขุม มิตรเหล่านั้นคงจะรับช่วงในการศึกษาดวงวิญญาณ และควรจะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือโลกมนุษย์เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขและความหอมหวลทางจิตใจ ตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าทุกๆ คนของศาสนาได้สร้างสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพ และมีการจัดการอย่างถูกต้องกับผู้ที่ไม่สนใจต่อดวงวิญญาณและอยู่ร่วมกับเขาด้วยความกรุณาและในขณะเดียวกันด้วยความประพฤติอันดีและด้วยพฤติกรรมที่ถูกต้อง ก็จะนำเขาไปสู่คำสอนแห่งสวรรค์ไปสู่คำแนะนำและคำสอนแห่งสวรรค์เขาจะค่อยๆ ปลุกผู้ที่ไม่สนใจผู้นั้นและจะเปลี่ยนความโง่เขลาของเขาให้เป็นความรู้?
เครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์เป็นสิ่งต้องห้าม
เราทราบแล้วว่าคนนั้นต่างจากสัตว์อย่างไร ก็เพราะว่าการมีความสำนึกคิดและจิตวิญญาณ พระผู้เป็นเจ้าทรงหวังที่จะให้เราเอาใจใส่ดูแลของขวัญอันล้ำค่าเหล่านี้ไว้เป็นอย่างดี ด้วยเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงประทานพรแด่เผ่าพันธุ์มนุษย์ เราจะต้องพยายามรักษาความนึกคิด และจิตวิญญาณให้สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นพิษทำลายความนึกคิดในขนาดที่จะทำให้คนลืมสิ้นในความเป็นคนของเขา และปล่อยตัวให้ตกสู่ระดับความเป็นสัตว์ในตอนที่เขามึนเมา เพราะฉะนั้นพระบาฮาอุลลาห์ทรงห้ามเราจากการใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
มีบาไฮศาสนิกชนหลายคนที่เคยมีนิสัยติดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก่อนที่เขาจะมานับถือศาสนานี้ แต่หลังจากที่เขายอมรับพระบาฮาอุลลาห์เป็นองค์พระศาสนทูตของพระผู้เป็นเจ้า เขาก็พิสูจน์ความรักและจงรักภักดีของเขาที่มีต่อพระองค์ ด้วยการขจัดนิสัยอันเป็นภัยอันตรายนี้ซึ่งมิเคยนำมาด้วยสิ่งใดนอกจากการเสียเงิน เสียสุขภาพ และเสียจิตวิญญาณ บัดนี้เขามาดื่มน้ำแห่งชีวิตของพระบาฮาอุลลาห์ทรงจัดเตรียมไว้แก่เราโดยคำสอนของพระองค์ และไม่ทรงให้ใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการฉลองสนุกสนานหรือเพื่อให้ลืมปัญหาชีวิตประจำวันของเขา
ยังมีบางเผ่าในโลกที่เคยชินกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างที่มีงานฉลองหรือประกอบพิธีประจำเผ่า บัดนี้เขาเหล่านั้นเป็นบาไฮศาสนิกชนแล้ว เขาก็ยังคงประกอบพิธีเหล่านั้นอยู่ แต่แทนที่จะใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เขากลับดื่มน้ำผลไม้ที่อร่อยซึ่งปราศจากภัยอันตรายของแอลกอฮอล์
ไม่เพียงแต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ยังรวมยาเสพติดที่มอมเมาอีกด้วย เช่น ฝิ่น ซึ่งจะเป็นพิษทำลายความนึกคิดและร่างกาย ก็เป็นสิ่งที่ห้ามไว้ในศาสนาบาไฮ
การประกอบพิธีในวันศักดิ์สิทธิ์
มีวันศักดิ์สิทธิ์อยู่ 9 วัน ตลอดใน 1 ปี ซึ่งบาไฮศาสนิกชนไม่ควรทำงานวันเหล่านี้ ไม่ประกอบการธุระเพราะว่าเป็นเหตุการณ์พิเศษบางอย่างเกี่ยวกับความสำคัญยิ่งทางศาสนาได้เกิดขึ้นในวันเหล่านั้น เพราะฉะนั้นวันเหล่านั้นจะไม่เหมือนกับวันธรรมดา มี 7 วันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นวันฉลองและอีก 2 วันเป็นวันระลึกถึงวันประหารชีวิตพระบ๊อบและวันสวรรคตของพระบาฮาอุลลาห์
ในวันฉลองทั้งหลาย วันฉลองวันแรกกคือ ฉลองนอร์รูซ ซึ่งหมายถึงวันสุดท้ายของช่วงการถือศีลอด และเป็นการเริ่มต้นของปีใหม่
วันฉลองอีก 3 วัน จะอยู่ระหว่างเทศกาลเรซวาน อันเป็นวันครบรอบปีแห่งการประกาศศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งประกาศที่กรุงแบกแดด ในระหว่าง 12 วัน เราพูดถึงว่าเป็น ?วันของเรซวาน? พระบาฮาอุลลาห์ทรงพำนักอยู่ในสวนอันสวยงามที่มีชื่อว่า ?สวนเรซวาน? ที่ซึ่งสหายของพระองค์และสาวกจะมาพบพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล พระบาฮาอุลลาห์ถูกเนรเทศออกจากกรุงแบกแดด และสาวกของพระองค์หลายคนและประชาชนคนอื่นๆ อีกหลายร้อยคนที่มีความรักและนับถือพระองค์ เศร้าโศกเสียใจในการจากไปของพระองค์ แต่ยิ่งเศร้าโศกเข้ามาทับถมในจิตใจของผู้ที่รักพระอง์มากเท่าไรก็จะกลับกลายเป็นความเบิกบานยินดีชั่วนิรันดร์ เพราะอยู่ในช่วงระหว่างวันเหล่านั้นที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงประกาศอย่างเปิดเผยว่า พระองค์คือพระศาสดาที่เสด็จมาตามคทำนายของพระศาสดาในอดีตและเพราะว่าพระองค์คือพระศาสดาที่พระบ๊อบทรงสละชีพอันมีค่าของพระองค์ ในการจดจำถึงวัน 12 วันนี้ เราจึงจัดเฉลิมฉลองเรซวานทุกๆ ปี และในบรรดาวันเหล่านี้ คือวันแรก วันที่ 9 และวันที่ 12 จึงเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเราจะไม่ทำงานกัน
แล้วเราก็มีงานฉลองครบการประกาศศาสนาของพระบ๊อบซึ่งเป็นวันที่พระบ๊อบทรงตรัสถึงการเผยแพร่ศาสนาของพระองค์แก่โมลลา โฮเซน เป็นครั้งแรกในนครชีราซ
วันที่ 6 และวันที่ 7 ของวันฉลองของเรา คือ วันประสูติของพระบ๊อบและวันประสูติของพระบาฮาอุลลาห์
วันศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาบาไฮ
- วันที่ 21 มีนาคม เฉลิมฉลองนอร์รูซ (ปีใหม่)
- วันที่ 21 เมษายน เป็นวันแรกของการประกาศศาสนาของพระบาฮาอุลลาห์ที่สวนเรซวานปี ??????
????????????????????????????????????1863 เวลาบ่าย 3 โมง
- วันที่ 29 เมษายน วันที่ 9 ของเทศการเรซวาน
- วันที่ 2 พฤษภาคม วันที่ 12 ของเทศกาลเรซวาน
- วันที่ 23 พฤษภาคม วันประกาศศาสนาของพระบ๊อบ ปี 1844 เป็นเวลา 2 ชั่วโมง กับอีก 11 นาที
หลังจากดวงอาทติย์ตกของวันที่ ?22 พฤษภาคม
- วันที่ 29 พฤษภาคม เป็นวันสวรรคตของพระบาฮาอุลลาห์ ปี 1992 เวลาตี 3
- วันที่ 9 กรกฎาคม เป็นวันประหารชีวิตของพระบ๊อบ ปี 1850 เวลาประมาณเที่ยงวัน
- วันที่ 20 ตุลาคม เป็นวันประสูติของพระบ๊อบ ปี 1819
- วันที่ 12 พฤศจิกายน วันประสูติของพระบาฮาอุลลาห์ ปี ?1817
สำหรับบาไฮศาสนิกชนแล้ว ดวงอาทิตย์ตกถือเป็นสิ้นสุดของวันหนึ่งๆ และเป็นการเริ่มต้นของวันหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นวันศักดิ์สิทธิ์แต่ละวันนั้นจะเริ่มต้นด้วยดวงอาทิตย์ตกในวันที่ล่วงมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่น วันประกาศศาสนาของพระบ๊อบเกิดขึ้น 2 ชั่วโมง 11 นาที หลังจากดวงอาทิตย์ตกของวันที่ 23 พฤษภาคม วันที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงสวรรคตเริ่มต้นตอนดวงอาทิตย์ตกของวันที่ 28 พฤษภาคม และสิ้นสุดในตอนดวงอาทิตย์ตกของวันที่ 29 พฤษภาคม
พระอับดุลบาฮา กล่าวว่า เราควรที่จะพยายามทำให้วันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้แตกต่างไปจากวันอื่นๆ ของปี ด้วยการเอาความสำคัญบางประการเพื่อความเจริญก้าวหน้าของศาสนาและในการรับใช้มนุษยชาติ เราสามารถที่จะสร้างศูนย์กลางบาไฮ หรือชั้นเรียนบาไฮได้ เราสามารถที่จะริเริ่มโรงเรียน หรือโรงพยาบาลได้ในแต่ละชุมชนตามแต่ความสามารถและความจำเป็นพิเศษของชุมชน เช่นเดียวกันแต่คนนั้นเราสามารถที่จะตัดสิน ใจในสิ่งที่จะช่วยให้เราเป็นบาไฮศาสนิกชนที่ดำเนินชีวิตส่วนบุคคลที่ดีขึ้น และการเป็นสมาชิกอยู่ในชุมชนของเราได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นตามที่พระอับดุลบาฮากล่าวว่า วันฉลองของเรานั้นไม่เพียงแต่เพื่อจุดมุ่งหมายในการรับประทานอาหารที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการร่วมสนุกกันอีกด้วย แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของการฉลองก็ตาม
มิใช่เราจะมานั่งเศร้าโศกในวันประหารชีวิตของพระบ๊อบและวันสวรรคตของพระบาฮาอุลลาห์ แต่นั้นเป็นเพราะว่าเป็นธรรมดาที่เราจะมีความรู้สึกเศร้าใจเกี่ยวกับวันเหล่านี้ เราทราบแล้วว่า มีวิธีการเดียวที่จะแสดงถึงความจงรักภักดีของเราที่มีต่อองค์พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการอุทิศชีวิตของเราในการรับใช้ศาสนาที่สืบทอดมา
บาไฮศาสนิกชนมักจะร่วมพบปะกัน และเพื่อถวายการสวดอธิษฐานเป็นพิเศษในวันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ การประชุมกันนี้มีความสำคัญมาก เพราะว่าจะก่อให้เกิดความสามัคคีในหมู่สมาชิกของชุมชน และความสามัคคีของบาไฮศาสนิกชนนี้จะก่อให้เกิดพรแห่งสวรรค์
พระอับดุลบาฮา กล่าวว่า
?เป็นที่เห็นด้วยโดยความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ว่าความปรองดองและความสามัคคีอาจจะเพิ่มขึ้นทุกวันในหมู่มิตรของพระผู้เป็นเจ้า และหญิงรับใช้ของพระผู้ทรงเมตตา เป็นที่ทราบดีว่ากิจการงานจะไม่เจริญก้าวหน้าจนกว่าความสามัคคีจะเกิดขึ้น และวิธีการอันยิ่งใหญ่ เพื่อความปรองดองและความสามัคคีของทุกคนคือการประชุมทางจิตวิญญาณ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญมากและเป็นเสมือนแม่เหล็กที่ใช้สำหรับการประกอบพิธีทางศาสนา?
การสมรส
เราได้ทราบมาแล้วว่าไม่มีนักบวชในศาสนาบาไฮ การสมรสจึงเป็นขนมธรรมเนียมที่สำคัญในศาสนาบาไฮ ในพระคัมภีร์อัคดัสซึ่งเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า ?จงเข้าสู่พิธีสมรส ดูกร ปวงประชา เจ้าอาจจะนำเอาใครคนหนึ่งซึ่งจะกล่าวถึงเรา?
พระอับดุลบาฮา
?การสมรสของบาไฮศาสนิกชน หมายความว่าทั้งชายหญิงจะต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อว่าคนทั้งสองอาจจะมีความสามัคคีชั่วนิรันดร์ไป และเป็นการส่งเสริมชีวิตวิญญาณของกันและกัน นี้เป็นการสมรสของบาไฮศาสนกชน?
พิธีสมรสของบาไฮศาสนิกชน กระทำกันอย่างไร ข้อกำหนดที่สำคัญในการสมรสของบาไฮมีดังนี้
- ชายหญิงจะต้องยินยอมในการสมรสทั้งสองฝ่าย คนทั้งสองจะถูกบังคับให้สมรสกันมิได้
- พ่อแม่ของบ่าวและสาวหากมีชีวิตอยู่ก็จะต้องให้การยินยอมในการสมรส พระบาฮาอุลลาห์
ตรัสว่า
?เนื่องจากเราปรารถนาที่จะก่อให้เกิดความรักและมิตรภาพ และความสามัคคีแก่ปวงชน เพราะฉะนั้นเราจึงวางเงื่อนไขการสมรสว่าให้เป็นไปตามความยินยอมของพ่อแม่ด้วย เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ไม่ดีและเป็นศัตรูกัน?
เมื่อได้รับความยินยอมเหล่านี้แล้ว เขาทั้งสองก็จะต้องแจ้งต่อธรรมสภาของเขาให้ทราบถึงความตั้งใจของการสมรสและกำหนดวันเพื่อที่จะส่งตัวแทนไปเป็นพยานการสมรสนั้นแล้วต่อหน้าของคนหลายคน คนทั้งสองจะต้องกล่าวตามบทพระคัมภีร์ที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญชาไว้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระองค์
?แท้จริงแล้ว เราจะยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างตามประประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และเจ้าบ่าวจะพูดตามว่า?แท้จริงแล้ว เราจะยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า?
หลังจากนั้นชายหญิงคู่นี้ก็จะเป็นสามีภรรยากันและวันสมรสก็จะนำมาลงทะเบียนไว้ที่ธรรมสภา
แม้ว่าจะไม่มีธรรมสภา การสมรสก็กระทำได้ตามที่เราได้กล่าวมาแล้ว ด้วยการที่เจ้าบ่าวเจ้าสาวมาปรากฏต่อหน้าพยาน 2-3 คน พระอับดุลบาฮากล่าวว่า
?พิธีหมั้นของบาไฮศาสนิกชนก็เป็นการตกลงที่สมบูรณ์และเป็นการยินยอมของคนทั้งสองอย่างแท้จริง คนทั้งสองจะต้องแสดงออกซึ่งความเอาใจใส่อย่างแท้จริงและเรียนรู้ถึงนิสัยซึ่งกันและกัน ข้อตกลงอันมั่นคงระหว่างคนทั้งสองจะต้องเป็นสิ่งผู้มัดตลอดกาลและความตั้งใจของคนทั้งสองจะต้องเป็นความสัมพันธ์ มิตรภาพ ความสามัคคี และชีวิตที่เป็นนิรันดร์
ในประทีบแห่งคำสอนนี้ การสมรสไม่เพียงจะเป็นการปฏิบัติทางด้านร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นการปฏบัติทางด้านจิตใจด้วย เราไม่ใช้กำลังแลกเด็กชายกับเด็กผู้หญิงในตอนที่คนทั้งสองสมรสกัน เรากำลังรวมคนทั้งสองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นธรรมเนียมในหมู่คนบางคนที่ทำข้อตกลงกับทางฝ่ายหญิงและพ่อแม่ของฝ่ายชายว่าจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งหรือจะให้เป็นของขวัญแก่ทางครอบครัวฝ่ายเจ้าสาวเป็นการตอบแทน ในการสมรสของบาไฮศาสนิกชนจะไม่มีระบบการกระทำเช่นนี้
มีบทอธิษฐานที่ไพเราะบางบทของพระบาฮาอุลลาห์และพระอับดุลบาฮาสำหรับการสมรสซึ่งมิได้เป็นการบังคับ แต่สามารถที่จะนำมาสวดได้หากว่าต้องการ
ในการสมรสก็เช่นเดียวกับโอกาสแห่งความสุขอื่นๆ ที่คนทุกแห่งทุกชาติเป็นอิสระในการสนุกสนานร่วมกันและอาจจะมีการแสดงบางอย่างซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของตน อย่างไรก็ตาม ประเพณีเหล่านี้ก็ไม่ควรที่จะขัดต่อคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าในการดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ของลักษณะนิสัยและเกียรติยศของมนุษย์ มีการฟ้อนรำและร้องเพลงพื้นเมืองที่ไพเราะซึ่งเป็นการเพิ่มพูนวัฒนธรรมใหม่ๆ หลายสิ่งหลายอย่างของมนุษยชาติ บาไฮศาสนิกชนกำลังส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมเหล่านี้ของประชาชน เพราะฉะนั้น มรดกทางวัฒนธรรมของประชาชนที่สวยงามเหล่านี้จะเข้ามาประกอบเชื่อมโยงกับการสมรสหรือโอกาสงานฉลองอื่นๆ มาก มาย
อาจมีใครถามว่าบาไฮศาสนิกชนจะแต่งงานกับผู้ที่ไม่ใช่เป็นบาไฮได้หรือไม่ การสมรสของชายหญิงบาไฮศาสนิกชนกับผู้ที่มิใช้เป็นบาไฮหรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นนั้น กระทำได้ ความจริงแล้วมีข้อบัญญัติหนึ่งข้อของพระบาฮาอุลลาห์ที่ให้แก่เรา คือ
?การคบค้ากับคนทุกศาสนาด้วยความยินดีและด้วยความหาอมหวานก็ดี การแสดงออกในสิ่งซึ่งได้ประกาศไว้โดยองค์พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าก็ดี และการประกอบกิจการที่เที่ยงธรรมก็ดี ผู้ที่ปฏิบัติตนด้วยความจริงใจและความซื่อสัตย์แล้วจะต้องคบค้ากับคนทุกคนในใจก็ด้วยความยินดีและหอมหวานเพราะการคบค้าสมาคมกันมักจะนำไปสู่ความปรองดองสามัคคีกัน และความปรองดอดสามัคคีก็คือบ่อเกิดของระเบียบโลก แลการดำเนินชีวิตของชาติต่างๆ ความสุขความเจริญจะมีแด่ผู้ที่ยึดมั่นอยู่กับสายใยแห่งความกรุณาและเมตตากับผู้ที่ตัดจากความเกลียดชัง
บาไฮศาสนิกชนคนใดที่แต่งงานกับผู้ที่มิใช่เป็นบาไฮศาสนิกชนควรจะทำให้คู่สมรสของตนทราบว่า ชายหรือหญิงที่เป็นบาไฮศาสนิกชนจะต้องปฏิบัติตามกฎข้อบัญญัติของทางศาสนาบาไฮเนื่องจากว่าบาไฮศาสนิกชนหวังที่จะให้คู่ครองของตนที่มิใช่เป็นบาไฮได้เข้าร่วมในงานพิธีบาไฮแบบง่ายๆ แต่ทรงเกียรติ เขาหรือเธอจะต้องเตรียมพร้อมที่จะประสบกับงานพิธีสมรสทางศาสนาของคู่ครองของตน
กฎบัญญัติการสมรสของศาสนาบาไฮยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าศาสนาบาไฮมิได้มีเจตนาเพื่อกลุ่มหรือพิธีพิเศษแต่มีเพื่อมนุษยชาติทุกคน?
ความจงรักภักดีต่อรัฐบาล
พระบาฮาอุลลาห์ทรงห้ามเราในการประกอบกิจกรรมใดๆ ที่อาจเป็นการทำลายสังคม เรายังต้องละเว้นจากการกระทำทุกอย่างที่ไม่ซื่อสัตย์ หรือเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อลบล้างระบอบการปกครอง ?ประมาณร้อยปีผ่านมาแล้ว พระบาฮาอุลลาห์ทรงบัญญัติหลักธรรมข้อนี้ไว้ในพระนิพนธ์ของพระองค์ว่า
?ในทุกประเทศ หรือทุกรัฐบาล ที่ซึ่งมีชุมชนบาไฮเข้าไปอาศัยอยู่ บาไฮศานิกชนเหล่านั้นจะต้องปฏิบัติต่อรัฐบาลนั้นด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยความไว้วางใจ และด้วยความสัตย์จริง
บาไฮศาสนิกชนจะไม่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาของตนไม่ได้ถ้าหากว่าเขาไม่มีความซื่อสัตย์ต่อรัฐบาลของตน?
พระอับดุลบาฮา กล่าวว่า
?ความจงรักภักดีต่อรัฐบาล ในทัศนะของบาไฮศาสนิกชน คือ หลักธรรมทางสังคมและหลักธรรมทางจิตใจที่สำคัญ? ?เราจะต้องเชื่อฟัง และเป็นผู้ปรารถนาดีต่อรัฐบาลของประเทศ? ?จุดสำคัญแห่งจิตใจของบาไฮศาสนิกชน คือ เพื่อสร้างระเบียบสังคมที่ดีกว่าเดิม และเพื่อสร้างสภาวะทางเศรษฐกิจให้ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีความสวามิภักดิ์ต่อกฎบัญญัติและหลักการของรัฐบาล?
ความจงรักภักดีต่อรัฐบาล ก็เป็นส่วนหนึ่งของนิสัยที่จะต้องสร้างขึ้นในตัวเรา การกระทำใดๆ ที่เป็นการขายชาติถือว่าเป็นบาป พระบาฮาอุลลาห์ตรัสว่า
?ขอให้มีความซื่อสัตย์ และซื่อตรงอย่างเด่นชัดต่อการกระทำของเจ้า?
?ดูกร ปวงประชาจงทำให้ลิ้นของเจ้าสวยงาม ด้วยความสัตย์จริง และจงประดับดวงวิญญาณของเข้าด้วยอาภรณ์แห่งความซื่อสัตย์ ?ดูกร ปวงประชา จงระวังตัวเจ้าอย่างได้ทรยศต่อผู้ใด เจ้าจงเป็นผู้ที่ไว้วางใจของพระผู้เป็นเจ้าในหมู่สัตว์โลกทั้งหลายของพระองค์ และจงเป็นเครื่องหมายแห่งความกรุณาของพระองค์ในหมู่ประชาชนของพระองค์?
ในการเชื่อมโยงจุดสำคัญๆ นี้ อาจจะกล่าวได้ว่าบาไฮศาสนิกชนทุกคนจะต้องรักษาไว้
ศาสนาของเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และบาไฮศาสนิกชนจะเข้าร่วมในพรรคการเมือง หรือเรามีความขุ่นแค้นต่อพรรคการเมืองหนึ่ง เราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงวางแนวทางแก่เราในการใช้พลังงานและพรัพยากรของเราในการสร้างระเบียบโลกสวรรค์ เราได้รับโครงการของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งได้รวมเอารูปแบบต่างๆ ที่ดีไว้ทั้งหมด เกี่ยวกับรายการต่างๆ ทั้งหมด ของพรรคการเมืองที่มีอยู่และนอกเหนือจากนั้นอีก โดยปราศจากข้อ บกพร่องใดๆ
พระผู้เป็นเจ้าทรงวางแนวทางสายตรง แก่เราโดยการก้าวไปทางนี้จะไม่เอนเอียงทางขวาหรือทางซ้ายไม่ไปทางตะวันออก หรือไม่ไปทางตะวันตก เป็นแนวทางแห่งความสามัคคีของมนุษยชาติทุกคน ในทุกภาคของโลก เป็นแนวของทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนา และทุกชั้นวรรณะ ยิ่งไปกว่านั้นระเบียบที่พระบาฮาอุลลาห์ทรงสถาปนาขึ้นในโลกนี้ ถือกำเนิดมาจากสวรรค์ และเป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องต่างกันในนิสัย โอกาส และขนาดจากที่มนุษย์ได้ทำขึ้น แล้วมักจะขัดแย้งกันกับลัทธิต่างๆ
มีเหตุผลหนึ่งที่ว่าบาไฮศาสนิกชนจะเข้าร่วมในการเคลื่อไหวทางการเมืองมิได้ นี้ได้อธิบายชี้แจงไว้โดยท่านศาสนภิบาลโชกิ เอฟเฟนดิในจดหมายฉบับหนึ่งดังนี้
บาไฮศาสนิกชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งโลก เรากำลังพยายามที่จะสร้างระเบียบโลกใหม่ ถือกำเนิดจากสวรรค์ เราจะสามารถสร้างระเบียบนี้ได้อย่างไร ถ้าหากบาไฮศาสนิกชนทุกคนเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน บางคนต่อต้านอีกพรรคหนึ่งอย่างปฏิปักษ์กัน แล้วความสามัคคีของเราจะอยู่ที่ไหน เรามาแตกแยกกัน เนื่องจากการเมือง ขัดแย้งกันเอง และนี้ก็เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจุดมุ่งหมายของเราถ้าหากว่ามีบาไฮศาสนิกชนคนหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย ได้รับเสรีภาพในการเลือกพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และเข้าร่วมในพรรคการเมืองนั้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจุดมุ่งหมายของพรรคอาจจะดีก็ได้ และมีบาไฮศาสนิกชนอีกคนหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอเมริกาหรือประเทศอินเดีย ซึ่งมีสิทธิในการกระทำในส่วนที่เหมือนกันแล้วเขาก็อาจจะเข้าอยู่ในพรรคการเมืองที่เป็นปฏิปักษ์อย่างมากต่อหลักการที่บาไฮศาสนิกชนประเทศออสเตรเลียเข้าอยู่แล้วความสามัคคีของศาสนาจะอยู่ที่ไหน เนื่องจากความผูกพันด้านพรรคการเมืองของเขา (เช่นเดียวกับชาวคริสเตียนของประเทศยุโรปที่กำลังทำสงครามฆ่าพี่น้องศาสนากันหลายครั้ง) วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับบาไฮศาสนิกชน คือให้รับใช้ประเทศและโลกของตน ในการทำงานเพื่อสถาปนาระเบียบโลกของพระบาฮาอุลลาห์ซึ่งจะค่อยๆ รวมเอามนุษย์ทุกคนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และขจัดเสียซึ่งระบบการเมืองที่แบ่งแยก และลัทธิศาสนาทั้งหลาย
บุคคลจะเป็นบาไฮศาสนิกชนได้อย่างไร
หลายครั้งที่เราได้ยินคำถามนี้ ?ฉันจะเป็นบาไฮศาสนิกชนได้อย่างไร? บางคนคิดว่าศาสนาบาไฮเป็นสมาคมสมาคมหนึ่งซึ่งเปิดรับสมาชิก ซึ่งอันนี้ไม่ถูกต้อง บางคนคิดไปว่า บาไฮศานิกชนคือผู้ที่ได้รับประโยชน์ในการเปลี่ยนชื่อของผู้คน และเป็นพวกที่ตั้งชื่อศาสนาใหม่ ซึ่งอันนี้ก็ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
การที่จะเป็นบาไฮศาสนิกชนหมายความว่า ต้องเชื่อในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมายความว่าต้องเชื่อในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้า ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของศาสนา และความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ และเป็นผู้ที่ทราบดีว่าศาสนาจะเจริญก้าวหน้าและคงอยู่ต่อไปได้ อยู่ที่ความสามัคคีมากว่าการแตกแยก ยิ่งไปกว่านั้นบาไฮศาสนิกชนจะต้องมีความเชื่อว่าทุกศาสนามีบ่อเกิดมาจากสวรรค์ และทุกศาสนามีความเท่าเทียมกัน ?อย่างไรก็ตามบาไฮศาสนิกชนต้องเชื่อว่าพระบาฮาอุลลาห์(ความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นเจ้า) คือองค์พระศาสนทูตองค์ก่อนของพระผู้เป็นเจ้าในอดีต ที่เสด็จมาเปิดศักราชใหม่แห่งความสุข และความสามัคคีแก่เราในยุคสมัยนี้ เมื่อผู้ใดเป็นบาไฮศาสนิกชน เขาก็จะพบรักของพระบาฮาอุลลาห์อยู่ในหัวใจของเขาและเมื่อมีความเชื่อนี้แล้ว เราก็คือบาไฮศาสนิกชน ไม่มีพิธีกรรม ไม่มีการล้างบาปหรือเปลี่ยนชื่อ ซึ่งถือว่ามีความสำคัญในการจดทะเบียนเป็นคนในศาสนาบาไฮ นอกจากนี้เราไม่มีความเชื่อในการเปหลี่ยนแปลงโดยปราศจากความมั่นใจ และความมั่นใจไม่จำเป็นต้องประกอบพิธีกรรม พระอับดุลบาฮากล่าวว่า
?ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่โดยปฎิบัติตามคำสอนของพระบาฮาอุลลาห์ คือเป็นบาไฮศาสนิกชนแล้ว?
จุดมุ่งหมายของบาไฮศาสนิกชนคือ การรับใช้มนุษย์และการนำมาซึ่งความสามัคคี และความสุขมาสู่ชาวโลก บาไฮศาสนิกชนคือผู้ที่กำลังพยายามเปลี่ยนหัวใจของมนุษย์ การเปลี่ยนหัวใจนั้นเป็นไปไม่ได้นอกเสียจากอาศัยอำนาจแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
พระอับดุลบาฮาเคยได้รับคำถามว่า ?บาไฮศาสนิกชนคือใคร? พระองค์ตอบว่า ?การที่จะเป็นบาไฮศาสนิกชนนั้นมีความหมายอย่างง่ายๆ คือผู้ที่รักทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รักเพื่อนมนุษย์ และพยายามที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์ เป็นผู้ทำงานเพื่อสันติภาพแห่งโลก และเพื่อที่น้องร่วมโลก?
เมื่อใดกระจกเงาสะอาด กระจกจะสะท้อนแสง เมื่อใดที่กระจกไม่สะอาดก็จะไม่สะท้อนสิ่งใด ถ้าหากบาไฮศาสนิกชนสอนศาสนาให้แก่ผู้อื่นก็ถือว่าเป็นความพยายามในการที่จะทำความสะอาดฝุ่นแห่งอคติ ฝุ่นแห่งความเกลียดชังและฝุ่นแห่งความปรปักษ์ ออกจากระจกเงาแห่งหัวใจ เมื่อใดที่ผู้คนมีหัวใจที่บริสุทธิ์แล้วก็จะเข้าสู่การเชื่อมโยงกับดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรม แล้วพวกเขาก็จะได้รับแสงสว่างอย่างมหาศาล และสะท้อนแสงนั้นไปสู่ผู้อื่น
ปัจจุบันนี้มีบาไฮศาสนิกชนหลายคนที่มักจะเกิดความรู้สึกในหัวใจของเขาถึงความจำเป็นในการที่จะได้รับคำสอนใหม่เพื่อยุคสมัยใหม่นี้ ?แต่เขาก็ไม่ทราบวิธีการที่เขาจะทำให้ความรู้สึกของเขานั้นเป็นจริงได้โดยการปฏิบัติ เขาไม่ทราบว่า มีศาสนาหนึ่งในโลกที่บรรจุคำสอนทั้งหมดที่เขาปรารถนานั้นปราฏอยู่ในศาสนาทันทีที่เขาได้ยินเกี่ยวกับศาสนาบาไฮ เขาก็มีความเชื่อในศาสนานี้ว่าเป็นเสมือนพระสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้ามาแล้วในหัวใจของเขา โดยไม่เคยทราบเกี่ยวกับพระบาฮาอุลลาห์ เขาเป็นผู้ที่ทำความสะอาดกระจกเงาที่ตอนนี้ได้ถูกนำเข้าสู่ทิศทางแห่งรังสีของดวงอาทิตย์แห่งสัจธรรมแล้ว และได้สะท้องแสงแห่งความงามกระจกเงาของหัวใจแม้ว่าจะสะอาดแล้วก็ตาม แต่ก็จะคงมืดถ้าหากว่า กระจกเงานั้นไม่หันไปสู่แสงสว่าง
เมื่อใดที่ความเชื่อมั่นนี้ และการตระหนักถึงความสัจจริงนี้บังเกิดขึ้นในตัวผู้ใด เขาคนนั้นก็คือบาไฮศาสนิกชนนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ก็จะมีแบบฟอร์มที่จะให้กรอกลงแล้วเช็นชื่อโดยบาไฮศาสนิกชนจะให้ชื่อ ที่อยู่ พร้อมทั้งแจ้งไปยังธรรมสภาแห่งชาติของประเทศตนว่า เขาผู้นั้นเชื่อในองค์พระบาฮาอุลลาห์ด้วยวิธีการนี้ บุคคลก็จะแจ้งไปยังชุมชนบาไฮ ว่าเขานั้นคือผู้ที่นับถือในองค์พระบาฮาอุลลาห์ บุคคลจะเป็นบาไฮศาสนิกชนได้ก็ต่อเมื่อเขายอมรับในศาสนาและได้เขียนแบบฟอร์มประกาศตนสำหรับงานบริหาร เมื่อเขาเป็นบาไฮศาสนิกชนแล้วเขาก็คือผู้รับใช้เพื่อนมนุษย์จากการเซ็นในแบบฟอร์มประกาศตนแล้ว เขาก็จะแจ้งความจำนงตัวของเขาเองในการรับใช้เพื่อนมนุษย์โดยผ่านการบริหารงานที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานให้มาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งการนำทางสำหรับยุคนี้ ในแบบฟอร์มประกาศตนจะถูกผลิดออกโดยธรรมสภาแห่งชาติของประเทศ และจะถูกส่งไปยังผู้นับถือในองค์พระบาฮาอุลลาห์ในประเทศนั้นเพื่อนเช็นชื่อ แบบฟอร์มที่ได้เซ็นชื่อแล้วจะส่งกลับไปธรรมสภาแห่งชาติโดยผ่านทางธรรมสภาท้องถิ่น ในกรณีที่ไม่มีธรรมสภาท้องถิ่นผู้ที่ประกาศตนเป็นบาไฮศาสนิกชนก็อาจจะส่งแบบฟอร์มนี้ตรงไปยังธรรมสภาแห่งชาติ
บาไฮศาสนิกชนต้องรับใช้เพื่อนมนุษย์และสวดมนต์ให้พวกเขา ในบรรดาบทอธิษฐานที่ไพเราะมาก มายได้ให้ทราบกระจ่างดังที่เราอ่าน
? โอ พระผู้ทรงกรุณา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์มาจากบ้านเดียวกัน พระองค์ทรงบัญชาให้มนุษย์ทั้งมวลเป็นเสมือนระบบครอบครัวเดียวกัน ณ เบื้องพระพักตร์อันศักดิสิทธิฤของพระองค์ เขาทั้งหลายคือผู้รับใช้ของพระองค์และมนุษย์ทุกคนได้พำนักอยู่ภายใต้ที่ประทับของพระองค์ ทุกคนได้มาร่วมกันที่โต๊ะแห่งพระกรุณาของพระองค์ ทุกคนได้รับแสงสว่างโดยผ่านทางแสงแห่งพระกรุณาของพระองค์?
?โอ พระผู้ทรงกรุณา ขอทรงรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างขอให้ศาสนาต่างๆ จงปรองดองกัน ขอจงทำให้ชาติต่างๆ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นอาจจะเห็นผู้อื่นเป็นเสมือนคนในครองครัวเดียวกัน และโลกทั้งโลกก็จะเสมือนบ้านเดียวกัน เขาหล่านั้นทุกคนจะได้อาศัยอยู่ด้วยกันอย่างกลมเกลียวกัน?
?โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอจงยกธงชัยแห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษยชาติ ขึ้นสู่สวรรค์?
?ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงเชื่อมดวงใจทั้งมวลเข้าด้วยกัน?
?โอ พระบิดาผู้ทรงเมตตา ขอทรงทำให้ดวงใจของเรามีความเบิกบานด้วยกลิ่นหอมแห่งความรักของพระองค์ ขอจงทำดวงตาของเราปราดมชด้วยทำนองเพลงแห่งวาทะของพระองคื และขอให้เราได้อาศัยอยู่ภายในปราการแห่งพระกรุณาของพรองค์?
?พระองค์ทรงอำนาจและพลานุภาพ พระองค์ทรงให้อภัยและพรองค์ทรงเป็นผู้มองข้ามความขาดตกบกพร่องของมนุษย์ทุกคน?
พระอับดุลบาฮา