แด่
ดวงวิญญาณที่พยายามพัฒนาตนเอง
ร่างกาย ปัญญา และวิญญาณ
ในบทแรกนี้ เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของร่างกาย ปัญญา และวิญญาณก่อน ในทางการแพทย์เราทราบดีว่าสมองคืออวัยวะสำคัญที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ทั้งโดยการสั่งการโดยตรงหรือผ่านระบบฮอร์โมนและระบบประสาทอัตโนมัติ แต่ที่จริงแล้วสมองเป็นเพียงตัวกลางที่ได้รับพลังอีกทอดหนึ่งมาจากวิญญาณระบบประสาทซิมพาเธติคก็อยู่ในการควบคุมของวิญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้นในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและวิญญาณจะเป็นที่เข้าใจดีขึ้น
อวัยวะและองค์ประกอบต่าง ๆ ของร่างกาย แม้ว่าจะแตกต่างกันแต่ก็เชื่อมโยงอยู่ด้วยกันโดยการประสานงานของวิญญาณ ซึ่งทำให้อวัยวะและองค์ประกอบเหล่านั้นทำงานกลมกลืนกันและเที่ยงตรงอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ชีวิตดำเนินอยู่ต่อไปได้ อย่างไรก็ตามแม้ร่างกายมนุษย์มิได้ทราบถึงการประสานงานโดยวิญญาณ แต่ร่างกายก็ปฏิบัติการด้วยความเที่ยงตรงตามความประสงค์
ปัญญาคือพลังของวิญญาณ ความสัมพันธ์ระหว่างปัญญาและวิญญาณอาจเปรียบได้กับแสงอาทิตย์กับดวงอาทิตย์
แต่ปัญญาคือพลังของวิญญาณ วิญญาณคือตะเกียง ปัญญาคือแสงที่ส่องมาจากตะเกียง วิญญาณคือต้นไม้ ปัญญาคือผลไม้ ปัญญาคือความสมบูรณ์และสาระของวิญญาณ ดังเช่นแสงอาทิตย์เป็นสาระของดวงอาทิตย์
เกี่ยวกับคำถามที่ว่าพลังของปัญญาและพลังของวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันหรือไม่ พลังเหล่านี้เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของวิญญาณ เช่น การจินตนาการ ความคิด ความเข้าใจ ซึ่งเป็นพลังอันเป็นแก่นสารของความเป็นมนุษย์ ประดุจลำแสงเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของดวงอาทิตย์ ร่างกายมนุษย์เป็นเช่นกระจก วิญญาณเป็นเช่นดวงอาทิตย์ พลังปัญญาของมนุษย์เป็นเช่นลำแสงที่มาจากวิญญาณ ลำแสงอาจหยุดส่องมาที่กระจก แต่ลำแสงไม่มีทางแยกออกจากดวงอาทิตย์
วิญญาณไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกาย เพราะวิญญาณสามารถปฏิบัติการได้ทั้งโดยอาศัยร่างกายและไม่อาศัยร่างกาย แต่ร่างกายจำเป็นต้องมีวิญญาณ
ร่างกายอาจถูกตัดอวัยวะหรืออวัยวะอาจสูญเสียสมรรถภาพ ร่างกายอาจกลายเป็นอัมพาต แต่กระนั้น ปัญญา วิญญาณ ยังคงอยู่เหมือนเดิม ปัญญาตัดสินใจ ความคิดสมบูรณ์ แม้มือจะเปื่อยเท้ากลับกลายไร้ประโยชน์ กระดูกสันหลังกลายเป็นอัมพาตไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ แต่วิญญาณจะยังคงอยู่ในภาวะเดิม
วิญญาณมีพลังสำคัญสองอย่าง ก. ดังเช่นสิ่งแวดล้อมภายนอกถูกสื่อสารมายังวิญญาณโดยตา หู สมอง วิญญาณถ่ายทอดความต้องการและจุดประสงค์ของตนโดยผ่านสมองไปยังมือและลิ้นของร่างกายเป็นการแสดงออก พลังของวิญญาณคือแกนสำคัญของชีวิต ข. พลังที่สองของวิญญาณแสดงออกในโลกแห่งมิติ ซึ่งวิญญาณดำรงอยู่และปฏิบัติการโดยไม่อาศัยประสาทสัมผัสทางร่างกาย ในอาณาจักรแห่งมิตินี้ วิญญาณเห็นโดยไม่ใช้ตา ได้ยินโดยไม่ใช้หู และเดินทางโดยไม่ใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่าวิญญาณของมนุษย์สามารถปฏิบัติการผ่านทางร่างกายโดยใช้อวัยวะของประสาทสัมผัส และวิญญาณสามารถดำรงอยู่และปฏิบัติการโดยไม่ใช้ประสาทสัมผัสเหล่านี้ นี่พิสูจน์ถึงความเหนือกว่าของวิญญาณต่อร่างกาย
ตัวอย่างเช่น จงมองดูตะเกียงนี้ มิใช่แสงของตะเกียงที่เหนือกว่าตัวตะเกียงหรือ แม้ว่าตะเกียงจะสวยงามเพียงไร แต่ถ้าไม่มีแสงในตะเกียง จุดประสงค์ของตะเกียงไม่บรรลุผล และตะเกียงนั้นไร้ชีวิต ตะเกียงจำเป็นต้องมีแสงแต่แสงไม่จำเป็นต้องอาศัยตะเกียง วิญญาณไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายแต่ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยวิญญาณ มิฉะนั้นร่างกายจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ วิญญาณดำรงอยู่ได้โดยปราศจากร่างกาย แต่ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณจะตาย
ปัญญาจะแสดงพลังออกได้ต้องอาศัยร่างกาย เช่น สมองที่สมบูรณ์ถ้าหากสมองเป็นโรคหรือเสื่อมตามอายุ พลังของปัญญาจะเสื่อมไปด้วยแต่วิญญาณจะไม่ถูกกระทบกระเทือน ในผู้ที่เป็นโรคจิต ปัญญาของเขาจะถูกบั่นทอนอย่างมาก แต่วิญญาณของเขาจะคงอยู่ไม่ถูกกระทบกระเทือน
จงพิจารณาดูว่าความฉลาดของมนุษย์พัฒนาและเสื่อมลงได้อย่างไร และบางครั้งเสื่อมลงจนสูญสิ้น แต่ทว่าวิญญาณไม่มีการเปลี่ยนแปลงการที่ปัญญาจะแสดงออกได้นั้นร่างกายต้องสมบูรณ์ ปัญญาที่ดีต้องอยู่ในร่างกายที่ดี แต่วิญญาณไม่จำเป็นต้องอาศัยร่างกายปัญญาอาศัยพลังของวิญญาณในการเข้าใจ จิตนาการ และปฏิบัติการ แต่วิญญาณคือพลังอิสระ ปัญญาเข้าใจนามธรรมโดยอาศัยรูปธรรม แต่วิญญาณสำแดงตนได้อย่างไม่มีขีดจำกัดปัญญาถูกจำกัดแต่วิญญาณไม่มีขีดจำกัด ปัญญาเข้าใจโดยอาศัยประสาท การเห็น ได้ยิน รับรส ได้กลิ่น และสัมผัส แต่วิญญาณเป็นอิสระจากประสาทสัมผัสเหล่านี้ ตามที่เจ้าสังเกตุวิญญาณมิได้อยู่นิ่งไม่ว่าในยามหลับหรือตื่น ในขณะฝันวิญญาณอาจไขปัญหาที่ไขไม่ได้ในยามตื่น ยิ่งไปกว่านั้นปัญญาไม่สามารถเข้าใจในยามที่ประสาทสัมผัสหยุดทำงาน และในขณะที่เป็นตัวอ่อนหรือทารก พลังการใช้เหตุผลยังไม่ปรากฏแต่วิญญาณมีพลังเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ กล่าวโดยย่อข้อพิสูจน์มีมากมายที่แสดงว่าแม้การใช้เหตุผลจะสูญเสียไป พลังของวิญญาณยังคงอยู่ อย่างไรก็ตามวิญญาณดำรงอยู่ในระดับและภาวะต่างกัน
แม้วิญญาณดำรงอยู่ได้โดยไม่อาศัยร่างกาย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเป็นที่รู้สึกโดยวิญญาณ ดังนั้นเราต้องปฏิบัติต่อร่างที่ไร้วิญญาณด้วยความเคารพ
หากเราได้รับความรื่นเริงหรือเจ็บปวดจากเพื่อน หากความรักเป็นรักแท้หรือหลอกลวง ผู้ที่ถูกกระทบคือวิญญาณ หากคนรักอยู่ไกลจากเรา ผู้ที่โศกเศร้าคือวิญญาณ และความโศกเศร้าหรือความยุ่งยากของวิญญาณอาจทำให้เกิดปฏิกิริยากับร่างกาย…ถ้าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง วิญญาณไม่จำเป็นต้องถูกกระทบกระเทือน…ถ้ากรงนกถูกทำลาย นกไม่ได้รับอันตราย เมื่อตะเกียงแตก เปลวไฟยังคงสว่างไสว เช่นเดียวกับวิญญาณของมนุษย์ แม้ความตายจะทำลายร่างกาย แต่ความตายก็ไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณ
เนื่องด้วยร่างกายเป็นบัลลังก์ของวิญญาณ สิ่งใดที่บังเกิดกับร่างกายจะเป็นที่รู้สึกโดยวิญญาณ ความจริงแล้วความยินดีหรือเศร้าสลดบังเกิดกับวิญญาณมิใช่ร่างกาย เนื่องด้วยร่างกายเป็นบัลลังก์ของวิญญาณ พระผู้เป็นเจ้าจึงบัญญัติว่า ร่างกายต้องได้รับการทะนุถนอมมิให้บังเกิดความน่ารังเกียจ วิญญาณเห็นร่างกายซึ่งเป็นบัลลังก์ของตน ดังนั้นถ้าร่างกายได้รับการเคารพก็เหมือนดั่งวิญญาณเป็นผู้รับ และก็เป็นเช่นนี้ในทางกลับกัน
ดังนั้นจึงมีการบัญญัติไว้ว่า ร่างที่ไร้ชีวิตควรได้รับการปฏิบัติด้วยเกียรติและความเคารพที่สุด
หากปล่อยวิญญาณไว้ตามธรรมชาติ วิญญาณดวงนั้นจะอ่อนแอตกต่ำลง จะใช้พลังปัญญาไปในทางลบ เพ้อฝันไร้สาระมองไม่เห็นแสงธรรม
เมื่อมนุษย์ไม่เปิดปัญญาและสมองรับพรจากพระวิญญาณ แต่กลับหันวิญญาณ ไปสู่โลกวัตถุ ไปสู่ส่วนที่เป็นเนื้อหนัง เขาจะตกต่ำลงมาสู่อาณาจักรสัตว์ อยู่ในสภาพอันน่าเศร้า เพราะถ้าคุณลักษณะทางธรรมของวิญญาณที่เปิดรับลมหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิเคยถูกใช้ วิญญาณก็จะอ่อนแอลงและในที่สุดไร้สมรรถภาพในขณะที่คุณลักษณะทางโลกที่ฝึกฝนอยู่ฝ่ายเดียวจะกลายเป็นพลังอันน่ากลัว มนุษย์ที่หลงทางและไร้ความสุขจะกลายเป็นคนป่าเถื่อน ไร้ความยุติธรรม ดุร้าย และคิดร้ายยิ่งกว่าสัตว์
พระพรของพระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฏชัดอยู่ในชีวิตทั้งหลาย บางครั้งถูกซ่อนเร้นโดยม่านกำบังของปัญญาและสายตาทางโลก ซึ่งทำให้มนุษย์ตาบอด แต่เมื่อคราบเหล่านั้นถูกขจัดออกและม่านกำบังขาดสะบั้นลง สัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นที่เห็นได้และมนุษย์จะเป็นพยานต่อแสงนิรันดร์ที่ส่องสว่างแก่โลก
จงไตร่ตรองดูพลังความคิดของมนุษย์มีสองชนิด ชนิดหนึ่งเป็นสิ่งที่แท้ ต้องตรงกับความจริง ความคิดเช่นนี้มีการบังเกิดขึ้นจริงเช่น ความคิดเห็นที่แม่นยำ ทฤษฎีที่ถูกต้อง การค้นพบทางวิทยาศาสตร์และสิ่งประดิษฐ์คิดค้น ความคิดอีกชนิดหนึ่งเกิดจากจินตนาการอันไร้สาระและไร้ประโยชน์ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลอันใด และไม่มีความเป็นจริง มันสาดซัดเหมือนกับคลื่นในทะเลแห่งจินตนาการและผ่านไปเหมือนความฝันอันไร้สาระ
ดังนั้นวิญญาณไม่สามารถบรรลุสู่ฐานะอันประเสริฐสุดได้นอกจากจะได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราวิญญาณมีขีดจำกัดอยู่ในระดับของตนเอง อาจเปรียบได้กับกระจกที่ไม่มีทางเรืองแสงได้นอกจากจะได้รับแสงอาทิตย์ ในแต่ละยุคมนุษย์สามารถรับพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้โดยผ่านทางพระศาสดาที่เสด็จมาในยุคนั้น ๆ
จิตและวิญญาณแห่งการใช้เหตุผลหมายถึงสิ่งเดียวกัน จิตนี้ซึ่งตามการเรียกของนักปรัชญานั้นคือวิญญาณแห่งการใช้เหตุผลล้อมรอบทุกสรรพสิ่ง ค้นพบสภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่งต่าง ๆ ตราบเท่าที่อยู่ในขีดความสามารถของมนุษย์ รู้ลักษณะพิเศษ ผลและคุณสมบัติของสรรพสิ่งต่าง ๆ แต่นอกเสียจากว่าวิญญาณของมนุษย์จะได้รับการช่วยเหลือโดยพลังความศรัทธา วิญญาณจะไม่คุ้นเคยกับความลับของพระผู้เป็นเจ้าและสภาพความเป็นจริงของสวรรค์ ประดุจกระจกที่แม้จะใสและขัดมัน ก็ยังจะจำเป็นต้องได้รับแสงสว่าง กระจกจะไม่สามารถค้นพบความลับของพระผู้เป็นเจ้าจนกว่าแสงอาทิตย์จะสะท้อนมายังกระจก
วิญญาณของมนุษย์มีขีดจำกัด ไม่สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ของอาณาจักรที่อยู่เหนือมนุษย์ เพราะวิญญาณเป็นเชลยของพลังชีวิตที่ปฏิบัติการอยู่ในระดับการดำรงอยู่ของตนเอง และไม่สามารถเกินเลยไปกว่านั้น อย่างไรก็ตามพระเยซูทรงกล่าวถึงว่า มนุษย์จะต้องได้รับการเกิดใหม่และชำระบาปด้วยไฟของพระวิญญาณบริสุทธิ์วิญญาณมนุษย์ที่ไม่ได้รับพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะถูกพิจารณาว่าตาย วิญญาณของมนุษย์ไม่ได้รับการกระตุ้นและฟื้นชีวิตโดยโลกวัตถุ แต่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
วิญญาณเป็นเช่นกระจก และพระกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเช่นดวงอาทิตย์ เมื่อกระจกบริสุทธิ์สดใสและหันเข้าหาดวงอาทิตย์กระจกจะสะท้อนแสงสว่างและความรุ่งโรจน์อันไพบูลย์ของดวงอาทิตย์ เช่นนั้นเราไม่ควรพิจารณาว่ากระจกเป็นตัวส่องแสง แต่เป็นเพราะพลังแสงอาทิตย์ที่ผ่านเข้ามาทำให้กระจกสะท้อนแสง
พระผู้เป็นเจ้าอาจเปรียบได้กับดวงอาทิตย์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์เปรียบได้กับแสงอาทิตย์ ดังเช่นแสงอาทิตย์ที่นำแสงสว่างและความอบอุ่นมายังโลก ให้ชีวิตทุกสรรพสิ่ง เช่นกันพระศาสดานำพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระผู้เป็นเจ้ามาให้แสงสว่างและชีวิตแก่วิญญาณของมนุษย์
การทำสมาธิช่วยให้วิญญาณสัมผัสใกล้ชิด ได้รับพรและพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มากขึ้น ซึ่งทำให้วิญญาณนั้นได้รับความรู้ หยั่งรู้สรรพสิ่งต่างๆ ในยุคเริ่มต้นของศาสนาบาไฮสาวกที่ไม่เคยบวชเรียนแต่กลับมีความรู้ความเข้าใจปราดเปรื่องกว่านักบวชในสมัยนั้น ก็เพราะได้รับพลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
โดยการทำสมาธิ มนุษย์บรรลุสู่ชีวิตนิรันดร์ เขาได้รับลมหายใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระพรของพระวิญญาณประทานมาให้ขณะไตร่ตรองทำสมาธิ วิญญาณของมนุษย์ได้รับรู้และแข็งแกร่งขณะทำสมาธิ โดยการทำสมาธิ ธุรกิจที่มนุษย์ไม่เคยรู้อะไรเลยถูกเปิดเผยต่อเขา เขาได้รับการบันดาลใจจากสวรรค์ ได้รับอาหารทิพย์การทำสมาธิคือกุญแจไขประตูแห่งความลึกลับ ในภาวะนั้นมนุษย์ลืมตนเอง ถอนตัวเองออกจากวัตถุภายนอก ดำดิ่งอยู่ในมหาสมุทรแห่งโลกวิญญาณ และสามารถเปิดเผยความลับของสิ่งต่าง ๆ ในตัวมันเอง เพื่อสาธิตสิ่งนี้จงคิดถึงมนุษย์ในฐานะที่มีการมองเห็นสองชนิด เมื่อการมองเห็นภายในกำลังทำงาน สายตาภายนอกมองไม่เห็น
สมาธิทำให้มนุษย์เป็นอิสระจากธรรมชาติของสัตว์ หยั่งรู้สภาพความเป็นจริงของสรรพสิ่ง ทำให้มนุษย์ได้สัมผัสกับพระผู้เป็นเจ้า
สมาธิทำให้วิทยาศาสตร์และศิลปะปรากฏขึ้นมาจากที่เคยเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ทำให้เกิดสิ่งประดิษฐ์ ภารกิจอันยิ่งใหญ่ดำเนินไปได้โดยสมาธิ การปกครองดำเนินไปได้อย่างราบรื่นสมาธิทำให้มนุษย์เข้าไปสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า
กระนั้นก็ตามความคิดบางอย่างเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับมนุษย์ มันเป็นประดุจคลื่นที่ซัดอยู่ในทะเลโดยปราศจากผล แต่ถ้าสมาธิอาบด้วยแสงธรรมภายใน ผลที่ได้จะแน่นอน
สมาธิคล้ายกับกระจก ถ้าท่านหันกระจกไปยังโลกวัตถุมันจะสะท้อนสิ่งนั้น ดังนั้นถ้าวิญญาณของมนุษย์กำลังทำสมาธิในเรื่องทางโลก เขาจะได้รับรู้สิ่งเหล่านั้น แต่ถ้าท่านหันกระจกแห่งวิญญาณไปสู่สวรรค์ ดวงดาวและรังสีของธรรมาทิตย์จะสะท้อนอยู่ในหัวใจของท่าน และท่านจะได้รับคุณความดีจากอาณาจักรสวรรค์
การดลใจที่ผ่านมาทางสมาธิเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถวัดหรือกำหนดได้ พระผู้เป็นเจ้าสามารถดลใจให้เรารับทราบสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าพระองค์ต้องการ
ดูกร คนรับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า เรารับประกันว่า หากปัญญาของเจ้าบริสุทธิ์และว่างเปล่าจากคำกล่าวหรือความคิดทั้งหมด และหัวใจทั้งหมดของเจ้าถูกดึงดูดเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า จงลืมทุกสิ่งยกเว้นพระผู้เป็นเจ้าและสนทนากับพระวิญญาณของพระองค์ เมื่อนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเจ้าด้วยพลังที่ทำให้เจ้าสามารถหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่ง
โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อบาไฮศาสนิกชนทำสมาธิ เขาถูกเชื่อมเข้ากับแหล่งอำนาจ หากคนที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าทำสมาธิ เขากำลังตั้งจิตไปสู่อานุภาพและความปรานีของพระผู้เป็นเจ้า แต่เราไม่สามารถพูดได้ว่า การดลใจใดๆ ที่มาสู่บุคคลหนึ่งที่ไม่รู้จักพระบาฮาอุลลาห์ และไม่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า เป็นเพียงสิ่งที่มาจากอัตตาของเขาเอง การทำสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก ท่านศาสนภิบาลไม่เห็นเหตุผลใดที่มิตรสหายไม่ควรได้รับการสอนให้ทำสมาธิ แต่พวกเขาควรป้องกันไม่ให้ความงมงาย หรือความคิดอันโง่เขลาคืบคลานเข้ามา
วิญญาณที่ใช้แต่พลังปัญญาของตนเอง ไม่เคยได้รับพรและอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะพลาดคุณประโยชน์ส่วนนี้ไป นี้มิได้หมายความว่าให้เราเลิกเรียนหนังสือแล้วมาทำสมาธิกันทั้งวัน เราต้องต่อสู้ร่ำเรียนศาสตร์สาขาต่าง ๆ ต่อไปและถ้าเป็นประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า เราจะได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นการเสริม
นักวิทยาศาสตร์ยอดอัจฉริยะคืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แปลกประหลาดมากคนหนึ่ง โดยปกติแล้วนักวิทยาศาสตร์จะทำการทดลองสิ่งต่าง ๆ เฝ้าสังเกต ใช้สติปัญญาหาเหตุผลแล้วจึงค้นพบสิ่งใหม่ ๆ แต่ไอสไตน์ไม่ได้ทำการทดลองอะไร อยู่ดี ๆ เขาก็จินตนาการเป็นสูตรพลังปรมาณูขึ้นมาเองในสมองของเขา ยากที่จะพิสูจน์หรือคัดค้านว่าไอสไตน์ได้รับการบันดาลใจจากอำนาจเบื้องบนหรือไม่
ธรรมชาติและพลังของวิญญาณ
วิญญาณเชื่อมโยงอยู่กับร่างกายก็จริง แต่ดำรงอยู่ในภาวะที่ต่างจากร่างกาย ไม่อยู่ในระบบทางกายภาพเช่นร่างกายที่ต้องมีการเสื่อมสลาย วิญญาณไม่มีการเสื่อมสลายหรือแตกดับแต่จะดำรงอยู่ต่อไปตลอดกาล วิญญาณเชื่อมอยู่กับร่างกายประดุจดวงอาทิตย์ที่ปรากฏอยู่ในกระจก เมื่อกระจกแตกดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ต่อไปไม่ถูกกระทบกระเทือน วิญญาณจะแสดงอำนาจได้มากกว่าในขณะที่อวัยวะของร่างกายหยุดทำงานเช่นเวลาหลับ และเมื่อวิญญาณแยกจากร่างกายคือภายหลังความตาย วิญญาณจะแสดงอำนาจได้มากยิ่งขึ้นไปอีกอย่างไม่มีพลังใดในโลกเทียบเท่า
วิญญาณมิใช่เป็นการรวมตัวขององค์ประกอบต่างๆ วิญญาณมิได้ประกอบด้วยธาตุต่างๆ วิญญาณเป็นหนึ่งซึ่งแบ่งแยกไม่ได้และเป็นอมตะ วิญญาณอยู่นอกเหนือระบบของโลกทางกายภาพวิญญาณไม่มีการตาย ปรัชญาทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ว่า ธาตุเป็นสิ่งที่ไม่ถูกทำลายและคงอยู่ตลอด วิญญาณมิได้ประกอบจากธาตุต่างๆ แต่เป็นประดุจธาตุเอง ดังนั้นจึงไม่มีการสูญสลายดวงวิญญาณเป็นสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้จึงไม่มีการแตกสลายหรือถูกทำลาย
การดำรงอยู่ที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณมิใช่ร่างกาย แม้ร่างกายของมนุษย์อยู่ในอาณาจักรสัตว์แต่วิญญาณของเขายกเขาขึ้นเหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งหมด จงดูว่าแสงอาทิตย์ให้ความสว่างแก่โลกวัตถุอย่างไรเช่นกันแสงธรรมสวรรค์ส่องแสงให้แก่โลกวิญญาณ วิญญาณทำให้มนุษย์เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในอาณาจักรสวรรค์
โดยพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ปฏิบัติการผ่านวิญญาณของมนุษย์ มนุษย์จึงสามารถแลเห็นการดำรงอยู่ที่แท้จริงของสรรพสิ่ง ผลงานศิลปะและวิทยาศาสตร์อันยิ่งใหญ่คือพยานต่อพลังอำนาจนี้ของพระวิญญาณ
พระวิญญาณเดียวกันนี้ประทานชีวิตนิรันดร์
วิญญาณเดินทางโดยสองวิธี คือปราศจากพาหนะซึ่งเป็นการเดินทางของวิญญาณ และโดยอาศัยพาหนะซึ่งเป็นการเดินทางทางวัตถุดังเช่นนกที่บินไปและนกที่ถูกอุ้มไป
ในเวลาหลับร่างกายเป็นราวกับตาย แต่วิญญาณยังมีชีวิตและดำรงอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นการรับรู้ของวิญญาณเพิ่มขึ้น การบินของวิญญาณสูงกว่า และปัญญาที่เกิดขึ้นยิ่งใหญ่กว่า การถือว่าวิญญาณสูญสิ้นไปภายหลังจากที่ร่างกายตาย เป็นเหมือนกับการจินตนาการว่านกในกรงถูกทำลาย เมื่อกรงแตกหักนกไม่มีอะไรจะต้องกลัวการทำลายกรง เราเห็นได้ว่าเมื่อปราศจากกรงนกนี้บินอยู่ในภาวะหลับ ดังนั้นถ้ากรงแตกหัก นกยังดำรงอยู่ ความรู้สึกของนกยิ่งมีอานุภาพมากขึ้น การรับรู้สมบูรณ์ขึ้น ความสุขเพิ่มขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว นกจากอเวจีไปสู่สวรรค์แห่งความปีติเพราะสำหรับนกที่รู้บุญคุณ ไม่มีสวรรค์ใดยิ่งใหญ่กว่าการเป็นอิสระจากกรง นั้นเองที่สาวกทั้งหลายรีบสละชีวิตเพื่อศาสนาด้วยความปีติและความสุขที่สุด
ในขณะตื่น ดวงตาของมนุษย์เห็นได้ไกลที่สุดเท่าระยะเดินทางหนึ่งชั่วโมง เพราะพลังของวิญญาณถูกกำหนดโดยอวัยวะของร่างกาย แต่ด้วยสายตาของวิญญาณ วิญญาณเห็นอเมริกาและสิ่งต่างๆ ที่อยู่ที่นั่น ค้นพบสภาพของสรรพสิ่งและจัดการธุรกิจทั้งหลายเช่นนั้นหากวิญญาณเป็นเช่นเดียวกับร่างกาย พลังการมองเห็นของวิญญาณย่อมเป็นสัดส่วนเดียวกับการมองเห็นของดวงตา ดังนั้นเป็นที่กระจ่างว่า วิญญาณต่างจากร่างกาย นกต่างจากกรง และพลังการหยั่งรู้ของวิญญาณแข็งแกร่งกว่าเมื่อปราศจากสื่อทางร่างกาย
เจ้าจงรู้ไว้ว่า วิญญาณของมนุษย์ประเสริฐอยู่เหนือความทุพพลภาพของร่างกายหรือปัญญา การที่คนป่วยแสดงความอ่อนแอ เป็นเพราะเกิดการปิดกั้นระหว่างวิญญาณและร่างกายของเขา เพราะวิญญาณยังคงอยู่ไม่ถูกกระทบกระเทือนโดยความเจ็บป่วยของร่างกาย จงพิจารณาแสงของตะเกียง แม้จะมีวัตถุมาขวางกั้นการส่องแสงของตะเกียง แต่แสงของตะเกียงก็ยังคงฉายต่อไปไม่อ่อนลง ในทำนองเดียวกัน ความเจ็บป่วยทุกอย่างที่เกิดกับร่างกายเป็นสิ่งปิดกั้นมิให้วิญญาณแสดงพลังและอำนาจให้ปรากฏออกมา อย่างไรก็ตามเมื่อวิญญาณแยกจากร่างกาย วิญญาณจะแสดงอำนาจและอิทธิพลที่ไม่มีพลังใดในโลกเทียบเท่า ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ทุกดวงจะได้รับการประสิทธิ์ประสาทด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และจะปีติอย่างเหลือล้น
มนุษย์มีศักยภาพของวิญญาณแอบแฝงอยู่ และจุดประสงค์ของการดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้คือ การพัฒนาศักยภาพที่แอบแฝงอยู่นี้โดยอาศัยพระวิญญาณอันบริสุทธิ์ที่ผ่านมากับพระศาสดาในแต่ละยุค
สภาวะของมนุษย์อาจเปรียบได้กับเมล็ดพืช หากเราหว่านเมล็ดพืชต้นไม้ใหญ่จะงอกขึ้นมา พลังของเมล็ดถูกเปิดเผยในต้นไม้ซึ่งมีกิ่ง ใบ ดอก ผล งอกออกมา พลังเหล่านี้ถูกซ่อนเร้นอยู่ในเมล็ด โดยพรและความอารีของการเพาะปลูก พลังเหล่านี้ปรากฏชัดออกมาคล้ายกันกับที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรานีได้ฝากพลังและศักยภาพซ่อนเร้นอยู่ในมนุษย์ โดยการศึกษาและวัฒนธรรม พลังที่ซ่อนเร้นนี้จะปรากฏชัดในมนุษย์ ดังเช่นการปรากฏของต้นไม้จากเมล็ดพืช
พลังงานเหล่านี้ที่พระผู้เป็นอากรของการนำทางจากสวรรค์ประสาทให้กับมนุษย์ แฝงอยู่ในเขาประดุจเปลวไฟแฝงอยู่ในเทียนรัศมีแฝงอยู่ในตะเกียง ความโชติช่วงของพลังงานเหล่านี้อาจถูกบดบังโดยกิเลศตัณหา ประดุจรังสีของดวงอาทิตย์ถูกบดบังโดยคราบธุลีบนกระจก เทียนและตะเกียงไม่สามารถติดไฟขึ้นมาเองโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ และเป็นไปไม่ได้ที่กระจกจะขจัดคราบออกไปจากตัวเอง เป็นที่ประจักษ์และชัดเจนว่าจนกว่าจะมีการจุดไฟ ตะเกียงจะไม่ลุก และนอกจากว่าคราบจะถูกขจัดออกไปจากผิวกระจก กระจกจะไม่แสดงสนทรรศของดวงอาทิตย์ ไม่สะท้อนแสงสว่างและความโชติช่วงของดวงอาทิตย์
คนหนึ่งที่นั้นถามว่า ทำไมเวลาสวดมนต์และทำสมาธิ ใจมักชอบมุ่งไปหาใครคนหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้ว พระอับดุลบาฮาตอบว่า: เป็นกฎแห่งการสร้างสรรค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่ผู้อ่อนแอควรพึ่งพาผู้ที่แข็งแรง ผู้ที่ท่านตั้งจิตไปหาอาจเป็นสื่อของพลังของพระผู้เป็นเจ้ามาสู่ท่านแม้ว่ายังอยู่บนโลกนี้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่เสริมพลังมนุษย์ทุกคน
ไม่เพียงแต่มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดเท่านั้นที่ไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของวิญญาณ แม้แต่พระบาฮาอุลลาห์เองก็ทรงบอกว่า ปากกาของพระองค์หยุดชะงักเมื่อพยายามอธิบายฐานะอันประเสริฐของวิญญาณ
จงรู้ไว้ว่า วิญญาณคือสัญลักษณ์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า เป็นมณีสวรรค์ที่มนุษย์ที่รอบรู้ที่สุดก็ไม่สามารถเข้าใจ ความลับของวิญญาณนั้นปัญญาที่เฉียบแหลมเพียงไรก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ วิญญาณเป็นสิ่งแรกในบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่ประกาศความล้ำเลิศของพระผู้สร้างยอมรับความรุ่งโรจน์ของพระองค์ ยึดมั่นอยู่กับสัจจะของพระองค์ หากวิญญาณซื่อสัตย์ต่อพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณจะสะท้อนแสงสว่างของพระองค์และกลับไปหาพระองค์ในที่สุด แต่ถ้าวิญญาณไม่ภักดีต่อพระผู้สร้าง วิญญาณจะกลายเป็นเหยื่อของอัตตาและอารมณ์และจมอยู่ในนั้นในที่สุด
เจ้าจงรู้ไว้ว่า หลังจากที่แยกจากร่างกาย วิญญาณจะก้าวหน้าต่อไปจนกระทั่งไปสู่เบื้องหน้าของพระผู้เป็นเจ้า เป็นไปในภาวะที่การเปลี่ยนแปลงของยุคและศตวรรษในโลกนี้ไม่สามารถรบกวนได้ วิญญาณจะคงอยู่ตราบเท่าที่อาณาจักรและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าคงอยู่ วิญญาณจะแสดงสัญลักษณ์และคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าจะเปิดเผยความเมตตาอารีของพระองค์ การเคลื่อนไหวของปากกาของเราหยุดชะงักเมื่อพยายามจะอธิบายความสูงส่งและความรุ่งโรจน์ของฐานะอันประเสริฐดังกล่าว เกียรติที่พระหัตถ์แห่งความปรานีจะสวมใส่ให้แก่วิญญาณนั้น ไม่มีวจีใดเปิดเผยได้ ไม่มีสิ่งใดในโลกอธิบายได้ พระพรจงมีแด่วิญญาณที่ในชั่วโมงแห่งการแยกจากร่างกาย ได้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากจินตนาการอันไร้สาระของประชาชนบนโลก ดวงวิญญาณดังกล่าวจะดำรงอยู่และเคลื่อนไหวไปตามพระประสงค์ของพระผู้สร้าง…หากมนุษย์ได้รับการบอกเล่าถึงสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ให้กับดวงวิญญาณดังกล่าวในภพทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นนายแห่งบัลลังก์เบื้องบนและโลกเบื้องล่าง ชีวิตของเขาจะลุกโพลงอย่างทันใดด้วยความปรารถนาจะบรรลุสู่สถานะอันสูงส่งบริสุทธิ์และรุ่งโรจน์ดังกล่าว…ธรรมชาติของวิญญาณไม่สามารถอธิบายได้ และไม่เหมาะสมหรืออนุญาตที่จะเปิดเผยลักษณะทั้งหมดของวิญญาณให้แก่มนุษย์ พระศาสดาถูกส่งมาเพื่อจุดประสงค์เดียวคือนำทางมนุษย์ชาติไปสู่หนทางแห่งสัจจะ จุดประสงค์ที่เป็นรากฐานของการเปิดเผยศาสนาคือเพื่ออบรมมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อว่าในชั่วโมงแห่งความตาย พวกเขาจะได้ขึ้นไปสู่บัลลังก์เบื้องบนด้วยความบริสุทธิ์และไม่ผูกพัน แสงสว่างที่ส่องมาจากดวงวิญญาณเหล่านี้เป็นเหตุผลของความก้าวหน้าของโลกและประชาชน…ดวงวิญญาณเหล่านี้ผู้เป็นสัญลักษณ์ของความไม่ผูกพันจะส่งแรงกระตุ้นสูงสุดต่อความเป็นอยู่บนพิภพ
วิญญาณที่ซื่อสัตย์ต่อพระผู้สร้าง จะสามารถบรรลุสู่ฐานะอันประเสริฐ และภายหลังแยกจากร่างกายไปสู่ภพหน้าแล้ว วิญญาณนั้นจะครอบครองพลังที่สามารถส่งอิทธิพลไปสู่ภพอื่น ๆ ช่วยเหลือและนำทางมนุษย์ แต่สำหรับวิญญาณที่ไม่ซื่อสัตย์ วิญญาณนั้นจะจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์ ไม่มีอิทธิพลมารังควานมนุษย์บนโลกนี้ได้
เจ้าจงรู้ไว้ว่า หากวิญญาณของมนุษย์เดินในหนทางของพระผู้เป็นเจ้า วิญญาณจะกลับไปรวมอยู่ในความรุ่งโรจน์ของพระผู้เป็นที่รัก วิญญาณจะบรรลุสู่สถานะที่ไม่มีปากกาด้ามใดพรรณนาได้ไม่มีวจีใดอธิบายได้ วิญญาณที่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าและมั่นคงอยู่ในหนทางของพระองค์ ภายหลังที่แยกจากร่างกาย ดวงวิญญาณนั้นจะครอบครองพลังที่ทุกภพของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพจะได้รับประโยชน์จากเขา โดยบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ดวงวิญญาณนั้นจะจรรโลงโลกแห่งการดำรงอยู่และเสริมพลังที่ทำให้ศิลปะและความพิศวงในโลกปรากฏขึ้น
ในหมู่วิญญาณที่ประเสริฐมีการเข้าใจ การค้นพบและการติดต่อทางวิญญาณ ซึ่งบริสุทธิ์พ้นจากกาลเวลาและสถานที่ ดังนั้นในพระคัมภีร์ใหม่เขียนไว้ว่า พระโมเสสและเอลิยามาหาพระคริสต์บนภูเขาทาเบอร์ นี้เป็นที่กระจ่างว่ามิใช่การพบกันทางร่างกายแต่เป็นภาวะทางจิตที่แสดงออกเป็นเหมือนการพบกันทางกาย
เมื่อคนไม่ดีตาย ดวงวิญญาณของเขาจะจากโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์และไม่สามารถมีอิทธิพลต่อบุคคลใด…ความคิดของเขามีอิทธิพลเฉพาะเมื่อเขายังมีชีวิตบนโลกนี้…แต่ดวงวิญญาณของคนดีได้รับชีวิตนิรันดร์ และบางครั้งพระผู้เป็นเจ้าอนุญาตให้ความคิดของเขามาสู่โลกนี้เพื่อช่วยเหลือประชาชน
ต่อคำถามที่ว่าดวงวิญญาณที่ดีงามและบริสุทธิ์ทั้งหลายภายหลังจากละทิ้งร่างกายไปแล้วได้มีอิทธิพล ช่วยเหลือและนำทางมนุษย์นั้น เป็นความจริงสำหรับบาไฮ
วิญญาณที่จากโลกนี้ไปสามารถสนทนากับผู้ที่อยู่บนโลกนี้ได้หรือไม่?
พระอับดุลบาฮา: การสนทนาเป็นไปได้แต่ไม่เหมือนการสนทนาของเรา ไม่มีข้อสงสัยว่าพลังของภพเบื้องบนและพลังบนโลกนี้มีอิทธิพลต่อกันและกัน หัวใจของมนุษย์สามารถได้รับการบันดาลใจ นี้เป็นการสนทนาทางวิญญาณ ดังเช่นในความฝันที่คนเราพูดกับเพื่อนขณะที่ปากไม่ออกเสียง เช่นเดียวกันกับการสนทนาของวิญญาณ มนุษย์อาจสนทนากับอัตตาในตัวเขาว่า ?เราทำสิ่งนี้ได้ไหม เราควรทำงานนี้ไหม? ดังกล่าวคือการสนทนากับอัตตาฝ่ายสูง
ชีวิตบนโลกนี้และชีวิตในโลกหน้า
ดังเช่นการดำรงอยู่ที่แท้จริงของมนุษย์คือวิญญาณของเขา มิใช่ร่างกาย โลกนี้ไม่มีการดำรงอยู่ที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเงาของภพหน้าพระศาสดาทั้งหลายจึงพร่ำสอนให้มนุษย์อย่าหลงละเมอผูกพันอยู่กับโลกนี้
โลกนี้เป็นเพียงการแสดง ไร้สาระและว่างเปล่า ไม่มีอะไร เป็นเพียงความคล้ายคลึงของความเป็นจริง จงอย่าเสน่หาต่อโลกนี้ อย่าสลายพันธะที่เชื่อมเจ้ากับพระผู้สร้างของเจ้า และอย่าเป็นพวกที่ผิดพลาดและหลงทางออกไปจากหนทางของพระองค์ แท้จริงแล้วเรากล่าวว่า โลกนี้เป็นเพียงไอระเหยในทะเลทรายซึ่งผู้กระหายฝันว่าเป็นน้ำ และพยายามไขว่คว้าด้วยอำนาจทั้งหมดของเขาจนกระทั่งเมื่อเขามาถึง จึงพบว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา
เจ้าจงรู้ไว้ว่า อาณาจักรสวรรค์เป็นภพที่แท้จริง และโลกนี้เป็นเพียงเงาของภาพสวรรค์ที่ยื่นออกมา เงาไม่มีชีวิตของมันเอง การดำรงอยู่ของมันเป็นเพียงความเพ้อฝัน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นมันเป็นเพียงภาพที่สะท้อนอยู่ในน้ำ ดูเหมือนว่าเป็นรูปภาพ
เจ้าจงรู้ไว้ว่า โลกประดุจภาพสะท้อนเหนือทะเลทราย ที่ผู้กระหายเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำ น้ำทิพย์ของโลกนี้เป็นเพียงไอระเหยในทะเลทราย ความสงสารและเห็นใจเป็นเพียงความลำบากและความยุ่งยาก ที่พักพิงบนโลกเป็นเพียงความเหนื่อยอ่อนและความเศร้า จงละทิ้งโลกไว้ให้กับผู้ที่ผูกพันกับโลก และหันหน้าของเจ้ามาสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นนาย
โลกหน้าบริสุทธิ์พ้นจากกาลเวลาและสถานที่ โลกหน้าและโลกนี้แยกจากกันด้วยเพียงประสาทสัมผัสของมนุษย์ ดังเช่นสายตาของมนุษย์มองไม่เห็นคลื่นความถี่ของแสงบางคลื่น หูไม่สามารถได้ยินคลื่นเสียงบางคลื่น กระนั้นก็ตามโลกนี้และโลกหน้ามิได้แยกจากกันโดยสิ้นเชิง แต่มีการเชื่อมโยงกันอยู่ ดังที่วิญญาณเชื่อมโยงอยู่กับร่างกายและเมื่อวิญญาณเป็นอิสระแยกจากร่างกายแล้ว วิญญาณจะไปสู่โลกหน้าซึ่งเป็นภพของวิญญาณ และร่างกายก็จะกลับคืนสู่ภพของตนเช่นกัน คือสลายกลายเป็นดิน
มิตรสหายคนหนึ่งถามว่า: เราควรคาดหวังต่อความตายอย่างไร? พระอับดุลบาฮาทรงตอบว่า: เราคาดหวังต่อเป้าหมายการเดินทางอย่างไร? ด้วยความหวัง เช่นเดียวกันกับการคาดหวังต่อการสิ้นสุดการเดินทางบนโลกนี้ ในโลกหน้ามนุษย์จะพบว่าเขาเป็นอิสระจากความพิการมากมายที่เราทนอยู่บนโลกนี้ บรรดาผู้ที่ได้ผ่านความตายไปมีภพของพวกเขาเอง ภพนั้นมิได้ถูกย้ายออกไปจากภพของเราแต่ภพนั้นบริสุทธิ์พ้นจากสิ่งที่เราเรียกว่ากาลเวลาและสถานที่ เวลาของเราวัดด้วยดวงอาทิตย์ เมื่อไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นหรือตก กาลเวลานั้นไม่มีอีกต่อไป ผู้ที่ได้ขึ้นไปสู่ภพหน้ามีคุณลักษณะแตกต่างจากผู้ที่ยังอยู่บนโลกนี้ แต่กระนั้นก็ตามไม่มีการแยกจากกันโดยแท้จริง
อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้ามิใช่สถานที่ แต่บริสุทธิ์พ้นจากกาลเวลาและสถานที่ เป็นภพของวิญญาณ เป็นภพของพระผู้เป็นเจ้า เป็นศูนย์กลางของอธิปไตยของพระผู้เป็นเจ้า เป็นอิสระจากร่างกายบริสุทธิ์พ้นจากจินตนาการของมนุษย์ การถูกจำกัดอยู่กับสถานที่เป็นคุณสมบัติของร่างกายมิใช่วิญญาณ จงสังเกตดูว่าร่างกายของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่กับพื้นที่เล็กน้อย ร่างกายครอบคลุมเนื้อที่เพียงสองคืบ แต่วิญญาณและปัญญาของมนุษย์เดินทางไปทุกประเทศและทุกดินแดน และไปแม้แต่อวกาศที่ไร้ขอบเขต ล้อมรอบทุกสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ ทำการค้นพบในดวงดาวอันประเสริฐและระยะทางอันไม่มีสิ้นสุดนี้ เป็นเพราะว่าวิญญาณไม่มีสถานที่ โลกและสวรรค์เป็นเสมือนหนึ่งเดียวกันสำหรับวิญญาณ เพราะวิญญาณทำการค้นพบทั้งในโลกและสวรรค์ แต่ร่างกายถูกจำกัดอยู่กับสถานที่และไม่รู้สิ่งที่อยู่เหนือไปจากนั้น…ชีวิตของอาณาจักรสวรรค์คือชีวิตของวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์ และบริสุทธิ์พ้นจากสถานที่เหมือนกับวิญญาณของมนุษย์ซึ่งไม่มีสถานที่ เพราะถ้าหากท่านตรวจสอบร่างกายของมนุษย์ท่านจะไม่พบตำแหน่งใดของวิญญาณ เพราะวิญญาณไม่มีสถานที่ มิได้เป็นวัตถุ วิญญาณมีการเชื่อมโยงกับร่างกาย ดังเช่นการเชื่อมโยงของดวงอาทิตย์กับกระจกนี้ ดวงอาทิตย์มิได้อยู่ในกระจกแต่ดวงอาทิตย์มีการเชื่อมโยงกับกระจก ในทำนองเดียวกัน อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์พ้นจากทุกสิ่งที่สามารถรับรู้ได้โดยดวงตาหรือโดยประสาทสัมผัสอื่น ๆ คือการได้ยิน การดมกลิ่น การรับรส และการสัมผัส ปัญญาอยู่ในมนุษย์ซึ่งการดำรงอยู่ของปัญญาเป็นที่ยอมรับ ปัญญาอยู่ที่ไหนในมนุษย์? หากท่านตรวจสอบร่างกายด้วยตา ด้วยหู หรือประสาทสัมผัสอื่น ๆ ท่านจะไม่พบปัญญา กระนั้นก็ตามปัญญาดำรงอยู่ ดังนั้นปัญญาไม่มีสถานที่แต่เชื่อมโยงอยู่กับสมอง อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าก็คล้ายกันนี้ ในทำนองเดียวกัน ความรักไม่มีสถานที่แต่เชื่อมอยู่กับหัวใจ ดังนั้นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าไม่มีสถานที่ แต่เชื่อมโยงอยู่กับมนุษย์
มนุษย์อาจลืมการกระทำบางอย่างของตนขณะมีชีวิตอยู่เพราะความจำของมนุษย์ขึ้นอยู่กับพลังของปัญญา และปัญญาต้องอาศัยสมองที่สมบูรณ์ เมื่อสมองเสื่อมลงตามอายุ การแสดงพลังของปัญญาย่อมเสื่อมตามไปด้วย แต่วิญญาณไม่ต้องอาศัยสมอง ฉะนั้นหลังจากแยกจากร่างกาย วิญญาณจะยังคงทราบและจำการกระทำทุกอย่างของตนขณะที่อยู่บนโลกนี้ได้ และจะถูกเรียกไปคิดบัญชีต่อการกระทำของตน ความลับที่วิญญาณไม่ทราบในขณะอยู่บนโลกนี้วิญญาณจะได้รับทราบในโลกหน้า ฉะนั้นผู้ที่วิญญาณรู้จักอยู่แล้วในโลกนี้วิญญาณก็ย่อมจะรู้จักในโลกหน้าแน่นอน วิญญาณที่ประเสริฐทั้งหลายจะรู้จักกันในภพสวรรค์ ไม่ว่าดวงวิญญาณนั้นจะอยู่ในอดีตอันใกล้หรือไกล
เกี่ยวกับคำถามของเจ้าที่ว่า วิญญาณของมนุษย์หลังจากที่แยกจากร่างกายแล้ว จะยังคงรู้จักซึ่งกันและกันหรือไม่ เจ้าจงรู้ไว้ว่า วิญญาณของบาไฮผู้ซึ่งได้เข้าไปในเรือคริมซั่นจะสมาคมและติดต่อกันอย่างสนิทสนม จะร่วมภาคีกันด้วยชีวิต ความใฝ่ฝัน ความมุ่งหมายและความพยายามประดุจเป็นดวงวิญญาณเดียวกัน บาไฮผู้อาศัยอยู่ในเรือแห่งความรอดพ้นของพระผู้เป็นเจ้า จะทราบดีถึงภาวะและฐานะของกันและกัน และจะสามัคคีกันด้วยพันธะแห่งความสนิทสนมและมิตรภาพ อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวขึ้นอยู่กับความศรัทธาและความประพฤติของพวกเขา ผู้ที่อยู่ในระดับและฐานะเดียวกันจะทราบดีถึงความสามารถ ลักษณะ ความสำเร็จและคุณความดีของกันและกัน ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าจะไม่สามรถเข้าใจฐานะหรือประเมินคุณความดีของผู้ที่อยู่ในฐานะสูงกว่า…เราขอเป็นพยานว่า วิญญาณที่ไม่เชื่อศาสนาขณะที่หายใจเฮือกสุดท้ายจะตระหนักถึงสิ่งดีงามทั้งหลายที่หลุดผ่านเขาไป เขาจะคร่ำครวญต่อชะตาของตนเอง จะอ่อนน้อมต่อพระผู้เป็นเจ้า และจะคงเป็นเช่นนี้ต่อไปหลังจากที่วิญญาณของเขาแยกจากร่างกายเป็นที่กระจ่างชัดว่าหลังจากร่างกายตาย มนุษย์ทุกคนจะประเมินคุณค่าของการกระทำของเขา จะตระหนักถึงทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำ เราเป็นพยานต่อดวงตะวันที่ฉายแสงเหนือขอบฟ้าแห่งอานุภาพบรรดาผู้เป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าขณะที่จากชีวิตนี้ไป จะประสบกับความปีติและดีใจอย่างที่เป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบาย ขณะที่ผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในความผิดพลาดจะถูกครอบงำด้วยความกลัวและสั่นสะท้าน จะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบ
เกี่ยวกับคำถามที่ว่า วิญญาณจะรู้จักกันหรือไม่ในโลกแห่งวิญญาณ สิ่งนี้เป็นความจริงที่แน่นอน เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นโลกแห่งมิติที่ซึ่งความจริงที่ปกปิดอยู่จะถูกเปิดเผย และวิญญาณผู้เป็นที่รู้จักกันดีจะปรากฏชัดเพียงไหน ความลึกลับซึ่งมนุษย์ไม่เอาใจใส่ในโลกนี้ เขาจะค้นพบในภพสวรรค์ และรับทราบความลับของสัจจะ ถ้าเช่นนั้นเขาจะรู้จักและค้นพบบุคคลที่เขาเคยร่วมสมาคมได้ดีเพียงไหน ไม่มีข้อสงสัยว่า ดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ผู้มีนัยนาที่เห็นแจ้ง จะคุ้นเคยกับความลึกลับทั้งปวงในอาณาจักรอาภาจะแสวงหาพระพรที่จะได้เป็นพยานต่อสภาวะของดวงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ทุกดวง พวกเขาจะได้เห็นความงามของพระผู้เป็นเจ้าในภพนั้น และในทำนองเดียวกันจะได้พบมิตรสหายทั้งหลายของพระผู้เป็นเจ้าที่เคยอยู่ในอดีตอันใกล้และไกลร่วมชุมนุมกันอยู่
ความแตกต่างของมนุษย์จะเป็นที่ประจักษ์ภายหลังที่จากโลกนี้ไปแล้ว แต่ความแตกต่างนี้ไม่สัมพันธ์กับสถานที่ แต่สัมพันธ์กับวิญญาณและมโนธรรม เพราะอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์พ้นจากกาลเวลาและสถานที่ มันเป็นอีกภพหนึ่งอีกจักรวาลหนึ่ง และเจ้าจงรู้ไว้อย่างแน่นอนด้วยว่า ในภพสวรรค์ ผู้มีศีลธรรมทั้งหลายจะรู้จักกันและกัน จะแสวงหาความสามัคคีซึ่งกันและกัน เป็นความสามัคคีทางวิญญาณ ทำนองเดียวกัน ความรักที่คนหนึ่งมีให้กับใครอีกคนหนึ่งจะไม่ถูกลืมในอาณาจักรสวรรค์ และในภพนั้นเจ้าจะไม่ลืมชีวิตของเจ้าบนโลกนี้
อย่างไรก็ดี วิญญาณจะได้พบกัน สมัครสมานกันในภพหน้าได้แค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับความรักอันจริงใจที่มีต่อกันขณะอยู่บนโลกนี้
ตามที่พระบาฮาอุลลาห์สอนนั้น วิญญาณยังคงความเป็นอัตภาพและสติของตนภายหลังความตาย และสามารถติดต่อวิญญาณดวงอื่น ๆ อย่างไรก็ตามการติดต่อนี้เป็นการติดต่อทางโลกวิญญาณโดยแท้จริง และขึ้นอยู่กับความรักอันไม่หวังผลประโยชน์และไม่เห็นแก่ตัวที่แต่ละคนมีต่อกัน
ท่านขอคำอธิบายว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราหลังจากที่เราจากโลกนี้ไป นี่เป็นปัญหาที่ไม่มีพระศาสดาองค์ใดในอดีตเคยตอบไว้อย่างละเอียด เหตุเพราะว่าท่านไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งหนึ่งให้กับปัญญาอีกคนหนึ่ง เป็นสิ่งซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากทุกสิ่งที่เขาเคยประสบมา พระอับดุลบาฮาทรงให้ตัวอย่างอย่างดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตนี้กับชีวิตหน้าเป็นเหมือนเด็กที่อยู่ในครรภ์ เด็กพัฒนาดวงตา หู มือ เท้า ลิ้น แต่กระนั้นเด็กไม่มีอะไรให้มองหรือได้ยิน เด็กไม่สามารถเดิน หยิบสิ่งของหรือพูด เด็กพัฒนาอวัยวะเหล่านี้ไว้สำหรับโลกนี้ หากท่านพยายามอธิบายให้เด็กในครรภ์ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร เด็กจะไม่มีวันเข้าใจ แต่เด็กจะเข้าใจเมื่อเขาเกิดออกมาและได้ใช้อวัยวะเหล่านั้น ดังนั้นเราไม่สามารถเห็นภาพของเราในโลกหน้า เท่าที่เรารู้คือสติและบุคลิกของเราคงอยู่ต่อไปในภพใหม่และโลกหน้าดีกว่าโลกนี้ ดังเช่นโลกนี้ดีกว่าครรภ์มารดาอันมืดมิด
การอยู่นิ่งโดยสมบูรณ์ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งก้าวหน้าหรือเสื่อมลง ทุกสิ่งเคลื่อนไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งอยู่ไม่เคลื่อนไหว ตั้งแต่เกิดมนุษย์พัฒนาร่างกายไปจนเติบโตเต็มที่จากนั้นร่างกายเริ่มเสื่อมลง กำลังและประสาทรับรู้ลดถอยลง และค่อย ๆ ไปสู่ความตาย…เป็นที่กระจ่างชัดว่า การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งจำเป็นของการดำรงอยู่ทุกอย่าง การดำรงอยู่ของโลกวัตถุก้าวหน้าไปถึงจุดหนึ่งแล้วจะเสื่อมลง นี่คือกฎที่ปกครองสรรพสิ่งทั้งหมด บัดนี้ขอให้เราพิจารณาดูวิญญาณ เราได้เห็นแล้วว่า การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดไม่มีการเคลื่อนไหวสรรพสิ่งทั้งหมดไม่ว่าอยู่ในอาณาจักรแร่ธาตุ อาณาจักรพืชหรือสัตว์ อยู่ภายใต้กฎแห่งการเคลื่อนไหว ต้องพัฒนาขึ้นหรือเสื่อมลง แต่สำหรับวิญญาณมนุษย์ ไม่มีการเสื่อม การเคลื่อนไหวของวิญญาณมุ่งไปสู่ความสมบูรณ์เท่านั้น การเติบโตและก้าวหน้าเท่านั้นที่เป็นการเคลื่อนไหวของวิญญาณ…ในโลกแห่งวิญญาณไม่มีการเสื่อมถอยโลกอันไม่ยั่งยืนนี้เป็นสิ่งตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งจำเป็นและทุกสิ่งต้องไปข้างหน้าหรือล่าถอย ในอาณาจักรแห่งวิญญาณไม่มีการล่าถอยที่เป็นไปได้ การเคลื่อนไหวทุกอย่างถูกกำหนดให้ไปสู่สภาวะที่สมบูรณ์
เกี่ยวกับวิญญาณของมนุษย์ภายหลังความตาย วิญญาณจะคงอยู่ในระดับความบริสุทธิ์ที่ตนได้วัฒนามาระหว่างที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ และหลังจากที่เป็นอิสระจากร่างกาย วิญญาณจะจมลงไปในมหาสมุทรแห่งความปรานีของพระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่วินาทีที่วิญญาณจากร่างกายและไปถึงภพสวรรค์วิวัฒนาการนั้นเป็นของโลกวิญญาณนั่นคือ การเข้าหาพระผู้เป็นเจ้า ในโลกแห่งกายภาพ วิวัฒนาการเป็นไปจากระดับความสมบูรณ์หนึ่งไปสู่อีกระดับความสมบูรณ์หนึ่งแร่ธาตุผ่านจากความสมบูรณ์ของมันไปสู่ความสมบูรณ์ของพืชและพืชวัฒนาขึ้นไปสู่อาณาจักรสัตว์และวัฒนาต่อไปสู่ความเป็นมนุษย์…วิญญาณมิได้วัฒนาจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง แต่วัฒนาต่อไปเข้าไปใกล้พระผู้เป็นเจ้าโดยความปรานีและความอารีของพระองค์
สวรรค์และนรก
สวรรค์และนรกมิใช่สถานที่แต่คือภาวะที่อยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่ มนุษย์จะบรรลุสู่สวรรค์เมื่อเขาพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์สูงสุดของตนเอง พัฒนาคุณธรรมต่าง ๆ เช่นความบริสุทธิ์ ความซื่อสัตย์ ความเสียสละ ความไม่ผูกพันทางโลก และต้องไม่มีความริษยา การพัฒนานี้เป็นไปโดยการยอมรับพระศาสดาที่เสด็จมาในแต่ละยุคโดยอาศัยความรู้และความรักของพระผู้เป็นเจ้า และการเชื่อฟังบัญญัติของพระองค์ นรกคือภาวะของวิญญาณที่ปฏิเสธศาสนทูตในยุคของตน และละเมิดบทบัญญัติของพระองค์ ไม่ว่าจะไปสวรรค์หรือนรก วิญญาณจะอยู่ในภพเดียวกัน แต่ดำรงอยู่ในภาวะต่างกันตามที่วิญญาณนั้นได้พัฒนามา เปรียบเช่นมนุษย์กับหินต่างก็ดำรงอยู่ในโลกเดียวกันนี้ แต่ภาวการณ์ดำรงอยู่ของมนุษย์ต่างกับหินมาก
ไม่มีสรรพสิ่งใดบรรลุถึงสวรรค์ของตนได้ นอกจากว่ามันจะปรากฏอยู่ในระดับความสมบูรณ์สูงสุดที่กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ผลึกนี้คือสวรรค์ของหินซึ่งสสารของหินเป็นองค์ประกอบของผลึก ทำนองเดียวกันสวรรค์ของผลึกนั้นมีอยู่ในระดับต่าง ๆ…ตราบเท่าที่มันเป็นหินมันไม่มีค่า แต่เมื่อมันบรรลุสู่ความสมบูรณ์เลิศเป็นทับทิม ซึ่งเป็นศักยภาพที่แฝงอยู่ หนึ่งการัตของมันจะมีค่ามากเพียงไร จงพิจารณาสรรพสิ่งอื่นเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามสถานะสูงสุดของมนุษย์บรรลุได้โดยความศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคของศาสนาและโดยการยอมรับคำสอนของพระองค์ มิใช่โดยการเรียนรู้ เนื่องด้วยทุกชาติมีบรรดาผู้รอบรู้ในวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ มิใช่บรรลุได้โดยความมั่งคั่ง เพราะเป็นที่กระจ่างเช่นกันว่าชนชั้นต่าง ๆ ในทุกชาติมีบรรดาผู้ร่ำรวยอยู่ มิใช่บรรลุโดยสิ่งที่ไม่ยั่งยืนอื่น ๆ เช่นกันดังนั้นความรู้ที่แท้จริงคือความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า และนี้มิใช่อื่นใดนอกจากการยอมรับพระศาสดาของพระองค์ในแต่ละยุคศาสนา ไม่มีความมั่งคั่งอื่นใดนอกจากความยากจนในทุกสิ่งยกเว้นพระผู้เป็นเจ้าและความบริสุทธิ์พ้นจากทุกสิ่งนอกจากพระองค์ เป็นภาวะที่บังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเข้าหาพระผู้เป็นอรุโณทัยแห่งการเปิดเผยศาสนา
เจ้าจงรู้ไว้ว่า สวรรค์นั้นหมายถึงการยอมรับและยอมจำนนต่อบรมศาสดาที่พระผู้เป็นเจ้าจะแสดงให้ปรากฏ และไฟนั้นหมายถึงการอยู่ร่วมกับผู้ที่ไม่ยอมจำนนต่อพระองค์และความยินดีของพระองค์
สำหรับบรรดาผู้ที่ลิ้มรสผลไม้แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์บนโลกนั่นคือการยอมรับพระผู้เป็นเจ้าแท้จริงหนึ่งเดียว ผู้ทรงความรุ่งโรจน์อันประเสริฐ ชีวิตของพวกเขาภายหลังจากนี้เป็นสิ่งที่เราไม่สามรถอธิบายได้ พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นนายแห่งภพทั้งปวงเท่านั้นที่ทราบ
ในการประเมินของบรรดาผู้ที่เชื่อในเอกภาพสวรรค์ ไม่มีสวรรค์ใดประเสริฐกว่าการเชื่อฟังบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และในสายตาของบรรดาผู้ที่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าและสัญลักษณ์ของพระองค์ ไม่มีไฟใดร้อนแรงไปกว่าการละเมิดกฎของพระองค์ กดขี่อีกบุคคลหนึ่งแม้เพียงเท่าเมล็ดมาสตาด ในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ พระผู้เป็นเจ้าจะตัดสินทุกคน และเราทุกคนจะวิงวอนขอความกรุณาจากพระองค์
ในยุคนี้เราจึงเป็นพยานต่อผู้ที่เราสร้างขึ้นมา เพราะไม่มีพยานคนใดนอกจากเรา ที่คู่ควรต่อการกล่าวถึง ณ ที่สถิตย์ของเรา เรายืนยันว่าไม่มีสวรรค์ใดประเสริฐสำหรับผู้ที่เราสร้างขึ้นมามากไปกว่า การยืนต่อหน้าพระพักตร์ของเรา เชื่อในวจนะของเรา และไม่มีไฟใดร้อนแรงไปกว่าการถูกปิดบังจากการปรากฏของเรา และไม่เชื่อในฐานะของเรา
ดูกร บุตรแห่งชีวิต ?สวรรค์ของเจ้าคือความรักของเรา ?พิมานของเจ้าคือการกลับมาอยู่ร่วมกับเรา ?จงเข้ามาและอย่าชักช้า นี่คือสิ่งที่กำหนดไว้สำหรับเจ้าในอาณาจักรเบื้องบนอันประเสริฐของเรา
ดูกร บุตรแห่งปฐพี
แท้จริงแล้วจงรู้เถิดว่า หัวใจที่ยังมีความริษยาแม้เพียงน้อยที่สุด จะไปไม่ถึงอาณาจักรนิรันดร์ของเรา และจะไม่ได้สูดสุคนธรสแห่งความบริสุทธิ์ที่โชยมาจากอาณาจักรอันวิสุทธิ์ของเรา
การเข้าไปสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเป็นไปโดยความไม่ผูกพันโดยความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ โดยความสัตย์ ความมั่นคง ความซื่อสัตย์ และการสละชีวิต คำอธิบายเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์เป็นอมตะและมีชีวิตนิรันดร์ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า รักพระผู้เป็นเจ้า มีความศรัทธา ชีวิตของเขาเป็นเลิศนั่นคือเป็นนิรันดร์ แต่ผู้ที่ถูกปิดกั้นจากพระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้เขาจะมีชีวิต มันก็เป็นความมืดและเมื่อเปรียบกับชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ชีวิตของเขาไม่ดำรงอยู่ ตัวอย่างเช่น ดวงตาและเล็บมีชีวิต แต่ชีวิตของเล็บเมื่อเปรียบกับชีวิตของดวงตา ชีวิตของเล็บไม่ดำรงอยู่ หินและมนุษย์ดำรงอยู่ แต่เมื่อหินสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของมนุษย์ หินมิได้ดำรงอยู่ เพราะเมื่อมนุษย์ตายและร่างกายของเขาสลาย มันกลายเป็นเหมือนหินและดิน ดังนั้นเป็นที่ชัดเจนว่า แม้ว่าแร่ธาตุดำรงอยู่ แต่เมื่อสัมพันธ์กับการดำรงอยู่ของมนุษย์ มันมิได้ดำรงอยู่ ในทำนองเดียวกันวิญญาณทั้งหลายที่ถูกปิดกั้นจากพระผู้เป็นเจ้าแม้ว่าพวกเขาดำรงอยู่ในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อเปรียบกับการดำรงอยู่อันวิสุทธิ์ของบุตรหลานในอาณาจักของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขามิได้ดำรงอยู่และถูกแยกจากพระผู้เป็นเจ้า
สวรรค์และนรกเป็นภาวะที่มนุษย์ประสบได้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สวรรค์ที่มนุษย์บรรลุถึงในโลกนี้ก็จะเป็นการส่งทอดเขาไปสู่สวรรค์ในโลกหน้าเช่นกัน
การลงโทษและรางวัลได้รับการกล่าวไว้เป็น 2 ชนิด คือรางวัลและการลงโทษในชีวิตนี้และในโลกหน้า แต่สวรรค์และนรกแห่งการดำรงอยู่พบอยู่ในทุกภพของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าในโลกนี้หรือโลกของวิญญาณ การได้รับรางวัลเหล่านี้คือการได้รับชีวิตนิรันดร์นี่เองที่พระคริสต์ทรงกล่าวไว้ว่า: ?จงปฏิบัติตามหนทางที่เจ้าจะได้พบชีวิตนิรันดร์ และเจ้าจะได้กำเนิดด้วยน้ำและวิญญาณ เพื่อว่าเจ้าจะได้เข้าไปสู่อาณาจักรสวรรค์? รางวัลของชีวิตนี้คือคุณความดีและความสมบูรณ์ที่ประดับสภาพความเป็นจริงของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น มนุษย์มืดมนและกลับกลายสว่างไสว เขาโง่เขลาและกลับกลายฉลาด เขาขาดสติและกลับกลายเป็นผู้มีสติ เขาหลับใหลและตื่นขึ้น เขาตายและกลับมีชีวิต เขาตาบอดแล้วกลายเป็นผู้มองเห็น เขาหูหนวกแล้วกลายเป็นผู้ได้ยิน เขาหมกมุ่นทางโลกแล้วกลายมาฝักใฝ่ในธรรม เขาหมกมุ่นในวัตถุแล้วมาฝักใฝ่ทางจิต โดยรางวัลเหล่านี้เขาได้รับการเกิดใหม่ทางธรรมและกลายเป็นคนใหม่ กลายเป็นผู้แสดงบทกลอนในพระคัมภีร์ใหม่ที่กล่าวไว้เกี่ยวกับสาวกทั้งหลายว่า ?พวกเขาไม่ได้เกิดมาจากเลือด มิใช่จากเนื้อหนังหรือเจตนาของมนุษย์ แต่เกิดมาจากพระผู้เป็นเจ้า? กล่าวคือพวกเขาได้รับการปลดปล่อยจากลักษณะและคุณสมบัติของสัตว์ และครอบครองกิตติคุณแห่งสวรรค์ซึ่งเป็นความอารีของพระผู้เป็นเจ้า นี้คือความหมายของการเกิดครั้งที่สอง สำหรับประชาชนดังกล่าว ไม่มีความทรมานใดยิ่งใหญ่กว่าการถูกปิดกั้นจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีการลงโทษใดรุนแรงกว่าความเสเพล คุณลักษณะที่ต่ำช้าและความหมกมุ่นในตัณหาเมื่อมนุษย์ได้รับการปลดปล่อยจากความต่ำช้าเหล่านี้โดยแสงแห่งความศรัทธา และได้รับการส่องสว่างด้วยแสงของธรรมาทิตย์ประเสริฐด้วยคุณความดี พวกเขาจะถือว่านี้คือรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่สุดและรู้ว่านี้คือสวรรค์ที่แท้จริง ในทำนองเดียวกัน พวกเขาพิจารณาว่าการลงโทษทางวิญญาณ กล่าวคือการทรมานและการลงโทษภาวะของการดำรงอยู่ คือการเป็นทาสของธรรมชาติ การถูกปิดกั้นจากพระผู้เป็นเจ้า การเป็นผู้โหดร้ายและโง่เขลา จมอยู่ในตัณหาและความเถื่อนของสัตว์ มีคุณลักษณะอันมืดมน เช่น การกดขี่ความโหดร้าย ผูกพันทางโลก และจมอยู่ในความคิดชั่วร้ายต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้คือการลงโทษและการทรมานอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขา ในทำนองเดียวกัน รางวัลของอีกโลกหนึ่งคือชีวิตนิรันดร์ ซึ่งกล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คือ ความสมบูรณ์แห่งสวรรค์ คือพระพรอนันต์และความสุขนิรันดร์ รางวัลของอีกโลกหนึ่งคือความสมบูรณ์และความสงบที่ได้รับในโลกแห่งวิญญาณภายหลังที่จากโลกนี้ไป ขณะที่รางวัลของชีวิตนี้คือความสมบูรณ์ที่บรรลุในโลกนี้ ซึ่งเป็นเหตุแห่งชีวิตนิรันดร์ เพราะความสมบูรณ์ดังกล่าวคือความก้าวหน้าของการดำรงอยู่ ดังเช่นมนุษย์ที่ผ่านจากตัวอ่อนมาสู่การเติบโตเต็มที่และกลายเป็นการแสดงปรากฏของพระวจนะ ?ขอความสรรเสริญจงมีแด่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้างผู้เลิศสุด? รางวัลของอีกโลกหนึ่งคือความสงบสุข ความงามทางจิต พระพรในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า การบรรลุความปรารถนาของหัวใจและวิญญาณ การพบกับพระผู้เป็นเจ้าในภพอนันตกาลในทำนองเดียวกันการลงโทษหรือการทรมานของอีกโลกหนึ่งคือการถูกพรากจากพระพรจากสวรรค์และตกอยู่ในระดับต่ำสุดของการดำรงอยู่ ผู้ที่ถูกพรากจากพระกรุณาสวรรค์นี้ แม้ว่ายังคงดำรงอยู่ภายหลังความตาย ก็ได้รับการพิจารณาว่าเป็นประดุจคนตายโดยประชาชนผู้มีธรรม
สวรรค์คือภาวะที่ดำรงอยู่จริงอย่างไม่มีข้อสงสัย ในโลกนี้สวรรค์บังเกิดขึ้นได้โดยความรักและความยินดีของเรา ใครก็ตามที่บรรลุถึงสวรรค์นี้ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยเขาในโลกเบื้องล่างนี้ และภายหลังความตาย พระองค์จะช่วยให้เขาเข้าไปสู่สวรรค์ซึ่งมีความไพศาลเท่ากับฟ้าและดิน และ ณ ที่นั่นเทพธิดาแห่งความรุ่งโรจน์และความบริสุทธิ์จะคอยปรนนิบัติเขาทั้งในเวลากลางวันและกลางคืนขณะที่ดวงตะวันแห่งความงามอันไม่จืดจางของพระผู้เป็นเจ้าจะสาดแสงมายังเขาตลอดเวลา และเขาจะเรืองรองสว่างไสวจนไม่มีใครสามารถจ้องมายังเขาได้
ในเริ่มต้นชีวิต มนุษย์เป็นตัวอ่อนในครรภ์ของโลก ที่นั่นเขาได้รับพลังและการประสิทธิ์ประสาทสำหรับการดำรงอยู่เป็นมนุษย์ พลังและความสามารถที่จำเป็นสำหรับโลกนี้ได้ประทานให้แก่เขาในสภาวะอันจำกัดนั้น ในโลกนี้เขาจำเป็นต้องมีตา เขาได้รับดวงตาจากโลกในครรภ์ เขาจำเป็นต้องมีหู เขาได้รับหูจากที่นั่นพร้อมสำหรับการดำรงอยู่ใหม่ของเขา ความสามารถที่จำเป็นสำหรับโลกนี้ได้ประทานให้แก่เขาในครรภ์ของโลก เพื่อว่าเมื่อเขาเข้ามาสู่อาณาจักรของการดำรงอยู่ที่แท้จริง เขาไม่เพียงมีอวัยวะและความสามารถครบเท่านั้น แต่ยังพบว่ามีสิ่งยังชีพเตรียมพร้อมรอเขาอยู่ ดังนั้นในโลกนี้เขาต้องเตรียมตัวสำหรับชีวิตหน้า สิ่งที่จำเป็นสำหรับโลกหน้าต้องหาให้ได้ในโลกนี้ ดังเช่นที่เขาเตรียมตัวในครรภ์โดยได้มาซึ่งพลังที่จำเป็นสำหรับการดำรงอยู่บนโลกนี้ พลังที่ขาดไม่ได้สำหรับการดำรงอยู่ในภพสวรรค์ต้องบรรลุให้ได้ในโลกนี้ เขาจำเป็นต้องมีอะไรในอาณาจักรสวรรค์ที่อยู่เหนือชีวิตและความจำกัดของโลกนี้? โลกหน้าเป็นโลกแห่งความบริสุทธิ์และเรืองรอง ดังนั้นในโลกนี้เขาจำเป็นต้องได้มาซึ่งคุณลักษณะแห่งสวรรค์เหล่านี้ ในโลกหน้าจำเป็นต้องมีคุณธรรม ความศรัทธา ความมั่นใจ ความรู้และความรักของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้องได้มาขณะอยู่ในโลกนี้เพื่อว่าภายหลังที่เขาจากโลกนี้ขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ เขาจะพบว่าทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนิรันดร์เตรียมไว้พร้อมสำหรับเขา โลกสวรรค์เป็นโลกแห่งแสงสว่าง ดังนั้นมนุษย์ต้องได้รับความสว่างในจิตใจที่โลกนี้ โลกหน้าเป็นโลกแห่งความรัก ความรักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งจำเป็น โลกหน้าเป็นโลกแห่งความสมบูรณ์ ดังนั้นคุณความดีและความสมบูรณ์ต้องบรรลุให้ได้มา โลกหน้าเป็นอาณาจักรแห่งชีวิตนิรันดร์ ชีวิตนิรันดร์นั้นต้องบรรลุให้ถึงในระหว่างการดำรงอยู่อันชั่วแล่นนี้ มนุษย์จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ด้วยวิธีใด? เขาจะได้รับพรสวรรค์และความสามารถเหล่านี้อย่างไร? ประการแรกโดยความรู้ของพระผู้เป็นเจ้า สองโดยความรักของพระผู้เป็นเจ้า สามโดยความศรัทธา สี่โดยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ห้าโดยการเสียสละ หกโดยตัดความผูกพันกับโลกนี้ เจ็ดโดยความบริสุทธิ์ ถ้าเขาไม่บรรลุถึงพลังและเงื่อนไขเหล่านี้ เขาจะถูกพรากจากชีวิตนิรันดร์แน่นอน
ชีวิตบนโลกนี้คือโอกาสสำหรับมนุษย์ที่จะพัฒนาคุณธรรมโดยการเอาชนะความยากลำบากและบททดสอบต่าง ๆ ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ เพราะการทดสอบของพระผู้เป็นเจ้ามีแต่ในโลกนี้ ไม่มีในโลกหน้าการพัฒนาของวิญญาณมิได้สิ้นสุดที่ความตาย ภายหลังจากตายแล้ววิญญาณของมนุษย์ก้าวหน้าต่อไปได้โดยความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้า การสวดมนต์อธิษฐานของบุคคลอื่น การกุศลที่กระทำในนามของเขา
คำถาม: จิตของมนุษย์ กล่าวคือวิญญาณแห่งการใช้เหตุผลก้าวหน้าไปโดยวิธีใดภายหลังที่จากโลกนี้ไป
คำตอบ: ความก้าวหน้าของจิตในภพสวรรค์ภายหลังจากที่แยกออกจากร่างกาย เป็นไปโดยความอารีและความกรุณาของพระผู้เป็นเจ้าเพียงผู้เดียว หรือเป็นไปโดยการวิงวอนและการอธิษฐานอย่างจริงใจของบุคคลอื่น หรือโดยการกุศลและงานสำคัญที่ดีงามที่กระทำในนามของเขา
เมื่อถึงเวลาตายของชายผู้มั่งคั่งคนหนึ่ง หากเขายกทรัพย์สินให้แก่ผู้ยากไร้และผู้ทุกข์ยากและมอบส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งของเขาให้นำไปใช้จ่ายเพื่อผู้ยากไร้ การกระทำนี้อาจเป็นเหตุของการให้อภัยแก่เขาและความก้าวหน้าของเขาในอาณาจักรสวรรค์ เช่นกัน บิดามารดาทนความยุ่งยากและความลำบากอย่างใหญ่หลวงที่สุดเพื่อลูก และเมื่อลูก ๆ ได้มาถึงวัยผู้ใหญ่ บิดามารดามักจากไปสู่อีกโลกหนึ่ง บิดามารดาไม่ค่อยได้เห็นรางวัลของการดูแลและความลำบากเพื่อลูกขณะอยู่ในโลกนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน ลูก ๆ ต้องใจบุญและกรุณาและต้องวิงวอนขออภัยให้บิดามารดา ดังนั้น เพื่อเป็นการตอบแทนความรักและความกรุณาที่บิดามีต่อท่าน ท่านควรให้ทานคนจนเพื่อเห็นแก่บิดา วิงวอนขออภัยบาปและความปรานีสูงสุดด้วยความยอมจำนนและถ่อมตัวที่สุด เป็นไปได้ถึงขนาดที่ว่า ภาวะของบรรดาผู้ที่ตายอยู่ในบาปและความไม่เชื่ออาจเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือพวกเขาอาจได้รับการอภัยโดยความอารีของพระผู้เป็นเจ้า มิใช่โดยความยุติธรรมของพระองค์ เพราะความอารีประทานให้โดยปราศจากความคู่ควร แต่ความยุติธรรมประทานให้กับสิ่งที่คู่ควร เนื่องด้วยเรามีพลังที่จะอธิษฐานเพื่อวิญญาณทั้งหลายที่นี่ ทำนองเดียวกันเราก็จะมีพลังเดียวกันในโลกหน้าซึ่งเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า…เนื่องด้วยวิญาณในโลกนี้สามารถพัฒนาไปโดยความช่วยเหลือจากการวิงวอนและการอธิษฐานของบรรดาผู้บริสุทธิ์ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกันภายหลังความตาย พวกเขาสามารถก้าวหน้าไปโดยการอธิษฐานและวิงวอนของพวกเขาเองและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศาสนทูตวิงวอนเพื่อพวกเขา
เมื่อถูกถามว่า เป็นไปได้ไหมโดยอาศัยความศรัทธาและความรักที่จะทำให้บรรดาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วรับทราบการเปิดเผยศาสนาใหม่นี้โดยที่เมื่อยังมีชีวิตอยู่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน พระอับดุลบาฮาทรงตอบว่า: เป็นไปได้แน่นอน เพราะการสวดมนต์ด้วยความจริงใจมีผลเสมอและมีอิทธิพลมากในโลกหน้า เราไม่ถูกตัดขาดจากบรรดาผู้ที่อยู่ในโลกหน้า อิทธิพลอันแท้จริงอยู่ในโลกหน้ามิใช่โลกนี้
เกี่ยวกับคำถามของท่านที่ว่า วิญญาณสามารถรับความรู้ของพระผู้เป็นเจ้าในภพถัดไปหรือไม่ ความรู้นั้นเป็นไปได้แน่นอนและเป็นสัญลักษณ์ของความปรานีของพระผู้ทรงมหิทธานุภาพ โดยการสวดมนต์ เราสามารถช่วยวิญญาณทุกดวงค่อย ๆ บรรลุสู่สถานะอันสูงส่งนี้ แม้ว่าดวงวิญญาณนั้นจะบรรลุไม่ถึงในขณะอยู่ในโลกนี้ความก้าวหน้าของวิญญาณมิได้สิ้นสุดที่ความตายแต่เพียงกำลังเริ่มต้นในมิติใหม่ พระบาฮาอุลลาห์ทรงสอนว่า ความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ไพศาลรอคอยวิญญาณอยู่ในโลกหน้า ความก้าวหน้าของวิญญาณในภพนั้นไม่มีสิ้นสุด และไม่มีใครบนโลกนี้เล็งเห็นอานุภาพและขอบเขตของวิญญาณ