เป้าหมายของศาสนา

พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า “เครื่องมือหลักสำหรับการสถาปนาระเบียบในโลก และความสงบสุขในหมู่ประชาชนของโลก”

พระองค์ทรงถามว่า ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระธรรมทั้งหลายหรือ ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทั้งหมดของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงซึ่งจะแสดงให้เห็นทั้งภายนอกและภายในซึ่งจะมีผลกระทบต่อทั้งชีวิตภายในและเงื่อนไขภายนอก

หลังจากการเสด็จมาของพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ความก้าวหน้าอย่างพิเศษเกิดขึ้นในโลก การเข้าถึงรากเหง้าของแรงจูงใจของมนุษย์ คำสอนของพระองค์ปลุกศักยภาพของประชากรทั้งหลายให้ตื่นขึ้นมามีส่วนต่อความก้าวหน้าของอารยธรรมของมนุษย์ถึงจุดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ธรรมะเหล่านี้ยังเป็นแรงบันดาลใจถึงความสำเร็จที่น่าสนใจความพยายามของมนุษย์ในทุกสาขาและดึงเอาความสามารถพิเศษในการเป็นวีรบุรุษออกมาจากศาสนิกชนของพระองค์ด้วยกันให้กว้างขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนและในสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น

ดังนั้น ในฐานะที่เป็นแรงผลักดันของขบวนการทางอารยธรรมและตัวแทนระดับต้นของการพัฒนาของมนุษย์ ศาสนามีพลังทั้งการหล่อเลี้ยงลักษณะทางจริยธรรมและมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ต่อสังคมอย่างใหญ่หลวง

ธรรมะซึ่งพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าในหลายยุคหลายสมัยเปิดเผยต่อมนุษยชาติล้วนได้รับการประสิทธ์ประสาทด้วยความแข็งแรงที่สามารถทำให้ชีวิตใหม่มีความอยู่ตัวที่จะเข้าไปสู่ทุกๆ กรอบของมนุษย์ทุกคน”?ในทันทีที่เป็นที่ยอมรับแล้ว ธรรมะเหล่านั้นสามารถที่จะเปลี่ยนรูปแบบความคิดแบบเก่าๆ และมีส่วนในการสร้างความคิดความเข้าใจใหม่ๆ ในระดับความเชื่อที่ลึกที่สุด แต่ความเชื่อก็ต้องมาคู่กันกับความพยายามอย่างจริงใจเพื่อ “แปลสิ่งที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรสู่ความจริงและการปฏิบัติ”?การปรับใช้และทำให้นำคำสอนแห่งสวรรค์ไปสู่การปฎิบัติอย่างเต็มที่ ผู้ที่เป็นศาสนิกชนอย่างแท้จริงจะถูกนำ “ไปสู่ความจริงใจของเป้าหมาย สู่จุดประสงค์ที่สูงกว่า สู่ความบริสุทธิ์และศักดิ์ศรีที่ไม่ด่างพร้อย ไปสู่ความกรุณาที่เหนือกว่าและความปรานี สู่การรักษาพันธะสัญญาของพระองค์เมื่อพวกเขามีพันธะสัญญา ไปสู่ความห่วงใยในสิทธิของคนอื่น ไปสู่ความอิสระเสรี สู่ความยุติธรรมในทุกๆ มิติของชีวิต สู่มนุษยธรรมและการทำบุญ สู่ความกล้าหาญและไม่คลายความพยายามในการบริการมนุษยชาติ”

ศาสนาให้คำสอนและอำนาจในการรวมเข้าด้วยกันซึ่งสังคมทั้งหลายสามารถบรรลุสู่ความเป็นระเบียบและความเสถียรภาพได้และเป็นโลกของพระผู้เป็นเจ้าที่โดยลำพังแล้ว “สามารถอ้างถึงเรื่องความแตกต่างของการถูกประสาทด้วยความสามารถที่ต้องการสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ไปให้ถึงได้ไกลที่สุด”

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงถาวรได้หากปราศจากความสามัคคีและการเห็นพ้องกัน และวิธีที่สมบูรณ์สำหรับการเกิดมิตรภาพและการรวมกันคือศาสนาที่แท้จริง”?จะต้อง “รวมหัวใจทุกดวงและเป็นสาเหตุให้สงครามและความขัดแย้งหมดไปจากแผ่นดินโลก ทำให้เกิดความรู้สึกด้านจิตวิญญาณและนำชีวิตและแสงสว่างไปสู่หัวใจแต่ละดวง”

ความสำคัญของศาสนาต่อระบบของสังคมได้ถูกแสดงออกครั้งแล้วครั้งเล่ามีผลโดยตรงต่อกฎหมายและจริยธรรม เมื่อตะเกียงแห่งศาสนาตกรุ่งผลก็คือความโกลาหลและความสับสนและ “แสงแห่งความเท่าเทียมกันและความยุติธรรมของความสงบและสันติภาพจะหยุดฉายแสง”?ความแตกแยกและความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ที่ทำให้เกิดขึ้นในนามของศาสนาเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับธรรมชาติและเป้าหมายที่แท้จริงของศาสนา “ถ้าศาสนาเป็นสาเหตุแห่งความเกลียดชัง ความไม่ชอบกัน และการแบ่งแยก จะดีเสียกว่าหากไม่ต้องมีศาสนาและการถอนตัวออกจากศาสนาที่เป็นเช่นนั้นจะเป็นการกระทำทางศาสนาอันแท้จริง”?พระอับดุลบาฮากล่าวว่า ศาสนาใดที่ไม่ก่อให้เกิดความรักความสามัคคีไม่ใช่ศาสนา