การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ธรรมชาติและมนุษย์

จุดกำเนิดและวิวัฒนาการ

?สิ่งที่ดำรงอยู่เคยดำรงอยู่มาก่อน แต่มิใช่ในลักษณะที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน สรรพภาวะเกิดขึ้นโดยความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาระหว่างพลังและสิ่งที่รับพลังนั้น?1 พระบาฮาอุลลาห์

วิทยาศาสตร์เชื่อว่า กำเนิดของจักรวาลเริ่มต้นจากสสารและพลังงาน พุ่งกระจายตัวออกไปทุกทิศทางจากจุดๆ หนึ่งด้วยความเร็วของแสง ?สสารประกอบด้วยอนุภาคต่างๆ ที่มีขั้วบวกและขั้วลบ และปฏิกิริยานิวเคลียร์ระหว่างอนุภาคเหล่านี้ตามสูตรของไอสไตน์ (E=mc2) ได้ก่อให้เกิดพลังงานของดาวฤกษ์ ?ซึ่งรวมทั้งพลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลของเราด้วย ?อนุภาคต่างๆ (particles) ได้รวมตัวกันเป็นอะตอม (atoms) ซึ่งประกอบกันเป็นธาตุต่างๆ (elements) ที่ซับซ้อนมากขึ้น ?และแต่ละธาตุก็มีคุณสมบัติเฉพาะของตน เมื่อสุริยะจักรวาลของเราก่อร่างขึ้น ธาตุที่หนักกว่าได้ประกอบกันเป็นดาวเคราะห์เป็นโลกของเราแล้วค่อยๆ เย็นลงจนอยู่ในสภาพที่อยู่ตัว ?ซึ่งจำเป็นต่อการพัฒนาของสิ่งมีชีวิต ธรรมนิพนธ์บาไฮกล่าวไว้ทำนองเดียวกัน:

??..ในตอนเริ่มต้นสสารเป็นหนึ่ง สสารนี้มีลักษณะปรากฏต่างกันไปในแต่ละธาตุ ดังนั้นลักษณะต่างๆ จึงเกิดขึ้นและกลายเป็นลักษณะที่ถาวร และแต่ละธาตุมีความพิเศษเฉพาะ แต่ลักษณะที่ถาวรนี้มิได้ตายตัวและมิได้เป็นสภาวะที่สมบูรณ์จนกระทั่งเวลาอันยาวนานผ่านไป จากนั้นธาตุเหล่านี้รวมตัวและประกอบกัน เป็นรูปลักษณะต่างๆ อย่างไม่รู้สิ้น และสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนจึงเกิดขึ้นมาจากการรวมตัวของธาตุเหล่านี้?..

?..โลกนี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ได้เติบโตและพัฒนาในครรภ์ของจักรวาล ผ่านเข้าสู่ลักษณะและสภาวะต่างๆ ทีละน้อย จนกลายเป็นโลกที่สมบูรณ์ในปัจจุบันที่ประดับด้วยสิ่งมีชีวิตสุดคณานับและเป็นระบบที่เสร็จสรรพ?2 ??พระอับดุลบาฮา

สสารและธาตุต่างๆ ได้มีวิวัฒนาการมายาวนานโดยการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าไปในทิศทางที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ?อนุภาคประกอบกันเป็นธาตุที่หนักขึ้น อะตอมประกอบกันเป็นโมเลกุลที่ซับซ้อนขึ้น จนกระทั่งลักษณะของสิ่งมีชีวิตเริ่มปรากฏขึ้น ?เริ่มต้นด้วยเซลเดียว ต่อมาตามมาด้วยสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่าอาศัยเวลายาวนานกว่าสำหรับวิวัฒนาการมนุษย์จึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาปรากฏหลังสุด ?พระอับดุลบาฮากล่าวไว้ว่า:

?การเติบโตและพัฒนาของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเป็นไปทีละน้อย?สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าใหญ่หรือเล็กล้วนถูกสร้างขึ้นมาสมบูรณ์ตั้งแต่แรก แต่ความสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตปรากฏทีละขั้น?ตัวอย่างเช่นความสมบูรณ์ทั้งหมดของพืชมีอยู่ในเมล็ดตั้งแต่แรกแต่มองไม่เห็น หลังจากนั้นความสมบูรณ์จึงปรากฏออกมาทีละน้อย สิ่งแรกคือหน่อที่งอกออกมาจากเมล็ด ตามมาด้วยกิ่ง ใบ ดอก และผล แต่ทั้งหมดนี้ดำรงอยู่ในเมล็ดตั้งแต่แรก เป็นศักยภาพที่แฝงอยู่แม้ว่ายังไม่ปรากฏชัด?.

ทำนองคล้ายกัน ?โลกถูกสร้างขึ้นมาด้วยธาตุ สสาร แร่ธาตุ อะตอม และสิ่งมีชีวิตครบครันตั้งแต่แรก แต่สิ่งเหล่านี้ปรากฏออกมาทีละขั้น ?สิ่งแรกคือธาตุ ต่อมาคือพืช จากนั้นคือสัตว์ และสุดท้ายคือมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ดำรงอยู่ตั้งแต่แรกในโลก แต่ยังไม่พัฒนา และจากนั้นจึงปรากฏออกมาทีละน้อย?3 พระอับดุลบาฮา

มนุษย์มิได้เป็นสัตว์มาก่อนแล้ววิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ ?การที่มนุษย์มาปรากฏในโลกทีหลังสัตว์มิได้หมายความว่ามนุษย์มาจากสัตว์ การที่ มนุษย์อาจเคยมีอวัยวะหรือร่างกายคล้ายสัตว์มิใช่ข้อพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นสัตว์มาก่อน หากเราดูชีวิตมนุษย์ที่เริ่มก่อตัวในครรภ์มารดา ?ตัวอ่อนของมนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ตั้งแต่แรก เพียงแต่บางระยะของวิวัฒนาการ ร่างกายของมนุษย์อาจดูเหมือนสัตว์บางชนิด ธรรมลิขิตบาไฮยืนยันดังนี้:

?การที่สัตว์ดำรงอยู่ก่อนมนุษย์มิได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าสัตว์วิวัฒนาการไปเป็นมนุษย์ หรือการแปลเปลี่ยนสกุล หรือมนุษย์เติบโตมาจากสัตว์?เมื่อเราตรวจสอบอาณาจักรพืช เราเห็นได้ว่าผลไม้ของต้นไม้ต่างชนิดสุกไม่พร้อมกัน บางชนิดสุกก่อน บางชนิดสุกทีหลัง การสุกก่อนหรือหลังมิได้พิสูจน์ว่า ผลไม้ที่สุกทีหลังกำเนิดมาจากผลไม้ชนิดที่สุกก่อน?

?ขอให้เราสมมุติว่าสัตว์บางชนิดหรือแม้แต่มนุษย์เคยมีอวัยวะบางอย่างที่หายไปในปัจจุบัน นี้มิได้เป็นข้อพิสูจน์ที่เพียงพอของการแปรเปลี่ยนและวิวัฒนาการของสกุล ?เพราะตั้งแต่เริ่มต้นเป็นตัวอ่อนจนเติบโตสมบูรณ์ รูปร่างของมนุษย์ผ่านการเปลี่ยนแปลงไปหลายลักษณะ ลักษณะรูปร่างและสีของมนุษย์เปลี่ยนไป รูปร่างของมนุษย์เปลี่ยนจากลักษณะหนึ่งไปเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ?กระนั้นก็ตามตั้งแต่เริ่มต้นเป็นตัวอ่อนของสัตว์ สิ่งนี้ไม่ปรากฏชัดในตอนแรก แต่เห็นได้ชัดในเวลาต่อมา ตัวอย่างเช่น ขอให้เราสมมุติว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยคล้ายกับสัตว์ และปัจจุบันเขาได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ?สมมุติว่านี้เป็นความจริงก็มิได้เป็นข้อพิสูจน์ของการแปรเปลี่ยนสกุล ไม่เลย ดังที่กล่าวไว้แล้ว นี้เป็นเพียงคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงของตัวอ่อน ของมนุษย์จนกระทั่งเติบโตสมบูรณ์ เราจะกล่าวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ขอให้เราสมมุติว่าครั้งหนึ่งมนุษย์เคยเดินด้วยมือและเท้าหรือมีหาง ?การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของตัวอ่อนในครรภ์มารดาถึงแม้ว่าตัวอ่อนเปลี่ยนไปทุกลักษณะ เติบโตและพัฒนาจนกระทั่งเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์ กระนั้นตัวอ่อนก็เป็นสกุลเฉพาะต่างหากตั้งแต่แรก เรายังเห็นได้ในอาณาจักรพืชว่า สกุลเดิมมิได้แปรเปลี่ยน แต่รูปร่าง สี และส่วนต่างๆ เปลี่ยนไปหรืออาจพัฒนา

ขอเน้นจุดสำคัญ : เนื่องด้วยมนุษย์ในครรภ์มารดาเปลี่ยนจากลักษณะหนึ่งไปอีกลักษณะหนึ่ง จากรูปร่างหนึ่งไปอีกรูปร่างหนึ่งเปลี่ยนแปลงและพัฒนา และยังคงเป็นสกุลมนุษย์ตั้งแต่เริ่มต้นที่เป็นตัวอ่อน ในทำ นองเดียวกัน ตั้งแต่เริ่มต้นการดำรงอยู่ของมนุษย์ยังคงเป็นสกุลต่างหาก นั่นคือสกุลมนุษย์ และมีวิวัฒนาการทีละน้อยจากรูปร่างหนึ่งไปเป็นอีกรูปร่างหนึ่ง ดังนั้น แม้ว่าเรายอมรับว่ามีการเติบโตและพัฒนาจริงการเปลี่ยน แปลงและวิวัฒนาการของอวัยวะก็มิได้ทำให้สกุลแปรเปลี่ยนไปจากดั้งเดิม?4 พระอับดุลบาฮา

วิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่า ?มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลกนี้มานับล้านปี แต่ผู้นำศาสนาบางคนปฏิเสธและกล่าวว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นบนโลกนี้ราว 6,000 ปี ก่อน พระบาฮาอุลลาห์ทรงชี้แจงไว้กว่า 100 ปีที่แล้ว ดังนี้ :

?บัดนี้มาถึงคำถามของเจ้าที่ว่า ?ทำไมจึงไม่พบบันทึกเกี่ยวกับพระศาสดาทั้งหลายที่เสด็จมาก่อน อดัมผู้เป็นบิดาของมนุษยชาติไม่พบบันทึกเกี่ยวกับกษัตริย์ทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในยุคของพระศาสดาเหล่านั้น?? จงรู้ไว้ว่า การที่ไม่มีหลักฐานพาดพิงถึงบุคคลเหล่านั้น มิได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่เคยมีชีวิตอยู่จริง การที่ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับพวกเขาก็เพราะว่าเป็นโบราณกาลที่แสนไกลและนับตั้งแต่ยุคนั้นมาโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไพศาล

นอกจากนี้ลักษณะและแบบเขียนที่มนุษย์ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่เป็นที่รู้จักสำหรับมนุษย์ในยุคสมัยก่อนอดัม เคยมีแม้แต่เวลาหนึ่งที่มนุษย์ไม่รู้จักการเขียนเลย ?และได้ใช้ระบบหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เพื่อจะอรรถาธิบายเรื่องนี้อย่างเหมาะสมจำเป็นต้องอธิบายอย่างละเอียด

จงพิจารณาดูความแตกต่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยของอดัม ภาษามากมายที่รู้จักกันกว้างขวางและใช้พูดกันในปัจจุบันไม่เป็นที่รูจักมาก่อนในตอนแรก เช่นเดียวกับกฎและธรรมเนียมต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วไปก็ไม่เป็นที่รู้จักมาก่อนในตอนแรก ?ประชาชนในยุคนั้นพูดภาษาต่างจากภาษาที่เรารู้จักในสมัยนี้ ความหลากหลายของภาษาเกิดขึ้นในยุคหลังในดินแดนที่เรียกว่า บาเบล ที่ได้ชื่อบาเบล ก็เพราะว่าคำนี้หมายความว่า ?สถานที่เกิดความสับสนของภาษา?

ต่อมาซีรีแอคกลายเป็นภาษาที่ใช้กันมากในบรรดาภาษาทั้งหลายทีมีอยู่ ?คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสมัยก่อนจึงเปิดเผยเป็นภาษานี้ ต่อมาพระอับราฮัมผู้เป็นพระสหายของพระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเปิดเผยพระธรรมสวรรค์เป็นการสาดแสงธรรมให้แก่โลก ?ภาษาที่พระองค์พูดขณะที่เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนกลายเป็นที่รู้จักกันว่า ฮิบรู ซึ่งหมายความว่า ?ภาษาแห่งการข้าม? คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าในสมัยนั้นจึงเปิดเผยด้วยภาษานี้ จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกนาน ภาษาอาหรับจึงกลายเป็นภาษาของการเปิดเผยพระธรรมสวรรค์?..

ดังนั้นจงเป็นพยานว่า ?การเปลี่ยนแปลงมากมายและกว้างไกลเพียงไรที่เกิดกับภาษา การพูดและการเขียน ตั้งแต่ยุคสมัยของอดัม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดก่อนอดัมจะอักโขกว่าเพียงไร!

?..การที่พระนามของพระศาสดาบางองค์ถูกลืมไป และบันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์สูญหายไป ก็เป็นเพราะว่าความโกลาหลและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับโลก?5 ??พระบาฮาอุลลาห์

สมดุลของธรรมชาติ

แรงดึงดูดของโลกดูดอากาศไว้รอบๆ ?ตนเองเป็นชั้นบรรยากาศ ระยะห่างของโลกจากดวงอาทิตย์ทำให้โลกอุ่นพอที่จะให้น้ำคงความเป็นของเหลวอยู่ได้ ?น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตบนโลกในฐานะเป็นตัวทำละลาย (solvent) สำหรับสสารหลายชนิด หากขาดน้ำธาตุและองค์ประกอบต่างๆ ?มากมายในเปลือกโลกจะทำปฏิกิริยากันได้ยาก พลังแสงอาทิตย์ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาอีกมากมาย และชีวิตจึงมีวิวัฒนาการขึ้นมาได้ ?ในเริ่มแรกชีวิตพัฒนาและอยู่ในน้ำ

น้ำในทะเลและบนแผ่นดินระเหยโดยพลังความร้อนจากแสงอาทิตย์เป็นการกลั่นโมเลกุลของน้ำให้ขึ้นไปในบรรยากาศ ทิ้งเกลือและสิ่งสกปรกไว้ ไอน้ำในอากาศกระจายไปรอบผิวโลกจนกระทั่งกลั่นตัวกลายเป็นฝนหรือ หิมะ วัฏจักรของน้ำนี้คืนน้ำสะอาดให้แก่แผ่นดิน ?เติมน้ำให้กับทะเลทรายแม่น้ำและน้ำใต้ดิน หากปราศจาก วัฏจักรของน้ำเช่นนี้ น้ำทั้งหมดจะไหลกลับสู่ทะเลเป็นน้ำเค็ม และแผ่นดินจะกลายเป็นทะเลทรายที่ไร้ชีวิต การตัดไม้ทำลายป่าจะลดปริมาณไอน้ำที่ระเหยจากป่า ก่อให้เกิดฝนแล้ง และจะทำให้ วัฏจักของน้ำฝืดขึ้น

เป็นที่สันนิษฐานว่า แต่ก่อนบรรยากาศของโลกประกอบด้วยแอมโมเนียและคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต พืชดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต พืชดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสลายก๊าซนี้ออกเป็นคาร์บอนและออกซิเจน และคืนออกซิเจนให้กับบรรยากาศ ?ส่วนคาร์บอนกลายเป็นธาตุที่เก็บไว้ในตัวพืชและเมื่อพืชสลายเป็นดินก็เป็นการสะสมถ่านหินและน้ำมันไว้ใต้พื้นดินดังที่เราสูบขึ้นมาใช้ ออกซิเจนในบรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจนซึ่งเป็นก๊าซเฉื่อยและออกซิเจนในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับชีวิตดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขบวนการนี้อาศัยเวลาหลายล้านปีของวิวัฒนาการ

บรรยากาศของโลกประกอบด้วยออกซิเจน ไนโตรเจน และก๊าซอื่นประมาณเล็กน้อย และคาร์บอนได ออกไซด์ที่จำเป็นสำหรับพืชในการสังเคราะห์แสง (photosynthesis) สมดุลของก๊าซเหล่านี้ช่วยเก็บพลังงานแสงอาทิตย์ไว้และทำให้บรรยากาศของโลกมีอุณหภูมิที่เหมาะสมและคงที่ ?น้ำฝนที่ตกลงมาช่วยชะล้างฝุ่นและสิ่งสกปรกในบรรยากาศ มหาสมุทรก็ดูดซึมก๊าซในบรรยากาศรวมทั้งคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีบทบาทในการค้ำจุนสมดุลของบรรยากาศ ดังนี้บรรยากาศของโลกจึงอยู่ในภาวะสมดุลมาช้านาน หากสัดส่วนของก๊าซต่างๆ เปลี่ยนไปจะทำให้อุณหภูมิของโลกผิดไป เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นจาการเผาผลาญเชื้อเพลิง จะทำให้โลกร้อนขึ้นเพราะความร้อนจากแสงอาทิตย์จะสะท้อนออกไปจากบรรยากาศไม่ได้ดี (greenhouse effect) หรือถ้าชั้นโอโซนเกิดเป็นรูโหว่ ?แสงอุลตราไวโอเลตซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและเคยถูกสกัดไว้โดยชั้นโอโซนก็จะผ่านเข้ามาถึงพื้นผิวโลกได้

ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ?แต่มีเพียงบางชนิดที่รับไนโตรเจนได้โดย ตรงจากบรรยากาศ ไนโตรเจนจากดินถูกพืชดูดซึมไปใช้ และผ่านไปสู่สิ่งมีชีวิตต่างๆ เมื่อสิ่งมีชีวิตหนึ่งกลายเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งแบคทีเรียสามารถสลายไนโตรเจนให้กลายเป็นก๊าซกลับคืนสู่บรรยากาศ ?ดังนั้น ไนโตรเจนจึงมีบทบาทในสมดุลธรรมชาติอยู่บ้าง นอกจากนี้ยังมีวัฏจักรของแร่ธาตุอื่นๆ อีกมากมายที่มีบทบาทในสมดุลธรรมชาติ

วิวัฒนาการอันยาวนานบนโลกได้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศน์มากมายบนแผ่นดิน ?ในทะเลและตามเกาะเล็กๆ ตัวอย่างเช่น มีแมลงปีกแข็ง (beetles) กว่า 350,000 พันธุ์ (species) ต้นไม้ชนิดหนึ่งในป่าฝนอาจเป็นที่อยู่ของแมลงปีกแข็ง 120 พันธุ์ ซึ่งครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้อาจอาศัยอยู่กับต้นไม้ชนิดนี้เท่านั้น ?เมื่อพิจารณาถึงแมลงอื่นๆ พืช สัตว์ และแบคทีเรียในป่าฝนดังกล่าวอาจมีสิ่งมีชีวิตนับล้านๆ พันธุ์ ซึ่งแต่ละพันธุ์ก็มีบทบาทในระบบนิเวศน์ที่ตนอาศัยอยู่ ตัวอย่างเช่น กล้วยไม้และผึ้งเขตร้อนหลายพันธุ์มีวิวัฒนาการมาด้วยกัน ผึ้งพันธุ์หนึ่งสามารถให้อาหารและรับน้ำหวาน (nectar) จากดอกกล้วยไม้ชนิดเดียวเท่านั้น หากผึ้งถูกฆ่าหมด กล้วยไม้ก็จะสูญพันธุ์ไปด้วย

หินปะการังมีวิวัฒนาการมาหลายสิบล้านปี ?ซึ่งเป็นระบบนิเวศน์ที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ ?ที่น่าสนใจคือหินปะการังมีชีวิตและเติบโตได้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่อุดมสมบูรณ์ ?เราเห็นได้ว่าหินปะการังเติบโตในท้องทะเลบริเวณที่ว่างเปล่ามีแต่ทราย ซึ่งเปรียบเหมือนทะเลทรายใต้ทะเล ปะการังสามารถดูดซึมพลังแสงอาทิตย์มาใช้ได้อย่างดี ?สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนปะการังประกอบกันเป็นผิวที่ดูดซึมแสงอาทิตย์ และบนพื้นผิวมีสิ่งมีชีวิตทับถมกันอยู่หลายชั้น ทั้งพืชและสัตว์ และแม้แต่ในตัวปะการัง หินปะการังใช้พลังงานแสงอาทิตย์และหมุนเวียนอาหารไม่ให้รั่วไหลออกไปนอกระบบได้อย่างดี ?หินปะการังจัดสภาพแวดล้อมอย่างดีให้กับเรา (algae) ของเสียจากปะการังเป็นปุ๋ยสำหรับรานี้ ในทางกลับกันรานี้ก็ให้อาหารแก่ปะการัง

วิทยาศาสตร์ยังไม่รู้จักพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์อีกหลายชนิดและจะต้องค้นคว้าหาคุณประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ?บางพันธุ์อาจมีบทบาทสำคัญในการควบคุมแมลงหรือโรคร้าย บางพันธุ์อาจมีสารที่ใช้รักษาโรค บางพันธุ์อาจมีคุณลักษณะที่ดีที่วิศวกรรมพันธุศาสตร์สามารถถ่ายทอดไปให้พืชพันธุ์อื่นๆ ได้ มนุษย์ได้ศึกษาสิ่งมีชีวิตต่างๆ ?มานานแล้ว แต่พึ่งจะศึกษาระบบนิเวศน์ (ecosystem) เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา พระอับดุลบาฮาทรงชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เมื่อ 80 ปีที่แล้วว่า :

?หากมนุษย์สังเกตด้วยดวงตาที่ค้นพบสภาวะที่แท้จริงของทุกสิ่ง จะเป็นที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่ที่เชื่อมสรรพสิ่งในธรรมชาติเข้าด้วยกัน อยู่ในสรรพสิ่งนั่นเอง และการร่วมมือการช่วยเหลือและตอบแทนกัน คือลักษณะที่เป็นแก่นของสรรพสิ่งในธรรมชาติที่ประสานเข้าด้วยกัน เนื่องด้วยทุกสรรพสิ่งสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และแต่ละสิ่งได้รับอิทธิพลหรือประโยชน์จากสิ่งอื่นโดยตรงหรือโดยทางอ้อม

ตัวอย่างเช่น จงพิจารณาดูว่า สิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งประกอบกันเป็นอาณาจักรพืช ?อีกกลุ่มหนึ่งเป็นอาณาจักรสัตว์ แต่ละกลุ่มทำประโยชน์จากธาตุบางอย่างในอากาศซึ่งเป็นที่พึ่งของชีวิตของตนและแต่ละกลุ่มเพิ่มปริมาณของธาตุที่จำเป็นต่อชีวิตของอีกฝ่ายกล่าวคือ การเติบโตและพัฒนาของอาณาจักรพืชเป็นไปไม่ได้หากปราศจากอาณาจักรสัตว์ ?และการค้ำจุนชีวิตของสัตว์เป็นเรื่องสุดจะจินตนาการได้หากปราศจากการร่วมมือจากพืช ความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่ระหว่างสรรพสิ่งทั้งปวงก็เป็นทำนองคล้ายกันนี้ ดังนั้นจึงเป็นที่กล่าวไว้ว่า การร่วมมือและตอบแทนกันคือคุณสมบัติสำคัญที่มีอยู่ในระบบธรรมชาติที่ประสานเข้าด้วยกันหากปราศจากสิ่งนี้แล้วสรรพสิ่งทั้งปวงย่อมสิ้นสุดการดำรงอยู่?6 ??พระอับดุลบาฮา ???????????????????????????????

ดังเช่นร่างกายมนุษย์ที่มิใช่เป็นเพียงที่รวมของเซลและอวัยวะต่างๆ แต่ทุกส่วนของร่างกายเชื่อมโยงกันอยู่ด้วยการไหลเวียนของเลือด ระบบประสาทและฮอร์โมน วิทยาศาสตร์เริ่มเข้าใจแล้วว่า ?ระบบนิเวศน์มิใช่เป็นเพียงที่รวมของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่อาจอยู่ในน้ำ ในดิน หรือในอากาศแต่วัฏจักรของธาตุ น้ำและอาหารสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งก็ส่งอิทธิพลต่อกันและกันเพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ ?ความสัมพันธ์นี้ยังขยายขอบเขตไปถึงมหาสมุทรและทวีปต่างๆ ซึ่งพัวพันกับการอพยพของสิ่งมีชีวิตไปอยู่อีกท้องถิ่นหนึ่ง และยังเป็นความลับที่มนุษย์จะต้องศึกษาต่อไป ธรรมนิพนธ์บาไฮ กล่าวไว้ว่า :

?ดังนี้หมายความว่า ดังเช่นร่างกายของมนุษย์ในโลกนี้ ซึ่งดูภายนอกประกอบด้วยแขนขาและอวัยวะต่างๆ แต่ในความจริงแล้วมีการประสานและเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ทำนองเดียวกันโครงสร้างของธรรมชาติเป็นเสมือนชีวิตหนึ่งที่มีแขนขาและอวัยวะต่างๆ ที่เชื่อมโยงอยู่ด้วยกันอย่างแยกไม่ได้?7 ??พระอับดุลบาฮา

มนุษย์ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อจะเข้าใจและรักษาสุขภาพของร่างกาย เช่นกันมนุษย์จะต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมเพื่อจะเข้าใจและรักษาสุขภาพของธรรมชาติ

?จงพิจารณาโลกเป็นเสมือนร่างกายของมนุษย์ ซึ่งถูกรังควานด้วยโรคภัยมากมาย และการฟื้นจากโรคขึ้นกับการประสานธาตุทั้งหมดที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายให้กลมกลืนกัน?

พระบาฮาอุลลาห์

มิใช่เพียงธรรมชาติของโลกเรานี้เท่านั้นที่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันที่จริงแล้วเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วทั้งจักรวาล

?จงตรึกตรองดูสภาวะที่แท้จริงของจักรวาล ความลึกลับของจักรวาล ปริศนา ความสัมพันธ์ระหว่างสรรพสิ่งทั้งหลายกฎที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง เพราะทุกส่วนของจักรวาลเชื่อมโยงถึงกันและกันด้วยพันธะที่มีพลังมากและไม่ยอมหย่อนหรือเสียสมดุล?9 พระอับดุลบาฮา

ธรรมชาติ : ?การแสดงออกของพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าในโลกที่ไม่จีรัง

?แก่นแท้ของธรรมชาติ คือร่างของพระนามของเรา นั่นคือพระผู้ประดิษฐ์ พระผู้สร้าง ธรรมชาติแสดงออกอย่างหลากหลายด้วยเหตุต่างๆ และในความหลากหลายนี้มีสัญลักษณ์สำหรับมนุษย์ผู้หยั่งเห็นธรรมชาติคือพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและการแสดงออกของพระประสงค์นี้ในโลกที่ไม่จีรัง ธรรมชาติคือการจัดระเบียบของสวรรค์ที่บัญญัติไว้โดยพระผู้ทรงบัญญัติ พระผู้ทรงอัจฉริยภาพ?10 ???พระบาฮาอุลลาห์

บางคนอาจถือว่าธรรมชาติคือพระผู้เป็นเจ้า ถ้าถือเช่นนี้ก็ต้องถือว่าธรรมชาตินั้นไม่ใช่ธรรมชาติที่ไม่มีสติปัญญาหรือเจตนา เพราะพระผู้เป็นเจ้าคือผู้ทรงรอบรู้ ผู้กำหนดกฎมาควบคุมธรรมชาติ แต่ธรรมชาติคือสิ่งที่ไม่มีสติปัญญาและถูกควบคุมอยู่ภายใต้กฎของพระผู้เป็นเจ้า

?ธรรมชาตินี้อยู่ภายใต้ระบบที่สมบูรณ์และตายตัว ภายใต้กฎที่กำหนดไว้และออกแบบไว้เสร็จสรรพ ซึ่งธรรมชาติจะหนีไม่พ้นจากกฎเหล่านี้ ที่จริงแล้วถ้าเจ้ามองดูอย่างถี่ถ้วนด้วยสายตาอันเฉียบแหลมตั้งแต่อะตอมเล็กที่สุดที่มองไม่เห็นไปจนถึงวัตถุมหึมาที่ดำรงอยู่เช่น ดวงอาทิตย์หรือดวงดาวต่างๆ ไม่ว่าเจ้าจะพิจารณาดูแบบแผน องค์ประกอบ รูปลักษณะหรือการเคลื่อนไหว เจ้าจะพบว่าทั้งหมดอยู่ในระบบอันสมบูรณ์ที่สุด อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันซึ่งจะไม่เบี่ยงเบนออกไป

แต่เมื่อเจ้ามองดูธรรมชาติในตัวมันเอง เจ้าจะเห็นว่าธรรมชาติไม่มีสติปัญญา ไม่มีเจตนา ตัวอย่างเช่น ธรรมชาติของไฟคือการเผา ไฟเผาไปโดยปราศจากเจตนาหรือสติปัญญา ธรรมชาติของน้ำคือความเหลว น้ำไหลไปโดยปราศจากเจตนาหรือสติปัญญา ธรรมชาติของดวงอาทิตย์คือความสว่างไสว ดวงอาทิตย์ฉายแสงไปโดยปราศจากเจตนาและสติปัญญา ?ธรรมชาติของไอคือการลอยขึ้น ไอลอยขึ้นไปโดยปราศจากเจตนา หรือ สติปัญญา?ธรรมชาตินี้ซึ่งไม่มีสติปัญญาหรือการรับรู้อยู่ในเงื้อมมือของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธานุภาพ ผู้ปกครองธรรมชาติ พระองค์ทรงบันดาลให้ธรรมชาติปรากฏตามที่ประองค์ปรารถนา พระองค์ควบคุมธรรมชาติไว้ในกฎเกณฑ์อันเที่ยงแท้?11 ??พระอับดุลบาฮา

?การประกอบและรวมตัวกันนี้?เกิดจากระบบธรรมชาติเดียวกัน ?ซึ่งเชื่อมและประกอบเข้าด้วยกันด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุด ตรงกับปรีชาญาณและเป็นไปตากฎสากล ?เป็นที่ประจักษ์ว่านี้คือการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่เป็นการประกอบและรวมตัวกันโดยบังเอิญ นั่นเองที่สิ่งมีชีวิตจึงเกิดขึ้นมาได้จากองค์ประกอบที่รวมตัวกันตามธรรมชาติ แต่เกิดจากการรวมตัวกันโดยบังเอิญไม่ได้ ?ตัวอย่างเช่น หากมนุษย์ใช้ปัญญาและความฉลาดของเขารวบรวมธาตุบางอย่าง แล้วประกอบธาตุเหล่านั้นด้วยกัน จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเกิดขึ้นเพราะมิใช่วิธีของธรรมชาติ นี้คือคำตอบต่อคำถามที่เป็นนัยว่า เนื่องด้วยสิ่งมีชีวิตถูกสร้างจากการประกอบและรวมตัวกันของธาตุต่างๆ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรวบรวมธาตุต่างๆ แล้วนำมาผสมกัน แล้วสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมา นี่คือสมมุติฐานที่ผิดพลาด เพราะจุดกำเนิดของการประกอบและรวมตัวกันนี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าคือผู้ที่ก่อให้เกิดการประกอบกันแต่ละแบบ ?สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจึงเกิดขึ้นมาและดำรงอยู่ การประกอบตัวกันที่มนุษย์ทำขึ้นไม่ให้กำเนิดอะไร เพราะมนุษย์ไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิต?12 พระอับดุลบาฮา

ความเข้าใจในจุดกำเนิดและวิวัฒนาการของธรรมชาติ เข้าใจความสัมพันธ์และความจำเป็นต้องพึ่งพากันระหว่างสรรพสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติซึ่งรวมทั้งมนุษย์ด้วย จะช่วยปลูกฝังจิตสำนึกและเจตคติของการเคารพและเห็นคุณค่าของธรรมชาติและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

วิกฤติการณ์ทางสิ่งแวดล้อม

บรรยากาศ

อากาศที่เราหายใจอยู่ในสภาวะคงที่มาเป็นเวลานับล้านปี จนกระทั่งในช่วง 150 ปีสุดท้ายนี้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ?จาก 2.7% ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็น 3.4% ในปี ค.ศ. 1983 และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาผลาญถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ จากโรงงานอุตสา หกรรมและรถยนต์ ?ป่าไม้ที่เคยช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ก็ถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ทำให้อุณหภูมิของโลกร้อนขึ้น (green-house effect) อุณหภูมิของโลกที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อภูมิอากาศอย่างไรยังเป็นความลึกลับอยู่ ?เขตฝนตกอาจขยับไปหลายร้อยกิโลเมตรขึ้นไปทางขั้วโลกเหนือ บางพื้นที่อาจได้รับฝนน้อย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรม นอกจากนี้ยังทำให้พายุไซโคลนก่อตัวถี่ขึ้น อุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นสามารถทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือ และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาจริงๆ เป็นที่ประเมินไว้ว่าในปี ค.ศ. 2030 อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นอีก 1.5?C และระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นราว 20-1140 ซ.ม. หลายเมืองในหลายประเทศจะถูกน้ำท่วม ประชาชนในเมืองเหล่านี้จะกลายเป็นผู้อพยพ

ปัญหาต่อไปคือฝนกรด ?การเผาผลาญถ่านหินซัลเฟอร์ในอุตสาหกรรมและการเผาผลาญเชื้อเพลิงในรถยนต์ ก่อให้เกิดออกไซด์ของซัลเฟอร์และไนโตรเจนในบรรยากาศ ?เมื่อออกไซด์เหล่านี้ผสมกับน้ำฝนจะกลายเป็นกรดซัลเฟอร์และกรดไนตริคที่ทำลายล้างสิ่งแวดล้อม ฝนกรดนี้กัดกร่อนอาคารบ้านเรือน รวมทั้งอนุสาวรีย์และโบราณสถานต่างๆ ทำให้แม่น้ำลำธารไม่เหมาะสำหรับสิ่งมีชีวิต ทำลายป่าและพืชพันธุ์ต่างๆ สะสมในดิน ทำให้สภาพในดินไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ?ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในขณะนี้คือป่าไม้ในยุโรป แต่การลงทุนมากมายที่ทุ่มเทไปในอุตสาหกรรมและการคมนาคมทำให้เป็นการยากที่จะหยุดยั้งฝนกรด ซึ่งเป็นปัญหาข้ามประเทศ ควันจากอุตสาหกรรมและรถยนต์จากประเทศหนึ่งทำให้เกิดฝนกรดไปตกลงอีกประเทศหนึ่งสำหรับประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2535 มีการตรวจพบแล้วว่า ฝนที่ตกลงมาในกรุงเทพมีสภาพเป็นกรด

อีกปัญหาหนึ่งที่น่าวิตกคือ ?ชั้นโอโซนในบรรยากาศที่บางลงและเป็นรูซึ่งมีสาเหตุมาจากสารคลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (CFC) ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องทำความเย็น ?โฟมและสเปรย์ แม้นักวิทยาศาสตร์ได้เตือนถึงอันตรายต่อชั้นโอโซนที่เกิดขึ้นได้จากสารนี้ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว รัฐบาลหลายประเทศก็ยังรีรอและขอข้อพิสูจน์ก่อน ?เพราะสารนี้มีความสำคัญทางพาณิชย์ ในปี ค.ศ. 1988 ตลาดของสารนี้มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญ ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะห้ามการใช้สารนี้โดยทันที รัฐบาลของประเทศทั้งหลายที่ประชุมกันต้องตกลงลดการใช้เป็นระยะ ห้ามทันทีไม่ได้แม้สภาพของชั้นโอโซนจะอยู่ในอันตรายมากแล้วก็ตาม ?ถ้าชั้นโอโซนบริเวณที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นเกิดรูโหว่และแสงอุลตราไวโอเลตผ่านเข้ามา อุบัติการณ์ของโรคมะเร็งผิวหนังและความเสียหายต่อพืชจะเพิ่มมากขึ้น

น้ำ

การพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีมากับการผลิตสารเคมีมากมายหลายชนิด ?สารเคมีเหล่านี้ถูกปล่อยเข้าสู่สิ่งแวดล้อมอย่างรวดเร็วอย่างที่ธรรมชาติไม่เคยประสบมาก่อนในวิวัฒนาการหลายล้านปีที่ผ่านมา ?ธรรมชาติจึงไม่สามารถปรับตัวที่จะขจัดหรือสลายสารเคมีเหล่านี้ได้ เมื่อลงสู่น้ำโดยทางตรงหรือทางอ้อม สารเคมีเหล่านี้ทำให้น้ำเป็นพิษและเป็นภัยต่อพืชและสัตว์น้ำดังที่เกิดกับแม่น้ำชีในประเทศไทย ?ซึ่งทำให้ปลาหลายร้อยพันธุ์ตายไปมากมาย และประชาชนในหลายจังหวัดภาคอีสานไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำได้ สารเคมีอาจรบกวนสมดุลธรรมชาติ ทำให้สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เช่น ผงซักฟอกที่ปล่อยลงแม่น้ำสามารถทำให้พืชบางชนิดเติบโตมากผิดปกติ เชื้อรา (algae) ตามชายฝั่งสแกนดิเนเวียที่ขยายพันธุ์มากผิดปกติและปล่อยพิษที่ฆ่าปลาและพืชทะเลหลายชนิด ส่งผลกระทบต่อการประมงและการเพาะพันธุ์สัตว์ซึ่งกินบริเวณหลายร้อยกิโลเมตร ?น้ำเสียที่เกิดจากขยะหรือสารพิษสามารถบั่นทอนภูมิคุ้มกันของสัตว์บางชนิดและทำให้สัตว์เกิดโรคระบาดได้ง่าย

จำนวนป่าที่ลดลงอย่างมากก่อให้เกิดภาวะฝนแล้ง ?เทคโนโลยีของการกลั่นกรองและบำบัดน้ำเสียสามารถนำน้ำกลับมาใช้ได้อีกเป็นการชดเชย แต่ปริมาณน้ำย่อมลดลงเรื่อยๆ ?เพราะสูญเสียไปกับการระเหย สำหรับภาคเกษตรกรรมเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ ภาวะน้ำแล้งสามารถนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ?ที่ต่างก็ต้องการดึงน้ำไปใช้

ดิน

?????????ดินใช้เวลาหลายร้อยปีในการสะสมสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ ?จึงจะเป็นดินที่อุดมเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก ดินที่อุดมที่สุดมักอยู่ในป่า รากของต้นไม้ดูดสารอาหารจากดินชั้นลึก ?การงอกงามอย่างดีของป่าไม้ช่วยสะสมสารอินทรีย์ในดินจนมีสภาพเป็นปุ๋ย (humus) ซึ่งช่วยเก็บน้ำและสารอาหารเมื่อป่าถูกถางเพื่อทำการเพาะปลูก ขบวนการตามธรรมชาติที่ช่วยทำให้ดินอุดมต้องหยุดลง ?หากไม่มีการดูแลให้ดีแล้ว ดินก็จะสูญเสียปุ๋ยและเสื่อมลง มนุษย์ทำการถางป่าเพื่อการเพาะปลูกมาหลายร้อยปีแล้ว แต่เป็นการทำในพื้นที่ที่ไม่กว้างนัก และดังนั้นธรรมชาติจึงปรับตัวชดเชยได้ ผิดกับการทำลายป่าอย่างมากมายและรวดเร็วในปัจจุบัน ?ดินที่ด้อยคุณภาพหากถูกฝนกรดซ้ำเติมก็ยิ่งเสื่อมคุณภาพลงไปอีก เกษตรกรรมที่ไม่ปลูกพืชหมุนเวียนและพยายามเร่งผลผลิตให้เร็วที่สุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนการเศรษฐกิจเร็วที่สุด จะทำให้ดินพร่อง แร่ธาตุต่างๆ ไปอย่างรวดเร็ว แม้ปุ๋ยสังเคราะห์อาจช่วยชดเชยสารอาหารในดินที่ถูกดูดไป ?แต่ก็มักชดเชยสารอินทรีย์ได้ไม่เพียงพอ การไถและพรวนดินทำให้หน้าดินถูกลมและฝนชะให้กร่อนไปได้ง่าย วิทยาศาสตร์การเกษตรได้วิจัยการทำป่าเกษตรกรรม (agroforestry) การทำไร่อินทรีย์ (organic farming) การลดการพรวนดิน การควบคุมชีวภาพและศัตรูพืช เพื่อเอาชนะปัญหาเหล่านี้ คำสอนบาไฮสนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรม :

?เกษตรกรรมเป็นเรื่องที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะเกษตรกรรมเป็นวิทยาการที่ประเสริฐและคือการบูชา หากบุคคลใดชำนิชำนาญในวิทยาการนี้ เขาจะเป็นหนทางจัดหาความสุขสบายสำหรับประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น เกษตรกรรมยังส่งเสริมการอนุรักษ์สมดุลของระบบนิเวศน์ของโลก?1 ???สภายุติธรรมสากล

หากมนุษย์เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมจนเลยเถิดและเข้ามาเบียดเบียนให้เกษตรกรรมเสียหาย ก็เท่ากับว่ามนุษย์กำลังจบชะตาของตนเอง

สารพิษ

ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา วิทยาศาสตร์สร้างสารเคมีขึ้นมามากมายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมและการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้ได้รับการประเมินว่า แต่ละปีมีการผลิตสารเคมีใหม่ 10,000 ชนิด ส่วนใหญ่ของสารเหล่านี้ไม่เคยมีอยู่ในธรรมชาติมาก่อน ดังนั้นธรรมชาติไม่เคยมีวิวัฒนาการที่จะสลายสารเหล่านี้ สารเคมีเหล่านี้จึงสะสมอยู่ในสิ่งแวดล้อมและเสื่อมสลายตามธรรมชาติได้ช้ามาก ปัญหาคือสารเคมีเหล่านี้หลายชนิดมีอันตรายมากและเรามักคาดไม่ถึง สารพิษที่ผลิตขึ้นมาใช้ เช่น ยาฆ่าแมลง ยากันบูด ยาระงับกลิ่น ยารักษาโรคสามารถก่อให้เกิดมะเร็ง การกลายพันธุ์ (mutation) ความผิดปกติของสิ่งมีชีวิตแรกเกิด (birth defects)

ตัวอย่างเช่น ?ดีดีทีถูกนำมาใช้กันกว้างขวางกว่าจะพบว่าสารนี้สะสมอยู่ตามลูกโซ่อาหารซึ่งรบกวนการควบคุมฮอร์โมนของนกบางชนิด ?ทำให้เปลือกไข่ของนกบางลงและถึงกับแพร่พันธุ์ไม่ได้ นกกระทุงในอเมริกาไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้จนกระทั่งมีการห้ามใช้ดีดีทีในเกษตรกรรม ?ดีดีทีไหลออกจากไร่ลงไปสะสมในแม่น้ำ และต่อมาสะสมในปลา และปลาเป็นอาหารของนกกระทุง มีสารเคมีอื่นอีกมากมายที่มนุษย์ปล่อยเข้าสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ว่าจะก่อให้เกินภัยต่อสิ่งมีชีวิตชนิดใดในรูปแบบไหน และอาจต้องรอให้เกิดเสียก่อนจึงจะรู้

ธาตุโลหะที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ตะกั่ว ปรอท โครเมียม ทองแดง แคดเมียม ?เป็นพิษต่อมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ธาตุโลหะเหล่านี้ถูกปล่อยเข้าสู่สิ่งแวดล้อมและสะสมจนถึงระดับอันตราย เด็กในเมืองหลวงที่สูดควันรถเจ็บป่วยเพราะสารตะกั่วเป็นพิษในร่างกาย ?ปริมาณสารพิษที่ผลิตจากอุตสาหกรรมมีมากจนยากที่จะขจัดได้อย่างปลอดภัยและต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก บางบริษัทพยายามจ่ายเงินให้ประเทศด้อยพัฒนาเพื่อให้นำสารพิษดังกล่าวนี้ไป ซึ่งประเทศด้อยพัฒนาก็ยิ่งด้อยความสามารถในการขจัดสารพิษดังกล่าว และทิ้งไว้ให้ประชาชนในประเทศของตนเสี่ยงภัย สารพิษเหล่านี้เคยนำไปถมไว้ในหลุมโดยไม่มีใครวิตก ?แต่บัดนี้สารพิษเหล่านี้ซึมลงไปปนกับน้ำบาดาล และอาจต้องใช้เงินนับพันล้านเพื่อจะขจัดและชะล้างสารพิษเหล่านี้ให้หมดไปจากสิ่งแวดล้อม

ปัญหาคล้ายกันเกิดขึ้นเมื่อมีการพัฒนาวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ ?ธาตุกัมมันตรังสีขณะที่เสื่อมสลายจะแผ่รังสีออกมาซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต ?ธาตุบางชนิดเสื่อมสลายกลายเป็นสารที่ปลอดภัยและหยุดแผ่รังสีอย่างรวดเร็ว แต่บางชนิด เช่น พลูโตเนียมจำเป็นต้องเก็บให้มิดชิดให้พ้นจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ?เป็นเวลา 20,000 ปีถึงจะปลอดภัย การขจัดของเสียจากนิวเคลียร์เป็นปัญหาที่ยากมากแม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยและมีเทคโนโลยีสูงก็ตาม แต่มนุษย์เราก็ยังพัฒนานิวเคลียร์ต่อไปโดยหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าวันหนึ่งวิทยาศาสตร์จะค้นพบวิธีขจัดสารพิษเหล่านี้ อุบัติเหตุของโรงงานเชอร์โนบิลบอกให้เรารู้ว่าพิษของนิวเคลียร์ร้ายแรงเพียงไร ?และถ้าหากมีการนำนิวเคลียร์มาใช้ในสงครามจะเกิดความหายนะขนาดไหน

ทรัพยากร

อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เติบโตไวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตะวันตก ได้บริโภคทรัพยากรถ่านหินและน้ำมันไปอย่างรวดเร็ว ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติซึ่งเกิดจากการหมักหมมของซากพืชซากสัตว์ (fossil) มาเป็นเวลานับล้านปี กำลังจะถูกมนุษย์ใช้หมดภายในเวลา 60 ปีข้างหน้า จากนั้นมนุษย์จะต้องเสาะหาเชื้อเพลิงจากแหล่งที่หาได้ยากขึ้นและจะทำให้ราคาเชื้อเพลิงสูงขึ้น

แร่และวัตถุดิบต่างๆ ?ที่ใช้ในอุตสาหกรรมถูกสูบมาใช้จนหาได้ยากขึ้นทุกวัน นักธรณีวิทยาต้องทำการสำรวจหาแร่จากดินแดนห่างไกลและเข้าถึงยาก ซึ่งจะทำให้การลงทุนขุดแร่เหล่านั้นมาใช้สูงขึ้น และราคาวัตถุดิบที่ขุดขึ้นมาจะแพงจนเศรษฐกิจรับไม่ได้ ?อุตสาหกรรมจึงต้องหันไปใช้สิ่งอื่นแทน เช่น ผลิตพลาสติกขึ้นมาใช้แทนโลหะและกระดาษ เชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่แพงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรรมด้วย เพราะมีการนำเครื่องยนต์มาใช้ในการเพาะปลูกมากขึ้น การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อไปบนรากฐานของทรัพยากรที่จะต้องหมดไปอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่น่าวิตก

วัตถุนิยม : มะเร็งที่กัดกินสิ่งแวดล้อม

วัตถุนิยมที่ครอบงำทำให้มนุษย์คิดถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลัก ป่าไม้มีเท่าไรก็ตัดกันเข้าไปเพื่อหาผลกำไรกับการค้าไม้ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฯลฯ โดยคิดเพียงว่าภายใน 5 ปีจะได้กำไรเท่าไร ไม่ต้องสนใจว่าอีก 50 ปีข้างหน้าจะเกิดผลเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร ?ฝนจะแล้งขนาดไหน ทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาของคนรุ่นลูกรุ่นหลาน การพัฒนาอุตสาหกรรมก็ขุดทรัพยากรขึ้นมาใช้โดยไม่ใส่ใจว่าทรัพยา กรเหล่านั้นจะหมดเมื่อไร จะมีควันพิษปล่อยเข้าสู่บรรยากาศเท่าไร อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้นแค่ไหน จะมีสารพิษปล่อยลงสู่แม่น้ำหรือสะสมอยู่ตามธรรมชาติมากแค่ไหน หรือถ้ามีวิธีบำบัดน้ำเสียหรือสลายสารพิษซึ่งมักต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ก็มีแนวโน้มจะเกิดการบิดพลิ้วไม่นำมาปฏิบัติ เพราะไม่ต้องการเพิ่มต้นทุนการผลิต ปรัชญาของอุตสาหกรรมแบบวัตถุนิยมก็คือทำกำไรให้มากที่สุดและเร็วที่สุด ?อุตสาหกรรมดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเป็นอารยประเทศ การพยายามพัฒนาอารยธรรมโดยเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมจนเกินไปจะส่งผลร้ายดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน และพระบาฮาอุลลาห์ทรงเตือนไว้กว่า 100 ปีที่แล้วว่า :

?อารยธรรมที่ผู้อรรถาธิบายศิลปะและวิทยาศาสตร์คุยโตโอ้อวดอยู่บ่อยๆ หากยอมให้ก้าวข้ามขอบเขตของความพอประมาณ จะนำความชั่วร้ายมหันต์มาสู่มนุษย์ นี้คือคำเตือนสำหรับเจ้าจากพระผู้เป็นผู้ทรงรอบรู้ ถ้าหากเลยเถิด อารยธรรมจะเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยความชั่วร้าย เช่นเดียวกับที่เป็นแหล่งของความดีเมื่อรั้งไว้ในความพอประมาณ?2 ??พระบาฮาอุลลาห์

ความร่ำรวยและยากจนที่มากเกินไป : ภัยที่คุกคามสิ่งแวดล้อม

คนรวยถางป่าเพื่อค้าไม้ ทำสนามกอล์ฟ ทำรีสอร์ท ฯลฯ เพื่อสนองอุดมคติทางวัตถุนิยมของตน คนจนทำลายป่าเพื่อความอยู่รอด เกษตรกรที่ยากจนขายที่นาให้คนรวยนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น อพยพเข้าไปอาศัยในเมืองเป็นการเพิ่มความแออัด คนรวยซื้อสัตว์ป่าหรือสัตว์น้ำมาเลี้ยงมาโชว์หรือซื้อผลิตภัณฑ์จากสัตว์มาใช้ประดับ คนจนล่าสัตว์เหล่านี้เพื่อมาขายให้คนรวย คนรวยทุ่มเทกับอุตสาหกรรมซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะทั้งทางอากาศน้ำและดิน คนจนก็ก่อให้เกิดมลภาวะเพราะสุดวิสัย เช่น ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามแพริมน้ำทิ้งขยะและของเสียลงแม่น้ำ ทั้งคู่ต่างก็ทำลายสิ่งแวดล้อม คนรวยทำเพราะอุดมคติทางวัตถุนิยมส่วนคนจนทำเพื่อความอยู่รอด แม้แต่ในระดับนานาชาติ ประเทศที่ร่ำรวยก็สูบทรัพยากรจากประเทศที่ยากจน ประเทศที่ยากจนก็ตัดป่าเพื่อเอาไม้ไปขายให้ประเทศที่ร่ำรวยเพื่อความอยู่รอด ประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหมู่คนยากจนและประเทศที่ยากจน ก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้ให้หนักขึ้น

รัฐบาลพยายามประชาสัมพันธ์และอบรมให้ประชาชนเข้าใจปัญหาและช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ไม่ทำลายป่า ไม่จับสัตว์ป่า ไม่ขุดปะการังขึ้นมาจากท้องทะเล ไม่ทิ้งขยะและของเสียลงในแม่น้ำ ฯลฯ อย่างไรก็ตามเป็นการยากที่จะให้คนจนปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้เพื่อเห็นแก่อนาคตระยะยาวของสิ่งแวดล้อม เพราะสำหรับคนจนแล้ว ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการดิ้นรนเพื่ออยู่รอดให้ถึงวันพรุ่งนี้

สำหรับประเทศไทย ปัญหาฝนแล้งที่รุนแรงขึ้นทุกปีจะทำให้ผลผลิตทางเกษตรกรรมลดลงเรื่อยๆ อีกทั้งเกษตรกรก็ทิ้งไร่นาของตนเพราะความเร้นแค้นเพื่อไปหางานในกรุงเทพฯ ?ปัญหาแม่น้ำเน่าได้ทำลายสัตว์น้ำซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาหารการกินจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นขาดแคลนในที่สุด ขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร ตัวอย่างมีให้เห็นแล้วในบางประเทศในอัฟริกาที่ความแร้นแค้นทำให้ประชาชนพังร้านค้าต่างๆ ?เข้าไปเอาอาหารและสินค้าอย่างไม่กลัวกฎหมาย ใครเล่าจะบอกได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคตหรือไม่

เลยเวลามานานแล้วที่คนร่ำรวยจะต้องรู้จักแบ่งปันให้คนยากจน ปรับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจใหม่เพื่อให้คนยากจนมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ดังที่พระอับดุลบาฮาสอนไว้ว่า :

?มนุษย์บรรลุความสมบูรณ์โดยการกระทำที่ดีงามที่มาจากความสมัครใจ มิใช่ถูกบังคับ การแบ่งปันเป็นความชอบธรรมที่แต่ละคนตัดสินใจทำได้ นั่นคือ คนร่ำรวยควรยื่นมือเข้าช่วยคนยากไร้ คนร่ำรวยควรใช้จ่ายทรัพย์สินของตนเพื่อคนยาไร้ด้วยความสมัครใจ มิใช่เพราะคนยากไร้ได้สิ่งนี้มาด้วยการใช้กำลัง เพราะผลของการใช้กำลังคือความโกลาหลและความพินาศของระเบียบสังคมส่วนการแบ่งปันโดยสมัครใจ การใช้จ่ายทรัพย์สินของตนโดยสมัครใจ นำไปสู่ความสบายและสันติสุขในสังคม?3 ??พระอับดุลบาฮา

หากสังคมยังมีค่านิยมในการแข่งขันกันเป็นเจ้าเศรษฐกิจโดยไม่เหลียวแลหรือไม่พยายามช่วยเหลือคนยากจนอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นพลเมือส่วนใหญ่ของโลก ความหายนะทางสิ่งแวดล้อมนี่แหละจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะสอนบทเรียนราคาแพงให้กับทุกคนบนพิภพนี้

ทางออกสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อม

มนุษย์ลองและพยายามทำทุกอย่างที่จะทำเงินได้ ส่วนผลเสียหายต่อผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องรอง สำหรับบางคน การพัฒนาหมายถึงการถางป่าหรือตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแล้วทำกำไรให้มากที่สุดและเร็วที่สุด สิ่งที่กำหนดการพัฒนาดูเหมือนจะเป็นว่า จะขายอะไรได้ จะทำกำไรจากอะไรได้แทนที่จะดูว่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะรับไหวหรือไม่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่ดีแต่ต้องไม่เร็วเกินไปและต้องเป็นรองต่อการพัฒนาเกษตรกรรม การเข้าใจจุดกำเนิดและวิวัฒนาการของธรรมชาติและมนุษย์ ความพึ่งพากันระหว่างสรรพสิ่งทั้งหลายและระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกที่เป็นประโยชน์ ?ตัวอย่างคำสอนบาไฮที่ปลูกฝังสำนึกที่เกื้อกูลการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่

?เราไม่สามารถแยกหัวใจของมนุษย์ออกจากสิ่งแวดล้อมภายนอกของเรา และกล่าวว่าเมื่อใดมีการปฏิรูปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง มนุษย์เป็นน้ำหนึ่งเดียวกันกับโลก จิตใจของมนุษย์ปั้นแต่สิ่งแวดล้อมและถูกกระทบโดยสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน ทั้งคู่มีผลต่อกันและกัน และการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ที่ยั่งยืนในชีวิตของมนุษย์คือผลที่มาจากปฏิกิริยาต่อกันและกันนี้?1 ???ท่านโซกิ เอฟเฟนดิ

?กล่าวโดยย่อ มิใช่เพียงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นที่ผู้เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าต้องปฏิบัติด้วยความปรานีและเห็นอกเห็นใจ ?แต่พวกเขาต้องแสดงความเมตตารักใคร่อย่างยิ่งต่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเพราะในแง่ของสรีระ?สัตว์และมนุษย์รับความรู้สึกได้เหมือนกัน?ไม่ว่าเจ้าจะทำให้มนุษย์หรือสัตว์เจ็บปวด ไม่มีความแตกต่างกัน?และที่จริงแล้ว ?การทำร้ายสัตว์เป็นสิ่งที่เลวร้ายกว่า เพราะมนุษย์มีภาษา มนุษย์สามารถร้องเรียน สามารถร้องและคร่ำครวญ หากถูกทำร้ายมนุษย์สามารถหันไปพึ่งพาเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะเป็นการปกป้องเขาให้พ้นจากผู้ก้าวร้าว แต่สัตว์ป่าที่เคราะห์ร้ายเป็นใบ้ ไม่สามารถพูดความเจ็บปวดออกมา ไม่สามารถไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่

?จงอบรมเด็กๆ ตั้งแต่เยาว์วัยให้มีความเมตตารักใคร่อย่างไม่รู้สิ้นต่อสัตว์ หากสัตว์เจ็บป่วย ขอให้เด็กพยายามรักษามัน หากมันหิว ให้อาหารมัน หากกระหาย ก็ช่วยดับกระหาย หากสัตว์เหนื่อยอ่อน ให้ดูแลว่ามันได้พักผ่อน?2 ??พระอับดุลบาฮา

ประชาชนหลายกลุ่ม หลายหน่วยงาน หลายสถาบัน ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศได้ตื่นตัวรณรงค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ถ้าหากการทำลายและสภาพของสิ่งแวดล้อมยังดำเนินต่อไป ความพยายามอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็จะเป็นเหมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ การตัดไม้ทำลายป่าในหนึ่งเดือน ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีจึงจะปลูกป่าชดเชยให้กลับคืนมาเหมือนเดิมและฟื้นระบบนิเวศน์ให้กลับคืนมา สถิติจาก Time Magazine ปี 1989 ฉบับ Planet of the Year บอกว่า ป่าฝนทั่วโลกถูกทำลายด้วยอัตราหนึ่งสนามฟุตบอลต่อวินาที การปล่อยสารพิษลงในแม่น้ำจนทำให้แม่น้ำเป็นพิษและปลาตาย ต้องใช้พลังงาน พลังสมอง เทคโนโลยีและงบประมาณเท่าไรจึงจะฟื้นฟูสภาพของแม่น้ำนั้นให้กลับคืนสู่ปกติ ฟื้นฟูพันธุ์สัตว์น้ำนับร้อยซึ่งบางพันธุ์อาจตายจนหมดสิ้น แนวปะการังที่มีวิวัฒนาการมานับล้านปีแต่ถูกทำลายไป จะต้องใช้เวลาเท่าไรจึงจะฟื้นให้กลับสภาพเดิม ฯลฯ นี่ยังไม่นับความหายนะของสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากภัยธรรมชาติ สงคราม หรืออุบัติเหตุ เช่น การเทน้ำมันลงอ่าวเปอร์เซีย การเผาบ่อน้ำมันในประเทศคูเวต การใช้สารเคมีในการทำสงคราม การรั่วของโรงงานนิวเคลียร์ ฯลฯ

การพัฒนาและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควรมีการกระจายอำนาจออกจากส่วนกลางมากขึ้น เพื่อให้ชุมชนในแต่ละท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและดำเนินกิจการที่มีผลกระทบต่อชีวิตของตน แม้เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญแต่โดยตัวมันเองแล้วไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้ ซึ่งครอบคลุมไปถึงประเด็นต่างๆ เช่น การขจัดความมั่นคั่งและความยากจนที่มากเกินไปภายในชาติและระหว่างชาติ การลดกำลังทหาร การแทนที่ชาตินิยมอันคลั่งไคล้ด้วยสำนึกในความเป็นพลเมืองของโลก

?โลกนี้เป็นเพียงแผ่นดินเดียว และมนุษยชาติเป็นเพียงประชาชาติเดียวกัน?4 ?

พระบาฮาอุลลาห์

คำสอนนี้พระบาฮาอุลลาห์ทรงให้ไว้กว่า 100 ปีที่แล้ว แต่มนุษย์ยังไม่เห็นคุณค่าในสมัยนั้น บัดนี้ความหายนะทางสิ่งแวดล้อมได้สอนมนุษยชาติให้รู้แล้วว่าโลกนี้เป็นแผ่นดินเดียวกันอย่างไร เช่น อุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้น ชั้นโอโซนที่ถูกทำลาย ฝนกรด ขั้นต่อไปคือ มนุษยชาติจะต้องมีสำนึกว่าตนเป็นประชาชาติเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อจะรักษาชีวิตของโลกไว้มนุษยชาติจำเป็นต้องมีสำนึกนี้และมีความสามัคคีกันมากพอที่จะช่วยกันพยุงประเทศยากจนจนไม่ให้ตัดไม้ขาย ช่วยกันลดการปล่อยควันพิษขึ้นสู่บรรยากาศ ตกลงกันลดหรือห้ามการผลิตสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ตกลงลดอาวุธนิวเคลียร์ ตกลงช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมของทะเลและน่านน้ำ และประเทศที่พัฒนาแล้วต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อช่วยประเทศด้อยพัฒนาในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ จนกว่าชาติทั้งหลายจะเข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำของพระบาฮาอุลลาห์อย่างสุดหัวใจ และทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของมนุษยชาติโดยส่วนรวม และสามัคคีกันหาหนทางและวิธีแก้ปัญหา การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมใดๆ ที่ดำเนินการไปจะก้าวหน้าได้น้อยมากหรือไม่ก้าวหน้าเลย เปรียบเหมือนการใช้ยาแก้ปวดรักษาโรคมะเร็ง

?ความผาสุกของมนุษยชาติ สันติภาพและความปลอดภัย ไม่สามารถบรรลุได้ นอกจากความสามัคคีของมนุษยชาติจะได้รับการสถาปนาอย่างมั่นคง ความสามัคคีนี้จะสัมฤทธิ์ผลไม่ได้ ตราบใดที่คำแนะนำที่ปากกาของพระผู้ทรงความสูงส่งเปิดเผยไว้ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่?4

พระบาฮาอุลลาห์

ในระยะยาวนั้น ?มาตรการสำหรับการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องอยู่บนสำนึกในความเป็นอันหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติ ?ความสัมพันธ์ระหว่างชาติต้องพัฒนาขึ้นสู่ระดับใหม่ที่สามารถเอาชนะข้อจำกัดของการพยายามรักษาผลประโยชน์ระดับช าติ ?และสามารถนำมาตรการทางกฎหมายมาใช้ได้ ซึ่งทุกชาติจะยอมรับและปฏิบัติตาม สำหรับประเด็นนี้ ธรรมนิพนธ์บาไฮได้ระบุถึงขั้นตอนที่จะนำไปสู่การสถาปนาสหพันธรัฐแห่งโลก :

?รูปแบบของอภิรัฐแห่งโลกต้องก่อร่างขึ้นมา ซึ่งเพื่อประโยชน์ของอภิรัฐนี้ ชาติทั้งปวงจะเต็มใจยกเลิกสิทธิทุกอย่างที่จะทำสงคราม?ยกเลิกสิทธิทั้งหมดที่จะรักษาอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้ นอกจากเพื่อรักษาระเบียบภายในอาณาจักรของแต่ละชาติ ภายในวงโคจรของอภิรัฐนี้จะต้องมีคณะบริหารนานาชาติที่มีอำนาจสูงสุดและสมบูรณ์พอที่จะบังคับบัญชาทุกประเทศสมาชิกไม่ให้ขัดขืน มีรัฐสภาแห่งโลกซึ่งสมาชิกของสภานี้จะได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนในแต่ละประเทศ และการเลือกตั้งนี้จะได้รับการรับรองจากแต่ละรัฐบาลมีศาลสูงสุดซึ่งการพิพากษาของศาลนี้จะมีผลผูกมัดแม้แต่ในกรณีที่คู่ความมิได้สมัครใจยินยอมเสนอเรื่องให้พิจารณา?5 ??ท่านโชกิเอฟฟเฟนดิ

ระบบบริหารบาไฮ : กุญแจไปสู่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

ข้อสรุปจากการสัมมนาเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2534 ได้ให้ความสำคัญของบทบาทของประชาชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น มีการเสนอให้ชุมชนท้องถิ่นช่วยดูแลป่าชายเลน ป่าไม้ และอนุรักษ์ป่าให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของท้องถิ่น ให้ชุมชนในท้องถิ่นมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหามลทัศน์ มีส่วนร่วมในการพัฒนาและธุรกิจการท่องเที่ยว ระบบบริหารบาไฮมีคำตอบสำหรับสิ่งเหล่านี้

ระบบบริหารบาไฮประกอบด้วยสภาระดับท้องถิ่น(ธรรมสภาท้องถิ่น) สภาระดับชาติ (ธรรมสภาแห่งชาติ) และสภาระดับนานาชาติ (สภายุติธรรมสากล) ซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยสภาท้องถิ่นจะมีอิสระในการบริหารงานเพื่อรับผิดชอบท้องถิ่นของตนโดยอาศัยการปรึกษาหารือ ?และปรึกษากับประชาชนในท้องถิ่น วิธีการเลือกตั้งของบาไฮซึ่งไม่มีใครเหมือนจะช่วยปลูกฝังประชาชนให้มีสำนึกรับผิดชอบต่อท้องถิ่นของตน และมีงานฉลองบุญ 19 วันที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้เสนอแนะข้อคิดเห็นที่ตนคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อชุมชน

ในเครือข่ายของระบบบริหารบาไฮ ?สภาท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับชุมชนบาไฮท้องถิ่นอื่นในประเทศหรือต่างเทศได้โดยการประสานงานของสภาระดับชาติและสภารับดับนานาชาติ ??ด้วยวิธีนี้จึงสามารถถ่ายเททรัพยากร ผู้เชี่ยวชาญ หรือ ถ่ายทอดเทคโนโลยีจากท้องถิ่นหนึ่งไปยังอีกท้องถิ่นหนึ่ง จากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่งได้ทั่วโลก ?ด้วยลักษณะนี้ชุมชนในแต่ละท้องถิ่นจะรับผิดชอบปัญหาในท้องถิ่นของตนเสมอ แต่สามารถขอความช่วยเหลือจากท้องถิ่นอื่นได้ทั่วโลก

สำหรับเรื่องที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่าระดับท้องถิ่น เช่น การอนุรักษ์แม่น้ำ การควบคุมมลภาวะของโรงงานอุตสาหกรรม ?จะตกอยู่ในความรับผิดชอบของสภาระดับชาติ ซึ่งสภาระดับชาติก็สามารถขอหรือให้ความช่วยเหลือกับประเทศอื่นทั่วโลกได้เช่นกัน ?โดยผ่านการประสานงานของสภาระดับนานาชาติ (รายละเอียดเกี่ยวกับระบบบริหารบาไฮ ดูได้จากหนังสือ ?ระบบโลกใหม่ การบริหารของบาไฮ ตัวอย่างแบบแผนทางสังคม?

อนาคตของสภาวะสิ่งแวดล้อมโลก

ระบบบริหารบาไฮอยู่บนรากฐานของธรรมะซึ่งช่วยปรับเจตคติและพัฒนาจิตใจของมนุษย์ให้เหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ?ปลูกฝังให้ชุมชนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในท้องถิ่นของตน และขณะเดียวกันก็สำนึกถึงความเป็นพลเมืองของโลกและโลกเป็นแผ่นดินเดียวกัน ทำให้เกิดการร่วมมือและประสานงานกันทั่วโลก ?ในสังคมโลกในอนาคตเมื่อมนุษยชาติรับแบบแผนของระบบบริหารบาไฮมาใช้ รากฐานของชุมชนจะเป็นเกษตรกรรมที่รู้จักใช้สารอาหารและแร่ธาตุในดินอย่างรอบคอบ การพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมจะปรับจังหวะเข้าหากันและก้าวไปด้วยกัน ?ระบบคมนาคมและการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมจะทำให้ประชาชนไม่จำเป็นต้องมารวมตัวแออัดกันในเมืองใหญ่ ขนาดของชุมชนน่าจะถูกกำหนดโดยทรัพยากรในท้องถิ่น ธรรมนิพนธ์บาไฮอธิบายสภาพของสังคมโลกดังกล่าวไว้ว่า :

?สหพันธรัฐนี้ต้องประกอบด้วยสภานิติบัญญัติแห่งโลก ซึ่งสมาชิกของสภานี้ในฐานะเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากมนุษยชาติ จะควบคุมทรัพยากรทั้งหมดของทุกชาติ และออกกฎหมายที่จำเป็นต่อการควบคุมชีวิต สนองความต้องการและปรับความสัมพันธ์ระหว่างประชาชาติทั้งหมด?กลไกของการคมนาคมจะได้รับการประดิษฐ์ขึ้นครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งจะเป็นอิสระจากอุปสรรคและข้อจำกัดทั้งหลายระหว่างชาติ และทำหน้าที่ด้วยความฉับไวอย่างน่าพิศวงและเที่ยงตรงสมบูรณ์?ทรัพยากรทางเศรษฐกิจของโลกจะถูกจัดเป็นระบบ แหล่งวัตถุดิบทั้งหลายจะถูกสูบและนำมาใช้ประโยชน์เต็มที่ ตลาดทั้งหลายจะได้รับการประสานและพัฒนาและการกระจายผลผลิตจะได้รับการควบคุมอย่างยุติธรรม?

ความอดอยากในด้านหนึ่งและการสะสมกรรมสิทธิ์อย่างเหลือล้นในอีกด้านหนึ่งจะสาบสูญไป ?พลังงานมหาศาลที่สิ้นเปลืองไปอย่างโง่เขลาในสงคราม ไม่ว่าสงครามทางเศรษฐกิจหรือสงครามทางการเมือง จะถูกเก็บไว้เพื่อขยายขอบเขตการประดิษฐ์และพัฒนาวิทยาการเพื่อเพิ่มอำนาจการผลิต?เพื่อทำประโยชน์จากทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้และไม่เคยคาดคิดมาก่อน?ระบบสหพันธรัฐแห่งโลกซึ่งปกครองโลกทั้งหมด ?และใช้อำนาจที่ขัดขืนไม่ได้ ควบคุมทรัพยากรอันไพศาลเหนือจินตนาการ?เป็นอิสระจากภัยพิบัติของสงครามและความทุกข์ยากที่ตามมาจากสงคราม มุ่งทำประโยชน์จากแหล่งพลังงานที่หาได้ทั้งหมดบนพื้นผิวโลก??6 ??ท่านโชกิ เอฟเฟนดิ