พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า

ในหลายยุคที่ผ่านไป ความสามารถด้านจิตวิญญาณ สติปัญญาและจริยธรรมของมนุษย์ล้วนมาจากพระศาสดาของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ท่านเหล่านี้คือพระอับราฮัม พระกฤษณะ พระโซโรแอสเตอร์ พระโมเสส พระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ พระโมฮัมหมัด และในยุคไม่นานมานี้คือพระบ๊อบและพระบาฮาอุลลาห์

ท่านเหล่านี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปที่มีความรู้มากกว่าคนอื่น แต่ท่านคือพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งทรงมีอิทธิพลที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ต่อวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ ในขณะที่แต่ละท่านมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน แต่พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าที่ทุกพระองค์มีร่วมกันในจุดประสงค์ที่มอบหมายมา และภารกิจโดยสวรรค์ คือ การให้การศึกษาแก่จิตวิญญาณของมนุษย์และทำให้บุคลิกลักษณะของมนุษย์ทุกคนดีขึ้น

พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าคือ ผู้ซึ่งนำแสงมาสู่โลก เปรียบเหมือนการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิ การเสด็จมาของท่านปลดปล่อยความพลุงพล่านที่สดชื่นของการสร้างสรรค์และมีผลสะท้อนไปทั่วจักรวาล เมื่อมนุษยชาติเข้าไปสู่ “ฤดูหนาวที่มืดที่สุด” “ดวงอาทิตย์ ดวงใหม่ที่ปรากฏอยู่เหนือขอบฟ้า” และ “ส่องแสงบนโลกของจิตวิญญาณ ความคิดและจิตใจ” ดังนั้น “ฤดูใบไม้ผลิแห่งจิตวิญญาณและชีวิตใหม่ปรากฏ อำนาจของช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พิเศษสุดจะปรากฏให้เห็นได้ และประโยชน์ที่มหัศจรรย์จะชัดเจน” การเสด็จมาของแต่ละพระองค์จะมีพลังใหม่ถูกขับออกมาในช่วงเวลาดังกล่าวและขจรกระจายอย่างกว้างขวางออกไปคลอบคลุมกิจการต่างๆ ของมนุษย์ มอบแรงกระตุ้นที่สำคัญเพื่อการพัฒนาไปข้างหน้าของความตระหนักรู้และสังคม

กระบวนการนี้คือการที่พระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าได้มอบแนวทางที่จำเป็นสำหรับวิวัฒนาการทางสังคมและจิตวิญญาณของมนุษย์นั้น เรียกกันว่า “วิวัฒนาการอันก้าวหน้า” ถ้าพระผู้เป็นเจ้าถูกเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์ที่เป็นแหล่งของแสงและชีวิตในระบบสุริยจักรวาลที่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ หรือพระศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าอาจถูกเปรียบกับกระจกซึ่งสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบในลักษณะที่มนุษย์สามารถจะเข้าใจได้ กระจกที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นหนึ่งและทั้งหมดของสิ่งที่แสดงให้เห็นของพระองค์บนพื้นโลก พระผู้ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ซึ่งเป็นแก่นสาระและจุดประสงค์สูงสุดจากพระองค์ ที่ความรู้และอำนาจกระจายออกมาจากพระองค์ ที่ท่านเหล่านั้นได้มาซึ่งอธิปไตย

เนื่องจากจุดประสงค์ของเหล่า กระจกแห่งสวรรค์เหล่านั้นมีแค่หนึ่งและเหมือนกันไม่มีความแตกต่างระหว่างท่านเหล่านั้น พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า ‘ถ้าเจ้าสังเกตด้วยสายตาที่รู้จักแยกแยะ เจ้าจะเห็นว่าทั้งหมดล้วนทำตามกฎแห่งการเรียกร้องจากสวรรค์เดียวกัน ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์เดียวกัน ทรงเปล่งพระวจนะเดียวกันและป่าวประกาศศาสนาเดียวกัน”

หากเมื่อศาสนาที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายถูกพิจารณาว่ามีแก่นสาระเป็นหนึ่ง ซึ่งค้นพบบนพื้นฐาน ความจริงเดียวกัน แล้วเราจะเห็นต่างกันได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับข้อปฏิบัติทางสังคมจากคำสอนของพระศาสดาทั้งหลาย

พระศาสดาแต่ละองค์เป็นเหมือนนักบำบัดที่มีทักษะสูงซึ่งสามารถจะเข้าใจเกี่ยวกับที่มาจากของสรีระของมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบและสามารถออกแบบการรักษาความเจ็บป่วยของโลกคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะสนองตอบความต้องการของเวลาที่พระองค์ปรากฏองค์ เมื่อกล่าวถึงการเปิดเผยพระธรรมของพระองค์เองในยุคนี้ พระบาฮาอุลลาห์ทรงลิขิตไว้ว่า นักบำบัดผู้เป็นที่รอบรู้อย่างแท้จริงได้วางพระหัตถ์ลงบนชีพจรของมนุษย์ พระองค์ทรงวิเคราะห์โรคและทรงวางแผนการรักษาด้วยการเปล่งพระวจนะแห่งปัญญาของพระองค์

ย้อนกลับ

พระผู้เป็นเจ้าที่ไม่สามารถรู้จักได้